เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำพูดนั้นแหละ ผมมองออกว่า ปรุงมาจากทัสนะเท่าใด
    ขอให้รู้ไว้เท่านี้ ซึ่งอาจจะมีบ้างที่ผมจะมองคลาดบ้างแต่ก็ไม่มาก

    สมมติทุกอย่างออกจากปรมัตเสมอ ปรมัตจิตนั้นมีภูมิทัสนะเท่าใด ก็จะออกมาเท่านั้น
     
  2. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    เพียงแค่หลักการ อาจมองไม่เห็นผล สู้ปฏิบัติแล้วเห็นผลไม่ดีกว่าหรือ
    นั่งสมาบัติได้ ก็จะรับรู้อารมณ์เฉกเช่นนั้นแล้ว ก็ลองพิจารณาความว่างเป็นอารมณ์
    ไม่รับรู้ในทุกๆ อารมณ์ เพราะไม่มีแก่นสาร ทุกอย่างเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วก็ดับไป
    จะละลายอัตตาตนทั้งที ก็ต้องปฏิบัติเยี่ยงนี้แหละ

    จะไปใช้ทำไม จริงแท้ จริงสมมุติ ศัพท์แสงสูงๆ พูดเอามันง่ายๆ ชาวบ้านฟังเข้าใจและรู้เรื่องจะดีกว่าไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2008
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปัญหาของบางท่านส่วนใหญ่ คือ ไม่เห็นการเคลื่อนไหวเกิดดับของรูปนาม ซึ่งมาจากการเข้าใจผิด นั่งสมาธิทำให้นิ่ง จนเลยเถิด (แช่เย็น)

    ของมันไม่นิ่ง ก็ไปพยายามทำให้มันนิ่ง เลยเนิ่นช้า ^-^
     
  4. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    งั้นก็คงต้องใช้สติภาวนาในการกำหนดอริยะบท เพื่อแยกนามรูป แล้วต้องมองเหตุปัจจัย จากนั้นก็ใคร่ครวญไตรลักษณ์ ให้เด็กๆ เขาทำกันเถิด ระดับนี้แล้ว มานั่งแยกรูปแยกนาม
    แล้วจะมาบอกว่า นี้คือกายนะ นี้คือใจนะ อ๋อหรือว่าขันธ์ห้าดีหนอ นั่งแยกไปเถิด ชาตินี้ข้อแรกก็ไม่ผ่าน
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่าน เอ็ดดี้ ท่านคงไม่คิดที่จะถอนทีละตัวหรอกนะ และ เมื่อใดที่ท่านคิดจะถอนสักกายทิฎฐิ

    ท่านก็จะพบกับ ความผิดหวัง เพราะว่า มันมองไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงไหน

    แต่ ถ้าท่านมองรูป นาม ให้แจ้ง หรือ ปลงใจทิ้งกายนี้ จริงๆ เมื่อสรรพรูป นามดับ ประกอบกับปัญญา ท่านจะถอนทีเดียวทั้งสามตัว

    เพราะว่า สัมมาทิฎฐิตัวเดียว ประกอบกับ สัมมาสมาธิเป็นที่สุด ท่านจะพบความเป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้น ก่อนเริ่มที่จะปรุง นั่นแหละคือ ความไม่รู้ไม่มีตัวตน ให้ท่านถอน และมันไม่มีอยู่ในจิต เมื่อเห็นเหตุที่เหนือกว่า สังโยชน์ทั้งสามนั้น ถอนก็ต้องถอนทีเดียว

    อุปมาว่า ต้นไม้ มีรากสามก้าน ท่านจะถอนต้นไม้ต้นนี้ ด้วยการตัดทีละรากไม่ได้ เพราะมันจะงอกต่อ เพราะท่านไม่ได้ถอนที่ตัวต้นมัน

    การมองเห็นเหตุปัจจัยที่เป็น ต้นทางของ สังโยชน์ทั้งสาม นั้นแหละ คือ การดึงที่ต้นไม้ ถอนทีเดียวสามตัว
     
  6. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุคับ ท่านขันธ์ .. ขอรวมวงด้วยคนยะคับ

    กายไม่มีในเรา คือ รูป คือร่างกายนี้ไม่มี ในเรา(นาม)
    เราไม่มีในกาย คือ นาม(จิตใจ) ก็ไม่มี ในรูป (ร่างกาย)

    หรือพูด สั้นๆว่า .. แยก รูปกะนาม ออกจากกัน เป็นสภาวะที่รู้สึกเห็น ขึ้นมาในจิตตนว่า...
    รูป กะ นาม ...ไม่เกียวข้องกัน เมื่อเห็นเช่นนี้ จึงเกิด สภาวะที่ว่า ...เราไม่มีในกาย ...และ กายก็ไม่มีในเรา

    ...แต่ ผู้ที่ยังไม่เห็นสภาวะ ตรงนี้ ..จะ รู้สึกว่า มีเราในกาย... และในกายก็มีเราอยู่...

