เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

วันสะเดาะเคราะห์มีอาการเวียนหัว

ผู้ถาม : ในพิธีสะเดาะเคราะห์ที่ วัดท่าซุง มีคนฝากชื่อไปหลายคน พอตอนบ่าย 2 โมงเป๋ง ปรากฎว่าคนที่ฝากไปนอนอยู่ที่บ้าน

1. มีอาการเวียนหัว
2. อาเจียน แล้วก็มีอาการเหมือนใจจะขาดรอนๆ เพียงครู่เดียวก็หายไป ตัวเนื้อโปร่งมีความสุขกายสบายใจ

ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า อาการอย่างนี้หมายความว่ากระไรเจ้าคะ ?

หลวงพ่อ : หมายความว่าเวียนหัว (หัวเราะ)

ผู้ถาม : อ๋อ..เวียนหัว แปลว่า เวียนหัว เอ๊ะ ! พิธีอยู่ที่วัดท่าซุง ทำไมเขาเป็นได้ล่ะครับ ?

หลวงพ่อ : อ้าว ! ก็ชื่อเขาไปนี่ เขาตั้งใจก็ถึงซิ !

ผู้ถาม : ก็แสดงว่าหลวงพ่อสงเคราะห์ทั่วกันหมด เอ๊ะ! ต่อไปถ้าวัดท่าซุงมีงาน เราไม่ต้องไปก็ได้ซิครับ ?

หลวงพ่อ : ได้ ! เคราะห์กรรมใดๆที่มีอยู่สลายตัวมาถึงเราหมด

ผู้ถาม : โอ้โฮ ! เข้าใจ อยากไม่ไป

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 253 เดือนเมษายน 2545 หน้า 72-73)


อาราธนารับพิธีสะเดาะเคราะห์ที่บ้าน


อาจารย์ยกทรง : กราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง งานสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง 4 เมษายน ศกนี้

หากลูกหลานบางคนจำเป็นไปไม่ได้ หรือไม่ได้ไป สมมติ ติ๊ต่างว่าถึงเวลา 4 โมงเช้า

หลวงพ่อ : ติ๊ต่างๆๆๆ

อาจารย์ยกทรง : ไอ้ติ๊งต่าง ตุ๊ง มันตัวเดียวกันหรือเปล่าพ่อ

หลวงพ่อ : ติ๊งต่อง (หัวเราะ)

อาจารย์ยกทรง : เอานะ ถึงเวลา 4 โมงเช้าก็ดี บ่าย 2 โมงก็ดี ในขณะนั้นลูกควรจะปฏิบัติแบบไหน เผื่อจะได้มีโอกาสได้รับสิริมงคล

หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้แล้วกัน ตั้งใจรับแล้วภาวนาว่า พุทโธ

อาจารย์ยกทรง : อ้อ..ใช้พุทโธหรือครับ

หลวงพ่อ : ใช้เวลาประมาณสัก 15 นาที เวลาที่นั่นเขาจะทำเขาแนะนำกันก่อน เวลามีมากไป เวลาไม่น้อยก็ 15 นาทีก็แล้วกัน

ขอรับด้วยใช้ได้ เหมือนยันต์เกราะเพชรก็เหมือนกัน

อาจารย์ยกทรง : อ้อ..สะเดาะเคราะห์กับเป่ายันต์นี่คล้ายๆกัน

หลวงพ่อ : คล้ายๆกัน เพราะว่าทำพิธีเดียวกัน แต่บทต่างกัน


(จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 374-375)

 

ระบบกษัตริย์จะกลับมา


ที่พูดตามนั้นก็เชื่อตามหลวงพ่อใย(สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยา) ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่าประเทศไทยยังจะมีรัชกาลที่ 10 แล้วก็ยังจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป

แล้วหลวงพ่อปานยังพูดต่อไปว่าไม่ใช่มีแต่รัชกาลที่ 10 ต่อไปจะมีไปเรื่อยๆพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย

แล้วชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดก็จะกลับปฏิวัติจากระบบประชาธิปไตย หรือระบบประธานาธิบดีทั้งหลาย กลับมาเป็นกษัตริย์อย่างเดิม เรียกว่ากลับมามีกษัตริย์อย่างเดิม

ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น อาตมานั่งคิดนอนคิดมานานบรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็คิดไม่ออกว่าทำไมท่านผู้รู้ท่านจึงได้กล่าวกันไว้อย่างนั้น แต่มาพิจารณาในตอนหลังก็พอเข้าใจได้

