สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    คุณธรรมระดับสูง ของหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร).
    1f48e.png คุณความดี ๑๐ ข้อนี้ ต้องปฏิบัติให้แก่กล้าถึงขั้นเป็นบารมี เป็นอุปบารมี ปรมัตถบารมี การปฏิบัติที่จะเข้าไปรู้ไปเห็นการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักร เป็นความทุกข์ ทุกข์อย่างไร เห็นแจ้งชัดแล้ว อะไรเป็นเหตุแห่งความทุกข์ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ก็เห็นแจ้งได้ ตรงนี้ ด้วยการที่ได้ทั้งเห็นและทั้งรู้ ไม่ใช่เดา ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เดา
    แม้การเจริญวิชชาที่ ๓ ชื่อว่า อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้อาสวะกิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตสันดาน แล้วตกตะกอนนอนเนื่องเป็นอนุสัยอยู่ในจิตสันดานนั้น ถ้าปฏิบัติถูกวิธี ผู้ที่ปฏิบัติถูกวิธีท่านหนึ่ง เป็นครูของหลวงป๋า คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า
    เมื่อได้ถึงธรรมกายแล้วมันพ้นจาก ละเอียดบริสุทธิ์จากทิพย์จักษุ จากสมันตจักษุ เข้าถึงพุทธจักษุ คือญาณรัตนของธรรมกาย ที่ช่วยให้เจริญวิชาที่ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ โอ้! สัตว์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักร มีอย่างนี้ๆๆๆ ไปนรก ไปสวรรค์ ไปเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มากต่อมาก หมู หมา กา ไก่ รอบตัวเรา ไปจากมนุษย์ทั้งนั้น แล้วเปรตก็มี สัตว์นรกก็มี และนรกก็มีหลาย ขุมใหญ่ ขุมเล็ก และที่ไอ้มันสุดโหดที่สุดก็คือโลกันตนรก อยู่นอกจักรวาล โน่น ไปอยู่ตามขอบระหว่างขอบจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทั่วแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ไม่มีประมาณ นั้นสำหรับเป็นที่เกิดเป็นที่อยู่ของพวกมิจฉาทิฏฐิ ทำผิดโดยความหลงผิด แล้วไม่รู้ตัวเองว่าผิด เพราะไม่รู้สภาวะธรรมและอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง
    มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องเหลือเชื่อ ว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นแจ้งอย่างไร ทรงเห็นแจ้งโลกหมด ทั่วแสนโกฏิจักรวาล อนันจักรวาล ไม่มีประมาณ เรียกว่าตรัสรู้พระอริยสัจธรรม ด้วยการเห็นว่าความทุกข์ของสัตว์โลกมีอย่างนี้จริง เห็นหมดเลย อะไรเป็นเหตุแห่งความทุกข์ต้องไปเกิดอย่างนั้น รู้-เห็น รวมไปถึงกิเลสเหตุแห่งทุกข์ที่ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน หมักหมมอยู่ในจิตสันดาน เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย เห็นนะ ถ้าในวิชชาธรรมกายบอกได้เลย เห็นอยู่ในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของทุกกาย สุดกายหยาบกายละเอียด ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม ที่นักปริยัติก็รู้ปริยัติ แต่ถ้าปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า เห็นได้เลย เห็นได้เลย แล้วกลายเป็นตัววิชชาไปเลยด้วย เหมือนมีกล้องไมโครสโคป เทเลสโคป คอยส่องดูเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ ชัดเจน
    ผู้ปฏิบัติ แม้ประสบผลสำเร็จเพียงแค่เศษธุลีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เข้าใจเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ผู้ไม่ปฏิบัติ ผู้ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีทาง ไม่มีทาง รู้เพียงหลักปริยัติ เหมือนรู้ตำราว่าเขาทำแกงโน่น ขนมนี่ ทำอย่างนั้นๆ แต่ไม่เคยทำเอง ก็ได้แต่รู้ ได้แต่พูดได้จ๋อยๆๆๆๆ แต่ทำไม่ได้ และก็ไม่ได้ทำ นี่มันอยู่ตรงนี้ นี่พูดในระดับผู้รู้ปริยัติ
    ผู้ปฏิบัติเนี่ย ที่พูดนี่แจ้งโลกหรือยัง ยัง แจ้งนิดเดียว เหมือนกับมีเทียนริบหรี่ โอ้!! ได้เห็นเท่านี้ โอโห!! มันอย่างนี้เชียวเหรอเนี่ย เศษธุลีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้เศษธุลีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และ/หรือระดับบูรพาจารย์ ก็ยังนึกว่าโอ้โหขนาดนี้เชียวหรอเนี่ย แล้วที่ท่านรู้อย่างนั้นน่ะมันแค่ไหน รู้ไปถึงทั่วทั้งจักรวาล ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ตลอด รู้ไปถึงพระนิพพาน อ้าว!! ไปเห็นสภาวะที่บรรลุคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมของพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าธรรมกาย
    #เพราะฉะนั้นในยุคนี้ อาตมากล้าพูดว่า ผู้ที่ศึกษาสัมมาปฏิบัติได้เข้าถึงคุณธรรม คือ ธรรมเป็นที่ประชุม ที่รวมของคุณธรรมพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้านั้น มีมากอยู่ มี และที่เข้าไปรู้ไปเห็นสภาวะธรรม และอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง ด้วยวิชชา มีวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ก็มี
    #แต่ที่แน่ๆ #หลวงพ่อวัดปากน้ำ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า ผู้ได้เข้าถึงได้รู้ได้เห็นเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ และได้เข้าถึงคุณธรรมที่นำไปสู่ความเจริญสันติสุขตลอดไป ถ้าอย่างนั้นจะมีผู้ถามว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วซิ ?? อย่าเพิ่งไปคิดตรงนี้ เพราะท่านไม่ได้พูด เราเป็นลูกศิษย์ก็แค่คาดคะเน แต่เท่าที่คาดคะเนจากที่ได้ยินได้ฟัง ได้พอมีประสบการณ์บ้าง ท่านยังเป็นผู้บำเพ็ญบารมีที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว เที่ยงต่อพระนิพพานแล้ว
    วิชชาช่วยให้เห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวะธรรมและอริยสัจธรรมตามความเป็นจริงของหลวงพ่อ ท่านเจริญขึ้นมาก พอที่จะแนะนำสั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ปฏิบัติเพื่อความเข้าถึงรู้เห็นและเป็นคุณธรรมนั้น และเจริญต่อไปให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ ท่านก็เข้าถึงสภาวะธรรมอันนี้ และกำลังบำเพ็ญต่อไป
    แม้การบำเพ็ญบารมี โดยฐานะความเป็นพระมหาโพธิสัตว์เจ้า ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนี่ ก็ยังมีหลายระดับ ก็เชื่อว่าหรือเข้าใจว่า คุณธรรมของหลวงพ่อท่านอยู่ในระดับสูง เพราะเราปฏิบัติได้เพียงเศษธุลีของท่าน ก็ยังเข้าใจธรรมะได้อย่างนี้ และเชื่อมั่นว่าไม่ผิดที่พูดไปเนี่ย
    นี่แหละ เรื่องราวทั้งหลาย ที่พวกเราต้องมาศึกษาสัมมาปฏิบัติด้วยความเพียร เพ่งเผากิเลส เพียรยังบุญกุศลให้เกิด เพียรเพ่งเผากิเลสให้หมดไปจากความเป็นอนุสัยอาสวะ และกิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด เพียรยังบุญกุศลให้เกิดขึ้นในจิตสันดาน เป็นบารมี เป็นอุปบารมี ปรมัตถบารมี ทั้ง ๑๐ ประการ ที่กล่าวมาแล้ว จากประสบการณ์ของการศึกษาสัมมาปฏิบัติอย่างนี้ ช่วยให้เราสามารถเห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวะธรรม และอริยสัจธรรมตามความเป็นจริงตามสมควรแก่ภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ เป็นเครื่องส่องทางชีวิตให้ดำเนินยิ่งขึ้นไป จนกว่าจะกำจัดกิเลสเหตุแห่งทุกข์ได้โดยหมดสิ้น โดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน จึงจะก้าวล่วงข้ามโคตรปุถุชน เข้าสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล ด้วยอาการอย่างนี้
    นี่แหละ ญาติโยมทั้งหลาย ที่ตั้งใจพูดมานี่ เป็นการทบทวนการศึกษาสัมมาปฏิบัติเบื้องต้น ว่าเราควรจะรู้อะไร นี้คือความรู้ที่เราควรจะรู้ นี้เป็นวิชาที่เราควรจะปฏิบัติเข้าถึงรู้เห็นและเป็น และเจริญขึ้นในจิตสันดานของเราก่อนแตกกายทำลายขันธ์ ผู้ประมาทช่วยอะไรไม่ได้ ตัวใครตัวมัน นี่แหละทั้งหมดที่อาตมาได้กล่าวมา และเป็นโครงสร้างของพระพุทธศาสนาทั้งหมดด้วย
    เมื่อทุกท่านเข้าใจดีแล้ว อาตมาภาพขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลประทานพร ให้ญาติโยมสาธุชนและผู้ฟังทุกท่าน จงเจริญรุ่งเรืองในพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกิจการงานโดยชอบ มีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากความทุกข์โศกโรคภัย สัพพะอันตรายและอุปัทวันตรายทั้งปวง จงถึงความเจริญสันติสุข สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ ถึงสวรรค์สมบัติ และพระนิพพานสมบัติ ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และเป็นบรมสุขอย่างถาวรตลอดไป ทุกท่านเทอญ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
    รับฟังธรรมะเต็มเรื่องได้ที่ลิ้งค์นี้
    https://youtu.be/UsGmDlNokFk
    ______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ______________
    ที่มาของธรรมะจาก
    https://youtu.be/UsGmDlNokFk
    ______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ.
    bz3L9UdKTX-6OjB7DMjFzVGJF8HohbUuMyIs93eOmkB&_nc_ohc=xD6IWZCLrVsAX8S0-lr&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
    =AZVl0IBKlEEOg4RErIZf7-GlSrMjHJ_0zVqXn4t8wz9XFHSVcWFL9eM1eZiPoRzJ6DQ4zkFxTmfYZN0vAsOotIej4aXAkDzQR-TlqmKucNr4XTWxv7HnDe-Sorjnbd8WhvV1IMhMQS9d7VBfLg0vd9sE1P45sf8_aWU4UJTKeoiJz4TUYYrsXAINX5N3af6HoLY&__tn__=*bH-R']
    =AZVl0IBKlEEOg4RErIZf7-GlSrMjHJ_0zVqXn4t8wz9XFHSVcWFL9eM1eZiPoRzJ6DQ4zkFxTmfYZN0vAsOotIej4aXAkDzQR-TlqmKucNr4XTWxv7HnDe-Sorjnbd8WhvV1IMhMQS9d7VBfLg0vd9sE1P45sf8_aWU4UJTKeoiJz4TUYYrsXAINX5N3af6HoLY&__tn__=*bH-R']

    W9E3M9APiGIhfZkNyFRaEjpFUvsfKOIUFIYvgQp4mUj&_nc_ohc=Rwbboo6e8ukAX85K5N3&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
    =AZVl0IBKlEEOg4RErIZf7-GlSrMjHJ_0zVqXn4t8wz9XFHSVcWFL9eM1eZiPoRzJ6DQ4zkFxTmfYZN0vAsOotIej4aXAkDzQR-TlqmKucNr4XTWxv7HnDe-Sorjnbd8WhvV1IMhMQS9d7VBfLg0vd9sE1P45sf8_aWU4UJTKeoiJz4TUYYrsXAINX5N3af6HoLY&__tn__=*bH-R']
    =AZVl0IBKlEEOg4RErIZf7-GlSrMjHJ_0zVqXn4t8wz9XFHSVcWFL9eM1eZiPoRzJ6DQ4zkFxTmfYZN0vAsOotIej4aXAkDzQR-TlqmKucNr4XTWxv7HnDe-Sorjnbd8WhvV1IMhMQS9d7VBfLg0vd9sE1P45sf8_aWU4UJTKeoiJz4TUYYrsXAINX5N3af6HoLY&__tn__=*bH-R']

