ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เหนือ-อีสานหนาวเย็น คาดสัปดาห์นี้อุณหภูมิจะลดอีก

    [​IMG]

    ภูมิภาค 10 พ.ย.- อุตุฯ เชียงรายเตือนประชาชนรับมืออากาศหนาวเย็น คาดสัปดาห์นี้อุณหภูมิจะลดอีกเหลือ 8 องศาฯ อาจเกิดน้ำค้างแข็ง ส่วนอีสานฝนประปรายยิ่งเพิ่มความหนาว ขณะที่ค้าเสื้อกันหนาวมือสองชายแดนจันทบุรีปีนี้ไม่คึกคัก

    นายสมพล สุประการ หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย รายงานสภาพอากาศเช้าวันนี้ (10 พ.ย.) ว่า หย่อมความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้อากาศหนาวเย็น โดยพื้นที่ทั่วไปในเขตตัวเมืองเชียงราย ขณะนี้อยู่ที่ 13.7 องศาเซลเซียส ยอดดอยลดเหลือ 10.3 องศาเซลเซียส และระยะ 2-3 วันนี้ อุณหภูมิมีแนวโน้มจะลดลงอีก โดยเฉพาะในตัวเมืองอาจต่ำถึง 8 องศาเซลเซียส และมีโอกาสเกิดน้ำแข็งได้บนยอดดอย ขอให้ประชาชนจัดเตรียมเครื่องกันหนาวให้พอเพียงแก่ความอบอุ่นของร่างกาย ส่วนเด็กเล็กและผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจควรดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ

    นายบุญยิ่ง คุ้มสุพรรณ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า จังหวัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทั้งระดับจังหวัด และอำเภอ โดยมีผู้ขาดแคลนเครื่องกันหนาวแล้วกว่า 40,000 คน หลายหน่วยงานยังคงให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และวันนี้ (10 พ.ย.) นำเครื่องกันหนาวแจกช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านเขาฟ้า ต.ดอนทอง อ.เมือง จำนวน 50 คน เนื่องจากสภาพพื้นที่อยู่ในหุบเขา อากาศตอนกลางคืนต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส

    ด้านศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี รายงานว่า จังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสานมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส มีลมแรงและมีฝนเป็นบางแห่งร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งลักษณะอากาศดังกล่าวจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดสัปดาห์และมีความเร็วลมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขอให้ระมัดระวังปัญหาสุขภาพ

    นายสมบัติ จึงตระกูล นายกชมรมผู้ประกอบการค้าชายแดนไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2008
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ****

    เห็นภัยไกลตัว ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ
    ใช้ชีวิตไม่ประมาท สร้างการกระทำเที่ยง ด้วยสัจจะ เพื่อส่งผลเป็นกรรมเที่ยง
    จะช่วยตัวเราเอง ในวันข้างหน้าที่กรรมมาถึง
    จะทำอะไร ก็ให้ระบุความชัดเจนให้กับตนเอง ทำอะไร มากน้อยแค่ไหน
    สำคัญที่สัญญากับตนเองแล้ว ทำได้จริง
    ขอให้ทุกท่าน เป็นผู้ทำได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ทำเมื่อวาน ส่งผลวันต่อๆไป ****

    สิ่งที่ท่านทำไปเมื่อวานนี้...มีผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง
    การกระทำที่ทำไปแล้วเมื่อวาน....ย่อมไม่ตาย คือไม่สูญสลาย เรียกว่า "ตัวกระทำ"
    ตัวกระทำ เปรียบเหมือนภาพถ่ายวีดีโอ...จะติดไปกับจิตวิญญาณเราตลอด
    แล้ว จะส่งผลย้อนกลับมาหาเรา....แผลงเป็นกรรม ในรูปแบบต่างๆ

    พยายามตั้งใจทำสิ่งที่ดีสักหนึ่งข้อ ให้กับตนเอง...ในวันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันต่อๆไป
    สัจจะ คือ การลงมือทำจริง....สามารถแก้ไขอาการตามใจตัวเองได

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ถ้าผิดสัจจะ จะเป็นไรรึเปล่าครับ

    คือผมรับสัจจะบอกว่าจะรู้สุข รู้ทุกข์7วันนี่ก็ผ่านมาครึ่งทางเเล้ว

    เเต่พอดูความรู้สึก มันกลับมองไม่ออกอะว่าสุขหรือทุกกันเเน่ มันงงอ่ะ
     
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
  6. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    พรุ่งนี้วันที่ 11 เดือน 11

    (เป็นวันก่อนลอยกระทง) อิอิ

    ;aa20
     
  7. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    หัวข้อข่าว ทองคำ” หลุมหลบภัยวิกฤตเศรษฐกิจ
    <HR class=b>สุกรี แมนชัยนิมิต
    Positioning Magazine ตุลาคม 2551

    การลงทุนประเภทอื่น ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของโลก ทำให้ราคาที่เคยสูงกับถูกลงอย่างรวดเร็ว และผันผวนหนัก แต่ “ทองคำ” กลายเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่ว่าตลาดการเงินจะดิ่ง ค่าเงินใดจะอ่อนจะแข็ง หรือตลาดหุ้นวูบ “ทองคำ” ก็ยังเปล่งประกาย ยิ่งถือระยะยาวด้วยแล้วมีแต่รวยกับรวย

    เมื่อหุ้นผันผวน เสี่ยงลงทุนแล้วขาดทุน “กวี ชูกิจเกษม” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย แนะว่ามีอีก 3 ทางเลือกสำหรับนักลงทุน คือ 1.ทองคำ 2.กองทุนสินค้าเกษตร และ 3.กองทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนทองคำช่วงนี้ให้ผลตอบแทนสูงสุด

    “การลงทุนในทองคำ ในปีนี้ให้ผลตอบแทนแล้วเฉลี่ยประมาณ 12% และโอกาสราคาทองคำขึ้นมีมากกว่าลง เพราะทองคำเป็น Asset ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองโลก ความตึงเครียดของโลก และสงคราม ราคาทองคำก็มีแต่ขึ้น ทองคำจึงเป็นสถานที่ปลอดภัย (Safe Haven) สำหรับนักลงทุน”