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายการเปลี่ยนกันขึ้นมาบริหารประเทศ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์แต่เป็นประชาธิปไตยมีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี สองสามหรือสี่ปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ห้าปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ดีไม่ดีปีสองปีก็เปลี่ยนกัน

การปกครองแบบนี้มันเป็นของดี เขาเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่ความใหญ่ของประชาชนนี่ซีบรรดาพุทธบริษัท มันใหญ่เสียหลายอย่าง บางทีฐานะเล็กๆอยู่ไม่กี่วัน พอเข้ามาบริหารประเทศ ฐานะก็ใหญ่ไปด้วย

เมื่อคนหนึ่งขึ้นมาใหญ่แล้ว ไม่เป็นไรนานๆเปลี่ยนกันขึ้นมาใหญ่ต่อไปอีก นี่ในเมื่อฝ่ายบริหารใหญ่ ฝ่ายถูกบริหารก็เล็กผอมลงๆ คนบริหารก็ใหญ่ขึ้นๆ

นี่เราว่ากันถึงว่านักบริหารที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่นักบริหารที่ดีก็มีถมไป แต่ว่าการบริหารหรือจิตใจของคนบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ไม่ติดในวัตถุมันมีเป็นของน้อย เพราะคนทุกคนต้องอาศัยวัตถุเป็นสำคัญ นี่เพราะเหตุการณ์อย่างนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน

ถ้าเราจะหันหลังไปดูสมัยสุโขทัยจะเห็นว่าพระองค์ทรงปกครองประเทศชาติในระบบประชาธิปไตย แต่มีกษัตริย์เป็นประมุข

แม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกัน ไปอ่านจดหมายเหตุให้ดี การบันทึกการประชุมให้ดีบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีพระพระมหากษัตริย์องค์ไหนที่ใช้พระราชอำนาจเกินสมควร เว้นไว้แต่บางกาล บางวาระ อาจจะมีบ้างก็เช่นเดียวกันกับการบริหารแบบปัจจุบัน เราจะเห็นว่าบางกาลบางวาระก็ออกข้างๆเหมือนกัน อันนี้เปรียบเทียบไว้


(จากหนังสือพระเมตตา เล่ม 1 หน้า 79-80)

 

พระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2551


ประเทศไทยบรรพบุรุษของเราสละชีวิตมาเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วยเลือดเนื้อ ด้วยชีวิต...............บรรพบุรุษเลือดทาแผ่นดิน กว่าจะมาถึงที่ให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติ

 

"ไทยมหารัฐ" และ "จักรพรรดิราช"


หลวงพ่อเล่าให้ฟังถึงคำทำนาย 10 รัชกาลตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มหากาฬผ่านมหายักษ์จนถึงรัชกาลที่ 10 ชาวศรีวิไล

หลวงปู่ดาบส สุมโน จ.เชียงราย พูดต่ออีก 2 รัชกาลดังนี้...

"เวลานี้ดวงชะตาของประเทศไทย จะเหมือนกับตอนเสียกรุงให้แก่พม่า และคงจะ
ทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2544...."

ครั้นถึงเดือนกรกฎาคมก็จริงอย่างที่ว่า "ค่าเงินบาทลอยตัว" จนต้องเป็นหนี้ต่างชาติ
กันทุกคน ซึ่งตรงกันกับนักโหราศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทย ได้พยากรณ์ชะตาเมืองลงหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับหนึ่งทุกวัน ก็ได้กล่าวไว้ตรงกันว่า ชะตาของประเทศเหมือนกับตอนเสียกรุงครั้งที่แล้ว

แต่ก็นึกสบายใจอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเคยบอกว่า ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี และ
เมื่อต้นปีนี้ หลวงพ่อดาบส ก็ได้เทศน์บอกว่า

"...ที่ใครเขาบอกว่ากรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำ มันไม่น่าจะถึงขนาดนั้น มันอาจจะ
ท่วมบ้างเป็นธรรมดา แต่คงไม่หนักขนาดนั้น"

และมีอีกเรื่องหนึ่งท่านพูดเหมือนกับหลวงพ่อ คือเรื่องการทำนาย 10 รัชกาล
หลวงพ่อพูดตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10