    =AZVl0IBKlEEOg4RErIZf7-GlSrMjHJ_0zVqXn4t8wz9XFHSVcWFL9eM1eZiPoRzJ6DQ4zkFxTmfYZN0vAsOotIej4aXAkDzQR-TlqmKucNr4XTWxv7HnDe-Sorjnbd8WhvV1IMhMQS9d7VBfLg0vd9sE1P45sf8_aWU4UJTKeoiJz4TUYYrsXAINX5N3af6HoLY&__tn__=*bH-R'] JMkRMN7pgQyUxnDChsn_lkYS_wnxo2cO6Ss3q1hgCoV&_nc_ohc=VoYkNkDKZC4AX9fVxWK&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
    https://web.facebook.com/อมตวัชรวจีหลวงป๋า-482156758659043/
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ioell7HOCaX675Pf_JhxKaaK_WcbOcYA8-te78IM3gA&_nc_ohc=wydOKWMjz_sAX_tomNt&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    UgKUo_4THm23PHkPdl-KLTBqkFX2AwSyEY_d9fPQYdwv&_nc_ohc=9f2LcW0xBDoAX-tXQZG&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - สวรรค์สมบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ.
    27a1.png การบุญการกุศล ใช่ว่าสักแต่ทำ มันเป็นบุญ แต่เป็นบุญผสมบาป และจะนำไปสู่แนวทางนั้นนี่แหละ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงพาอธิษฐาน ขอให้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ บริบูรณ์ ด้วยทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล มีความหมายอย่างนี้นะ ไม่ใช่สักแต่พูดๆ มีเหตุที่มา อาตมาเข้าใจเรื่องนี้มานาน เห็นเหตุด้วย จึงได้มีคำอธิษฐานเอาไว้ ด้วยความสุขุมรอบคอบพอสมควร แต่ถ้าใครเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ก็แนะนำอาตมาบ้าง
    แต่ที่อาตมาพิจารณาแล้วดีที่สุด เป็นไปในแนวทางที่หลวงพ่อได้แนะนำไว้ คำพูดอาจจะไม่รวมกันเป็นอันเดียวกันทุกคำ แต่ว่าในเนื้อหาอันนี้นี่แหละก็เป็นอย่างนี้ เมื่อปฏิบัติไปแล้วมันเข้าอย่างนี้ ทีนี้จุดหนึ่งที่สำคัญที่สุด อาตมาจะยกให้ฟัง ๒ จุด
    จุดหนึ่งที่อาตมามาพูด เดี๋ยวโยมจะนึกว่าสวรรค์สมบัติ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เป็นยักษ์เป็นมารก็มี ยักษ์มีกุมภัณฑ์เป็นต้น บรรดาระดับชั้นจาตุมหาราชิกา ก็ใกล้ๆมนุษย์เรา เพียงแต่ว่ากายเขาใสกว่าเท่านั้น แม้กระทั่งที่สุดถึงชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตดี ชั้นนี้เป็นที่สูงสุดของเทวโลก เทพยดาชั้นนี้ต้องการอะไร ปรารถนาอะไร มีบริวารเนรมิตให้เสร็จ สบายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    ท่านอ่านพุทธประวัติคงจำได้ ท้าววสวัตดีมารในสมัยพุทธกาล จอมเทพชั้นนี้ละนะ ท่านลองนึกดูว่า ท่านจะแค่ไหน แต่ว่าหลังจากพุทธกาลมาประมาณร้อยปี พระเจ้าอโศกธรรมาโศกราช หรือพระเจ้าธรรมาอโศกราชนี่แหละ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างสถูปเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น สิ้นทรัพย์มากมาย แต่ว่าไม่สำเร็จ สถูปใหญ่ก็ไม่เสร็จ เพราะท้าววสวัตดีมารตามผจญอยู่พร้อมทั้งบริวาร
    ที่นี้ พระอุปคุต ซึ่งมีจริงนะ จำพรรษาอยู่ใต้สะดือทะเล สะดือทะเลอย่าไปควานหา ในทะเลนี้นะหาไม่เจอหรอก อันนั้นเป็นมหาสมุทรซึ่งเป็นอายตนะละเอียดนั่นแหละ ได้มาทรมานท้าววสวัตดีมาร ทรมานกันจนแพ้ ว่าอย่างนั้นเถอะ เมื่อยอมแล้วจึงกลับเป็นสัมมาทิฏฐิ ปรารถนาพุทธภูมิ อธิษฐานบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นี่แหละ ท้าววสวัตดีองค์ปัจจุบันแหละ
    เพราะฉะนั้น สวรรค์สมบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี ให้เข้าใจไว้ จากสูงสุด จนต่ำสุด มีทุกชั้น แต่ชั้นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิน้อย มีสัมมาทิฏฐิมาก หรือจะว่าที่สุดก็คือ ชั้นดุสิตเทวโลก ซึ่งเป็นชั้นของผู้บำเพ็ญบารมี.
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มา
    ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    QgxBCugIh6tmZsYIVjcq1mwiaLKxTh2yYMMN-1OyrxHE&_nc_ohc=EpigQfGoTZ8AX_eDc3C&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    #ข้อควรพิจารณา ๑๐ ประการเพื่อสุขภาพจิตที่ดี-๘๑

    ๕. #พิจารณาเพื่อละวิตก ๓ (ปหานสัญญา) - ๒๘

    ๓. #การพิจารณาเพื่อละความตรึกในการเบียดเบียน (วิหิงสาวิตก) -๘

    #คุณของความไม่เบียดเบียน-๖

    เพราะฉะนั้น คนแม้จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพราะกลัวเขาจะเบียดเบียนตอบเอา หรือกลัวกฎหมาย แต่มนุษย์ก็ยังเบียดเบียนตัวเองกันอยู่ไม่เว้นวัน ด้วยความวิตกกังวล ด้วยความหมกมุ่นในสิ่งที่ให้โทษแก่ร่างกายและจิตใจ โดยโลภะ โทสะ โมหะ ริษยา พยาบาท ซึ่งเป็นไฟที่มาเผาลนจิตใจของตัวเองทั้งนั้น

    ถ้าไม่เบียดเบียนตนเองโดยประการทั้งปวงก็เย็น แปลว่าดึงไฟออกไปได้หมดจากตัว ก็เย็น เย็นนั่นแหละคือนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น เย็นกายเย็นใจ สงบเย็นนั่นแหละคือนิพพาน อหิงสาก็มีความหมายไปถึงนิพพานก็ได้ เพราะว่า อหึสา ปรมา ธมฺโม อหิงสาเป็นบรมธรรม

    พระพุทธเจ้านี่แหละทรงยกธงอหิงสาให้โบกสะบัดไปทั่วภารตประเทศ ธงแห่งอหิงสธรรมได้โบกสะบัดไปทั่วประเทศแทนยัญญกรรม การบูชายัญแทนหิงสกรรมแทนการเบียดเบียน แพะ แกะ เป็ด ไก่ ถูกนำไปบูชายัญ สัตว์เล็กสัตว์น้อยถูกเชือดเฉือน ถูกแทงคอ เพื่อบูชายัญ ท่านก็ยกธงอหิงสาขึ้นมาประกาศว่าธรรมที่แท้จริงคือการไม่เบียดเบียน ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ความไม่เบียดเบียนเป็นสุขในโลก

    ทรรศนะของท่านมหาตมะคานธีข้อต่อไปกล่าวว่า "ความทุกข์ยากของประชาชนนั้น จะแก้ด้วยการชี้แจงเหตุผล ยังไม่เป็นการเพียงพอ แต่ต้องแก้ไขด้วยการอาสาเข้ารับความทุกข์ยากด้วยตนเอง เป็นกฎอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่จะต้องยอมทนทุกข์เพื่อปลดเปลื้องมนุษย์จากปัญหาต่าง ๆ "

    เราเพียงแต่ชี้แจงเหตุผลคือเพียงแต่พูด มันไม่เพียงพอ มันต้องลงไปจริง ๆ ต้องอาสาเข้าไปรับความทุกข์ด้วยตนเอง กล้าพอที่จะลงไปทุกข์ด้วยตนเอง ถ้าเราเห็นใครเขาจมอยู่ในโคลน เพียงแต่เราบอกให้เขาขึ้นมา บางทีโคลนมันดูดเอาไว้ เขาไม่สามารถช่วยตัวเองให้ขึ้นมาได้ บางทีผู้ที่จะช่วยก็ต้องลงไปในโคลนด้วย หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องก้าวลงไปสักก้าวหนึ่ง เพื่อจะดึงเขาขึ้นมา

    หรือช่วยคนตกน้ำ ถ้าเขาว่ายน้ำเป็นก็ไม่เป็นไร เขาก็ว่ายขึ้นมาเองได้ แต่ถ้าเขาว่ายไม่เป็น ป๋อมแป๋ม ๆ อยู่ คนช่วยอยู่ข้างบนบอกว่าขึ้นมา ๆ มันก็ขึ้นไม่ได้ คนที่จะช่วยมันก็ต้องกระโดดลงไปในน้ำ เอาตัวขึ้นมา คนที่จะช่วยนั้นต้องว่ายน้ำเป็น เป็นคนที่แข็งแรงพอที่จะลงไปในน้ำแล้วดึงเขาขึ้นมา หรือลากเขาขึ้นมาก็ได้

    ในการช่วยคนบางคนเราก็ต้องลงไปอยู่ในสถานะเดียวกับเขา จึงจะช่วยเขาได้ ไม่งั้นก็ช่วยเขาไม่ได้ นี้ก็เป็นน้ำใจของคนเสียสละ ท่านมหาตมะ คานธี ท่านลงไปจริง ๆ ลงไปอยู่กับคนลำบากยากจนจริง ๆ เช่น ว่าบางทีก็ไปช่วยเขาสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างกระต๊อบ คนทั้งหลายก็วิจารณ์ว่า ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องไปทำงานเล็กงานน้อยอย่างนั้น แต่นี่ก็เป็นวิสัยของท่านผู้เช่นนี้


    ...

    #เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
    #เพจอาจารย์วศิน อินทสะ
    #อาจารย์วศิน อินทสระ

