ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    PSX_20200111_204008.jpg
    (Jan 11) ปกาศิต ธปท.ถึงแบงก์พาณิชย์เลิกเอาเปรียบผู้บริโภคเสียที-เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ สั่งให้ธนาคารพาณิชย์ ลดการเอาเปรียบประชาชนผู้เป็นลูกหนี้ โดยการคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงอย่างไม่เป็นธรรม หรือการคิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

    ที่ผ่านมา แบงก์ชาติ ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินให้มั่นคง แข็งแรง แต่ไม่เคยเข้าไปดูเรื่อง "ราคา" คือ อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ธนาคารเก็บจากลูกค้าว่า เหมาะสม เป็นธรรม หรือ เอารัดเอาเปรียบลูกค้าที่ถูกมัดมือชกหรือเปล่า

    ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายวิรไท สันติประภพ พูดบ่อยๆ ว่า เรื่องหนึ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญมาก คือการดูแลให้ผู้บริโภคที่มีอำนาจต่อรองต่ำกว่าสถาบันการเงิน ได้รับบริการทางการเงินอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกหลอกลวง บังคับ หรือเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้บริการ ผลักดันให้สถาบันการเงินต้องยกระดับมาตรฐานด้านการให้บริการ

    ล่าสุด ผู้ว่าฯ ธปท. บอกว่าได้สั่งการให้สถาบันการเงินปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 3 เรื่อง เพื่อลดภาระของประชาชนและ SME และปรับปรุงให้การดำเนินการเรื่องนี้เป็นธรรมมากขึ้น ได้แก่

    1.ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment) สำหรับสินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งเดิมผู้ประกอบการบางรายคิดค่าปรับจากฐานวงเงินสินเชื่อทั้งก้อน เกณฑ์ใหม่ให้คิดค่าปรับบนยอดเงินต้นคงเหลือ รวมทั้งให้กำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน ความสำคัญของเรื่องนี้คือ ค่าปรับที่ไม่สูงจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ประกอบการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบ รวมทั้งทำให้ตลาด refinancing เกิดขึ้นในประเทศไทย

    2.ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด เดิมการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของเงินต้นคงเหลือ เกณฑ์ใหม่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น ทั้งนี้ หาก ผู้ให้บริการมีลูกหนี้เดิมที่อยู่ระหว่างการเรียกเก็บดอกเบี้ยตามวิธีเดิม ขอให้ผู้ให้บริการพิจารณาปรับลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยตามสมควร

    นอกจากนี้ให้สถาบันการเงินกำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (grace period) ในกรณีที่ลูกหนี้อาจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน

    การปรับปรุงในครั้งนี้นอกจากจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะช่วยลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ (affordability risk)

    3.ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร เดิมไม่มีการคืนส่วนต่างหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น เกณฑ์ใหม่ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ และกรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน เดิมจะเรียกเก็บทุกกรณี เกณฑ์ใหม่ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม

    ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ธปท.ขอให้ผู้ให้บริการนำหลักการคิดดอกเบี้ยและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 4 เรื่องดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ ด้วย (1) ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ (2) ต้องไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการจนเกินสมควรและคำนึงถึงความสามารถในการชำระของผู้ใช้บริการ (3) ต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน และ (4) ต้องเปิดเผยอัตราค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ธปท. จะจัดให้มีการเปรียบเทียบข้อมูลอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ของผู้ให้บริการแต่ละรายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการและเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เหมาะสมมากขึ้นด้วย

    หวังว่า นอกจากเรื่องให้แบงก์ลดค่าปรับเปลี่ยนวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ การยกเลิกค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต ที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ธปท. จะมีมาตรการอื่นๆ ที่จะทำให้การตั้งราคาของธนาคารพาณิชย์ มีความเป็นธรรมกับผู้บริโภคมากขึ้นต่อไป.

    ที่ผ่านมา แบงก์ชาติ ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินให้มั่นคง แข็งแรง แต่ไม่เคยเข้าไปดูเรื่อง "ราคา" คือ อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ธนาคารเก็บจากลูกค้าว่า เหมาะสม เป็นธรรม หรือเอารัดเอาเปรียบลูกค้าที่ถูกมัดมือชกหรือเปล่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายวิรไท สันติประภพ พูดบ่อยๆ ว่าเรื่องหนึ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญมากคือการดูแลให้ผู้บริโภคที่มีอำนาจต่อรองต่ำกว่าสถาบันการเงินได้รับบริการทางการเงินอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกหลอกลวง บังคับ หรือเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้บริการ ผลักดันให้สถาบันการเงินต้องยกระดับมาตรฐานด้านการให้บริการ

    คอลัมน์ ฝั่งขวาเจ้าพระยา: โดย

    Source: ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 องศา
    https://mgronline.com/daily/detail/9630000002688

    เพิ่มเติม :
    - มาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ฯ
    https://www.bot.or.th/Thai/AboutBOT/Activities/Documents/Analystmeeting2020/analystmeeting01_2.pdf
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    PSX_20200111_204536.jpg
    (Jan 11) "เวิลด์แบงก์" เตือนความเสี่ยงวิกฤตหนี้โลกครั้งใหม่หลังการกู้ยืมพุ่งสูงสุดในรอบ 50 ปี : ธนาคารโลกเปิดเผยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (GEP) ที่จัดทำขึ้นสองปีครั้งว่า มีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตหนี้ทั่วโลกครั้งใหม่ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารกลางต่างๆ ตระหนักว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์นั้น อาจไม่เพียงพอที่จะรับมือกับภาวะล่มสลายทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นในวงกว้างอีกครั้ง

    ธนาคารโลกระบุในรายงานว่า มีการก่อหนี้ทั่วโลกแบ่งเป็น 4 คลื่นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โดยคลื่นปัจจุบันซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2553 นั้น เป็นระลอกที่มีการกู้ยืมทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากที่สุด, เร็วที่สุด และเป็นวงกว้างมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513

    ธนาคารโลกระบุว่า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงบางประการที่เกี่ยวกับภาระหนี้สินในระดับสูง แต่คลื่นการก่อหนี้ 3 ระลอกก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลงโดยเกิดวิฤตการเงินขึ้นทั้งในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศตลาดเกิดใหม่

    ธนาคารโลกระบุว่า ในปี 2561 นั้น หนี้สินทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 230% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขณะที่หนี้สินทั้งหมดจากประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับเกือบ 170% ของ GDP โดยเพิ่มขึ้น 54% นับตั้งแต่ปี 2553

    ทั้งนี้ จีนมีสัดส่วนในการก่อหนี้มากที่สุด เนื่องจากมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ธนาคารโลกก็ได้ระบุย้ำว่า การก่อหนี้ได้เกิดขึ้นเป็นวงกว้างนับตั้งแต่ปี 2553

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช
    https://www.ryt9.com/s/iq29/3084467