แต่หลวงพ่อดาบสท่านพูดต่ออีกถึง 12 รัชกาล ตั้งแต่ต้นรัชกาลคือ มหากาฬ ผ่าน
มหายักษ์ จนถึง ถิ่นกาขาว และ ชาวศรีวิไล

ต่อไปเป็น "ไทยมหารัฐ" และ "จักรพรรดิราช"

แสดงให้เห็นถึงคนไทยจะรุ่งเรืองใหญ่ในรัชกาลต่อไป นับตั้งแต่รัชสมัย ชาวศรีวิไล
เป็นต้นไป ซึ่งท่านก็บอกว่าอีกไม่นานนัก ไม่ถึง 300 ปีอย่างที่เขาลือกัน แต่ท่านก็พูดแย้มๆว่า ก่อนที่จะสุขสบาย ก็ต้องเป็นทุกข์กันบ้างนะ

ก็คงจะเป็นเรื่องภัยของสงคราม และภัยทางธรรมชาติเป็นเหตุ


(จากคอลัมภ์ "ตามรอยพระพุทธบาท" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 201 ธันวาคม 2540 หน้า 100)

 

หลวงพ่อเทศน์ "วันวิสาขบูชา" ณ ศาลา 2 ไร่ วัดท่าซุง เมื่อปีพ.ศ. 2534

 

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลัษณ พระบรมราชินี

ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคลขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

สงครามโลก

ผู้ถาม : เคยอ่านพบในหนังสือฉบับหนึ่งเขาบอกว่า "สงครามโลกครั้งที่ 3" จะเกิดในปี 2527 มันจะเป็นความจริงไหมคะ ?

หลวงพ่อ : ไอ้ที่เขาบอกว่าจะเกิดสงคราม มันก็อาจจะมีเหมือนกัน แต่ว่าสงครามจะเป็นแบบก่อนหรือแบบใหม่ เวลานี้ก็มีสงครามเต็มโลก ไม่เห็นมีที่ไหนสงบเลย เวลานี้สงครามโฮ้งมากกว่าสงครามชก ใช่ไหม มีรบกันบ้างแต่ส่วนน้อย เวลานี้สงครามเสียงสงครามน้ำลาย แล้วต่อไปมันอาจจะเป็นสงครามอาวุธ

ผู้ถาม : แล้วประเทศไทยจะเป็นยังไงคะ ?

หลวงพ่อ : ประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศไทย

ผู้ถาม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : เคยถามพระท่าน ถามว่าสงครามโลกจะมีไหม? ท่านตอบว่า ฉันไม่ได้บอกแกนี่จะมี "สงครามโลก" ฉันพูด แต่จะมี "สงครามใหญ่"

คำว่า "สงครามใหญ่" กับ "สงครามโลก" นี่มันไม่เหมือนกัน

"สงครามใหญ่" หมายความว่าเกิดขึ้นทุกจุด มันเกิดทั่วๆไป

"สงครามโลก" มันแบ่งซีกมาช่วยกัน จึงจะเป็นสงครามโลก

และก็ถามว่า ถ้าภาวะอย่างนั้นมันเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร

ท่านก็ให้ดูภาพ โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย มันรบกันเท่าไรเรารวยใหญ่

ท่านไม่ได้ยืนยันว่าจะเกิด แต่ถ้ามันจะเกิดมันจะมีภาพอย่างนี้

เครื่องบินในอากาศขาวพรืดหมด แต่ว่าไม่ใช่เครื่องบินฝ่ายข้าศึกมาขาวพรีดนะ เป็นเครื่องบินสัมพันธมิตรช่วย คือประเทศเรามีฝ่ายช่วยเหลือ

แต่อย่าลืมว่าถ้างานน้ำมันนี่มันเกิดขึ้นจริงๆ เราไม่ใช่เป็นคนขุด คนต่างชาติเขาขุด แล้วก็แบ่งเปอร์เซ็นต์กัน ทีนี้เมื่อประโยชน์ของเขาอยู่ในประเทศไทย เขาก็ต้องป้องกัน


(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 210 เดือนกันยายน 2541 หน้า 93-94)

 

พิธีพุทธาภิเษกพระหางหมากเมื่อวันศุกร์ 24 สิงหาคม 2533 ที่วิหาร 100 เมตร เวลาประมาณ 18.00 น. หลวงพ่อพูดในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรวันรุ่งขึ้นว่ามีพระหางหมากจำนวนหกแสนองค์ที่เข้าพิธีในครั้งนั้น



