หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

สาธุ สาธุ สาธุ

 

ข้ามมา 1 งวด เสียแต่ไม่ได้ตามต่อ............

 

สวัสดีทุกท่านครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ..

ช่วงนี้อากาศร้อนจริงๆ ผมเพิ่งกลับจากอีสานได้ไม่กี่วันนี้เอง ไปร่วมทำโรงทานที่วัดศรีอภัยวัน จ.เลย และร่วมงานมุทิตาจิตเนื่องในวันเกิดหลวงปู่ท่อน ญาณธโร ครับ
เดี๋ยวจะมาเขียนเรื่องพิธีเสกมัจฉานุกันต่อครับ เรื่องราวกำลังเข้มข้น แฟนๆถามมาหลายคนแล้วครับ

​

 

รออ่านพิธีเสกมัจฉานุด้วยนะครับ

 

รอติดตามอยู่ครับ

 

พิธีที่ 10 พิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลหลวงปู่ทิม อิสริโก รุ่นชินบัญชรมหาปราบ ณ วัดละหารไร่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

พิธีนี้ถือเป็นพิธีที่มีความสำคัญที่สุด และเข้มขลังมากอีกพิธีหนึ่ง เนื่องจากได้รับความเมตตาจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณนับสิบๆท่าน เพื่อมานั่งปรกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลรุ่นชินบัญชรมหาปราบ ที่ทางมูลนิธิหลวงปู่ทิม และกองปราบจัดสร้าง..
และคณะศิษย์หลวงปู่ท่อน นำโดยพี่อั๋น พี่ต้น ได้นำมัจฉานุที่จัดสร้างในนามของหลวงปู่ท่อน มาเข้าร่วมพิธีนี้ด้วย เราถือว่านำ(มวลสารของ)แม่พราย พ่อพราย พี่พรายเขามาเยี่ยมบ้าน และมาเพิ่มพลังในพิธีนี้อีกสัมทับหนึ่ง เนื่องจากต้นกำเนิดของมวลสารต่างๆในตำนานที่เราได้มา มาจากที่นี่ เวลาเราจะทำอะไร ก็ต้องมาบอกกล่าวและต้องยกมาทำนี่นี่ ถึงพิธีต่างๆที่เราเดินสายมาจะขลังมากเพียงใด ยังไงๆก็ต้องมาเข้าพิธีที่นี่ ก็นับว่าตรงสายเป็นที่สุดครับ และเชื่อเหลือเกินว่า ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านก็ต้องมาเมตตาเสกของในพิธีนี้ให้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน..
และเป็นอะไรที่บังเอิญสุดๆครับ เนื่องจากในพิธีนี้เจ้าพิธีได้นำรูปหล่อบูชาองค์หลวงปู่ทิม และองค์มัจฉานุมาตั้งเป็นประธาน บนปรัมพิธีบวงสรวงด้วย ก็เท่ากับว่าได้อธิษฐานขอพลังฤทธิ์ของเทพมัจฉานุ ให้มาประสิทธิพรอันศักศิ์สิทธิ์สู่พิธีนี้ด้วย เนื่องจากองค์มัจฉานุมีฤทธิ์มาก เก่งทั้งในน้ำ บนบก และบนอากาศ ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ใคร สมกับชื่อรุ่นของวัตถุมงคล ชินบัญชรมหาปราบ ที่ทางมูลนิธิหลวงปู่ทิม และกองปราบจัดสร้างครับ.. สาธุ

​

 

สาธุ ครับผม รอติดตามต่อครับผม

 

พระกสิณพิมพ์สวยๆก็มีครับ แต่หายากไม่ค่อยได้เจอครับ

<a href="http://image.ohozaa.com/view2/ylhsIltsmUHpGMyG" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/b3a/O4MWCZ.gif" /></a>​

 

สุดยอดดด.. พิมพ์นี้หายาก เนื้อหาสุดมันส์เลยครับป๋า

 

ชีวประวัติวัยเด็ก ของหลวงปู่พิศดู
ข้อมูลจากเว็บ Happinessss:

เมื่ออายุได้ประมาณ 7-8 ปี พอรู้ความ โยมพ่อ และโยมแม่ ได้ส่งท่านมาอยู่วัดเพื่อให้ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน ท่านก็ได้เรียนสวดมนต์ เขียนอ่านหนังสือกับท่านอาจาร์ยลี (นามท่านเช่นเดียวกันกับท่านพ่อลี วัดอโศการาม แต่เป็นคนละองค์กัน) และพระที่วัด ที่ทำหน้าที่สอนก็ดุมาก หากไม่ตั้งใจเรียน หรือตอบข้อถามต่าง ๆ ได้ไม่ถูกใจก็จะใช้หวายตี ซึ่งเจ็บมาก แต่ท่านก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างไร หากยังพากเพียรเรียนมาจนได้วิชาทั้งทางด้านการสวดมนต์ การปฏิบัติ ภาวนาวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น มีความรู้ความชำนาญจนในบางครั้ง หากพระที่สอนไม่สามารถสอนได้ในวันนั้น ท่านก็จะการสอนเด็กคนอื่น ๆ แทน
ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ 2480 ขณะนั้นท่านอายุได้ประมาณ 14 ปี เป็นช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอินโดจีน ซึ่งโยมพ่อ และโยมแม่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ท่านก็ได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดเกาะบ่อคงคาราม โดยมีพระครูบัวตูมรัตนสาครเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชเป็นเณรได้เพียงไม่กี่วัน ก็ต้องอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่ที่เมืองไทย โดยเดินทางมาทางน้ำ แจวเรือมากับหลาน และน้องชาย รวมทั้งพระสงฆ์รูปอื่น ๆ หลบหนีออกมา เมื่อมาถึงเมืองไทยได้แวะพักอยู่ที่เขาวงก่อน ต่อมาจึงได้มาอยู่ที่วัดคลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
ขณะที่อยู่ที่วัดคลองใหญ่นี่เอง ท่านได้เริ่มเรียน เวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ เช่น คาถาโคมแก้ว คาถาเจริญคุณ และคาถาลายลักษณ์ รวมถึงวัตรปฏิบัติ เบ็ดเตล็ดต่าง โดยมีพระครูบัวตูมรัตนสาครเป็นผู้ถ่ายทอดให้วันละคำสองคำ ท่านก็ได้ จดจำร่ำเรียนมา และเนื่องจากการที่ท่านมีนิสัยรักการอ่านเขียน มีความจำแม่น ท่องเก่งมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังอาศัยอยู่กับโยมพ่อและโยมแม่ รวมทั้งการที่ท่านได้อาศัยอยู่วัดตั้งแต่เล็ก ทำให้ท่านมีความชำนาญ เชี่ยวชาญในความรู้ต่าง ๆ ท่านอาศัยอยู่ที่วัดคลองใหญ่ได้ประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มออกธุดงค์
ธุดงค์ครั้งแรกมาทางป่า แถบเทือกเขาบรรทัด จ.ตราด ขณะที่ท่านเดินธุดงค์อยู่บริเวณ แหลมตะก้อ จ.ตราด ได้เดินผ่านบ้านที่กำลังนวดข้าว ท่านก็แวะพักในบริเวณนั้น ได้หลับ และฝันไปว่ามียักษ์ได้แปลงร่างเป็นพญานกแร้งปากแหลม ตัวใหญ่เข้ามาจะทำร้าย ก็ได้ต่อสู้ตีกันเป็นพัลวัน และท่านได้อธิษฐานจิตว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าจะได้อยู่รับใช้ในบวรพระพุทธศาสนาตลอดไป ก็ขอให้ได้ชัยชนะแก่พญานกนี้เทอญ” ในที่สุดท่านก็ได้รับชัยชนะ และจากนิมิตนี้เอง ทำให้ท่านมีความมั่นใจว่า ท่านสามารถอยู่ในร่มกาสาวพัตร แห่งพระบรมศาสดาได้ตลอดไป เพราะสามารถต่อสู้กับอธรรม และกิเลสดั่งเช่นพญานกแร้งได้ดังจิตอธิษฐาน

​

 

ชีวประวัติ หลวงปู่พิศดู ตอน.. เริ่มออกธุดงค์
ข้อมูลจากเว็บ Happinessss:

ธุดงค์ครั้งแรกมาทางป่า แถบเทือกเขาบรรทัด จ.ตราด ขณะที่ท่านเดินธุดงค์อยู่บริเวณ แหลมตะก้อ จ.ตราด ได้เดินผ่านบ้านที่กำลังนวดข้าว ท่านก็แวะพักในบริเวณนั้น ได้หลับ และฝันไปว่ามียักษ์ได้แปลงร่างเป็นพญานกแร้งปากแหลม ตัวใหญ่เข้ามาจะทำร้าย ก็ได้ต่อสู้ตีกันเป็นพัลวัน และท่านได้อธิษฐานจิตว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าจะได้อยู่รับใช้ในบวรพระพุทธศานาตลอดไป ก็ขอให้ได้ชัยชนะแก่พญานกนี้เทอญ” ในที่สุดท่านก็ได้รับชัยชนะ และจากนิมิตนี้เอง ทำให้ท่านมีความมั่นใจว่า ท่านสามารถอยู่ในร่มกาสาวพัตร แห่งพระบรมศาสดาได้ตลอดไป เพราะสามารถต่อสู้กับอธรรม และกิเลสดั่งเช่นพญานกแร้งได้ดังจิตอธิษฐาน
ออกเดินธุดงค์อยู่องค์เดียวเรื่อยมาจนถึงชายเขา ก็ได้มาเจอพระสายธรรมยุติของวัดคีรีวิหาร หลวงปู่ได้เห็นวัตรปฏิบัติของพระวัดนี้แปลกออกไปจากที่หลวงปู่ปฏิบัติอยู่ ก็ทำให้นึกขำ หัวเราะกับวัตรแปลก ๆ ของพระเหล่านี้ แต่ในที่สุดท่านก็ได้ตัดสินใจจะออกบวชเป็นพระสายธรรมยุติ (อาจจะเป็นบุญบารมีของหลวงปู่ที่ได้มาพบวัดนี้ เพราะมีผลทำให้หลวงปู่ได้มาเป็นพระสายธรรมยุติจนถึงปัจจุบันนี้)

เมื่อท่านมีอายุครบบวช ประมาณปี พ.ศ.2487 ขณะนั้นท่านได้พำนักอยู่ที่วัดเขาแก้ว ท่านเจ้าคุณวินัยบัณฑิต เจ้าคณะจังหวัดตราด ก็ได้ทำหนังสือส่งตัวฝากมายังหลวงพ่อลี ธมมธโร (ท่านพ่อลี แห่งวัดอโศการาม ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี) พร้อมกับเณรอีก 2 รูป ท่านพ่อลีก็จัดการบวชให้ ณ วัดจันทนาราม โดยมีท่านพ่อลีเป็นพระกรรมวาจา หลังจากบวชแล้วท่านก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง อยู่ปรนบัติรับใช้ ศึกษาพระธรรม พระวินัยกับท่านพ่อลี จนซึมซับสามารถเจริญรอยตาม รักษาวัตรปฏิบัติ และ ปฏิปทาของท่านพ่อลี

จากลักษณะนิสัยที่ชอบอยู่คนเดียว รักธรรมชาติ รักป่า ทำให้หลวงปู่ชอบออกเดินธุดงค์ ท่านจะเข้า ๆ ออก ๆ ป่าเป็นประจำเสมอ พอถึงหน้าฝนก็จะกลับมาอยู่วัดกับท่านพ่อลี เมื่อถึงหน้าแล้งก็จะออกเดินธุดงค์อีก เป็นอย่างนี้เสมอ หรือในบางครั้งก็ไม่กลับวัดเลย อยู่ในป่าตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้หนีท่านพ่อลีออกธุดงค์ไปถึงเกาะหมาก เมื่อครั้นกลับมานึกว่าท่านพ่อลีจะดุ แต่ท่านกลับไม่ดุว่าอะไร กลับบอกว่าดี สงบดี อยู่คนเดียวสบายดีเสียอีก นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่พิศยังได้ออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ แทบทุกภาค เช่นที่โป่งแรด ที่เขาสระบาป ท่านเดินอยู่ถึง 4 รอบ