    สำหรับกองทุนสินค้าเกษตรมีแนวโน้มที่ดี เฉลี่ยให้ผลตอบแทนประมาณ 10% เหตุผลคือคนจะเลิกใช้เลิกอะไรก็ได้ แต่คนไม่สามารถเลิกกินข้าวบริโภคอาหารได้ และสุดท้าย กองทุนที่จับต้องได้ อย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนแล้วประมาณ 10%

    สำหรับคนไทยในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ทองคำ” เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนที่คึกคักมากเป็นที่สุด ซึ่ง นพ.กฤชรัตน์ หิรัญยศิริ กรรมการผู้จัดการ ห้างทองแม่ทองสุก ในฐานะรองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ บอกชัดเจนว่า “วิกฤตทางการเงิน เป็นผลดีต่อทองคำ ซึ่งไม่เพียงเป็นหลุมหลบภัยทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดเท่านั้นแต่ยังเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนอีกด้วย”

    สิ่งที่เกิดขึ้น คือเม็ดเงินที่เคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งมีความไม่แน่นอน ผลตอบแทนน้อย เสี่ยงมาก จึงเข้ามาอยู่ในตลาดทองคำ คนมาเก็งกำไรราคาทองคำมากขึ้น รวมทั้งพวกกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ที่ยังมีเงินอยู่ก็ต้องหากำไรจากการลงทุน

    นพ.กฤชรัตน์ คลิกสถิติราคาทองคำ หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานที่ออนไลน์ตลอดเวลา ว่าตลาดทองคำใน 2-3 ปีที่ผ่านมามีการซื้อขายมากขึ้น ราคาจึงเพิ่มขึ้นถึง 50 เหรียญต่อออนซ์ จากปลายปี 2007 ที่ราคาอยู่ที่ 860 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยในปี 2008 ราคาทองคำพุ่งสูง 2 รอบ คือครั้งแรกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ราคามาแตะที่ 1,032 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ สูงสุดในรอบ 30 ปี จากนั้นราคาลดลง จนเมื่อเดือนกรกฎาคม พุ่งกลับมาที่ 980 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และในไตรมาสราคาจะขึ้นไปอยู่ที่ 1,000 เหรียญต่อออนซ์

    นี่คือแหล่งลงทุนในยามที่เกิดวิกฤตการเงิน ผลที่เห็นคือในรอบปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนทองคำได้รับผลตอบแทนอย่างน้อย 10% และนักลงทุนระยะสั้นที่ดูทิศทางตลาดอย่างรอบคอบอาจได้ผลตอบแทนแล้ว 20%

    นอกจากนี้ หากนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ก็จะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นอีก เพราะโดยพื้นฐานแล้วเมื่อดอกเบี้ยลด ทำให้ค่าเงินบาทนั้นอ่อนลง

    ภาพที่เห็นตามร้านทองชื่อดัง ทั้งย่านเยาวราช เจริญกรุง ตลอดช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา คือมีคนออมทุกวัยแต่เข้าคิวซื้อทองคำเป็นร้อยคน โดยเฉพาะทองคำแท่ง หลายร้านถึงขั้นต้องแจกบัตรคิวให้ลูกค้ากันเลยทีเดียว ขณะที่ก่อนหน้านี้ร้านทองค่อนข้างเงียบเหงา

    ไม่เพียงการซื้อขายหน้าร้านเท่านั้น กรณีของห้างทองแม่ทองสุก ซึ่งเปิดให้บริการซื้อขายทองคำแท่งผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยนั้น ก็มีออเดอร์ผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้นหลายเท่าโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายนที่ตลาดทองคำโลกผันผวน จนทำให้บริการลูกค้าไม่ทันซึ่ง นพ.กฤชรัตน์บอกว่า ลูกค้าจำนวนมากต้องรอถึงครึ่งวัน หรือรอถึง 3 ทุ่มก็ยังมี จนต้องงดการเปิดบัญชีใหม่ถึง 10 วัน เพื่อปรับปรุงระบบ และเพิ่มพนักงานบริการให้มากขึ้น

    “นี่คือช่วงที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคตื่นทอง”

    อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง แม้ผู้ค้าทองคำอยากได้กำไรในยุคนี้ สำหรับ นพ.กฤชรัตน์ ให้คำแนะนำการลงทุนทองคำว่า
    1. ผู้มาลงทุนควรใช้เงินออมมาลงทุน ไม่ควรกู้เงินมาซื้อทองคำ
    2. ผู้ลงทุนต้องศึกษาให้ดีว่า ทองคำราคาขึ้นลงเพราะอะไร ให้มีความมั่นใจก่อนแล้วค่อยลงทุน ไม่ต้องรีบร้อน เพราะการลงทุนมีโอกาสทุกเวลา ไม่ได้หมายความว่าซื้อไม่ทัน แล้วหมดโอกาส หรือราคาขึ้นแล้วลงไม่ได้ หรือราคาลงแล้วจะน่าซื้อเสมอไป


    ราคาทองคำแท่ง (บาทละ) ณ วันที่ 7 ต.ค. 2008 ราคาเพิ่มขึ้นจากวันที่ 6 ม.ค. 2003 97.87%
    --------------------------------------------------------------------
    วันที่ รับซื้อ ขายออก
    -------------------------------------------------------------------
    6 ม.ค. 2003 7,050 7,150
    5 ม.ค. 2004 7,700 7,800
    3 ม.ค. 2005 8,050 8,150
    3 ม.ค. 2006 10,000 10,100
    3 ม.ค. 2007 10,850 10,950
    3 ม.ค. 2008 13,450 13,550
    15 ก.ค. 2008 15,350 15,400
    7 ต.ค.2008 13,950 14,050
    --------------------------------------------------------
    ที่มา : สมาคมค้าทองคำ
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]