    - World Bank warns of global debt crisis following the fastest increase in borrowing since the 1970s : https://www.cnbc.com/2020/01/09/eco...lobal-debt-crisis-as-borrowing-increases.html
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    น้ำท่วมฉับพลันกระทบ# โอมาน
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ถนนบางสายกลายเป็นบ่อน้ำหลังจากฝนตกหนักในดูไบ # 11 ม.ค.
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
    น้ำท่วมที่สนามบินดูไบ # 11 ม.ค.
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #พบโลกใหม่ น่าอยู่มากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ <3
    TOI 700 d ดาวเคราะห์ต่างระบบที่มีสภาพเหมาะสมกับการก่อกำเนิดชีวิตที่สุดที่เพิ่งถูกค้นพบ
    ล่าสุดยานอวกาศนักล่าดาวเคราะห์ในนาม TESS ได้ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรอยู่รอบดาวแม่ของมันในโซนปลอดภัย หรือโซนเขียว (Habitable Zone) ที่มีความอบอุ่นพอเหมาะจน ‘น้ำ’ บนดาวเคราะห์ดวงนี้มีโอกาสที่จะอยู่ในสภาพของเหลวที่ไหลไปมาได้ อีกทั้งยังมีขนาดของดาวใกล้เคียงกับโลกของเรา แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ดวงนี้จึงพอเหมาะในการอยู่อาศัย ถือเป็นครั้งแรกของยานลำนี้ที่พบดาวเคราะห์ในลักษณะนี้
    ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อเรียกว่า ‘TOI 700 d’ มีขนาดใหญ่กว่าโลกนิดหน่อยและที่ดีมากคือ ตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่เฝ้าสังเกตการณ์มา ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบว่าดาวแม่ของมันจะมีการปะทุปล่อยเปลวสุริยะออกมาเลย
    ยานอวกาศนักล่าดาวเคราะห์ต่างระบบ ‘TESS’ ค้นพบเป้าหมายที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุดพบระบบดาวที่มีดาวเคราะห์ 3 ดวงโดยดาวเคราะห์นึ่งในนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับโลกของเราอย่างไม่น่าเชื่อ
    หลายปีที่ผ่านมามักมีข่าวการค้นพบดาวเคราะห์ต่างระบบ หรือดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanet) จำนวนมากกว่า 4,100 ดวง* แต่ดาวเคราะห์เหล่านี้โดยส่วนใหญ่มักมีสภาพไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย เพราะหากไม่โคจรใกล้ ‘ดาวแม่’** เกินไป ก็อยู่ห่างเกินไป ทำให้มีอุณหภูมิไม่เหมาะสม ของเหลวบนผิวดาวเคราะห์เหล่านี้หากไม่ร้อนจนกลายเป็นไอ ก็เย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็ง
    นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องขนาดอีกด้วย เพราะดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กเกินไปก็จะมีมวลน้อยจนไม่อาจรั้งสิ่งต่างๆ เอาไว้ได้แม้กระทั่งชั้นบรรยากาศ และหากดาวเคราะห์มีขนาดใหญ่โตเกินไปก็จะมีมวลมากจนสิ่งมีชีวิตยากจะรอดจากแรงโน้มถ่วงที่เกินพอดี
    ล่าสุดยานอวกาศนักล่าดาวเคราะห์ในนาม TESS (ชื่อย่อมาจาก Transiting Exoplanet Survey Satellite) ที่ขึ้นประจำการในวงโคจรตั้งแต่ปี 2018 ได้ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรอยู่รอบดาวแม่ของมันในโซนปลอดภัย หรือโซนเขียว (Habitable Zone) ที่มีความอบอุ่นพอเหมาะจน ‘น้ำ’ บนดาวเคราะห์ดวงนี้มีโอกาสที่จะอยู่ในสภาพของเหลวที่ไหลไปมาได้ อีกทั้งยังมีขนาดของดาวใกล้เคียงกับโลกของเรา แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ดวงนี้จึงพอเหมาะในการอยู่อาศัย ถือเป็นครั้งแรกของยานลำนี้ที่พบดาวเคราะห์ในลักษณะนี้
    ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อเรียกว่า ‘TOI 700 d’ โดยกลุ่มคำส่วนหน้าของชื่อบอกเราว่ามันอยู่ในระบบดาว TOI 700 และตัวอักษร ‘d’ ที่ตามหลัง บอกเราว่ามันเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 จากดาวแม่ (เหมือนโลกเราเลย)
    ระบบดาว TOI 700 อยู่ห่างจากโลกของเราออกไปประมาณ 101.5 ปีแสง ในทิศทางของกลุ่มดาวปลากระโทงแทง (Dorado) ในซีกฟ้าใต้ โดย ‘ดาวแม่’ หรือดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบดาวนี้เป็น ดาวแคระแดง*** ชนิด M ที่มีขนาดราว 40% ของดวงอาทิตย์ของเรา มีมวลประมาณ 40% ของดวงอาทิตย์ และมีอุณหภูมิเย็นกว่าดวงอาทิตย์ราวครึ่งหนึ่ง
    ยาน TESS พบดาวเคราะห์ทั้งหมด 3 ดวงในระบบนี้ ดาวเคราะห์ดวงแรกคือดาว b นั้นมีขนาดใกล้เคียงกับโลกของเรา แต่อยู่ใกล้ดาวแม่มากจนโคจรครบรอบในเวลาเพียง 10 วัน ดาวเคราะห์ดวงต่อมา หรือดาว c นั้นมีขนาดใหญ่กว่าโลกเราถึง 2.6 เท่า โคจรรอบดาวแม่ครบ 1 รอบใน 16 วัน ดวงนี้เป็นดาวเคราห์ก๊าซคล้ายดาวเนปจูนที่ไร้ผิวดาวให้อยู่อาศัย
    ดาวเคราะห์วงนอกสุดและสำคัญที่สุดคือดาวเคราะห์ d หรือชื่อเต็มคือ TOI 700 d มันมีขนาดใหญ่กว่าโลกนิดหน่อยคือ 20% และอยู่ห่างจากดาวแม่มากที่สุด มันโคจรรอบดาวแม่ในโซนสีเขียว (Habitable Zone) ครบ 1 รอบในทุก 37 วัน รับพลังงานจากดาวแม่ของมันราวๆ 86% ที่เราได้รับจากดวงอาทิตย์ และที่ดีมากคือตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่เฝ้าสังเกตการณ์มา ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบว่าดาวแม่ของมันจะมีการปะทุปล่อยเปลวสุริยะออกมาเลย นั่นคือความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ d ในระดับหนึ่ง (หากมี)
    ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงในระบบดาว TOI 700 นี้ มีแนวโน้มว่าจะหันหน้าเดียวหาดาวฤกษ์ของมันเหมือนดวงจันทร์ของเราที่หันหน้าเดียวหาโลกตลอดเวลา (Tidally Locked) ทำให้ฝั่งกลางวันและกลางคืนของดาวเคราะห์เหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์คิดว่าการหันหน้าเดียวหาดาวฤกษ์ไม่ได้เป็นข้อจำกัดของการก่อเกิดสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด หากบรรยากาศของดาวสามารถกระจายอุณหภูมิให้ทั่วกันได้
    และจากการที่มันอยู่ห่างจากโลกไม่ไกลมาก คือในระยะ 101.5 ปีแสง ทำให้ง่ายต่อการสังเกตในเชิงดาราศาสตร์ สำหรับข้อมูลที่ยังมาไม่ครบ เช่น มวลที่แท้จริง ซึ่งอาจสังเกตจากอาการส่ายของดาวแม่เพื่อหาตัวเลขนี้ นั่นทำให้ได้ค่าความหนาแน่นและขนาดแรงโน้มถ่วงออกมาด้วย และจากการวิเคราะห์แสงในเชิงลึก อาจทำให้เราได้ทราบถึงลักษณะของชั้นบรรยากาศ รวมทั้งสภาพพื้นผิวของดาว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ
    การค้นพบ TOI 700 d นี้ได้รับการยืนยันจากยานอวกาศอีกลำ นั่นคือกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ของ NASA ทีมงานที่แปลผลการค้นพบ ได้ประกาศผลงานในที่ประชุมนักดาราศาสตร์อเมริกัน (American Astronomical Society) ครั้งที่ 235 ที่ฮาวาย ที่จัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-8 มกราคม 2020

    มีดาวเคราะห์นอกระบบที่คล้ายโลกอีกเพียงหนึ่งดวงก่อนหน้านี้ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน นั่นคือดาวเคราะห์ลำดับ e ในระบบดาว Trappist-1 ซึ่งป็นผลงานของกล้องดูดาว Trappist จากหอดูดาวภาคพื้นดินที่ติดตั้งอยู่บนภูเขาลาซียาในทะเลทรายอาตากามาของประเทศชิลี
    การค้นพบ TOI 700 d ในบทความนี้จึงถือเป็นผลงานการพบดาวเคราะห์นอกระบบคล้ายโลกดวงแรกที่เป็นผลงานของยานอวกาศ ดาวเคราะห์คล้ายโลกทั้งคู่ก็มีส่วนที่จะได้รับการเฝ้าดูต่อไป ในระยะยาวหลังกล้องโทรทรรศน์ประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่เคยมีมา นั่นคือกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ‘เจมส์ เวบบ์’ ขึ้นสู่อวกาศในเดือนมีนาคม 2021 เมื่อถึงเวลานั้นเราอาจได้รับคำตอบที่เราอยากรู้มากมายให้หายสงสัยเสียทีว่า ในจักวาลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ มีที่อื่นนอกจากโลกเราหรือไม่ที่เหมาะสมให้สิ่งมีชีวิตได้อยู่อาศัย
    อ้างอิง:
    www.jpl.nasa.gov/spaceimages/details.php?
    id=PIA23407
    https://thestandard.co/toi-700-d/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    เหตุใดเปอร์โตริโกถูกโจมตีโดยแผ่นดินไหว?

    แผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้งได้เข้าโจมตีเปอร์โตริโกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงเช้านี้ # แผ่นดินไหว ขนาด M6.0

    ตั้งแต่วันจันทร์เปอร์โตริโกได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 และ 6 หลายครั้ง

    แผ่นดินไหวเหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญบนเกาะที่ยังคงฟื้นตัวจากการทำลายล้างของพายุเฮอริเคนมาเรียในปี 2017

    คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าแคริบเบียนที่เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์สำหรับกิจกรรมทางธรณีวิทยา แต่การเกิดแผ่นดินไหวและการปะทุเป็นเรื่องธรรมดา

    การเกิดแผ่นดินไหวครั้งสำคัญในเปอร์โตริโกและเฮติรวมถึงการปะทุของมอนต์เซอร์รัต เป็นการเตือนว่าการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างแผ่นเปลือกโลกอยู่บนขอบมหาสมุทรแคริบเบียน

    แผ่นแคริบเบียนอยู่ใต้มหาสมุทรในชื่อเดียวกัน (ดูด้านล่าง)

    มันถูกล้อมรอบในเหนือและตะวันออกโดยแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือไปทางทิศใต้โดยแผ่นเปลือกโลกอเมริกาใต้และไปทางทิศตะวันตกโดยแผ่นเปลือกโลก Cocos

    ไม่มีแผ่นดินใหญ่มากเกินระดับน้ำทะเลบนแผ่นเปลือกโลกเหนือหมู่เกาะที่ทอดยาวจากคิวบาตอนใต้สู่ Lesser Antilles พร้อมกับบางส่วนของอเมริกากลางเช่นคอสตาริกาและปานามา

    เกล็ดเลือดเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งถูกระบุตามขอบของแผ่นเปลือกโลกด้วย

    ขอบด้านเหนือของแผ่นเปลือกโลกเป็นขอบเขตการแปลงซึ่งทั้งสองแผ่นเลื่อนกัน

    สิ่งนี้ทำให้เกิดความเครียดที่นำไปสู่การเกิดแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตามรอยเลื่อนของซานแอนเดรียสในแคลิฟอร์เนีย

    นี่คือเหตุผลที่เราได้เห็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในสถานที่เช่นเฮติสาธารณรัฐโดมินิกันและตอนนี้เปอร์โตริโก

    มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและไปถึงโค้งโค้งของเกาะที่เป็นแอนทิลลิสน้อย

    หลายเกาะเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่เช่นSoufrière Hills on Montserrat, Pelée on Martinique, La Soufrièreใน St. Vincent และอีกมากมาย

    เกาะอื่น ๆ เป็นที่อยู่อาศัยของภูเขาไฟเช่นกัน ภูเขาไฟทั้งหมดนี้ก่อตัวขึ้นโดยแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือซึ่งเลื่อนอยู่ใต้ทะเลแคริบเบียนคล้ายกับเทือกเขาแคสเคดในทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

    ดังนั้นเปอร์โตริโกไม่มีภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น แต่สามารถสัมผัสกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้

    หนึ่งในแผ่นดินไหวที่มีชื่อเสียงที่สุดคือแผ่นดินไหว แี 1918 San Fermínที่มีขนาด 7.1

    แผ่นดินไหวซานเฟอร์เมียน(San Fermín)เกิดขึ้นทางเหนือของเกาะใต้ทะเลทำให้เกิดสึนามิ

    มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คนในเหตุการณ์ดังกล่าว

    แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันใกล้กับชายฝั่งทางใต้ของเกาะ

    ทั้งแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุด - ขนาด M5.8 ในวันจันทร์ และ ขนาด M6.4 ในวันอังคารเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่เมื่อคนส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน

    นี่จะเพิ่มความเสี่ยงของการบาดเจ็บและเสียชีวิตหากบ้านพัง แต่โชคดีที่จำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ในระดับต่ำ

    อย่างไรก็ตามมีความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อบ้านและโครงสร้างพื้นฐานได้ทำให้เกิดความเสียหายจากพายุเฮอริเคนมาเรีย

    นี่หมายถึงอันตรายในระยะยาวสำหรับชาวเปอร์โตริโก

    ยิ่งไปกว่านั้นแผ่นดินไหวได้ก่อให้เกิดแผ่นดินถล่มและหินถล่มทำให้เกิดภัยคุกคามต่อชาวเกาะ

    การสั่นสะเทือนยังทำลายสะพานธรรมชาติที่งดงามบนชายฝั่งของเกาะ
    ด้วยอาฟเตอร์ช็อกหลายสิบครั้งอาจมีเวลาพอสมควรก่อนที่ผู้คนจะรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง

    https://www.discovermagazine.com/planet-earth/why-is-puerto-rico-being-struck-by-earthquakes

    Why is Puerto Rico Being Struck by Earthquakes?

    Multiple large earthquakes have hit Puerto Rico over the past week until this morning #M6.0.

    Since Monday, Puerto Rico has been struck by multiple magnitude 5 and 6 earthquakes.

    These earthquakes caused significant damage on an island still recovering from the devastation of Hurricane Maria in 2017.

    Most people don't think of the Caribbean as an area rife for geologic activity, but earthquakes and eruptions are common.

    The major earthquakes in Puerto Rico and Haiti, as well as eruptions on Montserrat are all reminders that complex interactions between tectonic plates lie along the Caribbean Ocean's margins.

    The Caribbean plate lies beneath much of the ocean of the same name (see below).

    It is bounded in the north and east by the North American plate, to the south by the South American plate and to the west by the Cocos plate.

    There isn't much land mass above sea level on the plate beyond the islands that stretch from southern Cuba to the Lesser Antilles, along with parts of Central America like Costa Rica and Panama.

    A few small platelets have been identified along the margins of the plate as well.

    The northern edge of the plate is a transform boundary, where the two plates are sliding by each other.

    This causes stress that leads to earthquakes, much the same as the earthquakes generated along the San Andreas fault in California.

    This is why we've seen large earthquakes in places like Haiti, the Dominican Republic and now Puerto Rico.

    Head to the east and you reach the curving arc of islands that form the Lesser Antilles.

    Many of these islands are homes to potentially active volcanoes, such as Soufrière Hills on Montserrat, Pelée on Martinique, La Soufrière on St. Vincent and more.

    Other islands are homes to relict volcanoes as well. All these volcanoes have been formed by the North American plate sliding underneath the Caribbean, similar to the Cascade Range in the western United States and Canada.

    So, Puerto Rico doesn't have active volcanoes, but it can experience large earthquakes.

    One of the most famous in the 1918 San Fermín earthquake that was a magnitude 7.1.

    Unlike the current temblors, the San Fermín earthquake occurred north of the island under the sea, generating a tsunami.

    More than 100 people likely died in that event.

    The current spate of earthquakes struck near the southern coast of the island.

    Both of the largest earthquakes -- Monday's M5.8 and Tuesday's M6.4 -- occurred during the early morning hours, when most people are at home.

    This heightens the risk of injuries and fatalities if homes collapse, but luckily so far the number of deaths is low.

    However, there has been significant damage to home and infrastructure already made precarious by the devastation of Hurricane Maria.

    This means longer-term hazards for the people of Puerto Rico.

    On top of this, the earthquakes have triggered landslides and rockfalls, increasing the threat to the island's residents.