    ภาพ : Buddhism For World Peace And Humanity


    3S3IL_Osd7F7jHHhrCdAtrebxioc6eJPn2IJ3CMvWDt&_nc_ohc=Dyf-ddQsdr0AX-lV6WE&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวถึงบารมีธรรมของหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    - จากเรื่องพระอรหันต์มาโปรด
    เมื่อหลวงปู่ปาน (วัดบางนมโค) ส่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำไปเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงปู่วัดปากน้ำ.
    1f48e.png ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ที่บอกวันไว้เพื่อกันหลง เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ ขอให้นามว่า "พระอรหันต์มาโปรด" ความจริงคำว่า "พระอรหันต์" บรรดาท่านพุทธบริษัท คงไม่ใช่พระอรหันต์แท้ แต่ทว่าตัวของท่านเองมีความเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จึงให้ศัพท์ตามนี้ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาให้ทราบ
    สำหรับวันที่ที่เกิดจำไม่ได้แน่นอนบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเวลานี้อาการทางร่างกายไม่ดีมาก มันป่วยหนัก มีการทรุดโทรมลงไปทุกวัน เพลียทุกวัน ก็มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้คงจะทนไม่ไหว เข้าใจว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนัก
    เมื่อประมาณวันที่ ๔ หรือวันที่ ๕ อาจจะไม่ตรง เพราะจำไม่ได้ เวลาลงไปรับแขก เวลาบ่ายโมงเศษ ๆ เมื่อลงไปถึง ก็มีญาติโยมพุทธบริษัทคอยอยู่ประมาณ ๑๐ คนแล้ว ที่เก้าอี้พระนั่ง ก็มีพระอยู่องค์หนึ่ง ขอเรียกว่า“พระ” จะเป็นพระประเภทไหนนั้นไม่ทราบ รูปร่างท้วมๆ เรียกว่าเนื้อเต็ม ไม่ถึงกับอ้วนพลุ้ยมากนัก ผิวคล้ำ ห่มจีวรคล้ำ
    พอมองดูปั๊บ ก็ทราบทางด้านจิตใจ เห็นใจของเธอมีสีดำมาก มันดำสนิท แล้วก็มีสีแดงแทรก หน้าของเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส พิจารณาอีกนิด ใช้เวลาอีกครึ่งวินาทีก็ทราบว่า เธอมาร่วมกับมานะ คือความถือตัวถือตน เพราะลักษณะใจสีแดง บอกถึงความยินดีในความรู้สึกของตัวเอง มีความยินดีในความรู้คิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์
    แล้วก็ต่อไปอีกนิดใช้เวลาอีกเสี้ยววินาที ก็ทราบว่าการมาของเธอวันนี้ไม่ได้มาด้วยศรัทธา ไม่ได้มาด้วยการเลื่อมใส ไม่มีธุระ ต้องการจะมาอวด คือว่าแสดงการทะนงว่าฉันคือพระอรหันต์ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    ธรรมดาของเรื่องคือว่า การรับแขกนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่ละวันก็มักจะมีบรรดาท่านพุทธบริษัทมีกำลังใจต่างกัน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของโลกมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแบบนี้
    ต่อมาหลังจากนั้น เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายคนถามปัญหาต่างๆตามความข้องใจ เมื่อตอบแล้วตามความสามารถในการตอบ ก็ไม่แน่นอนนักว่าจะตอบถูกเสมอไป และเมื่อว่าง พระองค์นั้นก็เข้ามากราบ ลักษณะอาการกราบของเธอดูแล้วประกอบไปด้วยความทะนง สายตาของเธอมองกร้าว ความจริงลักษณะอย่างนี้ อาจจะเป็นลักษณะปกติของเธอก็เป็นได้ เมื่อเธอกราบเสร็จตามความรู้สึกก็คิดว่าพระองค์นี้มาในฐานะศัตรู
    แต่ทว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาย่อมไม่ถือว่าใครเป็นศัตรู ใช้เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นพื้นฐาน อาการอย่างนี้เคยอดทนมาได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้จะอดทนได้ไหม
    เธอบอกว่า เธอจะถามปัญหาสัก ๒ ข้อ ก็บอกให้เธอถามได้
    เธอถามข้อแรกว่า ท่านที่บรรลุสุกขวิปัสสโกแล้ว จะบำเพ็ญเพียรต่อไปเป็นอภิญญาสมาบัติได้ไหม
    ก็ตอบเธอว่า ตามปกติท่านที่ได้แล้ว ท่านไม่ทำต่อกัน เพราะว่าพระอรหันต์เป็นพระสิ้นตัณหา การจะทำต่อก็เป็นการมีความอยาก เป็นอารมณ์ของตัณหา
    ถ้าจะถามว่า มุ่งดี คือต้องการเจริญอภิญญาสมาบัติ เป็นสมาธิขั้นสูง ทำไมจึงเรียกว่า ตัณหา ก็ต้องขอตอบให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า การที่เป็นพระอรหันต์แล้ว กับการทรงอภิญญา มีผลต่างกัน อรหันต์มีผลสูงกว่าอภิญญามาก อภิญญานั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือในการตัดกิเลส ในเมื่อพระอรหันต์ท่านตัดกิเลสเรียบร้อยแล้ว ต้องมาซื้อเครื่องมือทำไมกัน ต้องหาเครื่องมือทำไมกัน ก็เรียกว่าหลบอารมณ์ลงต่ำ ทำอารมณ์ต่ำลงมา คืออยากดีอยากเด่น
    แต่ความจริงไม่ได้ตอบเธอขนาดนี้ ตอบเธอแต่เพียงว่า ในเมื่อท่านได้กันแล้ว โดยมากไม่มีใครทำต่อ
    แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า "นิวรณ์"เกิดจากอะไร
    อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราจะตอบว่า นิวรณ์เกิดจากอวิชชา เธอจะหาว่าเล่นลิ้น เพราะคำว่า"อวิชชา"นี้ เป็นศัพท์ยกยอดของความโง่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้น มาจากอวิชชาทั้งหมด อวิชชาเป็นแม่บาทใหญ่
    ก็ตอบเธอว่า นิวรณ์มันเกิดมาพร้อมกับการเกิดของคน เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเป็นเครื่องเสี้ยมสอน
    เธอฟังแล้ว ก็รู้สึกว่า ทั้ง ๒ อย่างนี้ เธอไม่พอใจ แล้วเธอก็กราบๆ คำว่ากราบของเธอ ไม่ได้มีความเคารพ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เบาใจคิดว่าเธอถามเท่านี้ก็ดีแล้ว แล้วเธอก็ลุกกลับไป เห็นเธอสะพายบาตร ก็นึกในใจว่าเอ…เวลาบ่าย ๒ โมงนี้ เธอจะไปบิณฑบาตที่ไหน
    แล้วต่อมาบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อเธอหายลับกลับไปแล้ว ก็ปรากฏว่าวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒ ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๑ แสดงว่าเธอลง พ.ศ.ผิด บรรดาท่านพุทธบริษัท ลายมือของเธอเป็นคนเขียนหนังสือเก่ง แต่บางตัวก็หวัด อ่านไม่ออก แต่ว่าการลงพ.ศ.ผิด ในเมื่อแสดงตัวเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็ต้องคิด
    ถ้าหากว่าเขียนธรรมดาๆ ลงพ.ศ.ผิด อันนี้ไม่เป็นไร การจะยืนยันความเป็นพระอรหันต์แล้วลงพ.ศ.ผิด อันนี้ก็แสดงออกว่าความจริงเธอไม่ใช่พระอรหันต์ ใจของเธอดำตามปกติ คือนิวรณ์ ใจดำนี่เป็นโมหะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าดำสนิทมันเป็นอวิชชา ถ้าสีแดงเป็นความยินดีถึงความดีที่มีอยู่ ทีนี้ดำมากแล้วมีสีแดงอยู่จุดหนึ่ง แสดงว่าเธอยินดีในความรู้ที่เธอได้แล้วตามข้อความของจดหมาย เธอเขียนอย่างนี้ เธอเขียนว่า
    สายเหนือ (นี่คงจะแบ่งเป็นสายๆนะ การประกาศศาสนาของคณะนี้คงจะแบ่งออกเป็นสาย) เธอเขียนว่า
    สายเหนือ
    ๕ มกราคม ๒๕๓๑ (แต่ความจริง พ.ศ. ๒๕๓๒)
    ถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือ สุปปพุทธ ผู้เป็นโรคเรื้อนในอดีตกลับมาเกิดแล้ว บวชในพุทธศาสนาแล้วปี ๓๐ และได้ตรัสรู้ตามพุทธองค์แล้ว (ฟังให้ดีนะ ทีนี้จะไม่พูดขัดจังหวะ) จดหมายมาบอกท่าน จงอย่าสอนนิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เลอะเทอะจนเกินไป เราขึ้นมาพบท่าน ถามปัญหาท่าน ๒ ข้อ
    ๑. วิปัสสนาล้วนสำเร็จแล้ว ต่ออภิญญาได้หรือไม่
    ๒. นิวรณ์ ๕ มีมาได้อย่างไร
    เพื่อดูว่าท่านจะได้นิพพานแล้วหรือยัง สุดท้ายท่านตอบโง่ๆ ว่ามีมาตั้งแต่กำเนิด หากไม่มีนิวรณ์ก็ไม่มีการเกิดในวัฏฏะ ผมจะขอบอกให้ว่าตัวนิวรณ์ ๕ ประการ เป็นตัวสังขารที่ ๒ ในหลักปฏิจจสมุปบาท เหตุที่เกิดนิวรณ์ ๕ เพราะมีอวิชชาเป็นพื้นฐาน เพราะมีอวิชชาเป็นตัวนำ
    ท่านสอนคนไปนิพพาน แต่ตัวท่านยังไม่ถึงนิพพานเลย ท่านมีแต่จะเอาลาภสักการะผู้อื่นเขา หน้าด้าน ที่ไม่อยากจะฉีกหน้าท่านที่ท่านรับแขกนั้น ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่าน ท่านตายไปเข้าแน่อบายภูมิ ท่านไม่ต้องบอกพระภิกษุหรือคนอื่นไปหรอก ท่านตีเสมอพระพุทธองค์
    สุดท้ายนี้ อย่าหนักเรื่องนิพพาน
    พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม
    (นามสกุลนี่อ่านไม่ชัดนะ)
    สำนักวัดคลองเตยใน
    อย่าลืมนะ ท่านเขียนตอนท้ายว่า พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม นามสกุลนี่ไม่แน่นอน สำนักวัดคลองเตยใน แต่ชื่อข้างบนของท่านบอกว่า ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือว่า สุปปพุทธ ความจริงสุปปพุทธนี้น่าจะต่อท้าย มันต้องต่อว่า สุปปพุทธกุฏฐิ สุปปพุทธผู้เป็นโรคเรื้อน แต่ความจริงจดหมายนี้อาตมาก็ไม่วิจารณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นจดหมายที่บอกชัดว่าท่านเองเก่งปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าเก่งไม่จริง ถ้าจะใช้คำว่าอวิชชามันก็ครอบโลกก็ปล่อยท่านไปเถิด เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปสนใจเลยนะ ทุกคนฟังแล้วอย่าโกรธ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    ทีนี้เรื่องในพระพุทธศาสนา ขอบอกว่าหน้านี้นะ คาสเซทตอนนี้หรือหนังสือตอนนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ใช่นิทาน หรือไม่ใช่นิมิต เรื่องนิพพานนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปก็คุยกันเรื่องเล็กๆน้อยๆ
    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อนในกาลก่อน ใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญเขาว่าอย่างนั้น ต่อมาหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่าเรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหาหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว
    ต่อมาวันหนึ่ง ประมาณเวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุย ชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้นท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือพระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน
    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้เขาเรียกว่าพระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาส จะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองก็เป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ
    อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้มๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนี้ฉันขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่ารู้หมดในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด) ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวนี้ริบหรี่ลง จะค่อยๆหรี่ลงจนกระทั่งมองไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ละๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว
    ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่าต่อนี้ไปดาวจะเริ่มค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น
    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจ ว่าความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่างๆที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดี หรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง
    ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่านิพพานไม่สูญแน่
    ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพานเขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้วตามพื้นฐานต่างๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ ทำอารมณ์แบบนี้ ตั้งจิตแบบนี้ ทำตามท่านทุกอย่าง
    เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมดเป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่าง ที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก
    รวมความเวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตดำทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่การแพรวพราวของจิตไม่มี การใสเป็นแก้วน่ะ เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะว่าอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไปทุกๆองค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุดจงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑.เช้ามืด และประการที่ ๒.ก่อนหลับ หลังจากนี้ไปเธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ
    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับมาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือ ก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรพ่อนักปราชญ์ทั้งหลาย เจอนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่าหลวงพ่อทราบหรือครับ บอกเออ ข้าไม่ทราบหรอกวะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม
    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละเป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้ ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม
    ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีก็พูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่างๆก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด
    ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรี่ยกัน
    บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์
    และอีกประการหนึ่ง ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวันๆมันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบ คงไม่นานนัก
    มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่าติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่าอาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่าวิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือนๆกันเลยนะ ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้
    แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแค่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา แล้วเอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน
    ต่อมา เขาเข้ามาใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตร ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะเบ่ง คงจะเบ่งเหมือนๆกัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า จึงให้คณะศิษย์ของเขาแห่ห้อมล้อมเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลายๆอย่าง
    พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง แต่การตอบแบบนี้ เวลาเหลือน้อย ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหนเป็นอย่างไร
    ต่อมา องค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง
    เขาก็บอกว่าความรู้ของเขามาก เกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย
    สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร
    เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน
    เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เขากรีด เขาก็บอกได้เลยว่าคนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ
    ต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อนๆยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้เลย กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้จักคำว่านิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไป
    องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ และประการที่ ๒ ต้องเอาเหล็กพืดออกก่อน ความรู้ของเธอยังไม่มาก อย่างไรๆก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมาก เป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริง อย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้งๆที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพานแล้ว แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ตอนนี้ก็ต้องขอลากันก่อน แต่ก่อนจะลา รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่นิมิต
    ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร จงมีความสุขจากธรรม ๔ ประการ คือ
    ๑. ทานการให้ เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๒. ปิยวาจา พูดดี เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๓. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๔. การไม่ถือตัวถือตน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้จวนจะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระราชพรหมยาน
    หลวงพ่อวีระ ถาวโร
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    อ.เมือง
    จ.อุทัยธานี
    _______________
    ที่มาของธรรมะจาก
    เสียงธรรมเทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่องพระอรหันต์มาโปรด
    https://youtu.be/LMWjeilRRRs
    หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 6
    โดย ส.สังข์สุวรรณ
    เรื่องพระอรหันต์มาโปรด
    ________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    hL0D110ns-nGKFkZKixbZYC4r0htrrqHh5orSTH8LNL&_nc_ohc=ztqF3jjlWZsAX9gddIk&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - ธรรมชาติสองฝ่าย คือ บุญ-บาป ต่อสู้กันอยู่ในจิตสันดานของสัตว์โลกมายาวนาน โดยที่เราไม่รู้ตัว.
    1f64f.png อยากจะกล่าวถึงคุณของการศึกษาสัมมาปฏิบัติ ตามแนวสติปัฏฐาน 4 ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า ตามที่แนะนำสั่งสอนมา ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านปฏิบัติได้ผลดี คือตามแนวสติปัฏฐาน 4 ด้วยการมีสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือนิวรณ์ 5 แล้วก็เจริญสมถภาวนา อบรมจิตให้สงบ ให้ตั้งมั่น แล้วก็ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา นำให้เข้าถึงธรรมในธรรมต่อๆไป คือคุณธรรมของตนเองที่ได้ประพฤติสั่งสมอบรมมา ตั้งแต่ในระดับมนุษยธรรม ถึงเทวธรรม ถึงพรหมธรรม