    ช้างกับสถาบันพระมหากษัตริย์

    ตั้งแต่อดีตกาล ช้างเผือกถือเป็นสัตว์มงคลแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ช้างเผือกในที่นี้ มิใช่ช้างที่เกิดลักษณะการสร้างเม็ดสีรงควัตถุ (Pigment) ของผิวหนังผิดปกติที่เรียกว่า Albino หากแต่เป็นช้างที่มีคชลักษณะที่ดีต้องตามตำราคชศาสตร์

    ช้างเผือกเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง จึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ทำให้บ้านเมืองรุ่งเรือง ช้างเผือกเป็นสิ่งหนึ่งในแก้ว ๗ ประการ อันเป็นเครื่องหมายของพระเจ้าจักรพรรดิ ได้แก่ ๑. จักรแก้ว ๒. ช้างแก้ว (เป็นช้างเผือกชื่ออุโบสถ) ๓. ม้าแก้ว ๔. มณีแก้ว ๕. นางแก้ว ๖. ขุนคลังแก้ว ๗.ขุนพลแก้ว ความนิยมเกี่ยวกับ ช้างเผือก ในอินเดียมีมาแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว ดังนั้น แนวความเชื่อ และตำราเกี่ยวกับช้างเผือกในประเทศไทย ตลอดจนถึงพวกพม่า มอญ เขมร ลาว อาจมีมานานพอ ๆ กับระยะเวลาที่ศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาแพร่มาถึงและจำเริญรุ่งเรืองในภูมิภาคแถบนี้ก็ว่าได้


    ตำราพระคชศาสตร์และกฏหมายเกี่ยวกับช้างเผือก

    "ช้างเผือก" เป็นคำสามัญ ที่คนส่วนใหญ่ เข้าใจว่าใช้เรียกช้างที่มีสีของผิวหนังเป็นสีขาวอมชมพูแกมเทา เช่นเดียวกับควายเผือก แต่การดูที่สีผิวอย่างเดียวจะไม่สามารถกำหนดได้ว่า ช้างเชือกนั้น ๆ เป็นช้างเผือกในความหมายของ "ช้างสำคัญ" ซึ่งมีมงคลลักษณะครบถ้วน นอกเหนือจากลักษณะอื่น ๆ ที่จะระบุว่าช้างนั้นอยู่ในพงศ์ใด ตระกูลใดแล้ว จึงจะถือเป็นช้างของผู้มีบุญญาธิการ ดังที่กล่าวข้างต้น

    พระราชบัญญัติรักษาช้างป่าพุทธศักราช ๒๔๖๔ มาตรา ๔ ระบุว่า "ช้างสำคัญ" ให้พึงเข้าใจว่า เป็นช้างที่มีมงคลลักษณะ ๗ ประการตามตำราพระคชศาสตร์ (ตำราพระคชศาสตร์แบ่งเป็นสองตอน ตอนหนึ่งว่าด้วยแบบคชลักษณ์ คือรูปพรรณสัณฐานของช้างต่าง ๆ ซึ่งดีและชั่วถ้าได้ไว้จะให้คุณและให้โทษอย่างไร อีกตอนหนึ่งเป็นที่รวบรวมเวทมนต์เรียกว่า คชกรรม คือ กระบวนการจับช้างรักษาช้าง และบำบัด เสนียดจัญไรต่าง ๆ ) มงคลลักษณะ ๗ ประการ ประกอบด้วย ๑. ตาขาว ๒. เพดานปากขาว ๓. เล็บขาว ๔. ขนขาว ๕. พื้นหนังขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่ ๖. ขนหางขาว ๗. อัณฑโกสขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่ จากความหมายแห่งพระราชบัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่า "ช้างสำคัญ" คือช้างเผือกที่มีลักษณะครบถ้วน สำหรับช้างเผือกตามความหมายของคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งสังเกตุจากลักษณะครบถ้วนก็ได้ ในกรณีที่ช้างมีลักษณะมงคลอย่างหนึ่งอย่างใด (หรือหลายอย่างแต่ไม่ครบ) ใน ๗ อย่าง ตามพระราชบัญญัติตามมาตรานี้ ให้เรียกว่า "ช้างประหลาด" หรือ "ช้างสีประหลาด" นอกจาก "ช้างสำคัญ" และ "ช้างประหลาด" แล้ว กฏหมายฉบับนี้ยังได้กล่าวถึง "ช้างเนียม" ไว้ด้วยโดยระบุลักษณะของช้างเนียมไว้ ๓ ประการ คือ พื้นหนังดำ งามีลักษณะดังรูปปลีกกล้วย และเล็บดำ ซึ่งเป็นลักษณะของช้างที่แปลกประหลาดและหายาก

    ช้างทั้งสามประเภทเป็นช้างคู่บารมีของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ดังนั้นในมาตรา ๑๒ ของกฏหมายฉบับดังกล่าวจึงกำหนดให้ผู้ที่ครอบครองช้างสำคัญ ช้างประหลาดและช้างเนียม ต้องนำช้างดังกล่าว ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นช้างทรงต่อไปตามราชประเพณีที่ถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาล ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษ

    ช้างเผือกถือว่ามีศักดิ์สูงเทียบชั้นเจ้าฟ้า การอ่าน ฉันท์ ดุษฏี สังเวยและขับไม้สมโภชนั้น ถือว่าเป็น ของสูงจะมีได้เฉพาะในงานพระราชพิธีที่สำคัญ ๆ เพียง ๓ งานเท่านั้น คือ ๑. การสมโภชพระมหาเศวตฉัตร และเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล ๒. การสมโภชในงานพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่ดำรงพระยศชั้น "เจ้าฟ้า" และ ๓. พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ ด้วยเหตุนี้ในสมัยโบราณจึงถือว่าช้างเผือกนั้นมีศักดิ์สูงเทียบชั้นเจ้าฟ้า

    ที่มา : สถาบันคชบาลแห่งชาติ http://www.thailandelephant.org/elephant3.php3

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2008
  9. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    งงก็ให้รู้ว่างง สงสัยก็รู้ว่าสงสัย
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    สาธุจ้า
    [​IMG]
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** พัฒนาตัวเอง ****

    เมื่อเราอยู่ในเวลาของสัจจะ ในชั่วโมงของการปฏิบัติตนด้วยสัจจะ
    ก็จะทำให้เรารู้จักพิจารณาตนเอง เชื่อมโยงความรู้สึกนึกคิดกับการกระทำ

    ในความสุขของเรา อาจทำให้คนอื่นเขาทุกข์ก็ได้
    การกระทำมันทับซ้อน เชื่อมโยงกัน
    บางครั้ง ผลการกระทำของเราไปไกลเกินกว่าที่เราคาดคิด

    ขอให้เป็นข้อคิดว่า...
    เมื่อท่านดูจนรู้ตัวเองแล้ว ....ท่านควรที่จะทำอะไรต่อไป !!!