ท่านได้เดินธุดงค์ลงไปทางใต้ถึงเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ สงขลา แวะพักอยู่ที่สงขลาประมาณ 4 เดือน ทางตะวันตกท่านไปถึงราชบุรี ทางภาคกลางท่านก็ได้ธุดงค์มาเรื่อย ชาวภาคกลางนิยมทำบุญกับพระธุดงค์มาก มีคนมานิมนต์ท่านตลอด และที่จังหวัดฉะเชิงเทรา แถบลุ่มน้ำบางปะกงนี่เองที่ท่านมีความประทับใจที่สุด ที่ชาวบ้านให้การต้อนรับท่านเป็นอย่างดี อย่างจริงใจ โดยที่มิได้หวาดระแวงเลยว่าท่านจะมาหลอกลวง
จากการที่ท่านชอบออกธุดงค์ และชอบอยู่กับป่า และ ธรรมชาติ มากกว่าอยู่วัดนี่เอง ทำให้ท่านต้องประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย บางครั้งเคยเจ็บป่วยจนถึงกับเอาชีวิตไม่รอด มีอยู่ครั้งนึ่งท่านเป็นคางทูม ได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเอาน้ำมาต้มให้ร้อนแล้วรมควัน ในที่สุดคางทูมก็หายไปเอง ท่านต้องคิดหาวิธีรักษาเอาเองตามแต่จะคิดได้ มีการใช้สมุนไพรบ้าง ใช้ธรรมโอสถบ้าง แยกส่วนแบ่งส่วนพิจารณา แยกกายใจ ที่อาศัยกันอยู่ โดยต้องรู้ว่ามันต่างกัน อยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน มันต่างกัน ไม่รู้ไม่ยุ่งกัน ถ้ามาคบกันมันก็ยุ่งใจ เรารู้ เราไม่คบกัน ใจเราก็ไม่ยุ่ง ใช้ธรรมโอสถข่มเวทนา อยู่เหนือเวทนา อยู่เหนือกาย รู้กาย กายจะทำอะไรเราไม่ได้ สติเป็นอาหารใจ ลมหายใจเป็นอาหารกาย ถ้าเรามีอาหารทั้งกาย และใจ เราก็จะรอดตัว

​

 

ไปร่วมบุญกันยังครับ....

 

ชีวประวัติ หลวงปู่พิศดู ตอน.. ออกธุดงค์ ( 2 )
ข้อมูลจากเว็บ Happinessss:

หลวงปู่เข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างป่ากับวัด จนกระทั่งปี พ.ศ 2517 ก็ได้มาอยู่ที่วัดเขาสุกิม พำนักอยู่กับท่านอาจารย์สมชายได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ไปดูแลวัดเนินดินแดง ซึ่งในขณะนั้นไม่มีพระจำวัดยู่ ท่านได้พำนักอยู่ที่นี่ประมาณ 2 ปี ซึ่งในระหว่างนี้เอง ท่านอาจารย์สมชายก็ได้พยากรณ์ว่า " หลวงปู่ท่านจะสิ้นในผ้าเหลือง.."
ก่อนที่หลวงปู่จะได้มาอยู่ที่วัดเทพธารทองนี้ หลวงปู่ได้ไปเยี่ยม และพำนักอยู่ที่วัดเขาน้อยท่านแฉลบ และคืนก่อนหน้าที่จะกลับไปที่วัดป่าคลองกุ้ง ก็ได้นิมิตรว่ามีคนนำมีดด้ามทองเป็นสวยงามมากมาให้ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับจากเขาน้อยมาที่วัด ยังไม่ทันได้เข้าพักก็ได้รับคำสั่งให้มาที่วัดเทพธารทอง (และในขณะนั้นก็ได้มีพระมหาเถรครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ ได้พยากรณ์หลวงปู่พิศดูเอาไว้อีกว่า " ต่อไป ท่านจะมีบทบาทสำคัญ.." )
มาอยู่วัดเทพธารทอง
วัดเทพธารทอง เดิมเป็นป่าธรรมชาติ เป็นดงเสือ ดงช้าง มีไก่ป่า หมูป่า กวางอาศัยอยู่ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2510 เจ้าของที่ดินคือคุณหมอปฐม หอมหวล ได้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดเป็นจำนวน 10 ไร่ ซึ่งชื่อวัดเทพธารทองนี้ ได้มาจาก
“เทพ” มาจากชื่อของหลวงพ่อแก่ พระอุปัชฌาย์ วัดจันทนาราม ผู้ก่อตั้งวัดเทพธารทอง
“ธาร” มาจากลำธารที่ไหลผ่านวัด
“ทอง” มาจากคุณทองใหญ่ ตั้งชื่อไว้ให้เป็นอนุสรณ์แก่เจ้าของที่ดินเดิมที่ขายที่ดินให้แก่คุณหมอปฐม หอมหวน
พ.ศ 2519 ปลายปี หลวงปู่ได้มาอยู่ที่วัดเทพธารทอง ครั้งแรกที่มาก็มีศาลาที่หลวงปู่อาศัอยู่ปัจจุบันนี้ก่อนแล้ว ตอนเข้ามาอยู่วัดใหม่ ๆ ยังมีไก่ป่า และกวางมาวนเวียนอยู่ในวัดบ้าง ในบางครั้งชาวบ้านได้นำหมูป่ามาต้ม แกง ถวายเกือบทุกวัน แต่พอมีวัด ชาวบ้านก็ตามมาอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้สัตว์พวกนี้หายไปหมด หลวงปู่ต้องผจญกับสิ่งที่ทั้งมองเห็น และมองไม่เห็น มีชาวบ้านบางคนเห็นว่าเป็นพระองค์เดียวมาอยู่ก็เอาปืนหมายมาขู่ ชักเข้าชักออกหวังจะให้กลัว เพราะถ้าหลวงปู่กลัว ก็จะได้ย้ายไปที่อื่น เขาก็จะได้นำที่ดินนี้มาใช้ประโยชน์เสียเอง แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้กลัว และไม่ได้สนใจด้วย ในที่สุดก็เลิกราไปเอง นอกจากนี้ ในบางครั้งก็ยังมีผู้ก่อการร้าย เข้ามากวน พากันมากินเหล้าในวัด มาข่มขู่ หวังจะให้กลัวเช่นกัน แต่หลวงปู่ก็ไม่กลัว นอกจากพวกคนเกเรเหล่านี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังต้องสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย เนื่องจากที่ดินบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เป็นที่มีอาถรรพ์แรง มีผีดุมาก ใครมาอยู่ก็ไม่ได้ แต่หลวงปู่มั่นใจว่าอยู่ได้เพราะหลวงปู่มีธรรมรักษา และมีมีดด้ามทองเล่มนั้นไว้ต่อสู้ ซึ่งก็สู้ได้จริงๆ จึงอยู่ได้สบาย..

 

น้อมกราบนมัสการบูชาพระคุณ องค์หลวงปู่พิศดู ครับผม

สาธุ ครับผม ขอบคุณพี่เอ็กซ์มาก ๆ ครับ ชอบอ่านมาก ๆ เลยครับ

 

ยันต์ลงเครื่อง (ติ ติ อุ นิ = หัวใจอริยสัจ)

ยันต์ที่ประทับหลังเหรียญพระมหาอุปคุตรุ่นแรก ของหลวงปู่พิศดู เรียกว่ายันต์ลงเครื่อง เป็นยันต์ที่หลวงปู่ได้กำหนดให้เอาไว้ด้านหลังเหรียญพระอุปคุตรุ่นนี้ โดยมีลูกศิษย์ได้เขียนยันต์ต่างๆมาให้หลวงปู่ท่านดู..
ซึ่งโดยความหมายแล้ว ในตอนแรกทางลูกศิษย์ก็ยังมิได้รู้ความเป็นมาของยันต์ตัวนี้เท่าไหร่ เพียงแต่ทราบว่าเป็นยันต์หนึ่งที่ใช้ลงเครื่องพิชัยสงคราม และพระเกจิรุ่นเก่าๆได้ใช้กันมานาน เชื่อว่าเป็นยันต์ที่มีคุณานุภาพสูงแบบครอบจักวาล
จนกระทั่งต่อมา ผมได้พบตำราเล่มหนึ่ง ที่มีระบุใจความตอนหนึ่งระบุเอาไว้ว่า..
อักขระขอมที่อยู่ในยันต์ในช่องกลมๆ 4 ตัว อ่านได้ว่า ติ ติ อุ นิ คือหัวใจอริยสัจ.. ซึ่งมาจากแผ่นโลหะ ที่ขุดพบในพระมหาสถูปเจดีย์ เป็นของโบราณสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แปลได้ความดังนี้..
(ติ) ได้แก่.. ติสะระณัง โลกะเสฏฐัง
(ติ) ได้แก่.. ติลักขะณัง ญาณะยุตตัง
(อุ) ได้แก่.. อุเบกขา อังคะภะวัง
(นิ) ได้แก่.. นิพพานัง สัพพะวิมุตตัง

