ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โลกเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในธรรม ^-^
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คำถามที่ถามไป ยังไม่ได้รับคำตอบ
    อย่ารีบด่วนสรุปว่ารู้จักท่านธรรมภูตดีขึ้น


    55+ขออภัย จะเป็นนักจิตวิทยาที่เที่ยงตรง
    ต้องรู้จักจิตตามความเป็นจริง

    (smile)
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณหมอหมา นานา ค้อนน่าดูครับ
    ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
    ถ้ายังไม่รู้จักผมจริง ก็อย่ารีบทึกทักสรุปอะไรง่ายๆครับ
    คุณจะกลายเป็นพวกตัวตลก ที่ได้แต่เดาสวดไปโดยไม่รู้ตัวนะครับ

    ก่อนจะสรุปอะไรควรสมาทาน(หาข้อมูลให้ดีก่อนครับ)
    อยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผมควรถามอาจานนิวรณ์(คนร้อยชื่อ)ก่อนนะครับ

    คุณรู้หรือเปล่าครับว่าปัจจุบัน ผมให้เวลากับบอร์ดมากขึ้น
    โดยปกติแล้วผมจะเข้าช่วงเวลาประมาณ บ่าย๓-บ่าย๖ เท่านั้นครับ
    เนื่องจากคอมผมความเร็วเต่า 56 เค เข้าบอร์ดยากมาก
    เมื่อบ่ายต่อแล้วสายหลุดเข้าเนทไม่ได้ เนทอก.ฟรี ๒ ชม.ก็งี้แหละครับ

    ผมไม่ใช่อริยะติดบอร์ด
    ฉะนั้น คุณควรดูจิตตัวเองที่กระสับกระส่าย(รอคำตอบ) เพราะอะไร

    โดยปกติ คนที่เล่นในบอร์ด จะรู้ดีว่าผมไม่เคยหนีคำถาม
    ถ้าผมเข้าบอร์ดได้ มีหรือจะไม่ตอบคำถามที่คุณถามเจาะจงมาถึงผม

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขอตอบคุณผู้หญิงชื่อขวัญก่อนนะครับ

    อนุโมทนาครับ คุณผู้หญิงชื่อขวัญ ที่ยอมรับความจริงว่าติดคิดอยู่ครับ
    คุณเองคงเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า “คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะคิด”

    ทีนี่คุณลองดูจิตคิดที่มันไหลไปตามอารมณ์ที่ผ่านมาอารมณ์แล้วอารมณ์เล่า
    ทุกคืนทุกวัน จนจิตติดคุ้นชินอารมณ์เหล่านั้น
    จนจิตเกิดเป็นความกระด้างต่ออารมณ์เหล่านั้น

    อันนี้ไม่ใช่ปัญญานะครับ แต่เป็นความกระด้างต่ออารมณ์นะครับ
    จนผู้ปฏิบัติคิดเองเออเองว่าเป็นการวางเฉยๆ แท้จริงไม่ใช่เลย
    เป็นความกระด้างล้วนๆครับ

    เอาล่ะครับที่นี่คุณลองฝีกคิดดูจิตใหม่นะครับ
    ช่วงแรกเอาแค่๑๐-๒๐นาทีก็พอครับ
    เริ่มจากดูจิตคิด ณ.จุดใดจุดหนึ่งที่ร่างกาย
    แบบเบาสบายบ่อยๆเนืองๆต่อเนื่องที่จุดนั้น
    ก็จะเกิดความเบาสบายปล่อยวางเรื่องอื่นลงได้ชั่วคราว

    เมื่อจิตรู้คิดอยู่เพียงเรื่องเดียว จิตย่อมเบากว่า
    เน้นย้ำว่าเบากว่าจิตที่ไหลไปตามเรื่องราวต่างๆมากมายสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง
    จนจิตเกิดความกระด้างคุ้นชินต่ออารมณ์เหล่านั้นครับ