    เมื่อใจหยุดนิ่ง ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา มีผลให้บุญกุศลที่เราประกอบบำเพ็ญมา มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น ที่เจริญแก่กล้าขึ้นเป็นลำดับเป็นบารมี เป็นคุณความดีอย่างยิ่งยวด เป็นทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ตามลำดับขึ้นมาของแต่ละคนที่ตั้งใจศึกษาสัมมาปฏิบัติอบรมสั่งสมมา เป็นคุณเครื่องชำระกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่เกิดขึ้นในจิตสันดานของเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม คือธรรม ธรรมชาติที่เป็นเหตุผลของกันและกันเกิดขึ้น แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป แล้วก็ดับไปอยู่เสมอ
    ในฝ่ายบาปอกุศล ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ดังกล่าว ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมันนั้น มีผลให้กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งฝ่ายรูปธรรม ฝ่ายนามธรรม จากสุดหยาบของกายมนุษย์-ไปสุดละเอียด สุดละเอียดในส่วนบาปอกุศล กายในกายก็เป็นทุคติ เวทนาในเวทนาก็เป็นทุกขเวทนา จิตในจิตก็เศร้าหมองขุ่นมัว ธรรมในธรรมก็เป็นอกุศลธรรม ทับทวีมาตั้ง ตราบใดที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักรทุกขณะจิต นั่นแหละ สะสมหมักหมมอยู่ในจิตสันดานเป็นอาสวะ ที่หุ้มซ้อนเอิบอาบซึมซาบปนเป็นอยู่ในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ เป็นกายทุคติ เป็นเวทนาที่เป็นทุกขเวทนา เป็นจิตที่เศร้าหมอง ธรรมในธรรมที่เป็นบาปอกุศล หรืออกุสลาธัมมา สะสมตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานเพราะได้ปฏิบัติมามาก นั้นแหละ หุ้มเคลือบเอิบอาบซึมซาบปนเป็นอยู่ในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้อย่างหนาแน่น เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย
    แต่เมื่อไหร่ ที่ใจเรานั้นยอมรับบุญกุศลคุณความดี นับตั้งแต่รู้จักรับฟัง รู้จักศึกษา รู้จักทำความเข้าใจ ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ตั้งแต่ระดับหยาบๆ กลางๆ ละเอียด แล้วก็ได้เรียนรู้ธรรมะฝ่ายดีฝ่ายบุญกุศล เป็นคุณเครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส กลายเป็นบุญกุศล คุณธรรมในฝ่ายบุญกุศลเรียกว่ากุสลาธัมมาเนี่ย ก็ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมัน ตัวเรานี่แหละ ประพฤติปฏิบัติมาทุกขณะจิตเท่าที่เราปลอดจากฝ่ายบาปอกุศล เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี ฝ่ายบาปอกุศลมีขึ้น ฝ่ายบุญกุศลก็ชิดซ้ายหายไป แต่พอฝ่ายบุญกุศลเกิดขึ้น เหมือนกับนั่งบนเก้าอี้ดนตรี ฝ่ายบาปอกุศลก็หนีหน้าไป
    ที่นี้ ฝ่ายบุญกุศลยิ่งมีกำลังแรงมาก ก็เป็นคุณเครื่องชำระฝ่ายบาปอกุศล นี่แหละ ธรรมชาติสองฝ่ายนี้ต่อสู้กันมาโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่เมื่อเราศึกษาสัมมาปฏิบัติแล้วเราก็มารู้ว่า ฝ่ายบาปอกุศลนี่เขาพยายามยึดพื้นที่ เหมือนกับเล่นเก้าอี้ดนตรีนั่นแหละ ฝ่ายบุญกุศลก็เป็นคุณความดี ก็พยายามยึดพื้นที่เหมือนกัน แต่ว่าจิตใจของสัตว์โลกมักจะเป็นไปตามอำนาจฝ่ายต่ำ
    นี่..เพราะอะไร ??
    เพราะกิเลสอวิชชา ความไม่มีวิชชาให้เห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวะธรรมและอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง หลงคิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ประพฤติผิดๆ เข้าใจผิดๆ ไอ้เข้าใจผิดๆนี่แหละเรื่องใหญ่เลย นำไปสู่ความเห็นผิดโดยไม่รู้ตัว ก็ปฏิบัติไปตามอำนาจของฝ่ายบาปอกุศล
    แต่ถ้าฝ่ายบุญกุศลดลจิตดลใจให้ตั้งใจศึกษาทำความเข้าใจว่าอย่างนี้เป็นทุกข์ อย่างนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ รู้จักตัวกิเลสให้ชัดเจนขึ้น มากขึ้น ละเอียดขึ้น เพราะกิเลสหยาบมันก็เกิดจากกิเลสกลาง กิเลสกลางก็เกิดจากกิเลสละเอียด จนถึงประพฤติผิดศีลผิดธรรม นี่กิเลสหยาบ
    เมื่อสติปัญญามันเกิดขึ้น รู้บาปบุญคุณโทษพอสมควร ก็เลิกละ ไม่รับฝ่ายกิเลสหยาบ ประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีล เบญจศีลเป็นอย่างน้อย ศีล 5 แล้วก็เบญจธรรม ความประพฤติปฏิบัติคุณธรรมของคนดี 5 อย่าง ตรงกันข้ามกัน เป็นต้นว่า เลิกละการเบียดเบียนถึงขนาดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติต่อกันด้วยจิตเมตตากรุณา นี่มาแล้วฝ่ายดี รู้เป็นบาปอกุศล เลิกละการลัก-ฉ้อ-กบฏ-คด-โกง ประกอบอาชีพทุจริต ไปจนถึงกิเลสหนาแน่นเห็นแก่ตัวจัด เห็นแก่ความคิดเห็นของตนเองจัด ไม่ฟังความเห็นของใครๆ ก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัวจัดโดยไม่รู้ตัว นำไปสู่การประกอบอาชีพทุจริต การกบฏ-คด-โกง แต่เมื่อฝ่ายบุญกุศลเข้ามาทำหน้าที่แทน จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสจากความตระหนี่ถี่เหนียว จากความเห็นแก่ตัว จากความเห็นแก่ทิฏฐิความเห็นของตัว ทำใจให้กว้าง รู้จักแผ่เมตตากรุณาธรรมต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน ทำความเข้าใจกัน รู้จักให้อภัยให้แก่กัน นี่ฝ่ายเบญจศีล ก็เลิกละอทินนาทาน ฝ่ายเบญจธรรมก็เมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจกัน เผื่อแผ่กัน ยกเว้นยกโทษให้แก่กัน ไม่ถือโทษโกรธกัน เป็นอภัยทาน แล้วก็ข้อที่ 3 เลิกละความประพฤติผิดในกาม หมกมุ่นในกาม สําส่อนในกาม มาคิดรู้ดีรู้ชั่ว เลิกละฝ่ายบาปอกุศล ประพฤติปฏิบัติสันโดษอยู่ในคู่ครองของตน มีความสำรวมในกาม นี่เลิกละกายทุจริต ปฏิบัติอยู่ในกายสุจริต มาแล้ว ตัวเองก็ปฏิบัติ แนะ-นำ-ชักนำ-คนอื่น สั่งสอนคนอื่น ให้ปฏิบัติ ยินดีที่ผู้อื่นปฏิบัติ และสรรเสริญผู้อื่นที่ปฏิบัติได้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเห็นใครปฏิบัติดีก็ไม่รู้จักสักที ไม่ใช่ ต้องให้รู้คุณค่าของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ใจเรา ดังนี้เป็นต้น
    ละวจีทุจริต ด้วยความเห็นโทษ ใจเขาก็ใจเรา วจีทุจริต กล่าวคำหยาบ ด่าทอ ให้ร้ายป้ายสี กล่าวคำโกหกมดเท็จ หลอกลวงผู้อื่น กล่าวคำยุแยกให้เขาแตกสามัคคีกัน กล่าวคำเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ เลิกละ มาปฏิบัติอยู่ในวจีสุจริต กล่าวแต่คำจริง มีความจริงใจต่อกัน กล่าววาจาสุภาพอ่อนโยน กล่าวคำประสานไมตรี พูดแต่คำพูดที่ดีๆมีคุณประโยชน์เป็นสุภาษิต เป็นข้อปฏิบัติที่ดี ไม่ว่าเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับอาชีพที่สุจริต คำแนะนำในความประพฤติปฏิบัติที่ดีนำไปสู่ความเจริญสันติสุขและถึงความพ้นทุกข์ นี่ ปฏิบัติเองด้วย ชักนำให้ผู้อื่นปฏิบัติด้วย ยินดีที่ผู้อื่นปฏิบัติด้วย สรรเสริญที่ผู้อื่นปฏิบัติได้อย่างนี้ด้วย นี่กล่าวทางส่วนวจีสุจริต นี้ครอบคลุมไปถึงศีล 5 ศีล 5 น่ะเป็นส่วนย่อ กล่าวกายสุจริต วจีสุจริต เป็นส่วนขยายรายละเอียด แล้วเป็นไปด้วยอะไรล่ะ?
    เลิกละมโนทุจริต อะไรล่ะมโนทุจริต เจตนาความคิดอ่านที่เป็นไปด้วยกับกิเลส โลภจัด ตัณหาราคะจัด เห็นแก่ตัวจัด เลิกละซะ ให้มันเบาลงไป ให้มีใจเผื่อแผ่กว้างขวาง รู้จักเสียสละสิ่งของเพื่อความเจริญสันติสุขของผู้อื่น ด้วยการให้ มีอามิสทานเป็นทรัพย์สิ่งของ แบ่งปันกันกินแบ่งปันกันใช้ แล้วสูงขึ้นไปถึงแนะนำข้อปฏิบัติที่ดีที่มีศีลมีธรรม สูงขึ้นไปถึงอภัยให้แก่กัน ไม่ถือโทษโกรธกัน ไม่ยึดถือเอาแต่ว่าเป็นโทษเรื่อยไป รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นี่ข้อหนึ่งล่ะ ข้อที่สอง เลิกละความโกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวรต่างๆ ด้วยอภัยให้แก่ผู้อื่น ประการที่สาม เลิกละความหลงผิด ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามความเป็นจริง ส่วนมาก บางคนก็ไม่รู้นะ มากต่อมากที่มักจะแสดงความเห็นว่าตนเองนี่รู้แล้ว ก็ยอมรับว่ารู้อยู่ แต่ส่วนเดียว มันมีส่วนที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นไปอีกมาก ถ้าว่าเมื่อไหร่หมดความหลงตัวเองเมื่อไหร่ เข้าข่าย สู่ความเป็นอริยบุคคล คือทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส รู้เห็นความดีความชั่วตามความเป็นจริง บาปบุญคุณโทษตามความเป็นจริง จากหยาบ กลาง ละเอียด ที่มีมาก เรียกว่ากิเลสร้อยห้า ความจริงไม่ใช่ร้อยห้าหรอก กิเลสหมื่นแสนห้า ตัณหาหมื่นแสนอย่าง มากมาย อย่าไปนึกว่าเรารู้หมดแล้ว ไม่จริง ถ้ารู้หมดแล้วก็เป็นพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้า เป็นภิกษุเรียกว่าพระอริยสงฆ์ เป็นโยมก็เรียกว่าพระอริยเจ้าหรือพระอริยบุคคล เรียกว่าพระนะ เป็นโยมนี่แหละ เรียกว่าพระ ท่านที่เป็นพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้าก็มีมากพอสมควรอยู่ในโลก มนุษย์โลก ในเทวโลก ในพรหมโลก ก็มี ดังนี้เป็นต้น
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    จากเทศนาธรรมเรื่อง
    เพียรกำจัดกิเลส
    https://youtu.be/6-ImLe07xgM
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    y14bniqsiVWBymvtNupqyr2bCCDRkqcxxqOZUA3hmywU&_nc_ohc=U8mo7uEZ5UsAX9X1hlY&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    . 1fab4.png การเจริญภาวนานี้ จิตของผู้เจริญภาวนาจะมีอานุภาพสูงยิ่ง ตามระดับคุณธรรมที่ปฏิบัติได้ จนอาจกล่าวได้ว่า
    2705.png "เมื่อท่านสาธุชนผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย น้อมใจลงไปหยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางกายและบริกรรมภาวนาว่า "สัมมาอะระหัง" เมื่อใด กระแสจิตของบุรพาจารย์ผู้เป็นต้นวิชชา อันมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นต้น แม้มรณภาพไปแล้ว กับของศิษย์ย่อมจะถึงกันในทันที เพราะอยู่ในสายธาตุธรรมเดียวกัน กระแสจิตจึงเชื่อมถึงกันโดยอัตโนมัติ"
    #พระเทพญาณมงคล วิ. (หลวงป๋า)
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    อดีตปฐมเจ้าอาวาส #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    8UO97iiNYR1b6pY2jewDf8e&_nc_ohc=tAGFptZpqncAX9agujm&tn=32SMgKculfo9F24p&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - เพราะความไม่มีวิชชาของสัตว์โลก จึงทำให้คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด พูดผิด แล้วก็นำคนอื่นผิดๆ หลงตามคนอื่นผิดๆ อย่างนี้.
    1f48e.png ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่า อะไรดี-อะไรชั่วที่ลึกซึ้งลงไป คือปัญญาเครื่องรู้เห็น รู้แจ้งเห็นแจ้งไปตามลำดับว่า อะไรดี-อะไรชั่วตามที่เป็นจริง
    เพราะว่า หลายอย่างที่ลึกซึ้งลงไปในข้อที่ไม่รู้ว่าอย่างไรเป็นกรรมดี อย่างไรเป็นกรรมชั่ว และจะมีผลของกรรมอย่างไร ผลของกรรมดี-กรรมชั่วต่อๆไปถึงข้ามภพข้ามชาติมีไหม อย่างเช่น การทำชั่วนำตัวไปสู่อบายภูมิ คือ ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ตามลักษณะการกระทำชั่วนั้นมีไหม ผลของกรรมดีข้ามภพข้ามชาติ คือ เมื่อก่อนตายจิตใจผ่องใสด้วยคุณความดี เป็นชนกกรรมให้ไปเกิดในสุคติภพ คือภพภูมิที่ดี เช่น ได้เกิดเป็นมนุษย์ที่ดี อยู่ในครอบครัวที่ดี เป็นสัมมาทิฏฐิ มีฐานะดี หรือไปเกิดในเทวโลก พรหมโลก ตามกรรมดีนั้นๆมีไหม เป็นต้น เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ยากแก่ปุถุชนผู้ที่ยังหนาด้วยกิเลสจะทราบได้
    ที่นี้ ทำอย่างไรจึงจะรู้ละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ล่ะ ?
    พระพุทธเจ้าทรงได้ปฏิบัติมาแล้ว ในสมัยที่ยังเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เมื่อ 2500 กว่าปีที่ผ่านมา
    1f514.png #ในยามต้นแห่งราตรี เจริญฌานสมาบัติ ให้ใจสงบจากกิเลสนิวรณ์ คือฌานที่ 4 แล้วเกิดความสามารถพิเศษเรียกว่า"#อภิญญา" ได้แก่ ทิพพจักษุ ทิพพโสต ให้ประกอบเป็น"#วิชชา" โดยน้อมไปเพื่อ"#อตีตังสญาณ" ได้เห็นอดีต เห็นอัตภาพของตนที่เคยเป็นมาในอดีต ถ้าจะกล่าวโดยภาษาสามัญก็คือระลึกชาติได้ เห็นตนเอง พระองค์เองเห็นสัตว์โลกทั้งหลายไปสุขบ้างทุกข์บ้าง ทรงมีความสงสัยว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์โลกเป็นไปอย่างนั้น เรียกว่ามีวิจิกิจฉา เป็นกิเลสนิวรณ์ขึ้นมา
    1f514.png #ในยามกลางแห่งราตรี จึงเจริญฌานสมาบัติถึงฌานที่ 4 เพื่อกำจัดกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อใจผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์แล้ว จึงน้อมไปเพื่อ"#อนาคตังสญาณ" ญาณหยั่งรู้เห็นอนาคต ประกอบเป็นวิชชาชื่อว่า"#จุตูปปาตญาณ" ญาณหยั่งรู้จุติปฏิสนธิของสัตว์ คือ เห็นว่าสัตว์ทำกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง จึงได้ไปเกิดในสุคติภูมิบ้างตามกรรม เช่นว่า สัตว์โลกใดที่กระทำความชั่วทางกาย ทางวาจา และใจ เช่น ตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไปอบายภูมิ ตำหนิ ณ ที่นี้หมายถึง ตำหนิในที่ไม่ควรตำหนิ คือ ตำหนิโดยไม่เป็นธรรม
    ส่วนว่า กรณีที่อาจจะมีพระภิกษุหรือสามเณรประพฤติผิดศีลผิดธรรม โยมผู้รู้ก็ชี้บอกได้ นั้นไม่ใช่เรื่องตำหนิ เป็นเรื่องอนุเคราะห์กัน เป็นเรื่องชี้ขุมทรัพย์ให้ แต่ถ้าท่านไม่ผิดอย่างนั้นก็พูดนินทาว่าร้าย ตำหนิติฉินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยไม่เป็นธรรม คือ ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถ้าตำหนิอย่างนั้นไปอบายภูมิ
    ถ้ารู้ดี-รู้ชั่ว ไม่ตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระทำแต่คุณงามความดี ก็ไปสุคติภพ นี้แปลว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม คือ ทำกรรมดีได้ดี ทำกรรมชั่วได้ชั่ว นี่ เป็นไปอย่างนี้ ญาณหยั่งรู้เช่นนี้ชื่อว่า"จุตูปปาตญาณ"
    ทรงมีความสงสัยอีกว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์โลกคิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด แล้วก็พูดผิด อย่างนี้ แล้วก็นำคนอื่นผิดๆ หลงตามคนอื่นผิดๆ
    1f514.png #ในยามปลายแห่งราตรี ทรงเจริญฌานสมาบัติ เพื่อกำจัดกิเลสนิวรณ์ข้อวิจิกิจฉา ความสงสัย ครั้นพระทัยผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์ ก็ทรงพิจารณาเหตุไปถึงต้นๆเหตุเกิดทุกข์ จึงทราบว่า"#อวิชชา" คือความไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้เงื่อนต้น ไม่รู้เงื่อนปลาย คือ ไม่รู้ว่าทำกรรมอย่างไรจึงได้รับผลกรรมอย่างนั้น ตั้งแต่กรรมในอดีตให้มาได้รับผลในปัจจุบัน และกรรมในปัจจุบันที่จะให้ได้รับผลต่อไปในอนาคต ไม่รู้เหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ คือไม่รู้อริยสัจ ความจริงอย่างประเสริฐในเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ สภาวะที่ทุกข์ดับเพราะเหตุดับ และหนทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ตามที่เป็นจริง ความไม่รู้อย่างนี้แหละ ทำให้สัตว์โลกคิดผิด รู้ผิด เห็นผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วจึงกระทำความผิดทางกาย วาจา และใจ ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักร และได้รับผลโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อนต่อๆไป ไม่มีที่สิ้นสุด
    1f4a1.png ทรงเห็นแจ้งในอริยสัจสี่อย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงเห็นแจ้งในทุกข์และเหตุแห่งทุกข์อย่างนี้ จึงทรงทราบว่า จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะสามารถกำจัดกิเลสเหตุแห่งทุกข์ให้หมดสิ้นไปโดยเด็ดขาด ทั้งกิเลสหยาบ กิเลสกลางๆ และกิเลสละเอียด ที่สะสมตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานให้หมดสิ้นไปได้ กิเลสที่สะสมหมักหมมอยู่ในจิตสันดานเรียกว่า"#อาสวะ" และตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานเรียกว่า"#อนุสัย"
    ทรงทราบด้วยวิชชาที่ 3 ชื่อ"#อาสวักขยญาณ" คือญาณหยั่งรู้วิธีกระทำอาสวกิเลสคือกิเลสเครื่องหมักดองในจิตสันดานให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็น"#พระอรหันต์ขีณาสพ" ขีณาสพหรือขีณาสวะก็คือผู้มีอาสวะสิ้นไปแล้ว เป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และทรงได้บรรลุ"#พระสัมมาสัมโพธิญาณ" คือ ญาณหยั่งรู้แจ้งโลกทุกสิ่งทุกอย่างเหนือมนุษย์ เหนือเทวดา พรหม อรูปพรหม ทั้งหลาย ชื่อว่า"#พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" คือ ญาณหยั่งรู้แจ้งโลก ในตอนรุ่งอรุณของคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เมื่อ 2585 ปีที่ผ่านมานี้ เป็น"#สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ หรือเรียกว่า"#พระสัพพัญญูพุทธเจ้า" ผู้ทรงรู้แจ้งโลกนั่นเอง
    1f4a1.png เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เห็นแจ้งด้วยพระองค์เอง รวมเรียกว่า"#ตรัสรู้" แล้วจึงทรงนำพระธรรมนั้นมาสอนเรา ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส คือ ชำระกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญาแล้วจึงจะสามารถเห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวธรรมและสัจจธรรม แล้วจะเกิดปัญญาเห็นทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิต รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง
    เพราะฉะนั้น ถ้าใครสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็ย่อมเห็นทางดำเนินชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุข จนถึงความพ้นทุกข์อย่างถาวรได้
    แต่ใครไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ก็ไม่รู้แจ้ง เมื่อไม่รู้แจ้งปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ นับตั้งแต่ความขี้เกียจ ความไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง ไม่รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี ไม่รู้ว่าทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริงว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามกรรม ของใครก็ของใคร ใครๆก็ช่วยไม่ได้.
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มาของธรรมะจาก
    หนังสือตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    SXdmiLmZyfvZR_EN4UlZ3jR9nlJox9MDXYUvEmBb02A&_nc_ohc=sS8ujMST9YAAX_AtL1A&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    วิชชาธรรมกาย (Vijjā Dhammakāya)