    The shaking also destroyed a picturesque natural bridge on the coast of the island.
    With dozens of aftershocks so far, it may be quite some time before people feel secure again.

    https://www.discovermagazine.com/planet-earth/why-is-puerto-rico-being-struck-by-earthquakes

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โลกร้อน ภาระที่ทิ้งไว้ให้เยาวชน
    อาจจะฟังดูเหมือนการกล่าวโทษ แต่พ่อแม่ของพวกเราคงเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีอิสระ ในขณะที่generation ของพวกเรา( ถ้าขณะนี้คุณอายุ20-40) จะได้มีโอกาสพบเจอกับความยากลำบากในช่วงบั้นปลายชีวิต ( หรืออาจมาเร็วกว่านั้น)ส่วนเด็กที่เกิดในวันนี้ เขาจะโตขึ้นมาพบกับสภาพอากาศเลวร้าย อาจต้องย้ายที่อยู่จากปัญหาน้ำทะเลหนุนหรืออุณหภูมิที่สูงขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ ความอดอยากที่ตามมา อันเป็นผลทั้งทางตรงและทางอ้อมจากภาวะโลกร้อน
    จะยังมีบ้านให้เราอยู่ไหมในอนาคต?
    คาดว่าในปี 2100 น้ำทะเลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่มีประชากรสูงถึง 190 ล้านคน โดยประเทศไทยสูงถึง 12 ล้านคน ( ดูภาพจากในแผนที่ กทม แทบจะไม่มีเหลือเลย ) หลายคนอาจคิดว่า เกินจริงไปหรือเปล่า ? ลองมาดูข้อมูลนี้บ้าง ปัจจุบันเทียบกับปี 1990 น้ำแข็งกรีนแลนด์ที่ขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น 7 เท่า นักวิทยาศาสตร์พบว่าเพียง 10 ปี ภูเขาน้ำแข็งเตี้ยลงถึง 100 เมตร ฤดูร้อนที่ผ่านมาภายในวันเดียวน้ำแข็งละลายไป60% หรือ 11 พันล้านตัน ส่วนด้านขั้วโลกใต้ ก็กำลังละลายในความเร็ว 6 เท่า เมื่อเทียบกับปี 1970 ลองนึกภาพประเทศไทยต้องเสียเงินมากแค่ไหน ในการป้องกันพยายามรักษาเมืองหลวงไว้ แล้วเราจำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงมั้ย ?
    อุณหภูมิที่สูงเกินกว่าจะทนไหว
    รายงานของนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ในปี 2050 จะมีผู้คนกว่า 1.6 พันล้านคน ใน 970 เมืองที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว รายงานของออสเตรเลีย Existential climate-related security risk เขียนไว้ว่าพื้นที่บริเวณ West Africa, tropical South America, the Middle East และ South-East Asia จะต้องเจอกับอากาศร้อนสุดขั้วถึง 100วันต่อปี (รายงานใช้คำว่า”deadly heat”เลยทีเดียว) แม้ว่ารายงานของIPCC ออกมาเตือนว่าเราควรคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5C ภายในปี 2030 แต่จากแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปัจจุบัน ปี 2040 โลกอุณหภูมิเฉลี่ยคงเพิ่มไปกว่า 3.5-4 C แล้ว น่ากังวลแค่ไหน ? ปัจจุบันอุณหภูมิเราเพิ่มไปแล้ว 1.1C โดย 5ปีหลังเป็นปีที่ร้อนที่สุดในโลก เพียงเวลาแค่5ปี บวกเพิ่มมาถึง 0.2 C เลยทีเดียว คำว่าdeadly heat อาจจะไม่เกินจริง เพราะปี2019ล่าสุด ยุโรปต้องเจอกับ heatwave ที่ทุบทำลายสถิติหลายประเทศ ร้อนที่สุดเท่าเคยมีมา
    ภัยธรรมชาติที่จะกลายเป็น new normal
    แน่นอนว่าสภาพอากาศอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ไฟป่าที่รุนแรงมากมายในปีนี้ ไฟป่าAmazon ที่ว่าแย่และหนักขึ้นทุกปี ก็แพ้ไฟป่าออสเตรเลียที่รุนแรงกว่า 5 เท่า คร่าชีวิตสัตว์ป่าอาจสูงถึง พันล้านตัว โดยเฉพาะโคอาล่าที่ต้องตกอยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์ , พายุไต้ฝุ่นฮากิบิส , พายุที่โมซัมบิก , น้ำท่วมที่รุนแรงสุดในรอบ 50 ปีของ Venice , น้ำท่วมใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบ 17 ปี ของอุบลราชธานี ทั้งหมดล้วนเกิดในปี 2019 แต่พอตัดภาพมาเดือนมกราคมปีนี้ อีสานประสบภัยแล้งแม่น้ำแห้งขอดจนคนสามารถเดินผ่านได้ ส่งผลกระทบต่อเกษตกรกว่า 1.3ล้านราย ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเมษายนด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพียงแค่ความเสียหายต่อชีวิตของผู้คน สัตว์ป่า และระบบนิเวศน์ แต่ประเทศต่างๆต้องเสียค่าเยียวยาภัยพิบัติเหล่านี้ทางตรงทางอ้อม อนาคตจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำและอาหาร ความยากจนที่เพิ่มขึ้นเพราะไม่มีทรัพยากรให้ทำกิน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มตามมา
    ไม่มีตัวเลขวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดเจน แต่คาดการว่าอุณหภูมิที่เกิน 1.5C จะเกิดความเสียสมดุลของระบบนิเวศน์ สภาพอากาศเสียหายถาวรไม่อาจย้อนคืนได้ เป็นจุดที่ทุกอย่างพังแล้ว จะดึงให้ทุกอย่างพังตามกันเป็นลูกโซ่ ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดนั้น จุดtipping point ที่เมื่อก้าวข้ามไปแล้วจะกลายเป็น point of no return อยู่ใกล้เข้ามาแค่ไหนแล้วตอนนี้
    เรื่องที่น่าเศร้า พ่อแม่หลายคนอาจจะวางแผนการเรียนและอาชีพให้กับลูกของตนเอง แต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาควรที่จะดูแลรักษาโลกให้ดีพอสำหรับเด็กๆ ในอนาคต ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ “ผู้ใหญ่”ที่มีอำนาจ ควรหันมาใส่ใจภาวะโลกร้อน การแก้ไขโลกร้อนระดับบุคคล ไม่มีทางทันเวลาและมีประสิทธิภาพหากปราศจากความช่วยเหลือและนโยบายของรัฐบาล มันยุติธรรมสำหรับเด็กแล้วหรือที่อนาคตของพวกเขาแขวนอยู่กับเส้นตายtipping point ในขณะที่ผู้ใหญ่จำนวนมากได้ใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่าเเล้ว เมื่อวันที่พวกเราจากไป เราคงไม่อยากให้ลูกของเราอยู่ในโลกที่มีสภาพเหมือน madmax ใช่ไหม ?
    ปี 2019 Business Inside ทำโพลสำรวจคนรุ่นใหม่ 38% ของคนอายุ 18-29 คิดว่าภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ใช้พิจารณาว่าควรมีลูกหรือไม่มีลูก และปี 2018 New York Times ก็เคยทำโพลสำรวจเช่นกัน และพบว่า 1/3 ของคนอายุ 20-45 ปี เลือกที่จะไม่มีลูกเพราะภาวะโลกร้อน
    สมัยก่อน เคยมีคนกล่าวว่าคนที่ไม่มีลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ในความเห็นของแอด ลองคิดกลับกัน เราอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีครอบครัวและลูก แต่เราเห็นแก่ตัวหรือไม่ ที่พาเค้ามาอยู่ในโลกแบบนี้
    สุขสันต์วันเด็ก
    https://www.bbc.com/news/science-environment-50236882
    https://www.theguardian.com/cities/...0-what-happens-if-cities-act-but-nations-dont
    https://www.prachachat.net/finance/news-408744
    https://www.bbc.com/worklife/articl...-reconsidering-kids-because-of-climate-change
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สงครามข่าวปลอมว่าด้วยไฟป่าออสเตรเลีย
    ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า กระแสข่าวที่ว่าวิกฤติไฟป่าออสเตรเลียครั้งนี้เกิดจากมนุษย์ โดยมีผู้วางเพลิงจำนวนมากมายร้อยกว่าคนเป็นข่าวที่จงใจบิดเบือนสถานการณ์ ทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างสาเหตุความรุนแรงของไฟป่ากับปรากฏการณ์โลกร้อน
    The Guardian ได้เปิดเผยว่ากระแสข่าวที่ถูกบิดเบือนเกิดขึ้นอย่างจงใจโดยใช้ account ปลอมเพื่อทำให้เกิดกระแสในโลกออนไลน์ จนมีการรายงานข่าวโดย News Corp (ของนาย Rupert Murdoch ที่เป็นเจ้าของสื่ออย่าง Fox News และ The Australian) และถูกแชร์ต่อโดยบุคคลที่มีชื่อเสียง (ในกรณีนี้คือลูกชายนายโดนัล ทรัมป์ และบรรดาพวกที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน) จนกระทั่งมีสื่อหลักหยิบไปเผยแพร่ต่อ เป็นการจงใจให้ข้อมูลเท็จเพื่อทำให้ความตื่นตัวเกี่ยวกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตกลงไป
    Dr Timothy Graham ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลเน็ตเวิร์คแห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ด้านเทคโนโลยี (QUT) พบว่าการกระจายของข้อมูลที่เกิดขึ้นในทวิตเตอร์ #arsonemergency หรือ วิกฤติการวางเพลิง จำนวนมากเกิดขึ้นโดยบัญชีปลอม ซึ่งเป็นการจงใจเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมเกี่ยวกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ใช้แฮชแทกว่า #climateemergency
    รายงานจากทางตำรวจออสเตรเลียยืนยันว่าตัวเลขที่ว่ามีการจับกุมผู้วางเพลิงถึง 183 คน เป็นตัวเลขที่นับรวมตั้งแต่ต้นปี 2019 และส่วนใหญ่เป็นกรณีตักเตือน เช่นก่อไฟในที่ห้ามก่อ ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดไฟป่ารุนแรงตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา รายงานเบื้องต้นในหลายพื้นที่ยืนยันว่าสาเหตุหลักของไฟป่าเกิดจากฟ้าผ่า และสภาพอากาศที่แห้งแล้งผิดปกติ
    แม้ว่าในภาพรวมอาจมีการก่อเหตุวางเพลิงจริงอยู่บ้าง (หรือในกรณีของแอมะซอน ไฟส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมการบุกรุกป่าของมนุษย์) แต่นั่นก็ไม่ควรบิดเบือนข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าปรากฏการณ์โลกร้อนทำให้ฤดูไฟป่าในออสเตรเลียและภูมิภาคอื่นๆของโลก ยาวนานขึ้นและรุนแรงขึ้น จากคลื่นความร้อน ความชื้น รูปแบบสภาพอากาศและสภาพเชื้อเพลิงสะสม
    การโยนความผิดว่าวิกฤติไฟป่าครั้งนี้เป็นเพราะคนวางเพลิงทำให้รัฐบาลที่เพิกเฉยต่อปัญหาโลกร้อนไม่ต้องรับผิดชอบ ทำให้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมถ่านหินไม่ถูกเพ่งเล็ง และธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิลสามารถดำเนินการต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    การนำเสนอข่าววิกฤติไฟป่าออสเตรเลียถือเป็นบททดสอบวิจารณญาณของคนที่เป็นสื่อ และบรรดาเพจต่างๆ เช่นกัน หากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนก็อาจตกเป็นเครื่องมือให้กับผู้ที่ต้องการกระจายข่าวปลอมหรือข่าวที่ถูกบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ทั้งๆที่โลกกำลังลุกเป็นไฟ และเราทุกคนควรจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เพื่อช่วยกันดับไฟ
    #fakenews #misinformation
    อ้างอิงข้อมูล
    https://www.theguardian.com/austral...al-media-disinformation-campaign-false-claims
    https://www.theguardian.com/austral...ggerating-arsons-role-in-australian-bushfires
    https://www.nytimes.com/2020/01/08/world/australia/fires-murdoch-disinformation.amp.html
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โศกนาฏกรรมที่ Kangaroo Island
    นี่คือสภาพ Kangaroo Island หลังถูกไฟป่าเผาผลาญอย่างรุนแรงเป็นบริเวณกว้างกว่า 9 แสนไร่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าโคอาล่าบนเกาะถูกไฟคลอกตายกว่า 25,000 ตัว และทำให้สัตว์เฉพาะถิ่นหลายชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แม้ล่าสุดจะมีในตกในหลายบริเวณ แต่กรมอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียยังเตือนว่าอาจช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะวันศุกร์ที่จะถึงนี้มีแนวโน้มที่อุณหภูมิจะกลับขึ้นมาสูง และเกิดการกระจายตัวของไฟป่าขึ้นอีก
    แอดมินเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียหลายปี และต้องบอกว่า เกาะ Kangaroo ในรัฐเซาท์ออสเตรเลียแห่งนี้ถือเป็นแหล่งธรรมชาติที่พิเศษมากๆ ระบบนิเวศอันโดดเด่นทำให้เกิดป่าริมชายฝั่งที่น่าอัศจรรย์ มีไม้พุ่มเตี้ยๆ แคระเกร็นเพราะแรงลม เป็นพื้นที่ที่สามารถพบเห็นโคอาล่า สิงโตทะเล อิคิดน่า(สัตว์ที่มีถุงหน้าท้องคล้ายเม่น) จิงโจ้ และนกหายากหลายชนิดได้ง่าย
    สถานการณ์ไฟป่าที่เชื่อว่าเกิดขึ้นจากฟ้าผ่าได้เผาผลาญเกาะ Kangaroo เป็นบริเวณกว่า 9.6 แสนไร่ หรือกินพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของเกาะ และที่แย่กว่านั้นคือไฟป่าสร้างความเสียหายให้กับบริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดของเกาะทางด้านตะวันตก รวมทั้งพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Flinder Chase
    นกหายากที่นักวิจัยเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้คือ Glossy Black-Cockatoo ซึ่งเป็นชนิดย่อยที่นักอนุรักษ์ทุ่มเททำงานฟื้นฟูประชากรมากว่า 20 ปีจากที่เหลืออยู่แค่ 150 ตัวจนเพิ่มกลับมามีจำนวนประมาณ 400 ตัวในปัจจุบัน แต่ไฟป่าได้เผาผลาญแหล่งอาศัยและหากินของนกชนิดนี้และสัตว์อื่นๆ เกือบทั้งหมด ช่วงนี้เป็นฤดูวางไข่ของนก จึงเป็นสาเหตุให้นกตัวเมียหลายตัวที่กำลังกกไข่ไม่ยอมทิ้งรังและเสียชีวิตขณะที่เกิดไฟป่า
    นักวิจัยยังหวังว่านกฝูงหนึ่งอาจหนีรอดไฟป่าได้ทันทางด้านตะวันออกของเกาะ แต่คงอยู่ในสภาพอดอยากเพราะป่าที่เป็นแหล่งหากินถูกไฟไหม้แทบจะทั้งหมด
    สัตว์ชนิดอื่นๆที่นักวิจัยเป็นห่วงชะตากรรมเช่น ตัว Dunnart สัตว์เลี้ยงลูกดวยนมกินแมลงที่มีถุงหน้าท้องลักษณะคล้ายหนู หากินบนพื้น Green Carpenter Bee ผึ้งหายากเฉพาะถิ่นที่ทำรังบนเปลือกไม้ของต้น Yacca และ Banksias ซึ่งถูกไฟป่าไหม้เป็นบริเวณกว้าง
    ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าต้องทำการุณยฆาตโคอาล่าหลายสิบตัวที่ได้รับการช่วยเหลือและนำมาที่ศูนย์ เพราะมีบาดแผลถูกไฟไหม้จนเกินเยียวยา
    รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศว่าได้จัดสรรงบประมาณ 2 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 4 หมื่นล้านบาทในการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากไฟป่าครั้งนี้
    แต่บางสิ่งบางอย่างที่สูญเสียไปแล้ว แม้มีเงินมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจเอากลับคืนมาได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งให้วิกฤติการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
    เมื่อวานนี้เกรต้าได้เขียนข้อความที่เป็นบทสรุปได้ดีที่สุด
    เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเธอ
    ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นๆพากันกล่าวหาเธอ
    ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายขวา
    มันคือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
    และความไม่ตระหนักของผู้คนถึงข้อเท็จริงที่กำลังเกิดขึ้น
    ถ้าเราไม่ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการแก้ปัญหานี้
    อีกไม่นานเราจะพบว่ามันสายเกินไป
    อ้างอิงข้อมูล
    https://amp.theguardian.com/austral...-wildlife-after-estimated-25000-koalas-killed
    https://www.sbs.com.au/news/world-leaders-call-scott-morrison-to-offer-condolences-over-bushfires
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รมว พาณิชย์ถกซาเล้งเร่ง ห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิก เร่งแก้ปัญหาราคากระดาษต่ำ จำกัดปริมาณการนำเข้าขยะ

