ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. แมงกะพรุน

    แมงกะพรุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,267
    งามมากครับ.... มีให้ร่วมทำบุญมั้ยครับ ,,, แล้วหนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์ เป็นของท่านอาจารย์ปฐมหรือเปล่าครับ
     
  2. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ผมช่วยครับคุณสติ.... แต่ว่าไม่ได้เอาออกจากกรอบ คงพอไหวนะครับคุณแมงกระพรุน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SSM14514-1.jpg
      SSM14514-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196 KB
      เปิดดู:
      81
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    หนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์ เป็นของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ครับ
    เป็นผลงานที่ท่านเขียนจากข้อเท็จจริง,ประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการพระเครื่องมาตั้ง 60-70 ปี และการลงมือทำด้วยตัวท่านเองเช่นการสร้างพระเครื่องตั้งแต่การลบผง ตำมวลสาร การแกะแม่พิมพ์ การกำหนดฤกษ์ยามในการกดพระ หรือการสร้างพระเครื่องแบบลงรัก คลุกรัก (แบบจุ่มรักไม่มีในสารบบ) หรือการเป็นเจ้าพิธี และพิธีกรในการพุทธาภิเษกพระเครื่องเป็นต้น ท่านได้พิมพ์บันทึกสิ่งข้างต้นที่กล่าวมานี้ไว้นานแล้ว พวกผมเห็นว่าข้อเขียน บันทึกของท่านอาจารย์จะมีประโยชน์กับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง และต้องการจะเผยแพร่ความรู้ของท่านนี้ออกไปให้กว้างไกลจึงได้กราบเรียนขออนุญาตขอข้อมูลจากท่านแล้วนำมาเรียบเรียงและทำการจัดพิมพ์ขึ้นเนื่องในวันเกิดของท่านครับ

    ส่วนพระผงยาวาสนาของวังหน้าถ้าต้องการชมของจริงก็มาชมได้ในวันอาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 2553 นี้ซึ่งพวกผมจะไปทำบุญกันที่โรงพยาบาลสงฆ์เป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้วครับ หรือจะโทรมาคุยกันก่อนก็ได้ที่ 087-4977-905 ก็ได้ครับ


    ปล. ขอบพระคุณมากครับคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->channarong_wo<!-- google_ad_section_end --> ที่นำรูปมาช่วยอีกแรง สบายดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2010
  4. แมงกะพรุน

    แมงกะพรุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,267
    โอนเงินร่วมทำบุญแล้วครับ จำนวน 300 บาท วันที่ 19/02/53
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    สรุปจำนวนพระที่จะถวายสังฆทานอาหารในวันอาทิตย์ที่ 21/2/53 นี้ เท่าที่เช็คในช่วงเวลา 16.30 น.ของวันนี้มีทั้งสิ้น 164 รูป ครับ จึงประชาสัมพันธ์มาให้ทราบโดยทั่วกัน และอย่างเดิมใครจะหิ้วนมกล่อง ผลไม้ ไปร่วมกับพวกเราก็ได้ครับ

    พันวฤทธิ์
    19/2/53

    [​IMG]
     
  6. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ยินดีเสมอครับพี่ หากเป็นส่วนนึงที่สามารถแบ่งเบาภาระได้...
    สบายดีครับผม....โมทนาบุญกับพี่ทั้งหลายทั้งมวลด้วยนะครับ...ชาญ
     
  7. banjerdw

    banjerdw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +1,110
    แจ้งโอนเงินร่วมบุญประจำเดือน กพ.53 จำนวน 200.00 บาท เมื่อ 20/02/53 ครับ
    สำหรับเดือนนี้ต้องขออนุญาตลา เนื่องจากต้องไปวัดพระพุทธบาท สระบุรี เอาไว้เดือนหน้าถ้าไม่ติดงาน จะไปร่วมบุญอีกครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    มีพระสมเด็จสกุลปัญจสิริมาให้ชมแทนการแนะนำพระเครื่องดีในสัปดาห์นี้ครับลองชมกันดู หากได้ชมองค์จริงๆ จะสวยงามมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ แล้วเดือนหน้าค่อยเจอกัน หากขากลับเกิดอยากไปเที่ยวทางอยุธยาตัดเข้าทางวังน้อยผ่านไปทางอยุธยา เพียงไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงแล้ว หรือออกด้านหลังวัดพระพุทธบาทฯ ผ่านไปทางบ้านหมอ เข้า อ.ท่าเรือ วิ่งไปไม่เท่าไรก็ถึง อยูธยาแล้ว แวะกราบหลวงปู่เยี่ยมด้วยก็จะดี ท่านเป็นพระอริยบุคคลที่ควรกราบไหว้แล้ว จะได้เป็นมงคลด้วยครับ

    [​IMG]
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ลองอ่านดูครับ น่าสนใจดี แต่ที่ดีกว่านั้่นก็คือบทของคำแปลทีว่า"โลกอุดร" (หลวงปู่โลกอุดร กับ หลวงปู่เทพโลกอุดร หากผู้ที่มีจิตขั้นสูงสุดจะทราบดีว่ามีความแตกต่างกันอย่างคาดไม่ถึง เป็นคนละคณะกัน จำนวนก็ไม่เท่ากัน และมองดูเป็นคนละอย่างเลยทีเดียวก็ว่าได้ก็หลวงปู่โลกอุดร ท่านเป็นคณะพระธรรมฑูตที่มาเผยแพร่และคอยดูแลพุทธศาสนาในประเทศไทย มีอยู่ทั้งสิ้น 5 องค์ เราทั้งหลายก็รู้กันอยู่แล้วว่าท่านมีฉายาอะไรบ้าง แล้วหลวงปู่เทพโลกอุดรล่ะ คำแปลก็อยู่ข้างล่างนี่เอง และเมื่อเริ่มพบเห็นความมหัศจรรย์ในบรรณพิภพนี้ ยังมีสิ่งที่เป็นวิชชา ยากยิ่งที่จะรู้ขึ้นอีกมาก แต่ละคนก็จะรับรู้ได้ตามวาสนาบารมีแห่งตนที่ได้บ่มเพาะ และเกี่ยวเนื่องกันมายากที่จะอธิบายได้) โดยบทความแห่งธรรมที่นำมาลงนี้ หลายคนในคณะทุนนิธิฯ จะเริ่มรู้แล้วว่าเป็นจริงฉันใด ผมเห็นหลายคนที่ยังไม่รู้ อาจจะตีความได้ลำบากยิ่ง คงต้องขออภัยด้วย และจะได้ทราบความจริงหากได้คุยกันด้วยวาจา แม้นข้อความนี้ยาวไปหน่อยแต่คงไม่อยากสำหรับผู้ที่สนใจที่จะศึกษา ผมเห็นว่าเป็นบทความที่ดี ที่ตรงต่อสิ่งที่ผมได้รับรู้ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ และหากมีสิ่งใดขัดแย้งกับความเชื่อของแต่ละท่านผมคงต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ...