    ถ้าดูจิตคิดไม่เป็น จิตติดคิด จิตย่อมแข็งกระด้าง
    ถ้าดูจิตคิดเป็น รู้คิดเพียงเรื่องเดียว จิตย่อมอ่อนโยนเบาสบาย

    ;aa24
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณผู้หญิงชื่อขวัญครับ ใจเย็นค่อยๆพิจารณาช้าๆครับ
    คุณกำลังสับสนในการสื่อสารครับ คำตอบแรกที่ต้องรู้ที่สุดคือ

    คำว่าเรา เรา เรา เราในที่นี้คือ
    ๑กายที่ตายเน่าเปื่อยได้หรือ
    ๒จิตคือสภาพรู้ของแต่ละคน(จิตของตน)

    แสดงว่ามีสิ่งที่รู้จิตอีกทีใช่มั้ยครัย??? ใครครับ???
    เห็นคุณพูดถึงภาวนามาหลายคคห.แล้ว องค์ภาวนาคืออะไรครับ???

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเองก็รู้ไม่ใช่น้อยนิครับ คุณก็ย่อมรับเองนะครับว่า
    ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง คุณยอมรับหรือไม่ครับว่า
    ทุกวันนี้ที่มีเรื่องวุ่นวายฟุ้งซ่านเดือดร้อนรำคาญไปทุกหย่อมหญ้า
    ก็เพราะเจ้าตัวการร้าย(ความคิด) ที่แอบก่อการร้ายอยู่ในกายของแต่ละคน(ของตน)


    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณยังจะสนุกเพลิดเพลินอยู่กับเจ้าความคิดอีกหรือครับ???
    บางครั้งเจ้าความคิดนี้ก็แอบสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับเจ้าของมันใช่มั้ยครับ???
    เพราะอะไร??? อย่าบอกนะครับว่าเพราะไม่รู้จักรูป-นาม
    ผมเห็นมานักต่อนักแล้วว่า แม้แต่ผู้สอนเรื่องรูปเรื่องนามเอง
    ก็แอบไปเอาน้ำตาเช็ดหัวเข่า ปากก็ท่องไปว่า เป็นแค่เรื่องรูปนามเท่านั้น

    ยังจะปลอบใจตัวเองไปวันๆเพื่ออะไร???
    ทำไม ทำไม ทำไม ไม่ฝึกคิดสลัดอารมณ์(ความคิด)
    แบบเบาๆสบายๆด้วยการหยุดคิดล่ะ???

    ของแบบนี้ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วพิสูจน์เล่า
    จากเหล่าครูบาอาจารย์ในสายปฏิบัติมานานแล้ว
    ถ้าดูจิตเป็น เห็นเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้องครับ

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เอาละครับ คราวนี้เป็นคำตอบตอบคุณนานา ค้อนน่าดู ล้วนๆ อย่าด่วนสรุป...
    ถึงผมตอบไม่ได้ ผมก็ยังคงเข้ามาบอกว่าผมตอบไม่ได้

    คำถาม
    ยินดีครับคุณหมอหมา นานาชาติ ค้อนน่าดู
    ผมคงตอบเท่าที่ตอบได้ก็แล้วกันนะครับ
    หวังว่าคงได้เอาไปพิจารณา เพื่อความก้าวหน้าในธรรมสมควรแก่ธรรมครับ

    ๑. กิเลสจะหมดได้จริงก็ต่อเมื่ออวิชชาดับไปจากจิต หรือเรียกว่า สูญญตะวิหารครับ

    แต่สำหรับในผู้ปฏิบัติสมาธิมาเช่น คุณวิสุทโธ นั้น
    เพียรเพ่งสำรวมจิตมานานจนกระทั่งจิตอ่อนเบาสบาย
    เมื่อถึงระยะเวลาอันควร จิตก็ปรากฏการรวมใหญ่
    เห็นความเบาสบาย ปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ชั่วขณะนั้น
    ยิ่งสามารถประคองสภาวะนั้นไว้ได้นานเท่าใดนั้น
    จิตยิ่งเบาสบายได้เท่านั้น เป็นอิสระจากกิเลสทั้งหลาย ได้ชั่วคราวก็จริง
    แต่สภาวะนั้น ทำให้จิตเกิดปัญญา(วิปัสสนา)ว่า
    การปล่อยวางกิเลสทั้งหลายออกได้ชั่วคราวยังขนาดนี้
    ถ้าปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ตลอดไปอะไรจะเกิดขึ้นครับ???