    "ความคิดกับการกระทำ ต่างกันเหมือนน้ำกับดิน"
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. อบ.

    อบ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,538

    เอาจิตไปแสวงหาจิต หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพราะจิตเกิดดับทีละดวง ทำงานทีละอย่าง แต่รวดเร็วมาก และต่อเนื่อง จนเรารู้สึกว่า จิตไม่ได้เกิดดับ แต่คงอยู่อย่างนั้น วิ่งไปวิ่งมา


    อุปมาเหมือน แสงไฟฟ้าจากหลอดไฟ ความจริงเกิดดับเร็วมาก แต่เรามองไม่ทัน จึงเห็นเหมือนสว่างตลอดเวลา


    สภาวะอะไรที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน ให้รู้

    เพราะสภาวะ ไม่ได้มีแค่สุข และทุกข์

    มีอย่างอื่นอีก

    มี "อทุกขมสุข" คือไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย

    แต่อะไรเกิดขึ้นในจิตใจ ก็ให้รู้ไป


    ว่างก็รู้ ฟุ้งก็รู้ งงก็รู้ สงสัยก็รู้ คิดก็รู้ โกรธก็รู้ อยากได้อะไรก็รู้ อยากพูดก็รู้

    ไม่ทำอะไร นอกจากรู้สภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริง


    เพื่อให้กระจ่างยิ่งขึ้น ขออนุญาตแนะนำให้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช เกี่ยวกับการดูจิต หรือดูสภาวะ ที่ www.wimutti.net/pramote ค่ะ
    ;aa22
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2008
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อ่างทองน้ำยังท่วมหนัก 3 อำเภอ

    [​IMG]

    อ่างทอง 10 พ.ย. - ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่จังหวัดอ่างทอง จำนวน 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอป่าโมก และอำเภอไชโย

    ล่าสุด (10 พ.ย.) ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะหมู่ 10 ต.บ้านอิฐ อ.เมือง แม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอ่อเข้าบ้านเรือนประชาชน และวัดไพรวัลย์ สูงกว่า 1.5 เมตร พระสงฆ์ต้องขนย้ายสิ่งของขึ้นไปไว้บนที่สูง และใช้เรือสัญจรแทน ขณะที่ชาวบ้านกว่า 100 ครอบครัว ย้ายสิ่งของมาพักอาศัยชั่วคราวอยู่ในเต็นท์ริมถนนคันคลองชลประทานบ้านอิฐ พร้อมเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย. -สำนักข่าวไทย

    2008-11-10 18:15:36

    น้ำท่วมฉับพลันเกาะสมุย-เตือน 10 อำเภอรับมือ

    [​IMG]

    ภูมิภาค 10 พ.ย.- ฝนกระหน่ำสุราษฎร์ฯ น้ำท่วมฉับพลันถนนรอบเกาะสมุย ระดมป้องกันย่านเศรษฐกิจหาดเฉวง-ตลาดดาว ด้านสถานีอุตุฯ เตือน 10 อำเภอชายฝั่ง เตรียมรับมือคลื่นสูง ด้านผู้ว่าฯ ชุมพร ประชุมด่วน เน้นย้ำ 8 อำเภอ พร้อมรับมือ 24 ชม.

    นายอดิสร กำเนิดศิริ นายอำเภอเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำท่วมขังฉับพลันในพื้นที่ 10-30 เซนติเมตร ลงสู่ทะเล หลังฝนตกต่อเนื่องมาหลายวัน โดยเฉพาะบริเวณถนนทางลงหาดละไม และบริเวณหน้าตลาดแม่น้ำ รถยนต์ขนาดเล็กสัญจรไม่ได้ นอกจากนี้ ยังเร่งป้องกันถนนหาดเฉวง และตลาดดาว เนื่องจากเป็นพื้นที่ย่านเศรษฐกิจของเกาะสมุย และมีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยปริมาณฝนที่ตกบนเกาะสมุย เช้าวันนี้ (10 พ.ย.) วัดได้ 140.3 มิลลิเมตร และยังคงตกต่อเนื่อง

    ด้านนายวีระ สม่าหลี เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ระหว่างศูนย์กลางของความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่าง และอ่าวไทย ทำไห้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก และคลื่นลมแรงอีก 1-2 วัน ขอให้พื้นที่ 10 อำเภอชายฝั่ง คือ อ.เมือง ดอนสัก กาญจนดิษฐ์ ไชยา ท่าชนะ ท่าฉาง เกาะสมุย เกาะพะงัน พุนพิน และวิภาวดี เตรียมป้องกันปัญหาดินโคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลาก และคลื่นถล่มชายฝั่ง

    นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางมาตรการรับมือจากฝนตกต่อเนื่องตลาด 24 ชั่วโมง เน้นย้ำพื้นที่เสี่ยงภัยใน 8 อำเภอ 124 หมู่บ้าน ระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะตามเชิงเขากระบุรี รอยต่อกับจังหวัดระนอง และ อ.ท่าแซะ เขตรอยต่อประเทศพม่า ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยมากที่สุด ต้องระวังเป็นพิเศษ. -สำนักข่าวไทย

    2008-11-10 16:35:07

    สุราษฎร์ฯ น้ำป่าทะลักท่วมดอนสัก-ชุมพรจมน้ำ 2 อำเภอ

    [​IMG]