    0020 - โลกอุดร

    เขียนโดย dy เมื่อ พฤ, 2007-08-02 18:41
    โลกอุดร

    ๗-ม.ค.-๒๕๔๖
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
    ขออภิวาทแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองนั้น ขอนมัสการพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ขอนอบน้อมแด่พระอริยสงฆ์ และสมมุติสงฆ์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระศาสนา ขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ ขอนมัสการพระเถรานุเถระผู้มีพรรษายุกาลและปัจฉิมายุกาลทุกท่าน ขอเจริญสุขแด่สามเณรและเจริญพรอุบาสกอุบาสิกาทุกท่าน

    วันนี้วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๖ ก็เป็นโอกาสดีอีกครั้งหนึ่งที่ได้มาปรารภธรรมในหมู่ท่านผู้ปฏิบัติธรรม การปรารภธรรมก็ปรุงแต่งมายาขึ้นมา มาให้ฟังกัน ความจริงภาษาทั้งปวงเป็นมายาทั้งนั้น เราอาศัยมายา ใช้เทคนิคการอาศัยใช้มายา เพื่อให้ผู้ฟังซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมด้วยกัน มีความอาจหาญร่าเริงสมาทาน มีความอดทนที่จะใฝ่ในการปฏิบัติ เพื่อให้รู้แจ้งสัจจะ ที่กายในกายของท่าน เวทนาในเวทนาของท่าน จิตในจิตของท่าน และธรรมในธรรมของท่าน
    ภาษาที่ปรุงออกมาพูดเป็นมายาทั้งนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าอย่างนั้นถูกอย่างนี้ผิด สิ่งทั้งปวงเป็นมายา แต่ของแท้คือที่เรากำหนดหยั่งรู้นี่ เราจะต้องกำหนดหยั่งรู้ด้วยตัวเอง เห็นเอง แล้วละอารมณ์ ละความผูกพันในอารมณ์ ละความยินดียินร้ายด้วยตัวของเราเอง อันนั้นน่ะของจริง ที่เรามาเทศน์น่ะเป็นมายาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่ามาขัดแย้งกันเรื่องมายา

    สัจจะไม่ขัดกัน สัจจะนี่ต่างคนต่างพยายามดูว่า การเทศน์ออกมาเป็นมายา แต่เราใช้เทคนิค อาศัยใช้มายาเพื่อให้คนมาแจ้งในสัจจะ ก็ถือว่าเป็นมายาฝ่ายดี แต่ก็อย่ายึดมั่นเป็นจริงเป็นจัง เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมประดุจเรือ เพื่ออาศัยข้ามฝั่ง เพื่อให้จิตอาศัยเกาะเพื่อข้ามฝั่ง ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อคือพระนิพพาน เมื่อถึงฝั่งก็ทิ้งเรือ ทรงตรัสสอนให้ถอนความยึดมั่นอุปาทานแม้ในธรรม ไม่ต้องกล่าวถึงอธรรม อธรรมก็ยิ่งทรงตรัสสอนให้ถอนความยึดมั่นให้ละเสียซึ่งความชั่วทั้งปวง

    โอวาทปาฏิโมกข์ หมายถึงคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านสอนว่า ละชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตให้ขาวรอบ ทำจิตให้ขาวรอบก็คือไม่ติดดีไม่ติดชั่ว

    สิ่งทั้งปวงเป็นมายาทั้งนั้น ความชั่วก็เป็นมายา ความดีก็เป็นมายา ถ้าใช้ไม่ถูกความดีก็กลายเป็นสิ่งที่มากัดเรา ไปติดดี เราไปติดดีจนเกิดความเย่อหยิ่งถือดี ต่อมาความดีนั้นเสื่อมไปก็ยังเอาความดีนั้นมาอวดอ้างบังหน้าเพื่อจะทำความชั่ว

    บุคคลผู้ที่จะทำชั่วได้ใหญ่หลวงน่ะ จะต้องเอาความดีมาบังหน้าทั้งนั้น ไม่งั้นจะทำความชั่วที่ใหญ่หลวงไม่ได้ ไอ้คนไหนที่ห่มหนังเสือไปล่าเหยื่อ ล่าเหยื่อได้น้อย ถ้าห่มหนังกวางไปล่าเหยื่อมันล่าเหยื่อได้มาก

    ที่ท่านบอกว่าอย่าติดดี คือว่าทำความดีเพื่อจะละอย่ายึดมั่น อย่าทำความดีเพื่อแอบอ้างเอามาบังหน้าเพื่อจะทำความชั่ว ทำความดีขึ้นมาเพื่อจะเป็นข้ออ้างเพื่อจะไปข่มขี่ผู้อื่นว่ากูดีกว่ามึง อันนี้แสดงว่าติดดี ติดดีเอาไปใช้ในทางไม่ถูก ความดีที่เราทำ ให้สักแต่ว่าอาศัยที่จะละความชั่ว เพื่อเป็นบันไดไปสู่ความรู้แจ้งหลุดพ้น