คลิปพิธีพุทธาภิเษกด้านบนนี้ผมเคยโหลดลงยูทูปในชื่อ username อีกบัญชีหนึ่ง หลายปีก่อน มาเที่ยวนี้ผมนำมาแปลงไฟล์เป็นความละเอียดภาพเป็น HD และโหลดในอีกบัญชีที่ใช้โหลดบ่อยสุด

คลิปพิธีพุทธภิเษกพระคำข้าวรุ่นปืนแตกในโพสต์ก่อนก็เช่นเดียวกันครับ แปลงไฟล์เป็น HD แล้ว และเคยโพสท์มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้วเช่นกัน

วิดีโอเทปที่ผมซื้อมาจากคุณปรีชา พึ่งแสง มาแต่สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ยังมีอีกหลายม้วน ว่าจะทยอยนำไปแปลงไฟล์และเก็บไว้ใน flash drive และโหลดลงยูทูปให้ชมกัน

ติดตามชมส่วนนี้ในยูทูปนะครับ

 

แปลงเป็นความละเอียด HD หมดครับแต่ภาพที่ได้ก็จะดีสุดตามสภาพความคมชัดของต้นฉบับ

 

กราบระลึกถึงวันสำคัญยิ่งใหญ่ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีเถาะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้บันทึกไว้ดังนี้
" ๕ ส.ค. ๒๕๐๖
เวลา ตี ๒.๔๕ ตื่น เจริญสมณธรรมจนถึง ๔ น.
พระมา (สมเด็จ) ได้มาแจ้งว่า เจ้าเจริญทำให้แจ้งถึง ไม่รักในฐานะที่รัก ไม่เกลียด - โกรธ - ขัดเคือง ในฐานะที่ควรขัดเคืองอย่างนี้ ชื่อว่าได้อริยผลบริบูรณ์แล้ว
เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา ๔ น. วันนี้ (กลางเดือน ๙ ) พอดี"
เพื่อให้บรรดาลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ปรารถนาพระนิพพาน ได้กราบอนุโมทนาและขอให้ได้เข้าถึงธรรมาภิสมัยในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

 

(จากหนังสือ " พระราชพรหมยาน " หน้า 381 เป็นลายมือขององค์หลวงพ่อครับ)



ในหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า 140 หลวงพ่อได้เล่าไว้ว่า องค์ท่านได้จบกิจในพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 4.00 น.


หลวงพ่อเล่าเอาไว้ดังนี้ว่า

" วันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 2.45 น. ตื่นจากหลับ คราวนี้เห็นจะอานละซิ นอนตื่นมา 2.45 น. เจริญสมณธรรมไปถึงตีสี่ พระมา

คำว่า "พระ" ก็หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาแจ้งว่า

เจ้าเจริญธรรมให้แจ้งถึงไม่รักในฐานะที่ควรจะรัก
ไม่เกลียดไม่โกรธในฐานะที่ควรโกรธ
ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ขัดเคือง

อย่างนี้ ชื่อว่าได้ "อริยผลสมบูรณ์" แล้ว

เจ้าเป็น "พระขีณาสพ" ตั้งแต่เวลา 4 น. วันนี้ (กลางเดือน 9 พอดี)

เห็นไหมเหนื่อยไหมนี่ จำให้ดีนะ ผมชอบจำตอนสรุปนี่ น่ากลัวต้องเขียนติดไว้ที่หน้าผากเสียแล้ว แต่กระจกก็ไม่ได้ส่องเสียด้วย

ท่านบอกว่าวันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 2.45 น. ตื่นจากที่นอน เจริญสมณธรรมทันทีจนถึงเวลา 4 น. เป๋ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการอย่าลืม ได้มาแจ้งว่า เจ้าเจริญธรรมให้แจ้งจนถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก เจ้ามีอารมณ์ไม่เกลียดในฐานะที่ควรจะเกลียด เจ้าไม่โกรธในฐานะที่ควรจะโกรธ เจ้าไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรจะขัดเคือง อย่างนี้ชื่อว่าได้อริยผลสมบูรณ์แล้ว

คำว่าสมบูรณ์นี่ต้องเป็นอรหัตผล

ฉะนั้นเจ้าจึงชื่อว่าเป็นพระขีณาสพ

คำว่า "ขีณาสพ" หมายความว่าเป็น ผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว คือ "อรหันต์" นั่นเอง