    ภูมิภาค 10 พ.ย.- น้ำป่าจากนครศรีธรรมราชทะลักเข้าพื้นที่สุราษฎร์ธานี ท่วมหลายหมู่บ้านอำเภอดอนสัก สั่งเฝ้าระวัง 24 ชม. อาจมีน้ำป่าอีกระลอกคืนนี้ ขณะที่ชุมพรฝนกระหน่ำหนักท่วมแล้ว 2 อำเภอ ผู้ว่าฯ สั่งนำเรือท้องแบนเข้าประจำพื้นที่พร้อมช่วยเหลือ

    นายไพศาล ตรีธัญญา นายอำเภอดอนสัก จ.สุราษฎรานี สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ล่าสุด น้ำป่าจากเทือกเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช ทะลักเข้าท่วม 5 หมู่บ้าน เดือดร้อนกว่า 300 ครัวเรือน ที่ ต.ปากแพรก ต.ไชยคราม และ ต.ดอนสัก ระดับน้ำสูง 30-50 เซนติเมตร พื้นที่การเกษตรถูกจมน้ำกว่า 7,000 ไร่ และคาดว่าคืนนี้จะมีกระแสน้ำป่าไหลมาอีกระลอก พร้อมกันนี้ยังขอเรือท้องแบน 4 ลำ จากสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เข้ามาประจำพื้นที่เตรียมช่วยเหลืออพยพประชาชน หากเกิดเหตุฉับพลัน

    ที่ จ.ชุมพร ฝนตกหนักนานถึง 3 วัน และลมพัดแรง ทำให้ต้นไม้ใหญ่ข้างถนนสายเอเชีย 41 ช่วง อ.ละแม-อ.ทุ่งตะโก ล้มขวางเส้นทางหลายจุด หน่วยกู้ภัยช่วยกันตัดเลื่อยต้นไม้ออกให้พ้นทาง ส่วนบริเวณสามแยกวังตะกอ ถนนเอเซีย 41 ขาล่อง ต.วังตะกอ อ.หลังสวน ทางแยกไป จ.ระนอง น้ำท่วม 30 ซม. เจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กปิดกั้นเตือนประชาชนระมัดระวังการสัญจร

    เช่นเดียวกับ รพ.หลังสวน น้ำไหลท่วมรอบตัวอาคาร 30 ซม. เจ้าหน้าที่เตรียมขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์และผู้ป่วย หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ซึ่ง นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ ผู้อำนวยการ รพ.หลังสวน กล่าวว่า ยังให้บริการรักษาพยาบาลตามปกติ โดยมีน้ำท่วมบ้านพักเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ขณะนี้ อบต.และ อปพร.วังตะกอ มาช่วยขนย้ายสิ่งของแล้ว

    นายชลิต พงศ์สิทธิศักดิ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ชุมพร รายงานว่า พื้นที่น้ำท่วมมี 2 อำเภอ 6 ตำบล 22 หมู่บ้าน คือ อ.หลังสวน 4 ตำบล และ อ.ละแม 2 ตำบล ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรสั่งให้นำเรือท้องแบน 5 ลำ และเครื่องอุปโภคบริโภคเข้าไปสมทบกับอาสาสมัครกู้ชีพและกู้ภัยประตำบล เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น.-สำนักข่าวไทย

    2008-11-10 18:17:10

    ปภ.นครศรีฯ สรุป 3 วัน ฝนถล่มท่วม 8 อำเภอ ไม่รุนแรง

    [​IMG]

    ภูมิภาค 11 พ.ย.- ปภ.นครศรีธรรมราช ระบุสถานการณ์น้ำท่วม 8 อำเภอ ไม่รุนแรง หลังฝนตกต่อเนื่อง 3 วัน เพราะแต่ละพื้นที่รับมือได้ แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อ ขณะที่ศูนย์อุตุฯ ย้ำ 9 จังหวัดใต้ป้องกันพื้นที่เสี่ยง เตือนเรือเล็กงดออกทะเล 11-13 พ.ย.

    นางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปความเสียหายเบื้องต้นจากฝนตกหนักตั้งแต่วันที่ 8-10 พ.ย.ที่ผ่านมา มีพื้นที่ถูกน้ำท่วม 28 ตำบล 163 หมู่บ้าน 5,272 ครัวเรือน 8 อำเภอ คือ ขนอม นบพิตำ ท่าศาลา สิชล ชะอวด พรหมคีรี ร่อนพิบูลย์ และเฉลิมพระเกียรติ ราษฎรเดือดร้อน 21,535 คน รวมถึงภาคการเกษตรและปศุสัตว์ อย่างไรก็ตาม ถือว่าสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่รุนแรง เพราะแต่ละอำเภอสามารถช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาได้ อีกทั้งฝายและเขื่อนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ยังรองรับน้ำได้อีกมาก แม้แหล่งน้ำธรรมชาติมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ขณะที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช ยังคงเปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยไว้อีกระยะ เพราะในพื้นที่ยังมีฝนตกต่อเนื่อง เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานและรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง

    นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก จ.สงขลา ย้ำเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัย 9 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง คือ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รับมืออิทธิพลของความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้ร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคใต้ตอนล่างมีกำลังแรง ฝนกระจายและตกหนักหลายพื้นที่ อาจทำให้น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนอ่าวไทยคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งช่วงวันที่ 11-13 พฤศจิกายนนี้.-สำนักข่าวไทย

    2008-11-11 10:36:33

    อีสานทวีความหนาว-ลิงบางตัวทนไม่ไหวป่วยตาย

    [​IMG]

    เลย 10 พ.ย.- สถานีอุตุฯ เลย คาดพรุ่งนี้อากาศภาคอีสานจะเย็นอีก ท่ามกลางกระแสลมแรง-ฝน-หมอก ขณะที่ฝูงลิงแสมยังเดือดร้อน บางตัวสู้หนาวไม่ไหวป่วยตาย ด้านแพทย์ห่วงติดเชื้อใช้เสื้อกันหนาวมือสอง แนะต้ม-ซักก่อน