    ทำไมต้องกดไว้ด้วยครับ??? การกดเป็นแสดงถึงความหยาบกระด้างของจิต
    แล้วจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้อย่างไรครับ???
    เป็นการสอนให้จำๆกันว่า การทำสมาธินั้นเป็นการกดข่มหรือหลบลี้หนีหน้ากิเลส
    ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้นครับ

    การดูจิตสิครับถึงเป็นการกด เพื่อให้จิตคุ้นชินกับอารมณ์เหล่านั้น
    ทำให้จิตกระด้างขึ้นเรื่อยๆครับ
    แต่เข้าใจผิดคิดว่าเกิดปัญญา
    แต่แท้จริงแล้วเป็นการกดข่มให้ดูเฉยๆต่ออารมณ์เท่านั้น แต่ข้างในสิครับ
    ใครจะรู้ดีเท่าตนเองว่า เรามีการหวั่นไหวแต่กดไว้จนเคยชินว่าให้เฉยๆครับ

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ผมว่าคุณต้องเริ่มหัดจากการแปลไทยเป็นไทยในขั้นแรกก่อนนะครับ
    วิปัสสนา คืออุบายต่างๆอันวิเศษที่ทำให้เกิดปัญญา
    กรรมฐาน คือฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงานครับ

    เมื่อนำมารวมกันเข้าก็คือ ฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงาน
    ที่เป็นอุบายให้เกิดปัญญาครับ

    ผมถึงได้ย้ำเตือนอย่างสม่ำเสมอว่า
    สมถะและวิปัสสนาเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เกิดขึ้นที่ละขณะต่อเนื่องกัน
    ขาดอันใดอันหนึ่งมิได้ครับ

    ไหนคุณลองบอกผมหน่อยสิครับว่า
    “ฐานของปัญญาทำไหลอย่างต่อเนื่องใช่ไหมคะ” เป็นอย่างไร???

    ผมพยายามสมาทานอย่างไร ก็ยังเข้าถึงไม่ได้สักทีครับ
    ปัญญาไหลไปอย่างต่อเนื่อง มีแต่จะหมดไปใช่มั้ยครับ???
    อย่าบอกนะครับว่าไหลออกไปกองรวมกันอีกที่นึง
    ขึ้นชื่อว่าไหลออกไปแล้ว ย่อมต้องไปรวมกับกิเลสครับ

    ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติมานั้น มีแต่ปัญญาเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ
    ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเกิดความเบาสบายในชีวิตประจำวัน

    ไม่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆทั้งสุขทั้งทุกข์
    ที่ทำให้จิตคุ้นชินและหยาบกระด้างต่ออารมณ์ครับ

    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขอเถอะครับ อย่าใช้คำว่า “ถ้าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้แล้ว”เลยครับ
    คุณยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงเหตุปัจจัยในการที่จะทำให้เจริญวิปัสสนาได้เลย

    ผมขอถามก่อนว่า กรรมฐาน “ฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงาน”
    คุณทำได้แล้วหรือมีแล้วหรือครับ

    ผมถึงจะบอกต่อได้ ขืนบอกไปคุณเองคิดเพื่อให้เข้าใจไม่ได้หรอก
    ต้องลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อเข้าถึงและสัมผัสได้เท่านั้น

    ผมขออนุญาตใช้วลียอดฮิตที่ว่า
    “สมถะและวิปัสสนาไม่ง่ายอย่างที่คิด
    เหมือนเดินเข้าเซเว่นไปซื้อมาม่า มาใส่น้ำร้อนกิน
    และอาจได้ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมาด้วยก็ได้”

    ถ้ามันง่ายแบบนี้ใครๆก็ชอบ
    ผมว่าคนครึ่งโลกคงเข้าถึงพุทธศาสนาได้โดยเห็นเป็นของไม่มีราคาครับ

    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณต้องทำความเข้าใจให้ได้ก่อนครับว่า

    เห็นจิตนั้นใครเห็นให้ได้ก่อน???