เจ้าเป็น "พระขีณาสพตั้งแต่เวลา 4 น. วันนี้ คือกลางเดือนเก้าพอดี"

 

สวัสดีทุกๆ ท่านครับ

ผมหายหน้าหายตาไปนานหลายปีมากๆเลยทีเดียว วันนี้มีเรื่องจะมาแชร์ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่ผมได้ประสบมาให้ทุกๆ ท่านฟัง

เมื่อประมาณปีกว่าๆที่ผ่านมา คุณแม่ผมล้มเปื่อยด้วยโรคมะเร็งระยะ 3 ซึ่งเพิ่งจะตรวจพบได้ในช่วงที่ผ่านมา พอรู้ว่าคุณแม่เป็นโรคมะเร็งก็รู้สึกใจดับวูบเลยครับ เพราะกระทันหันเกินไป ชีวิตช่วงนั้นเปลี่ยนไปหมด ทั้งต้องเคลียร์เรื่องต่างๆ ทั้งไปพบคุณหมอ หาโรงพยาบาลที่คิดว่าดีที่สุด ในช่วงนั้นเกิดปัญหาต่างๆในชีวิตของผมมากมายเลยทีเดียว กล่าวได้สั้นๆว่าไม่มีวันไหนไม่ร้องไห้เลย ทั้งเรื่องงาน เรื่องคุณแม่ และเรื่องหัวใจ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงแต่เรื่องอาการป่วยของคุณแม่อย่างเดียวนั่นคือ มะเร็งระยะ 3 (มะเร็งมีทั้งหมด4ระยะ) ในวันนั้นที่รู้ว่าหลายๆ อย่างกำลังจะเปลี่ยนไป หลายๆ สิ่งกำลังจะจากเราไป ถึงแม้ว่าจะฟังเสียงธรรมะของพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงตลอดเสมอมา ปฏิบัติกรรมฐาน สวดมนต์ตลอดมาหลายปีก็ตาม แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันยากมากที่จะทำใจ ในยามทุกข์เราจะเห็นนิสัยธาตุแท้ของเพื่อนหรือคนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อนออกมาแบบจริงๆ หลายๆ คน ไม่ได้ให้กำลังใจ แถมกลับซ้ำเติมในเวลาที่ชีวิตคุณแม่ของเรากำลังจะหมดเวลาลง (ต้องเป็นคนนิสัยแบบไหนกันนะถึงแสดงออกแบบนี้กันได้) จำได้ว่าเวลานั้นมองอะไรก็หมองๆไปหมด ฟังคำพูดของใครก็รู้สึกแปลกๆ มีกำลังใจจากมิตรแท้บ้าง แต่ก็ไม่พบทางออก ได้แต่ปลงใจยอมรับความเป็นจริงและกฎแห่งกรรมที่อาจจะเคยทำมา แต่ในใจรู้ตัวเสมอว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรายังมีเสาหลัก ยังมีที่พึ่งในใจของเรานั่นคือ พระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง วันนั้นตัดสินใจพาคุณแม่ไปกราบพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นครั้งสุดท้าย (ความคิดช่วงดราม่าในตอนนั้น) ได้ไปกราบสังขารพระคุณ(หลวง)พ่อท่านที่วิหารแก้วร้อยเมตร ถวายสังฆทาน และทำบุญทั่วทั้งวัด ทำบุญทุกอย่างทุกตู้ในวัดเลยทีเดียว(แลกเหรียญบาท 200 เหรียญจากวิหารแก้ว) ท้ายสุดได้เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อห้าพระองค์ที่วิหารฝั่งริมน้ำ และเห็นป้ายวิธีการบนบานศาลกล่าว จึงนึกขึ้นได้ว่าพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเคยเมตตาบอกวิธีบนบานเอาไว้ เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานท่าน