    นายคำพัน บุตรราช หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาเลย รายงานพยากรณ์อากาศว่า อุณหภูมิความหนาวเย็นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้ง จ.เลย มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ โดยวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) จะลดลงอีก 2-5 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางตอนเช้าและหมอกหนาบางพื้นที่ และมีลมพัดแรงกับฝนบางแห่งในระยะนี้ สำหรับอากาศวันนี้ (10 พ.ย.) อุณหภูมิต่ำสุดพื้นราบ อ.ภูเรือ 17.0 องศาเซลเซียส ยอดภูเขตอุทยานแห่งชาติภูเรือ 12.0 องศาฯ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 11.7 องศาฯ

    ที่ จ.ยโสธร อากาศที่หนาวเย็นและลมกระโชกแรง ทำให้ฝูงลิงแสมกว่า 1,000 ตัว สวนป่าสาธารณะดอนปูตา บ้านเตาไห หมู่ 5 ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว สู้อากาศหนาวเย็นไม่ไหว โดยเฉพาะลิงแรกเกิด และลิงที่มีอายุมาก ซึ่งมีภูมิต้านทานน้อย ป่วยและตายเกือบทุกวัน ชาวบ้านใกล้เคียงเรียกร้องภาครัฐจัดงบประมาณจัดซื้ออาหารให้ลิงแสม เพื่อจะได้ไม่ต้องออกจากป่ามาหาอาหารกินตามริมถนน เสี่ยงต่อการถูกรถชนตาย

    นพ.ประวิ อ่ำพันธ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ แนะประชาชนที่นิยมซื้อเสื้อผ้ากันหนาวมือสองมาใช้ ควรทำความสะอาดหรือต้มฆ่าเชื้อโรคก่อน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะติดมากับเสื้อผ้ากันหนาวมือสองได้ และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างภูมิต้านทางโรคให้แก่ร่างกายในช่วงฤดูหนาวนี้.-สำนักข่าวไทย

    2008-11-10 17:44:23

    กรมอุตุฯ ระบุอุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศา โดยเฉพาะตอนบนของประเทศ

    [​IMG]

    ภูมิภาค 11 พ.ย.-กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุอุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศา โดยเฉพาะตอนบนของประเทศ

    นักร้องตามร้านอาหาร เขตเทศบาลนครเชียงราย ต้องก่อไฟผิงเพื่อคลายหนาว ขณะรอขึ้นเวทีร้องเพลง หลายคนบอกว่า ปีนี้อากาศหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ร้านจำหน่ายเสื้อผ้ากันหนาวคึกคัก และมีการปรับขึ้นราคาจากเดิม 50-80 บาท ชาวบ้านจึงสนใจซื้อเสื้อผ้ามือสองมากขึ้น

    ส่วนที่น่านอากาศหนาวเย็นไม่แพ้กัน ทำให้เด็กเล็กและคนชราเริ่มป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และไข้หวัดเป็นจำนวนมาก ขณะที่แพทย์เตือนผู้ปกครองควรเอาใจใส่เด็กเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นตลอดเวลา

    เช่นเดียวกับที่ตาก อากาศเริ่มหนาวเย็น กองทัพบกนำผ้าห่มจำนวน 900 ผืน ไปมอบให้ชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ต.ขะเนจื้อ อ.แม่ระมาด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสภาพอากาศหนาวเย็น.-สำนักข่าวไทย

    2008-11-11 04:14:43

    ที่มา http://news.mcot.net/local/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    แถวนี้ลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์เยอะครับ
    คุณ falkman นี่ก็ใช่

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** พิจารณาตนเอง ค้นหาต้นตอ ****

    เมื่อรู้ว่าทุกข์...ก็หาว่านิสัยอะไร
    เป็นต้นเหตุ...ทำให้เกิดการกระทำ ที่ก่อให้เกิดทุกข์

    รู้ได้ หาได้ ... ก็สามารถที่จะหยุดได้ ด้วยสัจจะ
    คือ นำมากำหนดเป็นข้อปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่ทำในสิ่งนั้น ในเวลาที่กำหนด
    ปฏิบัติให้เป็นประจำ ต่อเนื่อง...นิสัยนั้น จะลดลง จนหมดไปได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2008
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ****

    นิสัยที่เหลือจากชาติก่อน...
    พอตายแล้วเกิดใหม่ นิสัยก็ติดตามมาด้วย
    ถ้าเรา ไม่พยายามหยุดนิสัยที่มีให้หมดไป
    การกระทำเดิมๆ แบบชาติก่อน ก็ย้อนรอยมาเหมือนเดิม
    กรรม ก็จะปรากฏลักษณะเดิมๆ เป็นวงเวียน
    แต่ถ้าเราหยุดนิสัยตัวหนึ่งได้ การกระทำใหม่ก็เกิดขึ้นมา
    ผลตอบแทนใหม่ๆที่ดี ก็จะปรากฏ กรรมรูปแบบเดิมๆ ก็หมดไปได้
    เมื่อตายไป สิ่งที่ทำได้ คือตัวกระทำ จะจัดสรรให้ไปเกิดในที่ดีและเหมาะสม
    แต่ถ้าชาตินี้ พยายามขจัดนิสัยหมดไปได้จริง เมื่อตายไป ตัวกระทำก็จัดสรรไม่ต้องมาเกิดใหม่

    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    หัวข้อข่าว ส่งออกวูบกว่า 3 แสนล้านบาท <HR class=b>สุกรี แมนชัยนิมิต
    Positioning Magazine ตุลาคม 2551

    ปรากฏการณ์พญาอินทรีปีกหัก ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่จะลุกลาม ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอีกนาน คือความเห็นตรงกันจากทั้งนักวิชาการและกูรูด้านเศรษฐศาสตร์ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมืองไทย ที่ต้องเจอทั้งปัจจัยภายนอกประเทศและในประเทศ จนในที่สุดแล้วภาคเศรษฐกิจจริงของไทยจะมีปัญหา โดยเฉพาะรายได้จากการส่งออกของไทย ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

    สาหัสยาวถึงปี 2009

    ทันที่มีมีข่าวว่า “เลแมน บราเดอร์ส” ประกาศ “ล้มละลาย” “กรรณิกา ชลิตอาภรณ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ แบงก์ขนาดใหญ่ของไทยบอกทันทีว่าวิกฤตรอบนี้จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอ และซึมยาวไปอีกอย่างน้อย 1 ปี รวมทั้งประเทศไทย ที่ภาคธุรกิจต้องเลือกชะลอการลงทุนหากลงทุนต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง

    อีกความเห็นหนึ่งจาก ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยคงหนีไม่พ้นชะลอตัวลง โดยเฉพาะการส่งออก

    “วิกฤตครั้งนี้จะยังไม่หยุด แม้จะมีแผนกอบกู้วิกฤตสถาบันการเงินแล้ว ไม่แน่ว่าปัญหาจะจบที่ตรงไหน เพราะปัญหาไม่อยู่ที่อสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว แต่กำลังลุกลามไปสู่ภาคสินเชื่อผู้บริโภคอื่นๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ต่างๆ และสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งวันนี้สินเชื่อบัตรเครดิตสหรัฐฯ กำลังมีปัญหา และลุกลามไปถึงภาคอื่น น่าจะยาวนานถึงปีหน้า”

    ดร.ศุภชัย ยังบอกด้วยว่าวิกฤตนี้จะกระทบต่อการค้าของโลกพอสมควร เพราะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินแพงขึ้น ซึ่งจะทำให้ใช้เงินเพื่อทำการค้าแพงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมการค้าโลกที่ชะลอตัวอยู่แล้วก่อนหน้านี้ จากอัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้การค้าโลกหดตัวเหมือนเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียเมื่อ 11 ปีที่แล้วที่การค้าโลกหดตัว 10%

    “ผลกระทบต่อไทยโดยตรงเป็นภาคการส่งออก เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกคิดเป็นเกือบครึ่งของการขยายตัวของรายได้ประชาชาติ (จีดีพี) แต่ไทยโชคดีที่มีการกระจายตลาดมาหลายปีแล้ว ทำให้เราไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เหมือนสมัยก่อน เรามีการกระจายตลาดไปยุโรปและเอเชีย ส่วนประเภทสินค้าที่จะกระทบน่าจะเป็นสินค้าพวกสิ่งทอ เครื่องหนัง และอาหารกระป๋อง ที่ไปสหรัฐฯ และยุโรปค่อนข้างมาก”

    ผลกระทบจากวิกฤตสหรัฐฯ นั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่การสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ น่าจะช่วยพยุงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

    หากคนสหรัฐฯ ไม่จับจ่ายใช้สอย ย่อมกระทบไปทั่วโลก เพราะตลาดสหรัฐฯ มีการบริโภคมีเงินหมุนเวียน สร้างเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนจีดีพีถึง 20% ของโลก

    “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศไทย เครือเจริญโภคภัณฑ์ บอกว่า ตลาดส่งออกสำคัญของไทยมี 3 แห่ง คือ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น 3 ตลาดมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 60% คาดว่า ในช่วง 6 เดือน – 1 ปีจากนี้ ซึ่งต่อเนื่องถึงปี 2009 อัตราการเติบโตของส่งออกของไทยจะโตเพียง 10% จากก่อนหน้านี้เคยโต 15-20% เช่นเดียวกับปี 2008 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

    การคาดการณ์ยอดส่งออกที่ลดลง มีมาจากสำนักวิจัยหลายแห่ง เช่น ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าในปี 2008 ไทยจะส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวเหลือ 5.5% คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 125 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,056 ล้านบาท ผลการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงจะต่อเนื่องถึงปีหน้า ทำให้การส่งออกรวมของไทยโตลดลงจาก 18.9-20.7% ในปี 2008 เหลือ 12.9-15% ในปี 2009 หรือมูลค่าส่งออกเหลือ 2.04,802-2.11แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากตลาดการเงินในยุโรปและญี่ปุ่นมีปัญหา ซึ่งทั้ง 3 แห่งเป็นตลาดที่มีสัดส่วนการส่งออกของไทยแห่งละประมาณ 10-15% จะทำให้มูลค่าส่งออกของไทยขยายตัวเหลือเพียง 10-11% หรือมูลค่าเหลือเพียง 1.99-2.02 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่าหายไปประมาณ 9,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท

    สำหรับสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบมี 5 สาขา คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ สิ่งทอ อัญมณี และเครื่องประดับ อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป และผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยสาขาที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือสิ่งทอ อัญมณี และเครื่องประดับ และเครื่องคอมพิวเตอร์

    ขณะเดียวกันศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยถึงการส่งออกของไทยไปจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมปี 2008 ว่ามีการเติบโตชะลอลงเหลือเพียง 1.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการโตที่ต่ำสุดในรอบปี เพราะภาวะส่งออกของจีนที่อ่อนแรงจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของจีนเพื่อผลิตส่งออกชะลอลงด้วย

    สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนที่ขยายตัวชะลอลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัว 12.6 %ในเดือนสิงหาคม จากที่เติบโต 25.8% ในเดือนก่อนหน้า เม็ดพลาสติกขยายตัว 0.1% จากที่ขยายตัวมากกว่า 50% ในเดือนกรกฎาคม และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่เติบโต 4.4% จากที่ขยายตัว 33% ในเดือนก่อนหน้า

    ปัญหาอาจลุกลามตามมา เพราะทั้งจีนและไทยต่างมีตลาดหลักในการส่งออกตลาดเดียวกันคือ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งจีนส่งออกไป 3 ตลาดนี้รวมกันกว่า 45%

    นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าวิกฤตกำลังใกล้เข้ามา ลุกลามจากสถาบันการเงินมาสู่ภาคเศรษฐกิจจริง อย่างผู้ผลิต และผู้ส่งออก ที่นอกจากต้องเจอปัญหาต้นทุนทางการเงินแพงขึ้น เพราะสภาพคล่องของโลกตึงตัวแล้ว หากธุรกิจส่งออกมีปัญหา ไม่มีตลาดรับซื้อ รายได้ไม่เข้าประเทศ หนีไม่พ้นเกิดภาวะธุรกิจโรงงานปิดตัว คนตกงาน ปัญหาวิกฤตทางการเงินครั้งนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจโลกจึงไม่อาจนิ่งเฉย