    ดูคิด ก็คือดูการปรุงแต่ง(สังขาร)
    เมื่อมีการปรุงแต่ง ก็ตามมาด้วยการรับรู้เข้ามา(วิญญาณ)บันทึกไว้ที่จิต

    เมื่อเกิดการดูคิดเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ติดคิด
    จิตก็จะกระด้างคุ้นชินกับความคิดใช่มั้ยครับ???

    คุณต้องยอมรับความจริงในข้อที่ว่า
    “คนเราทุกวันนี้ที่มี ปัญหาความหงุดหงิด วุ่นวาย ฟุ้งซ่านรำคาญใจก็เพราะความคิดใช่มั้ยครับ???

    คุณยังจะสนุกเพลิดเพลินอยู่กับเจ้าความคิดอีกหรือครับ???
    บางครั้งเจ้าความคิดนี้ก็แอบสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับเจ้าของมันใช่มั้ยครับ???
    ทุกวันนี้คุณยังติดคิดไม่พออีกหรือครับ??? หยุดคิดเป็นมั้ยครับ???

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักฌานสมาบัติก่อนนะครับ
    ฌานสมาบัติเหล่านี้มีมาก่อนที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นเสียอีก

    เมื่อทรงออกบวช ท่านก็ผ่านหนทางเหล่านี้มาแล้วจนชำนาญ
    ท่านถึงกับปรารภว่า ยังไม่ใช่หนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์

    ท่านจึงกราบลาอาจารย์มาเพื่อค้นหาอมตะธรรมด้วยพระองค์เอง
    เมื่อถึงวันวิสาขปุณมี เป็นวันเพ็ญเดือนหก
    ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ว่า
    ในคืนวันนี้ถ้าเรายังไม่บรรลุอมตะธรรม
    เราจะไม่ขอลุกจากที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่นี้เลย

    เมื่อทรงบรรลุแล้วพระองค์ทรงระลึกถึงท่านอาจารย์ทั้งสอง
    ที่สอนฌาน๗และฌาน๘แก่ท่านว่า
    สองท่านนี้เป็นผู้มีกิเลสเบาบาง พอที่จะชี้ให้เห็นธรรมและบรรลุธรรมได้

    เมื่อท่านไปถึงปรากฏว่า ท่านทั้งสองได้ล่วงลับไปแล้ว
    พระองค์ถึงกับอุทานว่า ท่านอาจารย์ทั้งสองได้...หายไปจากอมตะธรรมแล้ว

    ท่านจึงบ่ายหน้าไปหาพวกท่านปัญจวัคคีย์
    ได้ทรงตรัสแก่ท่านปัญจวัคคีย์ทั้งหลายว่า
    ธรรมอันเราตรัสรู้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน
    จึงทรงสั่งสอน อริยมรรคมีองค์๘

    เพียงนี้คุณก็พอจะเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่าต่างกันอย่างไร
    วิหารธรรมที่แท้จริงนั้น มีเพียงสูญญตวิหารธรรมเท่านั้นครับ

    หวังอย่างยิ่งว่าคงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
    ปิดหู ปิดตา ปิดปาก แต่ควรเปิดใจให้กว้างครับ

    ;aa24
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ผมไม่ใช่อริยะติดบอร์ด
    ฉะนั้น คุณควรดูจิตตัวเองที่กระสับกระส่าย(รอคำตอบ) เพราะอะไร"

    ขออนุญาติ กรี๊สสส สลบ 1ที โดน ศรธรรม ของอรชุน ปักตรงขั้วหัวใจ
     
  13. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เห็นมีปรัชญาเรื่องโลกมาแสดงไว้ข้างบน
    ก็เลยขอแสดง คคห บ้าง ตามภาษาคนรู้น้อย ถ้อยศึกษา