    ความดีเป็นบันไดที่ทุกคนต้องทำ ทุกคนต้องก้าวขึ้นไปบนบันได แต่อย่าไปนอนบนบันได ก้าวให้สูงขึ้นจากบันไดขึ้นไปอีก ตรงนั้นคือความหลุดพ้น ความหลุดพ้นเกิดจากการแจ่มแจ้งในความเป็นมายาของทั้งความชั่วและความดี สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงทั้งนั้น จิตที่เราคิดชั่วก็ไม่เที่ยง จิตที่เราคิดดีแค่ไหนก็ไม่เที่ยง มันเกิดดับ ไอ้คำว่าเกิดดับก็คือว่าไม่เที่ยงนั้นแหละ เป็นโวหารอีกโวหารหนึ่ง เกิดดับก็คือไม่เที่ยง เหมือนกับเรียกว่าควายหรือเรียกกระบือนั่นแหละคืออันเดียวกัน เป็นมายา ภาษาเป็นมายาทั้งนั้น

    อันนี้ที่เรามากำหนดปัจจุบันอารมณ์ เมื่อมาแจ่มแจ้งในปัจจุบันอารมณ์ เราจะข้ามพ้นภาษาทั้งปวงไป มีแต่ความเกิดดับของปัจจุบันอารมณ์ ถ้าภาษาปริยัติเขาเรียกว่า เพราะละวิตกวิจารเสียได้ ละวิตกวิจารก็คือปัจจุบันอารมณ์มันแจ้ง การที่เรามาเจริญสติปัฏฐาน มันจะแจ้งลงไปในฐานยิ่งขึ้น ๆ ความที่จิตจะยกขึ้นมาปรุงแต่งเป็นภาษามนุษย์ทั้งปวงน่ะ มันก็หายไป ถ้าเราแจ้งในฐาน ฉะนั้นความดีความชั่วก็ขาดไปแล้ว

    ความดีความชั่วมันอยู่ที่สังขารขันธ์ ปรุงแต่งดีชั่วบุญบาป คือตัวคิด การที่เรามาเจริญสติปัฏฐานกัน เจริญปัจจุบันอารมณ์ให้มาก ๆ เพื่อเอาตัวรู้ไปแทนที่ตัวคิด เพราะว่าใจของคนเรา มันทำได้สองอย่าง คือรู้กับคิด ตัวรู้ไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์หรอก ตัวคิดนี่มันทำให้เราเป็นทุกข์ ตัวคิด คิดเป็นภาษาทั้งหลายแหล่ ภาษาทั้งหลายทั้งปวง เป็นตัวใส่ผงชูรส ให้อารมณ์มันรุนแรงยิ่งขึ้น คนเราจะเกลียดกันมาก ๆ ต้องมีภาษาเป็นเครื่องปรุง ไม่งั้นก็เกลียดกันได้พอหอมปากหอมคอเท่านั้นแหละ ถ้าอยากให้เขาเกลียดเรามาก ๆ ก็ไปพูดข่มขี่เขาด้วยคำที่ว่าเขาเถียงไม่ออก เถียงไม่ทันเท่านั้นแหละ รับรองว่าเขาจะเกลียดเรามากขึ้น
    ภาษาเป็นตัวเพิ่มอารมณ์ เพิ่มความรุนแรงของอารมณ์ ภาษาก็คือตัวคิด คิดปรุงแต่งขึ้นมา เวลาเรากำหนดปัจจุบันอารมณ์ตามฐาน ที่ยกมือก็ได้ ที่ก้นสัมผัสพื้นก็ได้ ตรงไหนก็ได้ที่เราชำนาญ ความปรุงแต่งหรือความคิดมันจะลดลงไป ภาษาที่หลวงพ่อใหญ่ชอบพูดเรื่อย ๆ ที่เรียกว่าตัดสัญญานั่นแหละ คือตัดความนึก ความคิด ความปรุงแต่งในอดีตบ้าง คืออดีตน่ะ ความคิดในอดีตมาก คนเราน่ะ มันรัก ๆ ชัง ๆ เฝ้ากังวล สำคัญตนว่าสุข ทุกข์แทบตาย ความสุขน่ะคือเหยื่อล่อให้เราไปจมปลักอยู่ในทุกข์จนถอนตัวไม่ขึ้น ความดีก็เหมือนกันนะ เป็นตัวล่อให้เราไปติดความเลว

    ของไหนที่เราติดจนทิ้งไม่ได้ทั้งที่มันมีโทษ พิจารณาดูให้ดีเถอะ คือมันมีของดีมาล่อเราไว้อยู่ เพราะฉะนั้นนะโลกนี้มันมีสองภาค ภาคดีภาคเลว จะทิ้งภาคใดภาคหนึ่งก็ต้องตัดใจกับอีกภาคหนึ่งด้วย เราไม่ชอบเหรียญหน้าหัว ก็ต้องตัดใจกับเหรียญหน้าก้อยด้วย เราไม่อยากติดเบ็ดต้องตัดใจกับไส้เดือนซะ เราไม่อยากทุกข์เดือดร้อนกับโลก เราต้องตัดใจสละเหยื่อของโลกซะ เหยื่อของโลกก็คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย โผฏฐัพพะที่น่าชอบใจ การตัดให้ตัดในใจเราด้วยปัจจุบันอารมณ์ ด้วยสติปัฏฐานนี่แหละ ตัดด้วยอย่างอื่นไม่ได้
    สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่อุบัติขึ้นมาในโลก พวกโยคีทั้งหลายเห็นโทษในกาม โยคีที่มีปัญญาขึ้นมาบ้างก็เห็นโทษในกามเหมือนกัน คิดจะตัดกาม ก็โดยใช้วิธีการทรมานตนไปเลย คือเอียงไปสุดโต่งอีกข้าง ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน คือเปลี่ยนจากราคะมาเป็นโทสะไป ประชดชีวิตไปเลย ดับทุกข์ไม่ได้ เป็นสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง ภาษาบาลีว่าอัตตกิลมถานุโยค

    ฉะนั้น ทางสายกลางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติให้พุทธบุตรทั้งหลายดำเนิน ก็คือสติปัฏฐานนี่แหละ เป็นไปเพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อละอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ และกระทำนิพพานให้แจ้ง เข้าถึงความดับไม่มีเชื้อ หมดเชื้อเกิด พ้นทุกข์ทั้งปวง พ้นที่ใจเรา