    2600.png ใครมีแววว่าจะได้ธรรมกาย หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จันทสโร) ท่านจะมาสอนเอง
    1f4a1.png หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จันทสโร) เล่าว่า..ในครั้งแรก (ตอนบรรลุธรรมกายใหม่ๆ) ท่านคิดจะปลีกตัวหลีกเร้นไปแสวงหาที่สงบสงัด ปฏิบัติธรรมเพียงลำพังตามป่าตามเขา แต่มานึกถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีอวิชชา มีกิเลส และโมหะเข้าครอบงำจนจิตใจมืดมนอนธการ ก็มีอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีผู้ตกทุกข์ได้ยากลำบากเดือดร้อนจากการทำมาหาเลี้ยงชีพ จากโรคภัยไข้เจ็บ ก็มีจำนวนมาก คนเหล่านี้ถ้าได้ผู้แนะนำสั่งสอนที่ถูกต้อง ก็สามารถช่วยตนเองให้ความทุกข์ลดน้อยลงได้ สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ ถ้าหากท่านจะหลีกเร้นไปหาประโยชน์ส่วนตัวของท่านแล้ว ท่านก็จะไม่มีโอกาสสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์
    1f56f.png ในสมัยนั้น คณะสงฆ์ไทยและคนทั่วไปไม่ค่อยสนใจศึกษาเรื่องการทำสมาธิ การปฏิบัติธรรม ถ้าใครแสดงความสนใจหรือสั่งสอน ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบทันที พระที่สนใจปฏิบัติธรรมจึงต้องออกธุดงค์ไปอยู่ที่ไกลผู้คน พระปฏิบัติบางรูปเดินทางธุดงค์ไปถึงนอกเขตแดนไทยก็มี
    1f48e.png หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ท่านต้องการให้ผู้มาปฏิบัติได้รู้เห็นเป็นจริงๆ ท่านจึงพยายามหาวิธีการทุกอย่างมาอธิบายให้ลูกศิษย์เข้าใจ ท่านบอกว่าการได้ธรรมกายนั้นไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยากจนเกินไปถ้าปฏิบัติตามที่ท่านสอนอย่าให้ผิด จะผิดแม้เท่าเส้นผมก็ไม่ได้ ถ้าใครปฏิบัติตามที่ท่านสอนแล้วไม่ได้ ท่านกล้าท้าทายให้มาตัดศีรษะท่านทีเดียว
    1f3af.png หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะมองดูออกว่าผู้ใดมีแววที่จะได้ธรรมกาย ท่านจะเรียกผู้นั้นมาสอนเอง หรือถ้าผู้ใดเห็นดวงกลมใสหรือเห็นองค์พระปรากฏที่ฐานที่ 7 แล้ว ท่านก็จะหาครูต่อวิชาให้ ท่านเข้มงวดกวดขันและเอาใจใส่ดังนี้ จึงมีผู้ได้ธรรมกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    1f52e.png พระพุทธเจ้าท่านอุบัติตรัสขึ้นในโลก ท่านมีธรรมกาย ธรรมกายเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระตถาคตเจ้า ท่านมองทีเดียวแหละ ใครจะมีธรรมกายเหมือนเราบ้าง ท่านมีความรู้วิเศษ คนนี้มีเหตุได้สั่งสมอบรมมา สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยกันแล้ว บารมีเป็นเหตุ บารมีแก่แล้ว สมควรที่จะได้มรรคผล สมควรจะมีได้ธรรมกายเหมือนเรา ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล พระองค์อุตส่าห์พยายามไปแนะนำให้มีธรรมกายเหมือนท่าน เมื่อมีธรรมกายเหมือนท่าน ก็เป็นหมู่เดียวกับท่าน เป็นพวกเดียวกับท่าน พอมีธรรมกายเหมือนท่าน ก็เป็นพวกเดียวกับท่าน เป็นหมู่ มีธรรมกายน่ะเป็นชั้นๆ เป็นพระอรหันต์ อรหัตบ้าง เป็นพระอนาคาบ้าง เป็นพระสกิทาคาบ้าง เป็นพระโสดาบ้าง เป็นโคตรภูบ้าง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน พระองค์เสด็จไปแนะนำสั่งสอน ให้มีธรรมกายปรากฏขึ้นเหมือนพระองค์ เมื่อมีธรรมกายปรากฏขึ้นเหมือนพระองค์แล้ว ก็เป็นพระพุทธเจ้า (อนุพุทธะ) ทีเดียว
    __________________________
    คัดจาก:: หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อและวัดปากน้ำ, และโอวาทพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    พิมพ์โดย FB: Dagger Caron
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (พระอารามหลวง)
    ศิษย์หลวงปู่สด - พระมงคลเทพมุนี