    วันที่ 9 มกราคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการนําเข้าเศษกระดาษ ทําให้ราคาในประเทศตกต่ำ ณ กระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มซาเล้ง ที่รับซื้อเศษกระดาษในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศว่า ราคาเศษกระดาษที่รับซื้อ และนำไปขายต่อตกลงมาก รวมถึงปัญหาขยะอื่นๆ

    ทั้งนี้ ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง 5 ฝ่ายมาร่วมหารือเพื่อแก้ปัญหา ประกอบด้วย 1. กลุ่มผู้ประกอบการรถซาเล้ง ที่รับซื้อขยะตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ 2. กลุ่มร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งได้รับซื้อขยะกระดาษหรือกระดาษใช้แล้วในการทำธุรกิจ 3. กลุ่มทำธุรกิจแปรรูปกระดาษก้อน 4. กลุ่มผลิตกระดาษสำเร็จรูป และ 5. กลุ่มราชการ ประกอบด้วย กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และกรมศุลกากร กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นต้น

    ซึ่งจากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้
    1. ราคาการซื้อขายแต่ละขั้นตอน เริ่มจากซาเล้ง นำเศษกระดาษขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า และร้านนำไปขายต่อให้โรงงานอัดกระดาษก้อน โดยโรงงานกระดาษก้อนส่งต่อไปยังโรงงานแผ่นกระดาษ ราคาแต่ละขั้นตอนควรเป็นเท่าไร โดยเฉพาะราคาต้นทางเมื่อเทียบกับราคาส่งออกหรือราคานำเข้า ให้ทั้ง 5 ฝ่าย หาข้อสรุปกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้วงจรการผลิตกระดาษของประเทศเดินหน้าต่อไปและอยู่ร่วมกันได้
    2. ระยะยาว มอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ศึกษาว่าหากมีการนำเข้าเศษกระดาษมากเกินสมควร และมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ หรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้มาตรการ safeguard เช่น การขึ้นภาษีหรือจำกัดโควต้านำเข้าได้หรือไม่อย่างไร
    3. ให้กรมศุลกากร เข้มงวดกับการนำเข้าขยะที่ยังอนุญาต ป้องกันการสำแดงเท็จหรือป้องกันปัญหาสิ่งที่ปนเปื้อนมากับเศษขยะที่มีลักษณะผิดกฎหมาย
    4. ให้กรมศุลกากร เร่งรัดการออกประกาศการออกพิกัดขยะอิเล็คทรอนิกส์ 430 รายการและเร่งออกประกาศโดยเร็วภายในสองสัปดาห์ หลังจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อห้ามนำเข้าขยะอิเล็คทรอนิกส์ต่อไป

    นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในอนาคตตนได้มอบให้ร้านรับซื้อของเก่า รวมตัวกันทำทะเบียนผู้รับซื้อของเก่า โดยแต่ละร้านจะรวบรวมจำนวนซาเล้งว่ามีเท่าไร เพื่อภาครัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังให้กรมการค้าภายใน กำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการทุกฝ่าย ติดป้ายแสดงราคารับซื้อ เพื่อความเป็นธรรมด้วย

    รายงานข่าวระบุว่า นายจุรินทร์ลงไปพบปะชาวบ้าน กลุ่มซาเล้งที่มารอฟังผลประชุม โดยมีกลุ่มซาเล็งที่แสดงความปลื้มใจจนน้ำตาไหล ซึ่งตัวแทนซาเล้งได้ขอบคุณ รมว.พาณิชย์ สำหรับการประชุมแก้ปัญหาในนี้ โดยตัวแทนซาเล้งและกลุ่มรับซื้อของเก่า กล่าวว่า ถือเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปี สำหรับอาชีพและธุรกิจเกี่ยวกับขยะที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีโอกาสมาประชุมพบปะหารือกันเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

    โดยสำหรับเบื้องต้นขอให้พวกเราได้เห็นภาพรวมเสียก่อนว่าขยะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
    1. ขยะเทศบาล คือ ขยะที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปไม่ได้แยกประเภทได้มีการห้ามนำเข้ามาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้
    2 .ขยะพลาสติก สำหรับขยะพลาสติกนั้นผู้ที่รับผิดชอบในการอนุญาตให้มีการนำเข้าได้เพื่อนำมารีไซเคิล หรือผลิตเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าส่งออกต่อไปเป็นส่วนความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม
    3. ขยะอิเล็คทรอนิกส์ ขณะนี้ได้มีการกำหนดรายการขยะอิเล็คทรอนิกส์เสร็จสิ้นแล้วทั้งหมดมีด้วยกัน 430 รายการ ซึ่งกรมศุลกากรกำลังเร่งดำเนินการในการที่จะออกประกาศเพื่อกำหนดพิกัด ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จากนั้นกระทรวงพาณิชย์จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อที่จะขอความเห็นชอบ ให้มีการห้ามนำเข้าขยะอิเล็คทรอนิกส์โดยเด็ดขาด และกระทรวงพาณิชย์จะเร่งออกประกาศห้ามนำเข้าต่อไป
    4. ขยะประเภทกระดาษ และเศษกระดาษ และเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มซาเล้งที่ไปรับซื้อเศษกระดาษในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศว่าราคาเศษกระดาษที่รับซื้อมานั้นเวลานำไปขายต่อราคาตกลงมาก ซึ่งจากการสรุปร่วมกันในการหาหรือร่วมกัน 5 ฝ่าย นี้ก็ได้ความเห็นตรงกันว่า สาเหตุที่ราคาตก 1. เกิดจากราคาเศษกระดาษในตลาดโลกตกลงมา 2. มีการนำเข้าขยะเศษกระดาษจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในการผลิต ตกประมาณร้อยละ 40 ของการผลิต หรือความต้องการใช้เศษกระดาษ โดยความต้องการใช้เศษกระดาษในแต่ละปีตกประมาณ 4.6 ล้านตัน แต่ขยะในประเทศมีแค่ 2.9 ล้านตันต่อปีจึงมีการนำเข้าอย่างปีที่ผ่านมา 6.8 ล้านตัน ประกอบกับราคากระดาษในตลาดโลกมีความผันผวน ทำให้สถานภาพของราคาไม่นิ่งมากระทบกับราคารับซื้อจากซาเล้งเป็นทอดๆ

    ที่มา
    https://siamrath.co.th/n/125604
    https://www.newtv.co.th/m/news/?id=47303
    https://www.dailynews.co.th/economic/751100


    https://www.ryt9.com/s/iq03/3084059
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    #เปอร์โตริโก นี่คือซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ Yauco หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ความเสียหายสถานประกอบการ ในร้านอาหาร El Mesón de Ponce หลังเกิดแผ่นดินไหวเมื่อเช้านี้ที่ 6.0
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น แผ่นดินไหว ขนาด6 ในเปอร์โตริโก # 11 ม.ค.
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    แผ่นดินถล่ม หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ขนาด 6 รายงานอาคารที่เสียหายของเปอร์โตริโก # 11 ม.ค.
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    สิ่งนี้เกิดขึ้นในPeñuelas, เปอร์โตริโกหลังจากแผ่นดินไหว ขนาด 6.0 เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นกล่าวว่า: ภูเขาไฟบนเกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นปะทุขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กล่าวว่า Shintake บนเกาะ Kuchinoerabu
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตีแผ่ ‘น้ำมันเขียว’ ขุมทรัพย์กลางทะเล 11 Jan 2020