    การปฏิบัติธรรมที่เรามาขวนขวายปฏิบัติ ปีแล้วปีเล่า เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อพัฒนาคุณภาพของจิตเราให้มีศีลยิ่งขึ้น ให้มีสมาธิแก่กล้าขึ้น ให้มีญาณปัญญาแทงตลอดกองสังขารทั้งปวง ฉลาดทันสังขาร รอบรู้ เข้าใจหมด มันจะมาปรุงแต่งให้จิตเราเป็นทุกข์ยากขึ้น เพราะปัญญาคือความรู้รอบในกองสังขาร ไม่ต้องไปรู้ที่ไหน รู้ในกายในจิตเรานี่แหละ ยิ่งหยั่งเข้ามาภายในมากยิ่งได้กำไรชีวิต
    ผู้ปฏิบัติธรรมนี่ ยิ่งรู้ภายในมากขึ้นยิ่งกำไรมากขึ้น ยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ยิ่งพ้นจากความเสื่อม ยิ่งพลาดท่ายากขึ้น ทุกครั้งที่จิตเราพลาดท่าเสียทีกิเลสน่ะ สังเกตดูให้ดีเถอะ ล้วนเพราะจิตส่งออกไปข้างนอก แส่ไป แส่ไปเพราะความประมาททั้งนั้น ที่ทำให้จิตเราเป็นทุกข์ เพราะความประมาท จึงไม่หากินอยู่ในรอยไถของพุทธบิดา คือสติปัฏฐานทั้ง ๔ อันจะเป็นแหล่งทำมาหากินที่พ้นจากพญามาร พญาเหยี่ยว ไม่สามารถจะโฉบนกมูลไถซึ่งหากินในถิ่นอันเป็นที่หากินของบิดาของตน ก็คือสติปัฏฐานทั้ง ๔

    การเจริญก็โดยการ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ เห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ เวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ จิตในจิตเนือง ๆ อยู่ และธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่ เป็นไปเพื่อความสังเวชใหญ่ เพื่อสลัดความยึดมั่นอุปาทานในสังขาร ขันธ์ ๕ รูปธรรม นามธรรมทั้งปวง ที่เราเคยยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวกูของกู กูถูกเท่านั้น กูเยี่ยม กูเจ๋ง กูเก่ง ยึดเอาไว้เถอะ ยึดมามากแล้ว เราเกิดมาหลายภพหลายชาติกันทั้งนั้น มีกิเลสอาสวะนอนเนื่องอยู่ในสันดานกันมาแต่ละคนก็มิใช่น้อย เพราะว่าถ้าเราบริสุทธิ์ก็ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไปนิพพานแล้ว
    แต่ทีนี้ว่าเรานำจิตดวงที่มีกิเลสนี่แหละเอามาขัดเกลา ให้เป็นจิตของพระอริยะ ให้เป็นจิตที่เข้าถึงพระนิพพานได้ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เคยเป็นคนมีกิเลสมาก่อน พระอริยเจ้าทั้งหลายก็เคยเป็นคนมีกิเลสมาก ๆ เหมือนเราเหมือนกัน
    ในความอัศจรรย์ของพระธรรมมีอยู่ว่า เมื่อพระธรรมไปอยู่ที่ไหนย่อมสามารถเปลี่ยนจิตที่เคยมากด้วยกิเลสให้เบาบางลงได้ อันนี้เป็นความอัศจรรย์ของพระธรรม เพราะฉะนั้นบุคคลทั้งปวงเราจะไปดูถูกเขาไม่ได้ ว่าไอ้หน้าตาอย่างนี้ มันจะไปได้ดีอะไร ไปดูถูกเขาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าคุณของพระธรรมนั้นมีเป็นอัศจรรย์ เมื่อไหร่พระธรรมเข้าไปสู่หัวใจของเขานะ ความอัศจรรย์ของพระธรรมจะแสดงให้ปรากฏขึ้นมา บุคคลที่เคยเป็นผู้ดุร้าย อย่างองคุลีมาลโจร ยังกลายเป็นพระอรหันต์ได้

    ฉะนั้นเราจะไปดูถูกใครไม่ได้ เพราะว่าพระธรรมเป็นของอัศจรรย์ เขาเรียกว่า อะโห ธัมโม จะ พระธรรมนี้น่าอัศจรรย์จริง เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่ผู้บรรลุพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นธรรมที่ไม่ประกอบด้วยกาลและเวลา เป็นธรรมที่ควรเรียกให้บุคคลอื่นมาดู เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตน เป็นธรรมที่วิญญูชนจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง ใครดับทุกข์ได้ก็จะแจ่มแจ้งในใจของตัวเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามาเป็นพยาน ไม่ต้องรอให้ใครมามอบประกาศนียบัตร

    ขณะที่เรารับพระธรรมเข้ามาแทนที่กิเลสในใจเรานะ เราก็ดับทุกข์ได้ขณะนั้น รู้แจ้งด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครมายกย่องชมเชย เพราะการยกย่องทั้งหลายมันเป็นโลกธรรม สรรเสริญนินทา โดนปากชาวบ้านเขาหลอกเอา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ เป็นโลกธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมต้องข้ามให้พ้น ถ้าไปติดตรงนี้ก็โดนชาวบ้านเขาหลอก เป็นขี้ข้าเขา แทนที่จะไปนิพพานเขาก็หลอกให้เราอยู่ทุกข์กับเขาต่อไป เขาเอาลาภยศสรรเสริญสุขมาล่อไว้

    ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมเป็นไปเพื่อความสลัดคืน ในบาลีท่านกล่าวไว้ว่า ปฏินิสสัคโค สลัดคืน สลัดคืนจากที่เราเคยเอามากอดรัดเอาไว้น่ะ โดยไม่รู้ เหมือนบุคคลผู้ไปหาปลา ไปสุ่มปลา ล้วงเข้าไปในสุ่ม หยิบปลาไหลขึ้นมา เข้าใจว่าเป็นปลาไหล เอามา จับเอามา หยิบเอามา พอมองเห็นอ้าว เป็นงูเห่า เมื่อมองเห็นความจริงน่ะ มันไม่กอดรัดเอาไว้หรอก มันคิดจะสลัดคืนไป มาจากไหนไปที่นั่น