จากข้อความดังกล่าวนี้ ก็พอทำให้ทราบว่า หัวใจอริยสัจ ที่อยู่ในยันต์นี้พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงจารึกเอาไว้ในแผ่นโลหะฝังไว้ในพระมหาสถูปเจดีย์ ที่แดนชมภูทวีป ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้ง ‪องค์พระมหาอุปคุตก็ดีและองค์หลวงปู่พิศดูก็ดีก็มีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอโศกมหาราช‬ ตั้งแต่ในยุคสมัยนั้นทั้งสิ้น ด้วยความหมายและความเป็นมาเหล่านี้ จึงไม่แปลกที่หลวงปู่ท่านจะเลือกให้เอายันต์นี้ประทับไว้ด้านหลังเหรียญพระมหาอุปคุตรุ่นแรกของท่าน
ซึ่งองค์หลวงปู่เอง ท่านจะมีความรอบรู้ รวมถึงญาณทัศนะที่มีความละเอียดสูง เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับท่านนะครับ เพียงแต่ท่านไม่ค่อยแสดง หรือไม่ค่อยบอกแก่ใครๆเท่านั้น ซึ่งใครใคร่รู้ต้องใช้สติ ปัญญา มาคิดพิจจารณาดู จึงอาจรู้ในความหมายอันแยบยลเหล่านั้นได้..

กราบ กราบ กราบ...ในพระปัญญาญาณ แห่งองค์หลวงปู่ครับ.. สาธุ

 

ท่านเจ้าของกระทู้ช่วงนี้เดินทางบ่อย ไม่มีเวลาเข้ามาเลยนะครับ รออ่านตอนต่อไปอยู่ครับ

 

อภิญญาภินิหาร ของหลวงปู่พิศดู

เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมได้โทรคุยกับลุงที่บริษัท เขาเล่าให้ฟังว่า ไม่นานมานี้ลุงได้ไปทำบุญที่วัดเทพพล ได้พบพระรูปหนึ่งอยู่ที่วิหาร ก็สนทนากับท่านไปสักพักใหญ่ พระรูปนั้นท่านก็เล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า
" เรื่องปาฏิหาริย์นี่มีจริงนะ อาตมาเคยเจอมากับตัวเอง ตอนไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านชื่อหลวงปู่พิศดู อยู่ที่จันทบุรี "
พระอาจารย์เจออะไรกับท่านครับ..???
" สมัยที่อาตมาไปอยู่กับหลวงปู่ท่าน 2 เดือน ช่วงเวลาเช้าๆ อาตมาเห็นท่านเดินเท้าไม่ติดพื้น ลักษณะเหมือนท่านลอยสูงจากพื้นขึ้นมา แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า อาตมาตาไม่ฝาดแน่ เพราะเห็นแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง.."
" หลวงปู่พิศดูท่านมีอภินิหารมากนัก อาตมาเจอประสบการณ์กับท่านหลายครั้งเลย.."

 

บอกตรงๆช่วงนี้งานผมมากจริงๆครับ ยิ่งใกล้วันหล่อพระทางวัดเทพธารทอง ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ด้วย แถมช่วงนี้เข้าไปอัพข้อมูลในกลุ่มเฟซบุ๊ค หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี ยิ่งไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาในพลังจิตเลยครับ.. จริงๆยังมีเรื่องจะเขียนอีกเยอะครับ แต่การเขียนบางครั้งก็ต้องใช้อารมณ์ที่พร้อมจะเขียนด้วย อิอิๆ
ถ้าผมผ่านช่วงยุ่งๆนี้ไปแล้ว ก็จะเข้ามาเขียนในพลังจิตเหมือนเดิมนะครับ

 

รบกวนหน่อยครับ พอดีพึ่งจะได้ดูกระทู้ของหลวงปู่ รู้สึกศรัทธาท่านมาก ได้พระมาเขาว่าจากคนรุ่นเก่า ผมก็ไม่แน่ใจรบกวนสอบถามความเห็นด้วยครับว่าดีหรือไม่

 

องค์2