    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งหลุดพ้นจากโลก
    ส่วนวิทยาศาสตร์ทางโลก ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งติดอยู่ในโลกมากขึ้น (เพิ่มความสะดวกสบาย ความฯลฯ)

    โลกในความหมายของพระองค์ คนละความหมายกับ
    โลกของนักวิทยาศาสตร์

    โลกในความหมายของพระองค์
    คือ หมู่สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
    โลก ก็คือ อารมณ์ ก็คือ ทุกข์

    ก็คือ จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ ติดข้องอยู่ในอารมณ์
    (กามาพจรจิต รูปาพจรจิต อรูปาพจารจิต) เป็นโลกียธรรม
    ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ (กิเลส กรรม วิบาก)

    พระองค์ปฏิบัติทางจิต (อริยมรรคมีองค์ ๘) ตรัสรู้อริยสัจ ๔
    จิตพ้นจากโลก พ้นจากอารมณ์ หรือ พ้นจากทุกข์ นั่นเอง
    จิตหลุดพ้นจากการถูกอวิชชาครอบงำ
    พ้นจากการติดข้องในอารมณ์ (คือ พระนิพพาน) เป็นโลกุตรธรรม
    ทรงพ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลกแล้ว
    ไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์(พ้นจากกิเลส กรรม วิบาก)


    ดังนั้น จึงกล่าวว่า
    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งหลุดพ้นจากโลก
    คือ หลุดพ้นจากทุกข์ พ้นจากการติดข้องในอารมณ์
    (พ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลก = นิพพาน นั่นเอง)


    แต่คนทั่วไป มักเข้าใจความหมายของคำว่า โลก ในแบบที่เรียนรู้มาทางวิทยาศาสตร์
    พอบอกพระองค์อยู่เหนือโลก ก็มโนภาพไปว่าพระองค์คงจะอยู่ที่..ฯลฯ...
    เหนือจักรวาล เป็นต้น


    ความจริงนักวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าทดลองปฏิบัติออกนอกโลกเหมือนกัน
    แต่ไปดวงจันทร์ ดาวอังคาร ฯลฯ

    ซึ่งเป็นคนละความหมายกับของพระพุทธองค์

    สรุป
    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นการปฏิบัติทางจิต
    ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘
    เพื่อจะได้พ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลก(พ้นทุกข์นั่นเอง)


    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก

    ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ใครก็ทำแทนไม่ได้
    และเป็นการปฏิบัติทางจิตนั่นเอง


    (smile)
     
  14. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </center> </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%">ธรรมะสวนัง</td></tr></tbody></table>
    ราตรีสวัสดิ์ นินจาอีก ๓ ท่าน
    อยากฝึกวิชานี้บ้างจังเลย ขอคำแนะนำด้วยนะคะ


    (smile)
     
  15. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ๑. กิเลสจะหมดได้จริงก็ต่อเมื่ออวิชชาดับไปจากจิต หรือเรียกว่า สูญญตะวิหารครับ

    แต่สำหรับในผู้ปฏิบัติสมาธิมาเช่น คุณวิสุทโธ นั้น
    เพียรเพ่งสำรวมจิตมานานจนกระทั่งจิตอ่อนเบาสบาย
    เมื่อถึงระยะเวลาอันควร จิตก็ปรากฏการรวมใหญ่
    เห็นความเบาสบาย ปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ชั่วขณะนั้น
    ยิ่งสามารถประคองสภาวะนั้นไว้ได้นานเท่าใดนั้น
    จิตยิ่งเบาสบายได้เท่านั้น เป็นอิสระจากกิเลสทั้งหลาย ได้ชั่วคราวก็จริง
    แต่สภาวะนั้น ทำให้จิตเกิดปัญญา(วิปัสสนา)ว่า
    การปล่อยวางกิเลสทั้งหลายออกได้ชั่วคราวยังขนาดนี้
    ถ้าปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ตลอดไปอะไรจะเกิดขึ้นครับ??? ค่ะ เกิดแน่นอน จะไม่มีคำว่าnanakorn ในเวปพลังจิตค่ะ