    จิตของเราก็เหมือนกัน มาแบกหาบหอบหิ้วธาตุดินของโลก ธาตุน้ำของโลก ธาตุไฟของโลก ธาตุลมของโลก แบกแล้วก็มายึดเอาไว้ว่านี่เป็นตัวฉัน ชื่อนายคนนั้น นาย ก นาย ข ซึ่งมีตำแหน่งนั้น มีฐานะนั้น มีสมบัติเท่านั้น อันนั้นเป็นของฉัน อันนั้นเป็นของพ่อฉันของแม่ฉัน เหมือนกันเราไปจับงูเห่ามา นึกว่าเป็นปลาไหล ไปผูกพันยึดมั่นกับสังขารอันเป็นทุกข์แสนเข็ญ
    สิ่งใดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม นามธรรม ที่จิตจะเข้าไปยึดมั่นแล้วไม่นำทุกข์มาให้ ไม่มี ไม่มีเลย ยึดไปถึงไหนทุกข์ไปถึงนั่น อุปาทานเป็นปัจจัยแห่งภพ คือต้องมีที่มีทางจะเดือดร้อนต่อไป เมื่อมีอุปาทานก็ต้องมีช่องทางจะเดือดร้อนแน่

    อารมณ์ของเรานี่ ไม่ว่ายึดอะไรไว้ มันจะทุกข์ เพราะไอ้นั่นแหละ แต่จะเห็นหรือไม่เห็น จะรู้ตัวเองหรือไม่รู้ บางทีทุกข์อยู่ก็ยังไม่เข้าใจ เพราะโมหะมันบังไว้ เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แมลงเม่ามันรู้แต่ว่าสวย มันไม่รู้ว่าร้อน จิตของคนผู้มีกิเลสก็เหมือนกัน รู้แต่ว่ามันน่าจะได้ ไม่รู้ว่ามันทุกข์ เมื่อไหร่มีญาณปัญญาขึ้นมา มันก็รู้ว่ามันสวย แต่รู้ว่ามันร้อนด้วย มันสวยก็รู้อยู่ แต่รู้ว่ามันร้อน พอรู้ว่ามันร้อน ก็เข้าใจแล้วว่าไม่ควรจะบินเข้าไป

    บุคคลทั้งหลายน่ะ ที่เวียนว่ายตายเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็เพราะรู้ว่าสวยแต่ไม่รู้ว่าทุกข์ เหมือนแมลงเม่าทั้งหลาย ไม่เต็มน่ะบินเข้ามาเถอะ กองไฟไม่เคยเต็ม บินเข้ามา บินเข้ามาเท่าไหร่ก็ไหม้เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นนะโลกจึงไม่เคยเต็ม ไม่เต็มไปด้วยบุคคลผู้มากไปด้วยโมหะ แล้วก็มาทุกข์เดือดร้อนกันในโลก ไม่เคยเต็ม ถ้ารอให้มันเต็มแล้วเราไม่ต้องไปทุกข์น่ะ มันไม่มี ถ้ารอว่าคนมากมายมาทุกข์เดือดร้อน แล้วทุกข์มันจะเต็ม แล้วเราไม่ต้องทุกข์น่ะ มันไม่มี ถ้าเราโง่เมื่อไหร่ก็ร้อนเมื่อนั้น ความโง่ก็คืออวิชชา ไม่รู้แจ้งอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพยายามจะประกาศเปิดเผยให้สัตว์ผู้เป็นทุกข์ทั้งหลายได้รู้

    บุคคลทั้งหลายสมัยพุทธกาล เมื่อได้ฟังอริยสัจที่พระองค์ทรงแสดง จะซาบซื้งมาก เพราะว่าชีวิตตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย คนในสมัยพุทธกาลเขาจะอุทานว่า "แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า ไพเราะนักพระเจ้าข้า พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยอเนกปริยาย ประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง เหมือนตามประทีปเอาไว้ในที่มืด เพื่อให้บุคคลที่มีจักษุได้แลเห็นรูป ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์ พร้อมด้วยพระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะไปจนตลอดชีวิต" หรือไม่ก็ ข้าพระองค์ขอบวชในสำนักของพระองค์

    เขาจะซาบซื้งแล้วก็เขาลุยเลย คนเรานี่พอซาบซื้งแล้วก็ลุยเลย คือคำว่าลุยนี่หมายความว่าออกเลย ออกอย่างขั้นต้นก็คือออกจากที่เคยนับถืออะไรมามากมาย ต่อไปนี้จะถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ให้เต็มหัวใจไปเลย หรือไม่ก็ออกจากเรือนเลย ขอบวชในสำนักของพระองค์ เพื่อจะทำที่สุดแห่งกองทุกข์
    เหมือนท่านพระรัฐปาละ พอได้ยินพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงธรรมุเทศ ๔ ข้อ มันแทงเข้าไปในหัวใจของท่าน ทำให้ท่านตัดสินใจออกบวช คิดแต่จะออกบวชแล้ว ทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ภรรยาที่งดงามหลายนางก็ผูกไว้ไม่ได้แล้ว เมื่อจิตซาบซื้งเห็นแจ้งในอริยสัจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็ฉุดจิตดวงนั้นไว้ในทางโลกไม่อยู่แล้ว