    IlicgSjUHrjiXFjqLHnT7OlI&_nc_ohc=QM5ahHwkNOQAX9bTs__&tn=32SMgKculfo9F24p&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg


    ศิษย์หลวงปู่สด - พระมงคลเทพมุนี


    ทิ้งขันธ์ 5

    "...หมดกระหาย ไปนิพพานได้ หมดกระหาย หมดร้อน หมดกระวนกระวาย ไปนิพพานได้ ให้ทิ้งขันธ์ 5 เสีย ทิ้งขันธ์ 5 เสียได้แล้ว ได้ชื่อว่าถอนตัณหาทั้งรากได้ นี้เป็นตัวสำคัญ ให้รู้จักดังนี้
    เราจำเป็นอยู่แล้วจะต้องวางต้องทิ้งขันธ์ 5 นี่ถึงไม่ทิ้งเราก็ต้องทิ้ง ใครล่ะจะไม่ทิ้งได้ ถ้าไม่ทิ้ง แก่เข้า ๆ ถึงเวลาก็ตายจะเอาไปได้หรือ ขันธ์ 5 น่ะ คนเดียวก็เอาไปไม่ได้ หมดทั้งสากลโลก ขันธ์ 5 ของตัวเอาไปไม่ได้ ขันธ์ 5 ของสามีภรรยากันล่ะ เอาไปไม่ได้ แต่ของตัวเอาไปไม่ได้แล้ว นี่จะเอาของคนอื่นไปอย่างไรล่ะ
    เอาของลูกไปบ้างไม่ได้หรือ ไม่ได้ แต่ของตัวก็ยังเอาไปไม่ได้ จะเอาของลูกไปได้อย่างไร พี่น้องวงศ์วานว่านเครือจะเอาไปบ้าง ไม่ได้หรือ เอาไปไม่ได้
    ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป
    ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด
    ตาย ตายคนเดียว
    เกิด เกิดคนเดียว
    เราอยู่คนเดียวน่ะนี่น่ะ ไม่ได้อยู่หลายคนนะ อยู่กี่คนก็ชั่ง ตายไปด้วยกันไม่ได้ เกิดคนเดียวตายคนเดียวทั้งนั้น ก็แฝดกันมาไม่ใช่ด้วยกันดอกหรือ จะแฝดหรือจะติดกันอย่างไรก็ตามเถอะ คนละจิตละใจทั้งนั้น ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด
    เมื่อรู้ชัดดังนี้ วิธีจะละขันธ์ 5 ถอดขันธ์ 5 ทิ้ง วิธีจะถอดสละขันธ์ 5 วางขันธ์ 5 นั้น ต้องเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวรกถา ที่จะตั้งอยู่ในสังวรกถาได้ ต้องอาศัยมีความรู้ความเห็นแยบคาย
    เห็นแยบคายอย่างไร ? รู้เห็นแยบคาย ความยินดีในรูปในอารมณ์นั้น ๆ ต้องปล่อยวาง ต้องละต้องทิ้งความยินดีในอารมณ์นั้น ๆ ถ้ายังยึดความยินดีในอารมณ์อยู่ ปล่อยขันธ์ 5 ไม่ได้ ..."
    270d.png คัดลอกบางส่วนจาก 270d.png
    พระธรรมเทศนา เรื่อง ขันธ์ 5 เป็นภาระอันหนัก
    เทศน์เมื่อ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖
    โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ได้เจริญภาวนาธรรมในลักษณะ อาโลกกสิณ คือการกำหนดแสงสว่างและรูปมาก่อน
    1f48e.png พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับอุปกิเลสของสมาธิ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุ เพื่อช่วยในการเจริญภาวนาธรรมได้ผลดี ดังปรากฏอยู่ใน"อุปกิเลสสูตร" ในสุญญตวัคค์ อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย หน้า 302 ข้อ 452 มีใจความว่า....
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ที่ป่าชื่อว่า"ปราจีนวังสทายวัน" แขวงเมืองโกสัมพี ณ ที่นั้น ภิกษุ 3 รูป คือ พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ได้ทูลพระพุทธองค์ว่า...
    "ข้าพระองค์ทั้งสาม พยายามกำหนดเห็นแสงสว่าง แล้วเห็นรูปทั้งหลาย แต่แสงสว่างและรูปนั้นเห็นอยู่ไม่นานก็หายไป ข้าพระองค์ทั้งสามไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใร"
    พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า...
    อนุรุทธะทั้งหลาย (พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งสามองค์ แต่ได้ทรงเรียก"อนุรุทธะ"เป็นองค์แรก ในบาลีจึงใช้"อนุรุทธา") แม้เราเองครั้งก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ กำหนดเห็นแสงสว่างได้ และเห็นรูปทั้งหลาย แต่ไม่นานเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นก็หายไป เราเกิดความสงสัยว่าอะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป เราก็คิดได้ว่า อุปกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป อุปกิเลสเหล่านี้คือ...
    1. #วิจิกิจฉา ความลังเลหรือความสงสัย
    2. #อมนสิการ ความไม่ใส่ใจไว้ให้ดี
    3. #ถีนมิทธะ ความท้อและความเคลือบเคลิ้มง่วงนอน
    4. #ฉัมภิตัตตะ ความสะดุ้งหวาดกลัว
    5. #อุพพิละ ความตื่นเต้นด้วยความยินดี
    6. #ทุฏฐุลละ ความไม่สงบกาย
    7. #อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรจัดเกินไป
    8. #อติลีนวิริยะ ความเพียรหย่อนเกินไป
    9. #อภิชัปปา ความอยากที่จะเห็นนิมิตจนเกินไป
    10. #นานัตตะสัญญา ความฟุ้งซ่าน นึกไปในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านมา หรือเคยจดจำไว้ มาผุดขึ้นในขณะทำสมาธิ
    11. #รูปานัง_อตินิชฌายิตัตตะ ความเพ่งต่อรูปหรือนิมิตจนเกินไป
    อนุรุทธะทั้งหลาย เมื่ออุปกิเลสเหล่านี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เราแล้ว สมาธิของเราก็เคลื่อนไป เพราะอุปกิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปก็หายไป ฉะนั้นเราพยายามสอดส่องดูว่า วิธีใดจะทำให้อุปกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ทำใจไว้โดยวิธีนั้น
    อนุรุทธะทั้งหลาย เรารู้ชัดว่า วิจิกิจฉา เป็นต้น เหล่านี้เป็นอุปกิเลสของจิต จึงได้ละเสีย
    นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสกับพระภิกษุเหล่านั้นอีกด้วยว่า...
    อนุรุทธะทั้งหลาย เราคิดได้ว่า ขณะใดสมาธิของเราน้อย ขณะนั้นจักษุก็มีน้อย ด้วยจักษุอันน้อยนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างน้อย เห็นรูปก็น้อย ขณะใดสมาธิของเรามาก ขณะนั้นจักษุก็มีมาก ด้วยจักษุอันมากนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างมาก เห็นรูปก็มาก เป็นดังนี้ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
    ยังมีปรากฏในพระสูตรที่ 11 ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต หน้า 311 ข้อ 161 อีกด้วยว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ได้เสด็จประทับอยู่ที่ตำบล"คยาสีสะ" ใกล้แม่น้ำ"คยา" ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ได้ทรงรู้เรื่องเทวดาด้วยการเห็นแสงสว่างภายใน ในสมัยที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ และยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า...
    ภิกษุทั้งหลาย ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างด้วย เห็นรูปทั้งหลายด้วย ได้เจรจาไต่ถามกับเทวดาเหล่านั้นด้วย และรู้ด้วยว่าเทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายนั้นๆ... จุติจากที่นี้แล้ว ไปอุบัติในที่นั้นด้วยวิบากของกรรมนั้นๆ... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยทุกข์และสุขอย่างนี้... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอายุยืนเท่านี้ ดำรงอยู่นานเท่านี้... รู้ว่าเราเคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้หรือไม่ ดังนี้แล้ว ข้อนั้นจักเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นของเรา (ฉะนั้น) สมัยต่อมา เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่ก็รู้ได้ตลอดถึงเรื่องราวเหล่านี้
    ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่ญาณทัศนะอันรอบรู้ในเรื่องเทวดา ซึ่งมีปริวัฏแปดอย่างนี้ของเรายังไม่บริสุทธิ์ดีแล้ว ตราบนั้น เราก็ไม่ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก และพรหมโลก ในหมู่สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
    และญาณทัศนะได้เกิดขึ้นแก่เราด้วยว่า ความหลุดพ้นแห่งจิตของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปนี้ภพใหม่เป็นไม่มีอีก
    #กล่าวโดยสรุป
    พระพุทธองค์ได้ทรงปรารภถึงความไม่ประมาท และมีความเพียรเจริญภาวนาธรรมโดยการกำหนดทั้งแสงสว่างและรูป ในลักษณะอาโลกกสิณ เพื่อให้เกิดญาณทัศนะ และสามารถรู้เห็นเรื่องราวของเทวดามาตั้งแต่ที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ และได้ทรงทราบถึงอุปกิเลสของสมาธิ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสตอบแก่พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ที่ได้ทูลถามพระพุทธองค์ ในขณะที่ได้เสด็จประทับอยู่ ณ เมืองโกสัมพี ดังกล่าว...
    _____________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _____________
    ที่มา
    "ธรรมสู่สันติ เล่ม 1"
    _____________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ได้เจริญภาวนาธรรมในลักษณะ อาโลกกสิณ คือการกำหนดแสงสว่างและรูปมาก่อน
    1f48e.png พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับอุปกิเลสของสมาธิ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุ เพื่อช่วยในการเจริญภาวนาธรรมได้ผลดี ดังปรากฏอยู่ใน"อุปกิเลสสูตร" ในสุญญตวัคค์ อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย หน้า 302 ข้อ 452 มีใจความว่า....
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ที่ป่าชื่อว่า"ปราจีนวังสทายวัน" แขวงเมืองโกสัมพี ณ ที่นั้น ภิกษุ 3 รูป คือ พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ได้ทูลพระพุทธองค์ว่า...
    "ข้าพระองค์ทั้งสาม พยายามกำหนดเห็นแสงสว่าง แล้วเห็นรูปทั้งหลาย แต่แสงสว่างและรูปนั้นเห็นอยู่ไม่นานก็หายไป ข้าพระองค์ทั้งสามไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใร"
    พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า...
    อนุรุทธะทั้งหลาย (พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งสามองค์ แต่ได้ทรงเรียก"อนุรุทธะ"เป็นองค์แรก ในบาลีจึงใช้"อนุรุทธา") แม้เราเองครั้งก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ กำหนดเห็นแสงสว่างได้ และเห็นรูปทั้งหลาย แต่ไม่นานเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นก็หายไป เราเกิดความสงสัยว่าอะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป เราก็คิดได้ว่า อุปกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป อุปกิเลสเหล่านี้คือ...
    1. #วิจิกิจฉา ความลังเลหรือความสงสัย
    2. #อมนสิการ ความไม่ใส่ใจไว้ให้ดี
    3. #ถีนมิทธะ ความท้อและความเคลือบเคลิ้มง่วงนอน
    4. #ฉัมภิตัตตะ ความสะดุ้งหวาดกลัว
    5. #อุพพิละ ความตื่นเต้นด้วยความยินดี
    6. #ทุฏฐุลละ ความไม่สงบกาย
    7. #อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรจัดเกินไป
    8. #อติลีนวิริยะ ความเพียรหย่อนเกินไป
    9. #อภิชัปปา ความอยากที่จะเห็นนิมิตจนเกินไป
    10. #นานัตตะสัญญา ความฟุ้งซ่าน นึกไปในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านมา หรือเคยจดจำไว้ มาผุดขึ้นในขณะทำสมาธิ
    11. #รูปานัง_อตินิชฌายิตัตตะ ความเพ่งต่อรูปหรือนิมิตจนเกินไป
    อนุรุทธะทั้งหลาย เมื่ออุปกิเลสเหล่านี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เราแล้ว สมาธิของเราก็เคลื่อนไป เพราะอุปกิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปก็หายไป ฉะนั้นเราพยายามสอดส่องดูว่า วิธีใดจะทำให้อุปกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ทำใจไว้โดยวิธีนั้น
    อนุรุทธะทั้งหลาย เรารู้ชัดว่า วิจิกิจฉา เป็นต้น เหล่านี้เป็นอุปกิเลสของจิต จึงได้ละเสีย
    นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสกับพระภิกษุเหล่านั้นอีกด้วยว่า...
    อนุรุทธะทั้งหลาย เราคิดได้ว่า ขณะใดสมาธิของเราน้อย ขณะนั้นจักษุก็มีน้อย ด้วยจักษุอันน้อยนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างน้อย เห็นรูปก็น้อย ขณะใดสมาธิของเรามาก ขณะนั้นจักษุก็มีมาก ด้วยจักษุอันมากนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างมาก เห็นรูปก็มาก เป็นดังนี้ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
    ยังมีปรากฏในพระสูตรที่ 11 ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต หน้า 311 ข้อ 161 อีกด้วยว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ได้เสด็จประทับอยู่ที่ตำบล"คยาสีสะ" ใกล้แม่น้ำ"คยา" ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ได้ทรงรู้เรื่องเทวดาด้วยการเห็นแสงสว่างภายใน ในสมัยที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ และยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า...
    ภิกษุทั้งหลาย ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างด้วย เห็นรูปทั้งหลายด้วย ได้เจรจาไต่ถามกับเทวดาเหล่านั้นด้วย และรู้ด้วยว่าเทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายนั้นๆ... จุติจากที่นี้แล้ว ไปอุบัติในที่นั้นด้วยวิบากของกรรมนั้นๆ... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยทุกข์และสุขอย่างนี้... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอายุยืนเท่านี้ ดำรงอยู่นานเท่านี้... รู้ว่าเราเคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้หรือไม่ ดังนี้แล้ว ข้อนั้นจักเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นของเรา (ฉะนั้น) สมัยต่อมา เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่ก็รู้ได้ตลอดถึงเรื่องราวเหล่านี้
    ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่ญาณทัศนะอันรอบรู้ในเรื่องเทวดา ซึ่งมีปริวัฏแปดอย่างนี้ของเรายังไม่บริสุทธิ์ดีแล้ว ตราบนั้น เราก็ไม่ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก และพรหมโลก ในหมู่สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
    และญาณทัศนะได้เกิดขึ้นแก่เราด้วยว่า ความหลุดพ้นแห่งจิตของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปนี้ภพใหม่เป็นไม่มีอีก
    #กล่าวโดยสรุป
    พระพุทธองค์ได้ทรงปรารภถึงความไม่ประมาท และมีความเพียรเจริญภาวนาธรรมโดยการกำหนดทั้งแสงสว่างและรูป ในลักษณะอาโลกกสิณ เพื่อให้เกิดญาณทัศนะ และสามารถรู้เห็นเรื่องราวของเทวดามาตั้งแต่ที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ และได้ทรงทราบถึงอุปกิเลสของสมาธิ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสตอบแก่พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ที่ได้ทูลถามพระพุทธองค์ ในขณะที่ได้เสด็จประทับอยู่ ณ เมืองโกสัมพี ดังกล่าว...
    _____________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _____________
    ที่มา
    "ธรรมสู่สันติ เล่ม 1"
    _____________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ความลึกซึ้งของ ...
    “ วิชชาธรรมกาย”
    (โพสต์โดย คุณสราวุธ สายสุพรรณ เมื่อ8/8/60)

    เล่าโดย

    จิตอารีย์
    ( วิทยากร สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย )

    “ มโนปุพพังคมา ธัมมา
    มโนเสฏฐา มโนมยา”

    “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า
    มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”

    พุทธวจนะบทนี้....ข้าพเจ้าเพิ่งจะมาเข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
    เมื่อได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรม ตามแนววิชชาธรรมกาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เรียนรู้ เข้าถึง ... “วิชชาธรรมกายชั้นสูง”
    อาทิเช่น ยุทธวิธี และ ยุทธศาสตร์ของการสะสางธาตุธรรมชั้นสูง ฯลฯ

    บัดนี้เมื่อได้เจริญภาวนารุดหน้าเรื่อยไป...โดยไม่ถอยหลังกลับ
    ตามคำสั่งดั้งเดิมของ “หลวงพ่อสด”
    บ่อยครั้ง....ที่ข้าพเจ้าเกิดความปีติ
    คละเคล้ากับความเลื่อมใสศรัทธา....ที่มั่นคงทวีขึ้น
    เมื่อได้เรียนรู้ลึกซึ้งเข้าไปใน “วิชชาชั้นสูง” ... ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

    ความรู้สึกอัศจรรย์ใจในความซับซ้อน ละเอียดประณีต...จนสุดประมาณ
    ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้นั้น...มีบ่อยครั้งที่สุด
    และเมื่อได้รู้ ได้เห็น เข้าไปมาก ๆ แล้ว
    ความรัก ความเคารพ...ในองค์ “หลวงพ่อสด”
    จึงเกิดพอกพูนขึ้นในจิตใจอย่างไม่หยุดยั้ง

    ข้าพเจ้าจึงมักรำพึงกับตัวเองว่า....
    เหมาะแล้ว ควรแล้ว กับความเป็นยอดอัจฉริยะของหลวงพ่อสด
    และสมแล้วที่ท่านเป็น “ธาตุธรรมส่วนหนึ่งของ ... องค์ต้นธาตุ”
    มิฉะนั้นคนรุ่นเรา คงจะไม่มีโอกาส ได้รู้ ได้เห็น และ เป็น ...เช่นนี้เลย

    นับตั้งแต่ได้ “เข้าถึงธรรม” มาแต่ครั้งกระนั้น
    กิจวัตรของตนเองก็คือ พยายามรักษาใจ...
    มิให้ตกไปอยู่ในอำนาจของ ฝ่ายอกุศลาธัมมา และ อัพยากตาธัมมา
    แต่ก็มีบ้าง...ที่ได้เผลอไผล
    ย่อหย่อนในการทำความเพียร...ตามตารางที่ตั้งใจไว้อยู่เหมือนกัน

    คราใดก็ตามที่เป็นเช่นนั้น
    พอได้เวลาปฏิบัติภาวนา และเมื่อเข้าถึงที่สุดละเอียดแล้ว
    จึงมักถูกหลวงพ่อดุ
    และสอนผ่านศูนย์กลางกายอยู่บ่อย ๆ
    ข้าพเจ้าจึงได้พัฒนามรรคาแห่งจิตขึ้นเรื่อย ๆ

    แม้ในยามปกติ ก็ยังมีโอกาสได้แก้ความสงสัยบางประการ
    จาก “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    รวมทั้งหลายครั้งหลายหน ที่ได้รับความกระจ่างในวิชชา
    จาก “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเตือนตนเอง... ให้จรดใจให้อยู่ในศูนย์อยู่เสมอ
    ยิ่งเมื่อจะออกจากบ้านไปทำธุระ หรือ ไปทำงาน ... ยิ่งต้องทำให้มาก
    บางครั้งก็ “เดินวิชชาชั้นสูง” ไปเลย
    ในยามที่จะต้องยืน เดิน หรือ ในขณะนั่งทำงานนั้นแหละ

    เพราะได้ตั้งตารางไว้ว่า …..
    วันหนึ่ง ๆ จะต้องเดินวิชชา เข้าจนถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    และเดินเร็วเป็นสิบ – ร้อย – พันเขต เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไป
    .....ทับทวีโดยไม่หยุดอยู่กับที่

    และด้วยผลของการปฏิบัติธรรมตามขั้นตอน...ตามหลักวิชชา
    ที่ครูบาอาจารย์ได้สอนไว้ดังกล่าวข้างต้นนี้เอง
    จึงบังเกิดผลเป็นอานุภาพแห่งธรรม ปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้า
    ให้พ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ มาหลายครั้ง

    มิใช่แค่เรื่องความปลอดภัย ในการเดินทางเท่านั้น
    แม้สิ่งของที่หายไป...โดยการขโมย
    ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยวิชชา ตรวจสอบและติดตาม
    จนรู้ว่า...ใครเป็นคนหยิบไป ? เมื่อไหร่ ? ของนั้นยังอยู่ ?
    เปลี่ยนมือไปแล้วหรือยัง ? ผู้ที่ขโมยไปนั้น ตั้งใจจะขายต่อเมื่อใด ?