    ทำไมต้องกดไว้ด้วยครับ??? การกดเป็นแสดงถึงความหยาบกระด้างของจิต
    แล้วจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้อย่างไรครับ??? หนูไม่รู้กด หรือ หมด ถึงได้ถามไงคะ ไม่ได้มาบอกวค่ะ ท่านธรรมภูต ส่วนความหยาบกระด้างของจิต ท่านภูตพอจะแยกให้ดูหน่อยได้ไหมคะว่ามีกี่ขั้น
    เป็นการสอนให้จำๆกันว่า การทำสมาธินั้นเป็นการกดข่มหรือหลบลี้หนีหน้ากิเลส
    ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้นครับ

    การดูจิตสิครับถึงเป็นการกด เพื่อให้จิตคุ้นชินกับอารมณ์เหล่านั้น
    ทำให้จิตกระด้างขึ้นเรื่อยๆครับ
    แต่เข้าใจผิดคิดว่าเกิดปัญญา
    แต่แท้จริงแล้วเป็นการกดข่มให้ดูเฉยๆต่ออารมณ์เท่านั้น แต่ข้างในสิครับ
    ใครจะรู้ดีเท่าตนเองว่า เรามีการหวั่นไหวแต่กดไว้จนเคยชินว่าให้เฉยๆครับ
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND><LABEL for=cb_invisible>Use Invisible Mode</LABEL></LEGEND><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>Invisible mode allows you to browse the forums without appearing in the 'Currently Active Users' lists.</TD></TR><TR><TD><LABEL for=cb_invisible><INPUT id=cb_invisible type=checkbox CHECKED value=1 name=options[invisible]>Use Invisible Mode</LABEL><INPUT type=hidden value=1 name=set_options[invisible]></TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET> <FIELDSET class=fieldset><LEGEND><LABEL for=cb_showvcard>Allow vCard Download</LABEL></LEGEND><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>You may choose to allow other users to download a vCard containing your email address and username.

    If you want to keep your email address private, do not allow vCard downloads. </TD></TR><TR><TD><LABEL for=cb_showvcard><INPUT id=cb_showvcard type=checkbox CHECKED value=1 name=options[showvcard]>Allow vCard Download</LABEL><INPUT type=hidden value=1 name=set_options[showvcard]></TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET> ​

    การเป็น นินจาฮาหัวโต ไปที่ข้อมูลส่วนตัว แล้วเลี้ยวซ้าย คลิก แก้ไขตัวเลือก แล้วคลิกตาม12 นาริกา แล้วลงมาคลิกที่ 6โมงเย็น กับอีก ประมาณ 25นาที ลองดูครับ
     
  17. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ผมว่าคุณต้องเริ่มหัดจากการแปลไทยเป็นไทยในขั้นแรกก่อนนะครับ
    วิปัสสนา คืออุบายต่างๆอันวิเศษที่ทำให้เกิดปัญญา
    กรรมฐาน คือฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงานครับ

    เมื่อนำมารวมกันเข้าก็คือ ฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงาน
    ที่เป็นอุบายให้เกิดปัญญาครับ

    ผมถึงได้ย้ำเตือนอย่างสม่ำเสมอว่า
    สมถะและวิปัสสนาเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เกิดขึ้นที่ละขณะต่อเนื่องกัน
    ขาดอันใดอันหนึ่งมิได้ครับ อันนี้ นานาไม่เคยแยกค่ะ แล้วแต่สภาวะการฝึก
    ว่าเราจะสะดวกช่วงไหน การเจริญสติจู่บางทีก็มาดูลมก็มีค่ะ