    เมื่อเห็นได้ดังนี้ จิตผู้เห็นย่อมละความ ยึดมั่นในกาย (ละสักกายะทิฏฐิ)ลงได้

    เมื่อพิจารณา ลึกลงไปอีก ... อ้าว แล้วตัวเราของเรา ละ...เหมือน กับว่ายังมีอยู่นะ ....
    เมื่อทำความเพียร พิจารณา ด้วยปัญญาแล้ว จึงเห็นว่า... เรานั้นละได้ แต่ความยึดมั่นในกาย(ละสักกายะทิฏฐิ)ได้แล้ว...แต่ยัง ไม่สามารถ ละ ทิฏฐฺมานะได้... มันละเอียดก่ากันมากนัก จึงรู้ว่าทางเดินนั้น ยังอีกยาวไกล....

    ผู้ปฏิบัติไหม่..มักไม่เข้าใจ ตัว สักายะทิฏฐิ ...กับ ทิฏฐิมานะ... จึงมักมองเห็นรวมกัน(เหมารวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน) ...จริงๆมันคน ละตัวกัน ...
    สักกายะทิฏฐิ... คือความยึดมันในรูป .....แต่ทิฏฐิมานะ ความยึดมั่นในนาม
    ... ผิดถูกประการใด... ท่านขันธ์ เมตตาด้วยคับ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ที่ท่าน นัท พูดมา เป็นทัสนะที่ถูกต้องครับ แต่ท่านจะลิ้มชิมรส นั้นแล้วหรือไม่ผมไม่ทราบ เพราะเป็นปัจจัตตัง

    แต่ สำคัญ คือ ให้รู้สึกว่าอย่างนั้น แต่อย่างให้้คิดว่าอย่างนั้น
     
  8. อีโต้

    อีโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +256
    เราเห็นจริง

    แต่สิ่งที่เราเห็น

    มันไม่จริง
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำว่ารู้สึกนี้ คือ การเดินไปไหนมาไหน เห็นแต่เป็นจิต รู้สึกแต่เป็นจิต ไม่ใช่รุ้สึกว่านี่ตัวเรา กายเรา แม้พากายไป แต่เราจะระลึกรู้เหมือนเพียงพาใจไป ทัสนะทั้งหมดจะมองมาที่จิตเท่านั้น

    ไม่เห็นว่า ทั้งหมดที่รับรู้คือ กาย แต่ทั้งหมดที่รับรู้คือ จิต ก็จะเรียกว่า เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

    นั่นแหละ คำตอบ แต่จะต้องเอาให้เห็นรสชาติิอันนี้ จริงๆ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่านอีโต้ ทัสนะที่ท่านกล่าวมา ยังต้องฝึกอีกมากพอดู เพราะที่ท่านกล่าวมา เป็นทัสนะเริ่มแรกที่ยัง ต้องเปลื้องสมมติบัญญัติออกไปอีกมาก
     
  11. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุคับ ....
    โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ ก็ล้วนสมมุติทางภาษาบัญญัติที่เอามาเรียกขาน "สภาวะธรรม" ...
    ซึง "สภาวะธรรม" ไม่ได้วัดที่ความรู้ในธรรมที่นำมากล่าว...แต่วัดที่เราละ กิเลสในตัวเราได้มากน้อยแค่ไหน... ซึ่งเป็นปัจจตังคับ...
    แต่ผมเห็นว่า ยังมีในผมครบแหละคับ ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง ....มีครบเลยอิอิ
    แต่สิ่งใดมาก สิ่งใดน้อย ...คือเหลือมากน้อย แค่ไหน... ข้อเก็บไว้ดูเองคนเดียวนะคับ

    สาธุคับ...ขอให้เจริญในธรรมคับ
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ต้องอบรม ใจนี้ ให้เห็นว่าเป็นใจ มากกว่าเป็นกาย ให้เห็นว่าจิตนี้มีอายตนะ ไม่ใช่กายนี้มีอายตนะ