    และด้วยอานุภาพแห่ง...วิชชาธรรมกาย
    ทำให้ผู้ที่ขโมยของไป ต้องแอบนำของกลับมาคืนไว้ โดยไม่ให้คนในบ้านเห็น

    นี่ก็เป็นเพราะ ข้าพเจ้าได้ใช้วิชชา (เบื้องต้น) ผ่านไปในสมาธิ
    และสั่งสอนอบรมเข้าไปในจิต ในวิญญาณส่วนละเอียดของผู้นั้น
    ให้มีความสำนึกในความผิด รู้โทษในสิ่งที่ตนได้ทำลงไปว่า...
    เป็นบาป ที่จะเผาลนจิตใจให้เร่าร้อน

    จนกระทั่ง เขาบังเกิดความละอายใจขึ้นมา
    จนต้องนำของที่ขโมยไป...กลับมาส่งคืน

    การทุ่มเทจิตใจ...ฝึกเจริญภาวนาธรรมอย่างจริงจังของข้าพเจ้า
    ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
    ได้บังเกิดผลแห่งการปฏิบัติ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

    คำพูดของ “หลวงพ่อสด” ที่ว่า
    “ ธรรมกายยังไม่ถึง ๑๐ ปี ยังนับว่าใช้ไม่ได้ ”
    ข้าพเจ้าได้เข้าใจในความหมายของประโยคนี้...อย่างลึกซึ้ง
    จากประสบการณ์ในการเจริญภาวนา เช่น

    ข้าพเจ้าเคยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง
    ในการนั่งทำวิชชา เข้าถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรมหนึ่ง ๆ นั้น

    ในเวลาต่อมา เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น
    ก็สามารถทำวิชชา คำนวณวิชชา ได้เร็ว แรง และละเอียดประณีตมากขึ้น
    ถึงเป็น อณุ – ปรมาณู ที่สุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    .....นับอสงไขยอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน

    เพราะเข้าใจหลัก และ เคล็ดลับของวิชชาดีขึ้น
    จากที่นั่งเจริญภาวนา คำนวณวิชชา เป็นสิบเขต ใน ๑ ชั่วโมง
    ก็เป็น ร้อย – พัน – หมื่น จนนับไม่ถ้วน
    เป็นอสงไขยเขตธาตุเขตธรรม...เลยทีเดียว

    ประสบการณ์ในการเจริญภาวนาทุกครั้ง
    ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความรอบรู้มากขึ้น และ สำรวมมากขึ้นด้วย

    ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้านั่งเจริญภาวนาอยู่ให้องพระ
    เมื่อเดินวิชชา ... ตามลำดับขั้นตอนไปพักใหญ่
    จนได้เข้าถึง “ปราสาททำวิชชา ของ หลวงพ่อสด” ...ในอายตนะนิพพาน
    ข้าพเจ้าเข้าไปในกลางของกลาง “องค์ต้นธาตุ”
    ปักใจดิ่งสู่กลางในกลาง ทับทวีจนสุดละเอียด
    พร้อมกับตรึกขอดู “ผังจริง” ในพระพุทธศาสนา

    ฉับพลันนั้นเอง
    ภาพที่ปรากฏชัดเจน ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเนื้อ...ก็ปรากฏขึ้น
    ท่ามกลางความสว่างไสว และ ละเมียดละไมไปด้วยอณูของความสงบเย็น
    .....ที่ประณีตมาก จนประมาณไม่ถูกนั้น

    ข้าพเจ้าได้เห็นว่า.....
    ตรงกลางนั้น เป็นตำแหน่งของ “องค์ต้นธาตุต้นธรรม”
    ..... ที่มีลักษณะเหมือน “หลวงพ่อสด”
    เป็นธาตุธรรมที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งองค์...จนเป็นประกาย
    รัศมีโชติช่วง เปล่งปลั่งยิ่งนัก

    ส่วนที่อยู่รอบ ๆ องค์ท่านนั้น
    ต่างก็นั่งสงบ ในท่าสมาธิ...เป็นระเบียบสวยงาม
    ในลักษณะคล้าย ธาตุ ๖ ที่เคยเห็นมา
    คือ มีซ้าย – ขวา – หน้า – หลัง

    ที่อยู่ใกล้ “องค์ต้นธาตุ” ก็เป็น ..... “องค์กลางธาตุ”
    และที่ห่างออกไป จึงเป็น ... “ปลายธาตุ”
    ล้อมรอบท่านเป็นวงกลม เป็นชั้น เป็นชุด ออกไปเป็นปริมณฑล...กว้างใหญ่มาก

    มีบุคคลมากมาย ทั้ง “พระ” และ “แม่ชี” ตลอดจนฆราวาส...เต็มไปหมด
    ในส่วนหน้า ๆ นั้น ... ส่วนมากจะเป็น “พระสงฆ์”
    “แม่ชี” และ “อุบาสิกา” จะอยู่ข้างหลังท่าน ... เป็นส่วนใหญ่

    ทั้งหมดนี้เป็นการยืนยันว่า.....
    วิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ... ที่ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ”
    ได้สั่งสอนถ่ายทอดมายัง “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    และถ่ายทอดต่อมาถึง “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    (เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)
    รวมทั้งที่ได้ถ่ายทอดต่อมา...ถึงศิษยานุศิษย์ในปัจจุบันนี้

    เป็นวิชชาที่สามารถ...เข้าถึงได้จริง ทำได้จริง เป็นได้จริง

    ความจริงวิชชาในพระพุทธศาสนา
    มิได้สอนกันอยู่เพียง วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖
    อันมี...อาสวักขยญาณ เป็นที่สุดเท่านั้น

    เพราะ พระเดชพระคุณ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ได้เคยกล่าวยืนยันถึง
    ความเป็นจริงในวิชชาของพระพุทธศาสนาว่า…
    เป็นข้อที่ลุ่มลึกมาก...เกินกว่าที่จะคาดคะเนด้วยปัญญาของคนทั่วไป

    ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้เคยกล่าวว่า.....

    “ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
    เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
    เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
    เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
    ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
    (เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด .....ฯลฯ)

    เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
    ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
    ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
    เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
    เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
    เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ ...ฯลฯ

    หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
    นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
    ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
    ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
    นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
    ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้...”

    การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    เราจะต้องทำวิชชา...เข้าไปถึงขนาดนั้น
    ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า ...

    “ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
    ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

    ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
    เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
    รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

    ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
    พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
    ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
    นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

    เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
    แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    ผู้ปฏิบัติธรรม...ตามแนววิชชาธรรมกาย
    ก็ต้องมาหาความหมายที่ว่า ... “ที่สุดของตัว” นั้นคืออะไร ?

    * เรียบเรียงบางตอนจาก
    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔
    เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๐
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

    *************************************

     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    1f4cc.png “อานิสงส์” ของ การนั่งสมาธิ (ตามแบบวิชชาธรรมกาย) 1f4cc.png


    “อานิสงส์” ของ การนั่งสมาธินี้...มีมาก ถ้าตามแบบ “วิชชาธรรมกาย” คือว่า สมาธิจิต...โดยเอาใจไปหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม
    สามารถให้เข้าถึง ให้รู้ ให้เห็น .....
    กายในกาย
    เวทนาในเวทนา
    จิตในจิต
    และ ธรรมในธรรม
    ตั้งแต่สุดหยาบ...ไปสุดละเอียดได้
    และประกอบพร้อมด้วย
    เมื่อใจหยุดในหยุด กลางของหยุด ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไป
    จิตใจจึงบริสุทธิ์ผ่องใสไปตามลำดับ...ให้ถึง “ธรรมกาย”
    และแม้กระทำไปจนสุดละเอียด จนปรากฏเป็น “วิกขัมภนวิมุติ”
    คือธรรมกายที่สุดละเอียด ของธรรมกายพระอรหัต
    เข้า “ฌานสมาบัติ” โดย อนุโลม ปฏิโลม
    เที่ยวสุดท้าย...เข้าฌานสมาบัติโดย อนุโลม
    ตั้งแต่ “ปฐมฌาน” ถึง “จตุตถฌาน” เพื่อให้จิตตั้งมั่น
    เพื่อให้กิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา หมดไปอย่างแท้จริง
    ดับหยาบไปหาละเอียด หรือเรียกว่า “พิสดารกาย” ก็คือ “นิโรธ” นั้นเอง
    ดับหยาบไปหาละเอียด...เป็นธรรมกายอรหัตในอรหัตที่ละเอียด ๆ
    ผ่านศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม สุดกายหยาบ กายละเอียด
    อันเป็นที่ตั้งของธาตุธรรม “เห็น จำ คิด รู้” คือ ใจ
    ซึ่งเป็นที่ตั้ง ที่ เอิบ อาบ ซึม ซาบ ปน เป็น ของกิเลส
    ตัณหา อุปาทาน ในธาตุธรรม “เห็น จำ คิด รู้” นั้น
    เมื่อดับหยาบไปหาละเอียด ก็เป็น “การละ สมุทัย”
    ปหานอกุศลจิตของกายในภพสาม จนสุดละเอียด
    เมื่อใจ เป็นแต่ใจของอรหัตในอรหัต...จนสุดละเอียด
    ปล่อยวางอุปาทานในเบญจขันธ์ ของกายในภพสามได้
    ปล่อยวางในความยินดีในฌานสมาบัติได้
    ปล่อยขาดหมดพร้อมกันแล้ว
    ธรรมกายที่หยาบจะตกศูนย์
    ที่สุดละเอียดจะไปปรากฏใน “อายตนะนิพพาน”
    ได้เห็น “พระนิพพานธาตุ” คือ ธรรมกายที่บรรลุอรหัตผล
    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพเจ้า
    ที่เข้า “อนุปาทิเสสนิพพาน” (ดับขันธ์แล้ว) สถิตยั่งยืนอยู่ในอายตนะนิพพาน
    จึงเห็นแจ้งชัดใน “พระนิพพานธาตุ” ว่า
    เป็น “ นิจฺจํ ” (เที่ยง)
    เป็น “ ปรมํ สุขํ ” (บรมสุข)
    และ “ ธุวํ ” (ยั่งยืน)
    ที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านแสดงว่า
    สังขารทั้งหมดในภพสามเป็น “อนตฺตา” เพราะเป็น “ทุกข์”
    ที่เป็น “ทุกข์” เพราะเป็น “อนิจฺจํ”
    ความเป็น “อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา” เป็นลักษณะสภาวะของ “สังขาร”
    แต่ความเป็น “ นิจฺจํ สุขํ ธุวํ ” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “อตฺตาวิมุตติ”
    เป็นสภาวะของ “นิพพานธาตุ” คือ ธรรมกายที่บรรลุอรหัตผลแล้ว
    เป็น “วิราคธาตุ” “วิราคธรรม” ล้วน ๆ
    จึงเป็น “ บรมสุข ” คือ “ ปรมํ สุขํ ”
    เพราะมีสภาวะที่ “ เที่ยง ” คือ “ นิจฺจํ ”
    ไม่มี เกิด แก่ เจ็บ และตาย...อีกต่อไป
    เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า
    การนั่งสมาธิ มีอานิสงส์ปัจจุบันอย่างไร ?
    ตอบอย่างง่าย ๆ .....
    ๑.ช่วยกำจัดกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา ด้วยสมถะภาวนาได้ในเบื้องต้น
    จิตใจก็ผ่องใส สามารถเจริญ “อภิญญา”
    แล้วประกอบเป็น “วิชชา” คือ น้อมเข้าสู่วิชชา มี วิชชา ๓ วิชชา ๘
    และพัฒนาอภิญญาให้เจริญได้ ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษ
    ให้สามารถทั้ง เห็นแจ้ง และรู้แจ้ง
    ในสภาวะของ “สังขาร” และ “วิสังขารธรรม” ได้
    จึงเจริญปัญญาจากการที่ได้ ทั้งเห็น ทั้งรู้
    ชื่อว่า ตรัสรู้ตามธรรมของพระพุทธเจ้า
    .....นี่เป็น “อานิสงส์” ในปัจจุบัน
    กล่าวย่อเพียงเท่านี้
    เมื่อเห็นอานิสงส์ปัจจุบัน ก็เห็นอานิสงส์อนาคตได้
    เพราะฉะนั้น กล่าวแต่เพียงเท่านี้
    ถ้าจะกล่าวอานิสงส์ของสมาธิ โดยการเจริญภาวนาวิธีนี้...นับประมาณไม่ได้
    เป็นต้นว่า.....
    ๒.ถ้าใครปฏิบัติถึง ธรรมกายที่แก่กล้า เจริญวิชชาชั้นสูง
    ยังจะช่วย “บำบัดทุกข์” และ “บำรุงสุข”
    ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น...ได้เป็นอย่างดี
    และนี้แหละที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้เคยกล่าวว่า
    “ ธรรมกายคนหนึ่ง ช่วยคนได้ครึ่งเมือง ”
    #พระเทพญาณมงคล วิ. (หลวงป๋า)
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    อดีตปฐมเจ้าอาวาส #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