    ความมืด แม้มันจะมืดมาสักร้อยปีพันปี หรือมืดมาสักหมื่นปีแสนปีก็ตาม ลองเอาเทียนเข้าไปจุดน่ะ จุดเดี๋ยวนั้นมันก็สว่างเดี๋ยวนั้น เมื่อญาณปัญญาเห็นแจ้งความจริง จิตที่เคยหลงมานานนักก็สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราดูถูกใครไม่ได้ว่า ไอ้คนนี้มันโง่มาตั้งร้อยปีแล้ว คนนี้มันโง่มาตั้งพันปีแล้ว คนนี้โง่มาตั้งอสงไขยกัปแล้ว ดูถูกไม่ได้เลย สถานที่มืดมาร้อยปีพันปี จุดไฟมาเมื่อไหร่ก็สว่างเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้นเราอย่าดูถูกตัวเอง อย่าดูถูกตัวเองเพื่อจะเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำความเพียร ว่าเราเป็นคนโง่คงไม่ได้บรรลุธรรมแน่นอน อย่าดูถูกตัวเองเพื่อเป็นข้ออ้างในการล้มเลิก อย่าดูถูกตัวเองเพื่อเป็นข้ออ้างจะสึก คนเราโง่มาสักร้อยปีพันปี เกิดปัญญามันก็สว่างเดี๋ยวนั้น มันจะมืดมาสักกี่ร้อยปีล่ะ อวิชชาโมหะมันครอบอยู่ กี่อสงไขยกัป พอปัญญาเห็นแจ้งในอริยสัจธรรมขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา

    ธรรมะนี่ท่านบอกว่าเป็นคุณากร ที่ว่าธรรมะคือคุณากร คุณากรแยกออกมาว่า คุณ บวก อากร อากรแปลว่าบ่อเกิด ที่เกิด บ่อเกิดแห่งคุณทั้งหลาย ธรรมะนี่คือคุณากร ส่วนชอบสาธร ส่วนชอบสาธรหมายความว่าทางที่ชอบ ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล สว่างนะ ประทีปธรรมนี่ ส่องไปถึงขันธสันดานอันใดที่เคยชั่วมาก่อน เคยเลวมาก่อน ก็สว่างกระจ่างแจ้งได้ คือสว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน ธรรมนี้ประกอบด้วย มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ รวมเป็นเก้า นวโลกุตตรธรรมเก้า สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร โลกอุดรคือพ้นโลก

    คำว่าหลวงปู่โลกอุดรคือ หลวงปู่ทั้งหลายที่ท่านพ้นโลกน่ะ หลวงปู่โลกอุดรนี้ท่านไม่ตายหรอก ไม่ตายท่านอมตะ อมตะที่ไหนล่ะ ก็อมตะที่ใจใคร ใจใคร อาจจะเป็นที่นั่งอยู่แถวนี้ก็ได้ เมื่อไหร่พ้นโลกขึ้นมาก็กลายเป็นหลวงปู่โลกอุดรขึ้นมา เพราะธรรมะนี่เป็นอกาลิโก ถึงบอกว่าหลวงปู่โลกอุดรท่านไม่ตายหรอก จนถ้วนห้าพันพระพรรษาของพระศาสนา ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติในอริยมรรคมีองค์ ๘ ตราบนั้นพระอริยบุคคลไม่ว่างจากโลก หลวงปู่โลกอุดรท่านก็เลยไม่ตาย

    ท่านก็มาอยู่นี่แหละ มาอยู่ในพระ ก พระ ข ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตรง รู้แจ้งในธรรมทั้งสอง คือธรรมอันเป็นสมมุติ และธรรมอันเป็นปรมัตถ์ ปล่อยวางจากความยินดียินร้ายในโลก ถึงว่าสมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร มันลึกเราหยั่งรู้เข้าไปในขันธสันดานเราแล้วมันยิ่งลึก ที่มันจะลึกได้ เพราะว่าเราหยั่งไปละไป หยั่งไปละไป ถ้าหยั่งแล้วไม่ละมันก็ไม่ลึก เพราะอะไร เพราะมันไม่เกิดปีติในการที่เราดับทุกข์ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง
    รู้แล้วมันต้องละ เห็นโทษแล้วต้องละ เห็นโทษแล้วก็สลัดออก สลัดคืน มันลึก ลึกตรงที่ว่าจิตของเราแต่เดิมนี่มันทุกข์ ไม่เคยจะมีเลยที่ว่าไม่ทุกข์ ไม่เคยมีความสุข หวนนึกถึงชีวิตเราตอนเป็นฆราวาสน่ะ โดนเขาหลอกว่าไปทำอย่างนั้นแล้วจะสุข ไปทำอย่างนี้แล้วจะสุข พอไปทำจริง ๆ ก็เปล่า ไม่เคยเจอ

    ผู้พูดนี่ นึกถึงชีวิตตอนเป็นฆราวาส เขาบอกว่าทำอะไรแล้วเป็นสุขก็ไปลองทำหมด ที่ชาวโลกเขาบอกกันน่ะ ทำหมด แล้วไม่เห็นสุขที่แท้จริง ไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งเข้ามาบวชแล้วก็มาเจริญสติปัฏฐานอย่างที่หลวงพ่อสอนน่ะ ถึงเจอความสุขที่แท้จริง เมื่อก่อนนั้นไม่เคยเจอ เป็นฆราวาส เขาบอกว่า ต้องไปเที่ยวกลางคืนตั้งแต่เย็นจรดเช้านะแล้วจะสุข ไปลองแล้วก็ไม่เห็นมีความสุข เขาแนะให้ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้อีกหลายอย่างแล้วจะมีความสุข ไปทำจริงก็ไม่เห็นมีความสุข

    พระธรรมนี่ ผู้ใดมาประพฤติตามพระธรรมนะผู้นั้นจะเจอความสุขที่แท้จริง สุขอันไม่จอมปลอม เพราะฉะนั้นถึงว่ายิ่งปฏิบัติไปมันยิ่งลึก ยิ่งซึ้ง คือเมื่อเรายิ่งดับทุกข์ได้ กิเลสหนา ๆ ที่เคยมากไปด้วยกิเลสหยาบน่ะมันเบาบางลง ที่เคยปรุงแต่งมาก ก็เบาบางลง ทุกข์น้อยลง นั่นแหละมันยิ่งลึก มันยิ่งซึ้ง มันซึ้งตอนดับทุกข์ได้ ถ้าดับทุกข์ไม่ได้มันไม่ซึ้งหรอก เดี๋ยวก็เบื่อ ไปใส่กางเกงดีกว่า มาอยู่อดข้าวเย็นทำไม มาอยู่ลำบากทำไม ถ้าออกไปแล้ว นึกจะไปเที่ยวไหนก็ไปได้ เที่ยงคืนตีหนึ่งนึกจะไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนก็ไปได้ มาบวชอยู่ทำไมให้ลำบาก ถ้ามันดับทุกข์ไม่ได้ละก็ มันก็ฟุ้งซ่านอยากจะออกไป