จึงได้บนกับหลวงพ่อห้าพระองค์ว่าถ้าคุณแม่หายป่วยจะมาถวายผ้าห่มบูชาองค์ละ1ผืน พร้อมทองคำเปลว100แผ่น (สามารถผาติกรรมได้ที่วิหารหลวงพ่อห้าพระองค์) และหากไม่เกินวิสัยกฎแห่งกรรมแล้วขอให้สำเร็จโดยเร็ววัน และได้ไปนมัสการพระประธานและพ่อปู่ชีวกฯ ในโบสถ์เก่าฝั่งริมน้ำ ตอนก้มกราบขอพรขอบารมีท่านปู่ชีวกฯ ได้เห็นเป็นภาพซ้อนว่าท่านปู่ชีวกฯ ท่านมาจับที่ตัวแม่และตรวจโรคดู ท่านบอกว่า "โรคนี้ยาข้าฯรักษาหาย" ได้ยินดังนั้น จึงรีบไปที่ตึกรับแขกเพื่อบูชายารักษาโรคมะเร็ง ตามตำรับของพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ซึ่งท่านได้รับสูตรมาจากท่านพ่อปู่ฯ(ทางวัดและบ้านพงษ์ประดิษฐ์ผู้ผลิตยาให้ทางวัด ขอให้งดเว้นออกนามชื่อเจ้าของตำรับยา แต่เป็นอันรู้กันว่าท่านพ่อปู่หมอใหญ่ท่านนี้เป็นใคร) และเดินทางกลับ หลังจากนั้นได้ให้คุณแม่รับประทานยาแผนโบราณสูตรนี้ร่วมกับน้ำมนต์ชาตรีเสมอมา และมีการเข้ารับการรักษาโดยการให้เคมีบำบัด(เคโมโทฟี่) ประจำทุกเดือน เป็นการรักษาร่วมกันระหว่างทางแพทย์ปัจจุบันและยาแผนโบราณของพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยจะมีการตรวจค่ามะเร็งในเลือดทุกเดือน (ซึ่งโชคดีมากที่ได้คุณหมอท่านนี้ ท่านมีเมตตามากเหมือนพ่อหมอใหญ่พาให้มาเจอเลยทีเดียว) ในเดือนแรกผลปรากฎออกมาค่ามะเร็งลงไปเหลือเท่าคนปกติทั่วไป (ซึ่งอาจะแปลได้ว่าโรคอาจจะสงบลง) คุณหมอตกใจมากที่ค่ามะเร็งดีขึ้นเร็วมากขนาดนี้ หลังจากนั้นก็ให้ยาเคมีบำบัดและยารักษาโรคมะเร็งของพระคุณหลวงพ่อฯ ต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ และเช็คผลเลือดทุกเดือน ผลออกมาว่าค่ามะเร็งน้อยลงไปเรื่อยๆ และดีขึ้นเรื่องๆ ซึ่งค่ามะเร็งนี้ดีกว่าคนปกติทั่วไปเสียอีก จนคุณหมอทำการตรวจในหลายๆ รูปแบบ ทั้งอัลตร้าซาวด์ เช็คค่าเลือด ผ่าตัดดูด้วยตาเนื้อ(เพื่อนำอวัยวะที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ง่ายออกทั้งหมด เช่น มดลูก ไส้ติ่ง เป็นต้น) จนไปถึงสุดท้ายโดยการทำ CT Scan ผลปรากฏออกมาว่าไม่พบค่ามะเร็งแล้ว จึงประกาศหยุดการรักษาทางการแพทย์ลงเนื่องจากโรคสงบลงและได้ผลการรักษาที่ดีมาก หลังจากนั้นจะมีการนัดเพื่อเช็คค่ามะเร็งเป็นระยะๆไป เพื่อเฝ้าดูและป้องกันการเกิดซ้ำในผู้ป่วยที่เคยพบเชื้อ ในระยะเวลาที่ผ่านมาคุณแม่ได้รับประทานยารักษามะเร็งของพระคุณหลวงพ่อฯ มาโดยตลอดเสมอ และที่ผลตรวจของการติดตามอาการล่าสุดที่ผ่าน พบว่าค่ามะเร็งในเลือดดีขึ้นกว่าเดิมอีก ทั้งๆที่ไม่ได้ให้ยาเคมีบำบัดแล้วมาหลายเดือน แต่รับประทานยาสมุนไพรของพระคุณหลวงพ่อฯ ต่อเนื่องเพียงอย่างเดียว
หลังจากนั้นก็พาคุณแม่ไปทำบุญทั่ววัดท่าซุงอีกครั้งและแก้บนตามที่เคยบนไว้ที่วิหารหลวงพ่อห้าพระองค์