    ไหนคุณลองบอกผมหน่อยสิครับว่า
    “ฐานของปัญญาทำไหลอย่างต่อเนื่องใช่ไหมคะ” เป็นอย่างไร??? หมายถึงปัญญาเกิดแล้ว การแจ้งต่อสิ่งที่เราพิจารณาจะค่อยมา ๆ หรือมาดีเดียวไม่ไ้ด้ไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่หลักการเคลื่อนที่

    ผมพยายามสมาทานอย่างไร ก็ยังเข้าถึงไม่ได้สักทีครับ
    ปัญญาไหลไปอย่างต่อเนื่อง มีแต่จะหมดไปใช่มั้ยครับ??? ไหลเพื่อเป็นกำลังของจิต ไหลกันคนอย่าง แต่นานาสังเกตุเห็นก่อนที่จะเข้าใจเหตุการณ์บางอย่างจะรู้ปัญญาจะทลอยไหลมา แล้วเรารู้แจ้งต่อเรื่องนั้น สังเกตุจากตัวเอง แล้วลองมาเปรียบกับหลักธรรมและผู้อื่น
    อย่าบอกนะครับว่าไหลออกไปกองรวมกันอีกที่นึง
    ขึ้นชื่อว่าไหลออกไปแล้ว ย่อมต้องไปรวมกับกิเลสครับ
    คงไม่กองหรอก ใช่ค่ะ มันจะไปเป็นกิเลิศ ทันที
    ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติมานั้น มีแต่ปัญญาเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ
    ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเกิดความเบาสบายในชีวิตประจำวัน

    ไม่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆทั้งสุขทั้งทุกข์
    ที่ทำให้จิตคุ้นชินและหยาบกระด้างต่ออารมณ์ครับขอบคุณสำหรับคำแนะนำตรงนี้


     
  18. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอเถอะครับ อย่าใช้คำว่า “ถ้าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้แล้ว”เลยครับ
    คุณยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงเหตุปัจจัยในการที่จะทำให้เจริญวิปัสสนาได้เลย

    ผมขอถามก่อนว่า กรรมฐาน “ฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงาน”
    คุณทำได้แล้วหรือมีแล้วหรือครับ ขอตอบว่าได้ค่ะ

    ผมถึงจะบอกต่อได้ ขืนบอกไปคุณเองคิดเพื่อให้เข้าใจไม่ได้หรอก
    ต้องลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อเข้าถึงและสัมผัสได้เท่านั้น
    บอกต่อได้เลยค่ะ สัมมาสมาธิคือสมาธิตั้งมั้น ไม่หลง ไม่ติด ถูกทางใช่ไหมคะ
    ผมขออนุญาตใช้วลียอดฮิตที่ว่า
    “สมถะและวิปัสสนาไม่ง่ายอย่างที่คิด
    เหมือนเดินเข้าเซเว่นไปซื้อมาม่า มาใส่น้ำร้อนกิน
    และอาจได้ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมาด้วยก็ได้”สำหรับท่านภูต คงไปเซเว่น ไปซื้อมาม่า
    และของแถม อีกมาก นานาใช้โทร 1112 หรือ 1145 ค่ะ

    ถ้ามันง่ายแบบนี้ใครๆก็ชอบ
    ผมว่าคนครึ่งโลกคงเข้าถึงพุทธศาสนาได้โดยเห็นเป็นของไม่มีราคาครับ
     
  19. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    คุณต้องทำความเข้าใจให้ได้ก่อนครับว่า
    เห็นจิตนั้นใครเห็นให้ได้ก่อน??? ถ้านานา นิยามคำว่าเราเห็นจิตจะผิดไหมคะ
    โดยใช้หลัการสมถะ ที่ผ่าน ฌาน 4 แล้วแล้วมาสติปฐาน 4 มันจะชัดขึ้นหรือเจริญสติ


    ดูคิด ก็ยใช้คือดูการปรุงแต่ง(สังขาร)
    เมื่อมีการปรุงแต่ง ก็ตามมาด้วยการรับรู้เข้ามา(วิญญาณ)บันทึกไว้ที่จิต