    ตลาดส่งออกของไทยปี ม.ค.-ส.ค.2008
    ตลาด มูลค่า (ล้าน $) เพิ่มขึ้น/ลดลงเทียบกับปี 2008 (%) สัดส่วน % ของการส่งออก
    1. ตลาดหลัก 62,025 17.6 51.7
    สหรัฐอเมริกา 13,479 8.2 11.2
    ญี่ปุ่น 13,552 16.1 11.3
    สหภาพยุโรป 14,161 10.0 11.8
    อาเซียน 20,832 33.1 17.4
    2. ตลาดรอง 17,743 25.2 14.8
    (ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย แคนาดา)
    3. ตลาดใหม่ 38,486 36.0 32.1
    (อินโดจีน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ อินเดีย จีน
    4. ตลาดอื่น ๆ 1,805 36.4 1.5

    ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์


    สัดส่วนการส่งออกของไทย
    ปี 1995 ตาดหลัก 69% ตลาดใหม่ 31%
    ปี 2007 ตลาดหลัก 54% ตลาดใหม่ 46%

    “ตลาดใหม่” ความหวังของการส่งออกไทย
    ประเทศ/ภูมิภาค สัดส่วน อัตราเติบโตปี 2007</B>
    ปี 1995 ปี 2007
    จีน 2.9 9.7 26.5
    อินเดีย 0.5 1.7 47.2
    แอฟริกาใต้ 0.4 0.9 20.9
    อินโดจีน 2.7 4.9 22.1
    ตะวันออกกลาง 4.5 4.9 30.0
    ----------------------------------------------------------------------
    ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
     
  18. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อันนี้ดิฉันเห็นด้วยอย่างมาก เพราะอยู่กับการท่องเที่ยวแถวป่าตองโรงแรมใต้ระส่ำไฮซีซันยังวูบ 20%</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 พฤศจิกายน 2551 08:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โรงแรมใต้ครวญ ยอดจองห้องพักไฮซีซันตก 15-20% จากปีก่อน หวั่นโลว์ซีซันยิ่งซบหนัก เหตุวิกฤตการเงินโลก กระทบนักท่องเที่ยวระยะไกล ไม่มั่นใจอนาคต หันเก็บเงินออมมาก ล่าสุด จับมือกันในกลุ่มผู้ประกอบการ หันจับตลาดระยะใกล้ ขนทัพสินค้าละบริการทางการท่องเที่ยว ออกเดินสายโรดโชว์ประเทศเพื่อนบ้าน

    นายเมธี ตันมานะตระกูล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เปิดเผยว่า ยอดจองห้องพักของโรงแรมทางภาคใต้ เดือน พ.ย.ยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 15% ส่วนเดือน ธ.ค.ไม่มียอดจองใหม่เข้ามาเลย มีเพียงนักท่องเที่ยวที่จองไว้นานแล้ว ซึ่งไม่ได้บอกยกเลิก สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เศรษฐกิจโลก และปัญหาการเมืองในประเทศ ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ไฮซีซันปีนี้ (พ.ย.-มี.ค.) จะมีจำนวนห้องพักว่างมากขึ้น ขณะที่ช่วงโลว์ซีซันปีหน้าจะยิ่งแย่หนักขึ้น

    ดังนั้น จึงต้องการให้ทุกฝ่ายยุติข้อขัดแย้งในประเทศโดยเร็ว เพื่อเรียกความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับคืนมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะได้เข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการก็ไม่นิ่งนอนใจ โดยรวมกลุ่มกันออกโรดโชว์ไปประเทศใกล้เคียงภาคใต้ นำเสนอสินค้า และบริการทางการท่องเที่ยว พร้อมแพกเกจทัวร์ที่น่าสนใจ

    อย่างไรก็ตาม วิกฤตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่เป็นเพราะผู้คนวิตกกับปัญหาเศรษฐกิจ จึงชะลอการจับจ่าย และบางคนก็มีเงินเหลือสำหรับท่องเที่ยวน้อยลง ก็ปรับแผนเป็นเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หรือประเทศใกล้เคียง แทนที่จะข้ามทวีปมาเที่ยวไทย ประกอบกับสถานการณ์การเมืองไทย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ จึงเปลี่ยนไปเที่ยวประเทศอื่น สาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นผลให้ไฮซีซันปีนี้อัตราเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 60% จากทุกปีจะอยู่ราว 90-95%

    ด้าน นายกฤษฎา ตันสกุล อุปนายกสมาคมโรงแรมป่าตอง จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ไฮซีซันนี้โรงแรมบริเวณหาดป่าตอง มีอัตราการจองห้องพัก 50-60% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราการจองอยู่ที่ 70% และช่วงหลังเดือน ธ.ค.ไปแล้วจะมียอดจองอยู่ที่ 85% ทั้งที่ทุกปีช่วงเวลาดังกล่าว ยอดจองห้องพักจะสูงสุดอยู่ที่ราว 95-100% สาเหตุมาจกานักท่องเที่ยวระยะไกล ยุโรป และ อเมริกา ยังมีความกังวลกับวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นและลุกลามไปในหลายประเทศ จึงชะลอการจับจ่าย โดยเลือกเที่ยวอย่างประหยัดภายในประเทศ หรือ ประเทศที่เดินทางระยะใกล้ แล้วรอดูสถานการณ์ต่อไปภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของ นายบารัค โอบามา ที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2552

    ส่วนความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยนั้น ไม่เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวของชาวต่างชาติ เพราะเขาค่อยข้างรู้จักประเทศไทยดี เพราะหลายคนเดินทางมามากกว่า 1 ครั้งแล้ว โดยรู้ว่าแหล่งท่องเที่ยว ภูเก็ต กระบี่ อยู่ไกลจากพื้นที่ในกรุงเทพฯที่มีการชุมนุน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. หล่อลุยไฟ

    หล่อลุยไฟ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +9
    .......แก้ไข.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2008
  20. หล่อลุยไฟ

    หล่อลุยไฟ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +9
    .......แก้ไข....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...