    1578754712_3.jpg

    +เติมน้ำมันกลางทะเล

    การออกไปเติมน้ำมันเขียวกลางทะเล เพราะการที่จะวิ่งออกไปเอาน้ำมันไกลมาก อย่างเช่น ฐานน้ำมันอ่าว ก ไก่ จากฝั่งระยอง ข้ามาที่หัวหิน เรือน้ำมันเข้ามาจอดไม่ได้ ต้องออกจากเส้นฐานไปอีก 24 ไมล์ทะเล ใช้ระยะเวลา 3-5 ชั่วโมงจะไปเติมแต่ละครั้ง แล้วเวลาคลื่นใหญ่ลมแรงก็ไปเติมน้ำมันไม่ได้ ส่วนการเติมเรือแต่ละชนิดจะมีการจำกัดเรือประมงแต่ละประเภทว่าเรือประเภทนี้ใช้น้ำมันเดือนละเท่าไร เป็นฝ่ายคำนวณให้ เวลาเติมในถังน้ำมันเค้าบรรจุเท่าไร จะแจ้งมาให้ทั้งหมด จึงจะออกรหัสให้ จะทราบว่าเรือแต่ลำใช้น้ำมันเท่าไร อย่างนี้ตรวจสอบได้เพราะทางบริษัทน้ำมันจะแจ้งไปให้กรมศุลกากร แล้วหากมีข้อสงสัยจะมีการสอบถามมายังสมาคม ซึ่งจะสามารถชั้แจงได้ว่าเป็นเครื่องมือประมงชนิดไหน เช่น อวนลากจะใช้น้ำมันมาก ขณะที่อวนล้อมจะใช้น้ำมันน้อยลงมาตามลำดับ ซึ่งแล้วแต่ลำไม่แน่นอน บางลำจอดก็ไม่ได้ออกไปทำการประมงก็มี

    1578754751_3.jpg

    สำหรับน้ำมันเขียว เป็นน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพ มีกำมะถันสูง เป็นน้ำมันที่ใช้ในประเทศไม่ได้ เช่น ปตท. เป็นน้ำมันที่บริษัทน้ำมันขายออกไปนอกประเทศไปสิงค์โปร์ ก็ปรากฏว่ามีนักธุรกิจชาวสิงคโปร์นำน้ำมันลักลอบเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ภาษีเพราะที่ส่งออกไปเอกชนขอคืนภาษีทั้งหมด จึงทำให้ที่ผ่านมาทางสมาคมประมงการแก้ปัญหาตรงนี้ จึงเป็นที่มาของ “น้ำมันเขียว” ที่ร่วมกับรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อนที่อาจจะกลับเข้ามาบนฝั่ง ซึ่งใช้ได้กับเครื่องยนต์ได้หรือไม่ ก็อาจจะใช้ได้แต่มีผลทำให้เครื่องยนต์พังได้ ซึ่งน้ำมันดังกล่าวปัจจุบันให้ใช้ได้แต่เรือประมงเท่านั้นเพราะถ้าไปใช้อย่างอื่นผิดกฎหมาย ดังนั้นการออกค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 1 พันบาทเป็นมติของสมาคมประมงฯ โดยสมาคมจะเข้าส่วนกลาง 500 บาทแล้วให้สมาคมท้องถิ่น 500 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในสมาคมฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวประมงสนับสนุนเนื่องจากเป็นการแก้ไขปัญหาของชาวประมงไม่มีการนำเข้ากระเป๋าส่วนตัวแต่อย่างใด

    ทำไมค้านซื้อขายน้ำมันผ่านบัตรฟรีทการ์ด

    1578754804_3.jpg

    นายมงคล กล่าวว่า การจ่ายซื้อขายน้ำมันผ่านบัตรจะต้องมีเงินสดอยู่ในบัตรก่อนถึงจะไปเติมน้ำมันได้ ตอนนี้ชาวประมงสถานะย่ำแย่อยู่แล้ว จะเห็นว่ามีการขอกู้รัฐเป็นหมื่นล้าน จึงไม่มีเงินไปเติมน้ำมัน จะทำให้ไม่สามารถออกไปทำการประมงได้ ในอีกด้านหนึ่งชาวประมงมีเครดิตกับบริษัทที่ค้าน้ำมันที่เติมน้ำมันไปก่อนแล้วให้ไปจับปลา หลังจากกลับมาแล้วค่อยมาจ่ายในภายหลังแล้ว แต่จะมีการบวกราคาน้ำมันเข้าไป 50-60 สตางค์ ชาวประมงก็ยินยอมในเรื่องการจ่ายล่าช้า เพราะทางบริษัทเองก็มีความเสี่ยงของหนี้เสียในก้อนดังกล่าวนี้ ซึ่งบริษัทดังกล่าว 10-11 บริษัทเปิดเผยเพราะต้องเป็นผู้จดทะเบียนค้าขายดำเนินธุรกิจปกติ ถ้าไม่ไปจดทะเบียนก็ไม่สามารถซื้อขายน้ำมันได้ ไม่ใช่เรื่องความลับ ดังนั้นหากให้มีการจ่ายบัตรฟรีทการ์ด ทางธนาคารที่รับผิดชอบให้เครดิตจ่ายไปก่อนได้หรือไม่ ก็ไม่มีใครตอบได้นี่เป็นที่มาที่ไป จึงทำให้สมาคมและชาวประมงต้องออกมาค้าน ส่วนเลขรหัสกฎหมายเขียนไว้อยู่แล้วจะต้องเป็นเลขรหัสที่ออกจากสมาคมเท่านั้น

    1578754822_2.jpg

    ส่วนประเด็นข้อกล่าวหาว่าทางสมาคมประมงฯ ทำไมจู่ยุติการประชุมม็อบวันที่ 17-18 ธันวาคมที่ผ่านมาสมยอมกับกระทรวงเกษตร หรือไม่ จากข้อกล่าวหานี้ในวันนั้นตั้งใจว่าที่จะไปชุมนุมหน้ากระทรวงเกษตรฯ แล้วการเคลื่อนไหวจะชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่าย 2 หรือบ่าย 3 แต่เนื่องจากมีข่าวออกไป ทาง ท่านอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงมาพบปะพูดคุยประมาณเที่ยง และช่วงบ่ายรัฐมนตรีเกษตรฯ ได้เรียก 9 แกนนำเข้าประชุมไม่เป็นทางการ ซึ่งการพูดคุยจะทำให้เห็นปัญหาในเรื่องทำไมถึงต้องมาเรียกร้อง ต่อมารัฐบาลรับปากทำให้หมด ผลดังกล่าวนี้ทำให้รัฐบาลเปลี่ยนผู้บริหารมาดูแลประมง เพราะเกรงว่าอียูจะหันกลับมาให้ใบเหลืองไทยใหม่นั้นจริงหรือไม่

    1578754838_2.jpg

    “ก่อนหน้านี้ก็ทำงานกับรัฐบาล คสช.ในอดีต เคยมาชุมนุมแล้วหลายครั้งทุกครั้งที่มีปัญหา นำหัวใจของปัญหามาให้รัฐแก้ไข อย่านำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมงอย่างไรก็ดีในวันที่ 16 มกราคมนี้ เวลา 12.00 น.เชิญประชุมคณะกรรมการบริหารวาระพิเศษ1/2563 ณ อาคารสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เพื่อขอมติในที่ประชุมจากการเปลี่ยนรองนายกรัฐมนตรีดูแลจะมีผลต่อ 11 ข้อเรียกร้องหรือไม่ ที่รับปากไปแล้วจะขอมติเพื่อติดตามผลต่อไป”

    1578754878_2.jpg

    https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/418679
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2020
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปรากฏการณ์ เอลนีโญ และลานีญา
    Orchid-150x150.jpg
    NGThai
    พุธ ที่ผ่านมา

    ความแปรปรวนของกระแสลมและการไหลเวียนของกระแสน้ำที่ผันผวนที่เกิดจาก เอลนีโญ และลานีญา อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง

    เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) เป็นปรากฏการณ์สุดขั้วตรงข้ามของวัฏจักรการหมุนเวียนกระแสอากาศและกระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก(Eastern Tropical Pacific Ocean) ที่เรียกว่า “El Niño – Southern Oscillation” หรือ“เอนโซ่” (ENSO)ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมหาสมุทรกับชั้นบรรยากาศโลก ดังนั้นเมื่อกระแสลมเกิดการเปลี่ยนทิศและกระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงก่อให้เกิดปรากฏการณ์สภาวะอากาศแปรปรวนฉับพลันที่เรียกว่า “เอลนีโญ” (El Niño) และ “ลานีญา”(La Niña)