    เมื่อเกิดการดูคิดเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ติดคิด
    จิตก็จะกระด้างคุ้นชินกับความคิดใช่มั้ยครับ???ใช่ค่ะ เพราะกระด้างเลยติดคิด
    แกะไม่ออก แถมบางทีคิดแทนคนอื่นด้วย ดูเขาทำ


    คุณต้องยอมรับความจริงในข้อที่ว่า
    “คนเราทุกวันนี้ที่มี ปัญหาความหงุดหงิด วุ่นวาย ฟุ้งซ่านรำคาญใจก็เพราะความคิดใช่มั้ยครับ???ใช่ค่ะ ท่านภูตขา เพราะคนเราติดคิดนี่แหล่ะ คิดหน้าคิดหลัง ยอมรับความจริงค่ะ
    มีคนมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ่อย ๆ ส่วนใหญ่เรื่องครอบครัวค่ะ

    คุณยังจะสนุกเพลิดเพลินอยู่กับเจ้าความคิดอีกหรือครับ??? ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ค่อยลดลง หลังจากมาเจอ เวปพลังจิต(หยอดๆ) อ้าว เขาเพิ่งบอกอย่าสนุกสนานกับความคิด จริงๆ แล้วก็ลดลงเยอะค่ะ
    บางครั้งเจ้าความคิดนี้ก็แอบสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับเจ้าของมันใช่มั้ยครับ???ใช่
    ทุกวันนี้คุณยังติดคิดไม่พออีกหรือครับ??? หยุดคิดเป็นมั้ยครับ???อันนี้ไม่แน่ใจนะ อาจจะจริตเป็นคนติดคิดค่ะ เด็กวิทย์ก็แบบนี้แหล่ะค่ะ
     
  20. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักฌานสมาบัติก่อนนะครับ
    ฌานสมาบัติเหล่านี้มีมาก่อนที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นเสียอีก

    เมื่อทรงออกบวช ท่านก็ผ่านหนทางเหล่านี้มาแล้วจนชำนาญ
    ท่านถึงกับปรารภว่า ยังไม่ใช่หนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์

    ท่านจึงกราบลาอาจารย์มาเพื่อค้นหาอมตะธรรมด้วยพระองค์เอง
    เมื่อถึงวันวิสาขปุณมี เป็นวันเพ็ญเดือนหก
    ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ว่า
    ในคืนวันนี้ถ้าเรายังไม่บรรลุอมตะธรรม
    เราจะไม่ขอลุกจากที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่นี้เลย

    เมื่อทรงบรรลุแล้วพระองค์ทรงระลึกถึงท่านอาจารย์ทั้งสอง
    ที่สอนฌาน๗และฌาน๘แก่ท่านว่า
    สองท่านนี้เป็นผู้มีกิเลสเบาบาง พอที่จะชี้ให้เห็นธรรมและบรรลุธรรมได้

    เมื่อท่านไปถึงปรากฏว่า ท่านทั้งสองได้ล่วงลับไปแล้ว
    พระองค์ถึงกับอุทานว่า ท่านอาจารย์ทั้งสองได้...หายไปจากอมตะธรรมแล้ว

    ท่านจึงบ่ายหน้าไปหาพวกท่านปัญจวัคคีย์
    ได้ทรงตรัสแก่ท่านปัญจวัคคีย์ทั้งหลายว่า
    ธรรมอันเราตรัสรู้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน
    จึงทรงสั่งสอน อริยมรรคมีองค์๘

    เพียงนี้คุณก็พอจะเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่าต่างกันอย่างไร
    วิหารธรรมที่แท้จริงนั้น มีเพียงสูญญตวิหารธรรมเท่านั้นครับ

    หวังอย่างยิ่งว่าคงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
    ปิดหู ปิดตา ปิดปาก แต่ควรเปิดใจให้กว้างครับ รู้สึกดีค่ะ ที่ได้ยินบทนี้ ดีมาก ๆ
    ขอบคุณค่ะ


    ]
     

แชร์หน้านี้

Loading...