    LuHXfEx8UC8GmJXoDIZgm5aDelTyeohl_P-oNv5cNyz&_nc_ohc=2Aht2el3hiYAX91UarM&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    - บรรดาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง เมื่อท่านเจริญอานาปานสติ ใจหยุดลมหยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็เห็นเป็นดวงใสเหมือนกันหมด.
    1f48e.png อาการของคนจะหลับ กับอาการของคนมีสมาธิ คล้ายกันมาก ต่างกันอย่างเดียว อาการของคนจะหลับนั้นสติสัมปชัญญะมันลดลงๆๆหายไปเลย แต่คนมีสมาธิสติสัมปชัญญะอยู่คู่กับใจที่ใสปลั่งอยู่เท่านั้นเอง
    ที่นี่ ในอาการ ๒ อย่างไปร่วมกันอยู่นั่นแหละ ถ้ากำลังจะเผลอสติ ดวงธรรมดวงเดิมจะตกศูนย์ไป แล้วดวงใหม่ลอยเด่นขึ้นมาตรงศูนย์กลางกาย อันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิมนั่นแหละ กายทิพย์ปรากฏขึ้นมาด้วย ถ้าเคลิ้มหลับไปก็ฝันล่ะ ไปเห็นโน่นเห็นนี่ ก็มารายงานกายเนื้อ หลับแล้วก็ฝันไป
    แต่ว่าเวลาเราปฏิบัติภาวนา เราตั้งใจจริงไม่เผลอสติ ถ้าว่าปฏิบัติถูกกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ก็เห็นกาย ณ ภายในที่สุดละเอียด สุดละเอียดธรรมในธรรมไปแล้วก็เห็นกายในกาย ก็เห็นกันอย่างมีระเบียบ กายในกายก็ตั้งซ้อนกันอยู่ตรงกลางของกลางเข้าไปจนสุดละเอียด ตั้งอยู่ เห็นอยู่ ไม่แยกออกไปไหน
    ส่วนที่จะแยกออกไปนั่น ก็เพราะจิตรวมหยุดเป็นจุดเดียวกันไม่สนิท ไม่อยู่กลางของกลาง เพราะสติเผลอ หรือไม่รู้วิธีรวมใจให้หยุดในหยุดกลางของหยุด เพราะไม่ได้รับการอบรมใจของตนให้เป็นสมาธิไปตามขั้นตอนที่เหมาะสม อันนี้มีพระคุณเจ้าระดับวิปัสสนาจารย์ท่านนึง เป็นเจ้าสำนัก ได้ยินว่าท่านนั่งเจริญภาวนา ท่านนั่งไปเอง พุธโธๆ ก็เห็นกายมนุษย์ละเอียดปรากฏขึ้นภายนอกกายหยาบ ท่านเห็นกายมนุษย์ละเอียดนั่งอยู่ภายนอกกายหยาบ ท่านก็เลยเอากายละเอียดพิจารณากายหยาบ เอากายหยาบพิจารณากายละเอียด ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เพียงเท่านั้นแหละ เลยไม่ได้ก้าวหน้าให้ถึงธรรมกาย ท่านก็พิจารณาไตรลักษณ์อยู่แค่นี้
    อาตมาพยายามส่งเอกสารนิตยสารธรรมกาย ทั้งเทปไปถวาย ไม่ทราบว่าท่านได้ดูหรือเปล่า ถ้าว่าท่านได้ดู ท่านเดินวิธีปฏิบัติตามนิตยสารนั้นแป๊บเดียว ท่านก็จะสามารถปฏิบัติถึงธรรมกาย และถึงพระนิพพานอันเป็นธรรมชั้นสูงได้เร็ว เพราะท่านมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว กายมนุษย์ละเอียดท่านเห็นอยู่แล้วเป็นประจำ นั่งพิจารณาว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เพียงเท่านั้นเป็นประจำ ไม่ได้ปฏิบัติเข้ากลางของกลาง และดับหยาบไปหาละเอียด ให้ไปถึงสุดละเอียด หลายท่านก็สอนกันว่านี่เป็นนิมิตหลอกนิมิตลวง ให้ปฏิเสธเสีย เพราะว่าเขาไม่รู้วิธีเข้ากลางของกลาง และดับหยาบไปหาละเอียด ไปจนสุดละเอียด ถึงธรรมกาย และไปถึงพระนิพพาน ก็เลยนึกว่านี่เป็นนิมิตหลอก ตัดทิ้งซะ ไม่เอาซะเลย
    เมื่อไม่เอาก็ไม่มีฐานที่ตั้งของจิตที่มั่นคง จิตไม่มีฐานที่ตั้งที่จะเป็นสมาธิได้แนบแน่นมั่นคง เพื่อปฏิบัติเข้ากลางของกลางดับหยาบไปหาละเอียด ไปสุดละเอียดถึงธรรมกาย ไม่มีฐานอันมั่นคง เมื่อไม่มีฐานมั่นคงก็ไปไม่ถึงธรรมกาย ไม่ถึงอายตนะนิพพาน แต่ว่าคุณธรรมของท่านบรรลุได้ ละกิเลสท่านก็ทำได้ แต่ว่าที่จะถึงธรรมกายไปถึงอายตนะนิพพาน ท่านยังทำไม่ได้ เพราะท่านเห็นธรรมกายเมื่อไหร่ ก็ปฏิเสธว่าเป็นนิมิต ก็เท่ากับเลื่อยหรือตัดขาเก้าอี้ที่ตนนั่ง
    อีกท่านหนึ่งนั้น เป็นระดับลูกศิษย์ในสำนักหนึ่ง นั่งภาวนาทีไรเห็นกายมนุษย์ กายทิพย์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เพราะอาจารย์ท่านสอนไว้ว่านั่นเป็นนิมิต เป็นนิมิตลวง นั่งไปอีกก็เห็นอีก ไม่เอา ปฏิเสธเสีย ธรรมจึงไม่ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร ไปติดอยู่แค่นั้น
    เพราะฉะนั้น เรื่องจริงๆก็มีอยู่นิดเดียวเท่านั้นว่า บางท่านอาจจะถือกันมาผิดๆ จากเจตนาที่พระอาจารย์ท่านสอนจากประสบการณ์
    จากที่เคยได้ยินได้ฟังมา พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ท่านได้เห็นดวงกสิณของท่านดวงใหญ่ พอท่านเห็นแล้ว ตอนเรกๆท่านก็ตามดูกสิณนั้นไป เห็นเข้าไปเรื่อยๆ ดูตามไปก็เห็นต่างๆนานา เห็นเหมือนกับระลึกชาติ เห็นชาติเก่าบ้าง ชาติใหม่บ้าง อนาคตบ้าง อะไรบ้าง ท่านก็ดูตามไปเรื่อยๆ เห็นอะไรต่อมิอะไร หนักเข้าๆก็เห็นจะไม่ได้เรื่อง ท่านก็เลยบอกว่า โอ! นี่ไม่มีประโยชน์ นิมิตไม่มีประโยชน์ ท่านก็ตัดทิ้ง คือท่านปฏิเสธ
    ฟังให้ดี แปลว่า ท่านปฏิเสธนิมิตลวง ที่เห็นปรากฏอยู่ข้างนอก ซึ่งถูกต้อง ไม่ผิด ท่านปฏิเสธนิมิตลวง เพราะนั่นยังไม่ใช่ของจริง เพราะไม่ได้เข้ากลางของกลาง ณ ภายใน ต่อเมื่อภายหลังท่านปฏิบัติไปๆ เมื่อท่านได้ทำใจให้หยุดนิ่งสนิท จนใจสงบที่ศูนย์กลางกาย ท่านก็ได้"#ดวงพุทโธ"นะ ท่านเรียกว่า"ดวงพุทโธ" ได้เคยอ่านประวัติท่าน ตอนที่ท่านไปอยู่ป่าเขา ชาวเขาถามท่าน(หลวงปู่มั่น)ว่า ตุ๊เจ้าเดินหาอันหยัง ? เพราะตุเจ้าเดินจงกรมอยู่เรื่อยๆ ท่านตอบว่า"#หาดวงพุทโธ"
    ความจริงท่านก็เดินจงกรม ใจท่านหยุดท่านก็รู้ พิจารณาไปข้างใน ที่นี้ พวกชาวเขาก็ถามท่านว่า แล้วก็อย่างพวกเขานี่ เขาจะหาดวงพุทโธได้ไหม ท่านก็บอกว่า"ได้ มาสิ" แล้วท่านก็แนะนำกัมมัฏฐานให้ แต่จะได้เท่าไหร่ ได้ผลเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง นี้เป็นประวัติของท่าน มีอยู่ในหนังสือ ท่านเรียกดวงธรรม ณ ภายในนั้นว่า "ดวงพุทโธ"
    เพราะฉะนั้น บรรดาระดับอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง เมื่อท่านเจริญอานาปานสติ ใจหยุดลมหยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็เห็นเป็นดวงใสเหมือนกันหมดไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นท่านจะสอนลูกศิษย์ลูกหาต่อไปว่า ให้เอามาพิจารณา ณ ภายใน อย่าให้อยู่ข้างนอก เหมือนกันหมด ท่านให้เอานิมิตมาพิจารณาข้างในทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วผู้ปฏิบัติก็จะรู้ทางสายกลางไปเอง แต่สำหรับพระอริยเจ้าท่านไม่เอามาพูดมาก
    ก็ขอเจริญพรไว้เพียงเท่านี้ว่า ไม่ได้แตกต่างกันหรอก เหมือนกันแหละ ทำไปเถอะ แล้วก็จะไปที่เดียวกันนั้นแหละ ไม่ไปไหนหรอก เพราะทุกคนก็มุ่งนิพพาน ซึ่งในทางปฏิบัติจักต้องผ่านทางสายเอก และทางสายกลาง ตรงกลางของกลางธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้คือ"ใจ" ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของแต่ละกาย จากสุดหยาบไปจนสุดละเอียดทั้งสิ้น ไปไหนไม่รอด เพราะถึงจุดหนึ่งก็ไปทางเดียวกันนั่นแหละ
    แต่ทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาบางท่านนี่แหละ ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด ตรงที่ว่านิมิต(ลวง)ไม่ให้ถือ และยิ่งเมื่อเห็นอะไรเป็นนิมิตไปหมด ก็เลยปฏิเสธหมด เมื่อปฏิเสธหมดก็ไม่มีฐาน ปฏิเสธนิมิตจิตก็ไม่มีฐานที่ตั้ง เหมือนยิงจรวด ไม่มีฐานที่มั่นคงจะไปได้สักเท่าไร
    #พระพุทธเจ้าได้ตรัส อยู่ในฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย
    ว่า....
    "เมื่อภิกษุไม่เป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตแล้ว จะยังสัมมาทิฏฐิ(คือความเห็นชอบ)แห่งวิปัสสนา ให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จะยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละสังโยชน์ทั้งหลาย(คือหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง)ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ละสังโยชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้เลย"
    ( พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๒, อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต, ข้อ ๓๓๙, หน้า ๔๗๒-๔๗๓. [ คำแปลจากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของกองตำราคณะธรรมทานไชยา พ.ศ. ๒๕๑๔, หน้า ๒๘๕-๒๘๖.])
    ที่นี้ อาจจะสงสัยนิดหนึ่งตรงที่ว่า ตรงนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ทำนิพพานให้แจ้งจะต้องละสังโยชน์ได้ทั้งหมด นั่นหมายถึงคุณธรรมพระอรหันต์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมบอกว่าคนนั่งภาวนาถึงธรรมกายถึงนิพพาน เห็นนิพพานได้ ??
    #ตรงนี้เป็นวิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยการข่มกิเลสชั่วคราว และคำว่า"#รู้แจ้ง"นั้น ถ้ายังไม่เป็นพระอริยเจ้าก็แจ้งน้อยกว่าพระอริยเจ้า แต่ก็ถึงประตู รู้เส้นทางจะไปแล้ว ได้สัมผัสทั้งสังขารและวิสังขารแล้ว ว่ามีลักษณะหรือสามัญญลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ก็เพียรปฏิบัติไป เมื่อบารมีเต็มก็หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงได้ เรื่องก็เป็นอย่างนี้
    การเจริญภาวนาได้ถึงธรรมกายและอายตนะนิพพาน แม้จะยังไม่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง ก็หลุดพ้นได้ชั่วคราว ด้วยวิกขัมภนวิมุตติ การหลุดพ้นมีตั้งหลายระดับ ระดับด้วยการข่มกิเลส ทำได้ มีได้
    แต่ว่าอวิชชาจะหมดหรือไม่หมดโดยสิ้นเชิง อวิชาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะจิตไม่สังขาร และเมื่อปฏิบัติภาวนาดับหยาบไปหาละเอียดถูกเครื่องรู้เห็น คือทิพพจักษุ ทิพพโสตของกายทิพย์ ละเอียดยิ่งขึ้นไปจนถึงญาณทัศนะของธรรมกาย ซึ่งเชื่อมต่อถึงกัน พอให้รู้ พอให้เห็น พอให้ได้สัมผัส พอเข้าใจสภาวะพระนิพพานและอายตนะนิพพานได้ ด้วยอาการอย่างนี้
    แต่คำว่า"#รู้แจ้งหรือทำนิพพานให้แจ้ง"ได้จริงๆนั้น หมายเอาคุณธรรมพระอรหันต์ ท่านรู้แจ้ง ไม่มีอะไรปิดบังท่านในเรื่องของพระนิพพาน เรื่องเป็นอย่างนี้.
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มา
    "ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ"
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    mWpb5nv7OmdwApbXsk-IVpzM7zhcT1kqzDOBPwVYOjy5&_nc_ohc=2G99dvOKL5kAX_lP12S&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    2N_HJ5BO10io7gSkV6hSxnm&_nc_ohc=Yn3TMEebkeoAX-brwWt&tn=32SMgKculfo9F24p&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg


    #๑เดียวในสังฆมณฑล
    #เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหารัชมังลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญมหาเถระ ป.ธ.๙)
    1f64f.png #ภิกษุผู้สอบได้เปรียญธรรม๙ ประโยคก่อน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ เพียงรูปเดียว(ที่ยังดำรงธาตุขันธ์)
    1f64f.png ภิกษุผู้เป็นพระราชาคณะ
    ก่อน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ เพียงรูปเดียว
    (ที่ยังดำรงธาตุขันธ์)
    1f64f.png ภิกษุผู้เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ลำดับที่๑แห่งสังฆมลฑล เพียงรูปเดียว
    (ที่ยังดำรงธาตุขันธ์)
    1f64f.png ภิกษุที่ได้รับการถวายสมณศักดิ์จากต่างประเทศมากที่สุด เพียงรูปเดียว
    (ที่ยังดำรงธาตุขันธ์)
    1f64f.png ภิกษุชั้นสมเด็จพระราชาคณะที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่๑๙ให้ใช้คำนำหน้าราชทินนามว่า
    #เจ้าพระคุณเพียงรูปเดียวในสังฆมลฑล
    วาระโอกาส
    #อายุวัฒนมงคล๘รอบ ๙๖ ปี ๗๖ พรรษา
    #สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
    (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.๙)
    #เจ้าอาวาสวัดปากน้ำเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
    ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๔
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,525
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...