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตผมและคุณแม่ของผม จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อบูชาคุณในความเมตตาของพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่มีต่อลูกหลาน ต่อคณะศิษย์ ในทุกๆด้าน ทั้งด้านธรรมะ ด้านกรรมฐาน ด้านชีวิต ด้านโรคภัย ด้านยาสมุนไพร ด้านเคล็ดในการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล และด้านต่างๆ มากมาย สมแล้วที่พระคุณท่านทรงความดีในฝ่ายของปฏิสัมภิทาญาณ เป็นผู้เบิกบาน รู้ความเป็นจริงและกระจ่างแจ้งแล้วทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นผู้นำพาลูกหลานและศิษย์ทั้งหลายให้เดินตามทางที่ถูกต้อง และได้ผลอย่างอัศจรรย์ใจ มิอาจมีที่ใดหรือผู้ใดเสมอเหมือนทั้งอดีต และปัจจุบัน สมแล้วที่พระคุณท่านเป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้ และยังเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐที่เกิดขึ้นในโลกอย่างแท้จริง กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจโดยมิมีข้อลังเลสงสัยใดเลย


สุปฏิปันโนภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดีแล้ว
ข้าพเจ้านมัสการพระสงฆ์หมู่นั้นโดยเศียรเกล้า



ปล. การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรนี้จะได้ผลหรือไม่ได้ผล จะไม่ขอรับรองแม้แต่ประการใด ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆตามปัจจัยต่างๆทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจด้วย รวมไปถึงการดูแลเรื่องอาหารการรับประทานต่างๆเช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักผลไม้ ล้วนมีผลต่อการรักษาทั้งสิ้น โปรดดูแลตนเองให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เลี่ยงเรื่องอาหารที่เสี่ยงต่อการเพิ่มเชื้อมะเร็ง เป็นต้น

ปล.2 การรับประทานยาสมุนไพรรักษามะเร็งนี้ มีเคล็ดที่บอกเล่ากันมาจากพระคุณหลวงพ่อฯว่า ให้บนบานท่านเจ้าของยานี้ด้วย ว่าถ้าหายจะไปถวายสังฆทานอุทิศให้ท่าน แต่ในขณะรับประทานยานี้ให้เราทำการถวายสังฆทานเป็นชุดตามที่วัดท่าซุงหรือวัดต่างๆ จัดก็ดี หรือถวายปัจจัยเป็นสังฆทานตามกำลังทรัพย์ 10บาท 20บาทก็ได้ โดยอุทิศถวายให้เจ้าของยาท่านไปก่อนได้เลย ในขณะที่กำลังรับประทานยานี้แหละ จะได้ผลดี และได้ทำตามนี้มาแล้วขอรับรองว่าได้ผลดีจริงตามที่ท่านบอกนั้นเลย

ปล.3 อย่าลืมทำสังฆทานและปล่อยปลาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้านโรคภัยไข้เจ็บของเราแบบเจาะจงสัก1ชุด เพื่อขอให้เขามาโมทนา อโหสิกรรมและอดโทษให้แก่เราด้วย

ปล.4 หากมีข้อสงสัยในเรื่องขอยาสมุนไพรให้สอบถามกับทางบ้านพงษ์ประดิษฐ์ (ผู้ได้รับมอบหมายจากพระคุณหลวงพ่อฯ เพื่อผลิตยาให้กับทางวัดท่าซุงแต่เพียงเจ้าเดียว เหตุที่ให้ทางคุณแม่โอ๋เป็นผู้ทำการผลิตนี้เป็นเพราะท่านในอดีตเคยเป็นศิษย์ของท่านพ่อปู่หมอใหญ่เจ้าของตำรับยาสมุนไพรนี้โดยตรง) โดยตรง ซึ่งยาทั้งหมดนี้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกระทรวงฯแล้ว

ปล.5 ในการเผยแพร่บทความนี้นี้มิได้มีเจตนาเพื่อการค้าหรือสิ่งใดแอบแฝง แต่เป็นไปเพื่อเผยแพร่บูชาคุณความดีของพระคุณหลวงพ่อฯท่านเท่านั้น โปรดพิจารณาบทความนี้ด้วยปัญญาของตนเอง หากท่านใดไม่เชื่อไม่ว่ากัน โปรดข้ามบทความนี้ไป เพื่อป้องกันโทษปรามาสแก่ตนเองเถิด

สาธุ

 

สวัสดีครับคุณกิตติคุณ

ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้อ่านกันนะครับ

 

นำภาพจากเพจตามรอยพระพุทธบาท ตามลิงค์ด้านล่างครับ

https://www.facebook.com/tamroi.phr...xF4ErVgnATEaeAf8dhnE5FqDrAgCiVFvFtZB3Hve8dVMl