    ให้รู้สึกทุกอย่างมีความเห็นทุกอย่าง ลงที่จิต อย่างเดียว แม้กายนี้จะสัมผัสอะไร ก็ให้เห็นว่าเป็นจิตสัมผัส
    และต้องเห็นเช่นนั้นจริง ด้วยปัญญาที่อบรม เห็นรูป เห็นนาม ที่เกิดดับแล้ว จนชัดเจน

    ไปสิ้นสุดที่องค์สมาธิ นั้นแหละ จะเพิกความเห็น ผิดทั้งปวงลงไป ว่าจิตนี้มี แต่ปรุงออกไป

    เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ร้อยแปดทิศทาง คุมได้บ้าง คุมไม่ได้บ้าง ที่คุมไม่ได้ก็เกิดจากอวิชชา
    ที่คุมได้ก็มาจากธรรม

    สรุปว่า มองรูปนามให้มาก แล้ว ถอนการมองออก เอาให้ชำนาญ จะเป็นจิตที่เห็นสรรพสิ่ง สัมผัสเป็น อายตนะเท่านั้น ทั้งหมดตัวเรานี้ไม่เป็นกาย
     
  13. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    คุณขันธ์

    โอโห การละสักกายะทิฏฐิมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอคุณขันธ์
    ผมแค่จ่อสติเข้ามาก็เป็นเหมือนคุณว่าแล้ว

    ดีใจจัง...อย่างนี้ผมก็เกือบเป็นพระอรหันต์แล้วสิ ถ้าละทิฏฐิมานะได้

    เอ๊...แต่ทำไมกิเลสยังเต็มหัวใจผมอยู่เลย
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ คุณ เข้าใจแค่ไหนในคำพูดของผมหละ ถ้าเข้าใจในอรรถตื้นๆ ก็แนะนำให้เปิดใจให้กว้างกว่านี้อีกหน่อย แล้วก็ลองทวนให้ดีก่อน
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ เกสท์ คุณว่า คุณรู้ดีแค่ไหนหรือ กับ รูปนาม ไหนลองว่ามาซิ

    ถ้าเช่นนั้นผมจะถามคุณดีกว่า ว่า เราไม่มีในกาย และ กายไม่มีในเรา คุณคิดว่า มันกินความอย่างไร
     
  16. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ที่คุณขันธ์พูด
    ผมทำได้หมดแล้ว
    เป็นสันทิฏฐิโกด้วย
     
  17. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    จ่อสติขึ้นมาก็รู้เลยว่ากายอย่างจิตอย่าง
    แขนยื่นออกไปไม่รู้สึกว่าเป็นแขน
    เหมือนกิ่งไม้ยื่นออกไป
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ถูกแล้ว ดีแล้ว แต่แปลก ว่าทำไมสักกายทิฎฐิท่านไม่ลบไป เพราะอะไร
    แสดงว่า มันคิด ณ ขณะนั้น แต่ยังไม่ลงถึงใจ ให้ปลงได้
     
  19. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ...

    <label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label><label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>สาธุ คับ ....
    นั้นคืออาการ จิตที่ทำหน้าที่ระลึกรู้(สติ) ... ซึ่งเมื่อฝึกดีแล้ว มันจะรู้ของมันเอง...ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกำหนด ...

    ตอนนี้ผมก็ ดูแต่ว่า ตอนนี้จิต รับอะไรมาเป็นอารมณ์...มาทางไหน (ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย)และมัน ปรุ่งแต่งเป็น กิเลสตัวไหน ....และมันดับไปอย่างไร...
    ..ทั้งหมดที่กล่าว ไม่ต้องคิด...แค่ตามรู้ ตามดูมันเกิด-ดับ ไวมาก...ในขณะที่มันเกิดดับ แค่ ขณะจิตเดียว(ไม่รู้จะเอาอะไรเปรียบอ่ะ)... ก็เห็นอีกว่า..จิตรับอาการณ์ นั้นๆมา ตัวผู้รู้(สติ) มีอาการ อย่างไร...เช่น ได้สิ่งชอบใจ ผู้รู้ก็มีอาการ จิตพองฟู แต่เจอสิ่งไม่ชอบใจ ก็อึดอัดแน่นขุ่น... แต่ส่วนใหญ่นะ มันมักจะ เฉยๆ... หรือรู้ แวปนึ่ง แล้วก็เฉย...จนบางครั้งเรา รู้สึกว่า ...เราเฉื่อยไปหรือเป่านี่...แต่จิต มันก็เบาๆ โล่งๆ สบายๆ

    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] สาธุคับ...ขอความเห็นด้วยคับ..</label>
     
  20. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    มันยังเหลือนามธรรมยังไม่หมด
    ผมปรารถนาพุทธภูมิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...