    [ในภาษาสเปน เอลนีโญมีความหมายว่า “เด็กชาย” หรือ “บุตรของพระเยซู”ขณะที่ลานีญามีความหมายว่า “เด็กสาว”]

    การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา

    • มหาสมุทรแปซิฟิกในสภาวะปกติ
    บริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกจะมีลมสินค้ากำลังแรงพัดจากทางด้านตะวันตกของชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยนำเอากระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าสู่ชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของออสเตรเลียทำให้น้ำทะเลบริเวณดังกล่าวสูงกว่าระดับทะเลปกติราว 60 ถึง70 เซนติเมตร และทำให้เกิดฝนตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย

    Normal-Year-ENSO.jpg
    ภาพ การไหลเวียนของกระแสลมและกระแสน้ำของมหาสมทรแปซิฟิกในสภาวะปกติ
    ขณะที่ตามแนวชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้จะเกิดกระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรไหลเข้ามาแทนที่กระแสน้ำอุ่นที่ถูกลมสินค้าพัดพาไป ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “น้ำผุด” (Upwelling) ซึ่งนำธาตุอาหารจากมหาสมุทรลึกขึ้นมายังเขตท้องทะเลที่แสงสว่างส่องถึง (Euphotic zone) ทำให้ทางชายฝั่งของทั้งประเทศเปรู เอกวาดอร์ และชิลี กลายเป็นแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญและสร้างรายได้มหาศาลให้กับชาวประมงท้องถิ่นอีกด้วย

    Peruvian-Upwelling.jpg
    ภาพ
    ผลของปรากฏการณ์น้ำผุดในเปรู (Peruvian Upwelling)
    • ปรากฏการณ์เอลนีโญ
    เอลนีโญเกิดขึ้นเมื่อลมสินค้ามีกำลังอ่อนลง ส่งผลให้กระแสลมเกิดการเปลี่ยนทิศโดยพัดจากประเทศอินโดนีเซียไปยังชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ทำให้กระแสน้ำอุ่นถูกพัดเข้าหาชายฝั่งตะวันตกของประเทศเปรูและเอกวาดอร์ซึ่งเป็นทิศตรงกันข้ามกับการไหลเวียนในสภาวะปกติ ทำให้ทางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียขาดฝนและเผชิญกับความแห้งแล้ง โดยฝนที่ควรได้รับไปตกยังทวีปอเมริกาใต้แทน การเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำอุ่นยังส่งผลให้กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ตามปกติ ทำให้ทางชายฝั่งของทั้งประเทศเปรู เอกวาดอร์และชิลีสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลที่เคยได้รับไปในช่วงเวลาดังกล่าว

    El-Nino-Year.jpg
    ภาพ การไหลเวียนของกระแสลมและกระแสน้ำเมื่อเกิดเอลนีโญ
    • ปรากฏการณ์ลานีญา
    ลานีญาเป็นปรากฏการณ์ตรงกันข้าม โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับการไหลเวียนของสภาพอากาศในสภาวะปกติ แต่มีความรุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากกระแสลมสินค้าที่พัดไปทางทิศตะวันออกมีกำลังแรงมากกว่าปกติ ทำให้ทางประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียมีระดับทะเลและปริมาณน้ำฝนสูง ขณะที่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างรุนแรง

    ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา

    เอลนีโญและลานีญาก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศของโลก ความแปรปรวนของกระแสลมและการไหลเวียนของกระแสน้ำที่ผันผวน อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง เช่น การเกิดพายุ ภัยแล้ง ไฟป่า หรือน้ำท่วม ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทั้งสัตว์ทะเลและมนุษย์ โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านที่ยังคงพึ่งพาทรัพยากรทางทะเลเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้หลัก และถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา แต่ในช่วงใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญขึ้น อุณหภูมิภายในประเทศไทยอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับปกติ และอาจเกิดสภาพอากาศแปรปรวนในบางพื้นที่ เช่น ในบริเวณที่เคยมีฝนตกชุกอาจต้องเผชิญกับความแห้งแล้งฉับพลัน หรือในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำฝนอาจเผชิญกับพายุฝนรุนแรง เป็นต้น

    Drought-in-Australia.jpg
    ภาพ ภัยแล้งในประเทศออสเตรเลีย
    Typhoon-Winnie-in-Taiwan.jpg
    ภาพ พายุไต้ฝุ่นที่ไต้หวัน ปี 1997
    Colombia_mudslide.jpg
    ภาพ ดินถล่มในประเทศโคลัมเบีย ปี 2017
    เอลนีโญและลานีญาถือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความผกผันของกระแสอากาศบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือคาดการณ์ถึงระยะเวลาของการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้อย่างแน่ชัด ซึ่งจากสถิติเรารู้เพียงว่า ทุกๆ 2 ถึง 7 ปี มักเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาขึ้นสักครั้ง โดยเอลนีโญมักเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของทุกปี เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 2 เดือนไปจนถึง 1 ปี ขณะที่ลานีญาเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ยาวนานยิ่งกว่า (ราว 9 เดือนไปจนถึง 2 ปีเลยทีเดียว)

    นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังทำนายไว้ว่า วัฏจักรของเอนโซ่ (ENSO) จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น และอาจนำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลกได้อย่างรุนแรงยิ่งกว่าในอนาคต

    สืบค้นและเรียบเรียง
    คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ

    ข้อมูลอ้างอิง

    ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ – http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere/elnino

    National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) – https://www.noaa.gov/education/resource-collections/weather-atmosphere-education-resources/el-nino

    National Geographic – https://www.nationalgeographic.com/environment/weather/reference/el-nino-la-nina/

    National Geographic Society – https://www.nationalgeographic.org/encyclopedia/el-nino/

    http://ngthai.com/science/26980/elnino-lanina/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2020
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวภัยพิบัติ
    // เตือนตั๊กแตนระบาดในแอฟริกา //
    10/01/20
    ไนโรบี - เคนยาเตือนว่า ฝูงตั๊กแตนได้ระบาดจากเอธิโอเปียและโซมาเลียเข้ามาทางภาคเหนือและภาคตะวันออกของเคนยา เสี่ยงทำลายผลผลิตทางการเกษตรและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
    กระทรวงเกษตรเคนยาแถลงว่า ตั๊กแตนเริ่มเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม เริ่มจากการทำลายทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ในเขตกึ่งแห้งแล้งของชุมชนเลี้ยงปศุสัตว์ จากนั้นได้ระบาดไปยังพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันตก การบุกของฝูงตั๊กแตนที่เสี่ยงระบาดไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเป็นอันตรายต่อความมั่นคงด้านอาหารและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    องค์การอาหารและยาแห่งสหประชาชาติหรือเอฟเอโอ (FAO) แถลงความคืบหน้าเมื่อวันที่ 6 มกราคมว่า คาดว่าฝูงตั๊กแตนในโซมาเลียจะโตและแพร่พันธุ์ในเดือนนี้ แต่ฝูงตั๊กแตนในเคนยายังไม่น่าจะถึงวัยนั้น และมีความเสี่ยงต่ำที่จะระบาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างยูกันดาและเซาท์ซูดาน ส่วนเมื่อเดือนก่อนเอฟเอโอแถลงว่า ตั๊กแตนได้ทำลายพื้นที่การเกษตรในโซมาเลียและเอธิโอเปียไปกว่า 437,500 ไร่ เป็นการระบาดร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปีของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้การที่โซมาเลียมีความขัดแย้งและความวุ่นวายทำให้การฉีดพ่นยาทางอากาศซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ผลที่สุดไม่สามารถทำได้
    CR: mcot, pic: AFP
    A desert locust outbreak is the worst in 25 years and threatening pastures and crops on both sides of the Red Sea
    https://www.bloomberg.com/news/arti...-locust-outbreak-threatens-south-sudan-uganda
    #Watchers
     

แชร์หน้านี้

Loading...