    ถ้าเราดับทุกข์ได้แล้วนี่ ผ้ากาสาวพัสตร์จะมีค่าแก่เรายิ่งนัก จีวรไม่ร้อน อย่างพระที่บวชสามวัน เจ็ดวัน จีวรร้อนน่ะ เพราะว่าไม่ได้มาเจริญสติปัฏฐาน ถ้ามาดับทุกข์ที่ใจตัวเองได้แล้วจะรู้สึกว่าผ้ากาสาวพัสตร์นี่มันเป็นชุดของเรา คือว่ามันเย็น

    ความสุขในพระธรรมน่ะมันเย็น ความสุขทางโลก ก็เหมือนได้เกาขี้กลาก มันไม่มีความสุขจริง ๆ หรอก เหมือนไปเลียน้ำผึ้งที่ปลายมีดโกนน่ะ มันก็หวานเหมือนกัน นั่นแหละความสุขชาวโลก เหมือนกับไปเลียน้ำผึ้งที่ปลายมีดโกน มันหวานน่ะหวาน แต่ลิ้นมันจะขาด มันเป็นความสุขที่มีภัย ความสุขทางธรรมนี่ ยิ่งดับความปรุงแต่งมันก็ยิ่งเย็น ยิ่งถอนความยึดมั่นมันก็ยิ่งสบาย ยิ่งรู้แจ้งในมายามันก็ไม่หนัก

    ก้อนหินในโลกนี่มีมาก แต่มันจะหนักหัวก็เฉพาะไอ้ก้อนที่เอามาไว้บนหัวเรา ฉันใดก็ฉันนั้น อุปาทานมันทำให้เรื่องราวทั้งหลายในโลกมันหนักสำหรับเรา ท่านถึงบอกว่า อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง คือมรรคผลนิพพานจะเกิดได้ต่อเมื่อเรามาปฏิบัติแล้วก็เรียนรู้แนวทางปริยัติ ปฏิบัติไปตามปริยัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงเอาไว้ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็ดี มหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี อันนี้เป็นปริยัติเป็นแนวทาง เป็นแผนที่ให้เราเดิน ถ้าเราไม่เดินแผนที่ก็ไม่มีประโยชน์แก่เรา แผนที่ไม่สามารถจะเป็นเชียงใหม่เชียงรายให้เราได้ ถ้าเราไม่เดินทาง
    ฉะนั้นเมื่อบุคคลมีทั้งปริยัติ มีทั้งปฏิบัติ นี้ก็เป็นทางแล้ว ที่จะไปสู่ปฏิเวธคือความดับทุกข์ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง จะไปเป็นหลวงปู่โลกอุดรนี่ก็ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ ข้าขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำนง ด้วยจิตและกายวาจา

    บุคคลเห็นคุณค่าของพระธรรม เมื่อเราเห็นคุณค่าของพระธรรมก็จะโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำนง คือมีความเคารพ ขอให้มีความเคารพในพระธรรม ด้วยจิตและกายวาจา ใจความก็คือว่า เราต้องถือว่าพระธรรมเป็นใหญ่กว่าเรา อย่าไปเชื่อว่าความคิดเรามันถูก ถ้าคิดขึ้นมาแล้วเราเข้าใจว่าถูก แต่ถ้ามันแย้งกับพระธรรมน่ะแสดงว่าความคิดเรามันผิด บุคคลผู้มีทิฏฐิจัด คิดอะไรก็กูถูก กูถูก กูถูก ทิฏฐิ ทิฏฐิมากเลย กูถูกทั้งนั้น เมื่อไหร่เราเคารพพระธรรมน่ะ จนถือว่าพระธรรมนี่ถูกเหนือเราน่ะ พระธรรมน่ะใหญ่กว่าเรา พระธรรมน่ะถูก แล้วจะละสักกายทิฏฐิได้ จะบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ อันจะเป็นต้นทางไปสู่มรรคผลเบื้องสูงได้

    จะเป็นพระโสดาบันได้ก็ต้องรู้สึกว่าพระธรรมถูกต้องกว่าเรา พระธรรมใหญ่กว่าเรา ถึงจะละสักกายทิฏฐิได้ คือมองสิ่งทั้งปวงอย่างที่มันเป็นจริง ไม่มองอย่างที่เราอยากให้มันเป็น สักกายทิฏฐิที่พระโสดาบันละ คือมองสิ่งทั้งปวงอย่างที่เราอยากให้เป็น กูว่าอย่างนี้ กูว่าอย่างนี้ก็มองอย่างนี้ ไม่มองความจริง ไม่มองตามพระธรรม เถียงกับพระธรรมก็เดือดร้อน ไปเถียงกับความจริง เถียงเข้าไปซิ
    พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เถียงเข้าไปซิ เถียงความจริงก็เท่านั้น ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธัมมจักรฯนี่ ท่านตรัสไว้ว่าไม่มีสมณะพราหมณ์ใด ๆ เลยในโลก ที่จะปฏิวัติท่าน ดันธรรมจักรนี่กลับคืน คือหมายความว่าเถียงที่ท่านพูดน่ะ เถียงไม่ได้ เถียงก็ทุกข์เอง เถียงไปซิ คนในสมัยพุทธกาลน่ะมากด้วยทิฏฐิ คนทั้งหลายมากด้วยทิฏฐิ มากด้วยทิฏฐิยังไง ไอ้ตัวเราคิดว่ายังไงก็ปักไว้เลย ความคิดกูถูก อันนี้ไม่สนใจจะหาเหตุผลอีกต่อไปแล้ว ไม่สนใจจะหาความจริงอีกต่อไปแล้ว คิดแต่ว่ากูถูก

    เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถเปิดปัญญาเพื่อจะให้ไปรู้ธรรมะที่ลึกซึ้งขึ้นได้เลย เพราะโดนสักกายทิฏฐิอันเป็นสังโยชน์ตัวแรกปิดไว้ ปิดตายเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่ามรรคผลทั้งหลายนี่มันยากตรงโสดาบันเท่านั้นแหละ ถ้าละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้น่ะ ขั้นต่อไปก็ไม่ยากแล้ว อย่างน้อยภายในเจ็ดชาติก็ได้แน่ ช้าที่สุดคือเจ็ดชาติ

    แต่ว่าบุคคลผู้มีทิฏฐินี่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่อสงไขยกัป ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ เขาเรียกว่าวัฏฏขาณุ เป็นหลักตอของวัฏฏะ เป็นหัวตอของวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดไป เพราะยึดว่ากูเจ๋ง กูคิดถูก กูถูกกว่าพระธรรม ฉะนั้น ทิฏฐิทั้งหลายน่ะ จึงเป็นสิ่งปิดกั้นพระนิพพาน คือยึดถือความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ไม่เอาความจริงเป็นใหญ่

    ความจริงคือสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ฝืนความปรารถนา ว่าไม่ฟัง ตัวเราไม่มี ตัวเราของเราไม่มี มันเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของโลก ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้ นี่คือความจริง

    แต่คนมีทิฏฐิมันไม่ดูความจริง มันดูว่ากูไม่ตาย กูมีของกู กูไม่หมด ความจริงน่ะคนเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรมาเลย เวลาตายไปก็ไม่ได้เอาอะไรไปเลย สมบัติทั้งหลายคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไปทั้งนั้น ทั้งคำชม คำด่า นินทา สรรเสริญ ก็ไม่รู้ถูกใคร คำชมมาว่าชื่อนาย ก ดี นาย ข ดี ชื่อนาย ก นาย ข ก็เป็นนามสมมติ ก็สมมุติกันมาส่งเดช เขาชมมาเขาด่ามาก็ไม่รู้ไปถูกใคร ไปถูกสมมุติ
    เมื่อก่อนนี้พอเด็กออกมาก็เอาไปให้หลวงพ่อตั้งชื่อ ไอ้เด็กนะมันก็ไม่ได้ตั้งชื่อตัวเอง ตั้งว่านาย ก นาย กอศักดิ์ พอเขาด่านาย กอศักดิ์ น่ะก็ไม่รู้ถูกใคร สงสัยเล่น ๆ ว่า อาจจะไปถูกหลวงพ่อที่ตั้งชื่อบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ว่าถูกใคร สมมุติขึ้นมา ชมมาก็ไม่ถูก มันอยู่ในขอบเขตสมมุติทั้งนั้น

    คนเราที่สังขารปรุงแต่งติดอยู่ในภาษาโลก ต้องไปยินดียินร้ายกับภาษา ที่เขาชมบ้าง เขาด่าบ้าง เรียกว่าบ้าไม่จบ ต้องยินดียินร้าย ตื่นเต้น เศร้าสร้อย ลิงโลด เหงาหงอย สมหวัง ผิดหวังไป ถูกเขาหลอกทั้งนั้น เป็นมายาทั้งนั้น ยึดมากก็ทุกข์มาก แบกไว้มากก็ทุกข์มาก ท้ายที่สุดก็ตายกันหมด ไม่เหลืออะไรเลย ต่อให้คนใหญ่ที่สุดก็ตายเกลี้ยง เจงกิสข่านมันรบชนะไปทั่ว กินไปถึงยุโรป จากมองโกล รบชนะจีน ตีไปถึงยันยุโรป มันก็ตาย ตายหมด

    ไม่มีใครใหญ่จริง ไม่มีใครรวยจริง ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุของโลก สมบัติทั้งปวงมันก็เป็นของโลก ถูกหลอก ถูกหลอกว่าเรามีนั่น เรามีนี่ ความจริงแม้แต่กายนี้ก็เป็นสมบัติของโลก ขอบเขตที่จะกินพื้นที่สักนิดว่าตัวเราไม่มีเลย ไม่มีเลย
    สมัยก่อนตอนเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ไปงานวันเกิดอายุ ๙๕ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ขากลับออกมาจากงานแล้ว นั่งรถกลับมาถึงอำเภอวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มีเด็กเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมาขาย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พาดหัวข่าวว่า เศรษฐีพันล้าน ชิน โสภณพนิช หนีความตายไม่พ้น นี่ยังจำได้เลยตั้งหลายปีแล้ว ชิน โสภณพนิช นี่เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ รวยมาก ไทยรัฐพาดหัวข่าวอย่างนี้ ยังจำได้
    คือว่าท้ายสุดไม่มีอะไรเป็นของเราจริง มีจริงก็พระธรรมน่ะ ที่เราฝึกฝนปฏิบัติ การที่เราทั้งหลายได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมะน่ะ จะได้จริง ๆ ดับทุกข์ได้ ส่วนทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็กองท่วมโลกต่อไป

    วันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ได้มาปรารภธรรมเพื่อให้พุทธบริษัททั้งหลายเกิดความอาจหาญ ร่าเริง สมาทาน ในธรรมีกถา เกิดศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อินทรีย์และพละทั้งหลายแกล้วกล้า เพื่อจะได้ต่อสู้กับกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้ถึงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อันพลันจะถึงด้วยกันทุกคนทุกท่าน


    0020 - โลกอุดร | palapanyo-dev

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2010
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ภาพกิจกรรมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553
    [​IMG]


    <EMBED height=344 type=application/x-shockwave-flash width=425 src=http://www.youtube.com/v/QemUD2rWaTs&color1=0xb1b1b1&color2=0xcfcfcf&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1 allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always">

    </EMBED>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    </EMBED>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_8637.JPG
      100_8637.JPG
      ขนาดไฟล์:
      98 KB
      เปิดดู:
      410
    • 100_8641.JPG
      100_8641.JPG
      ขนาดไฟล์:
      66.6 KB
      เปิดดู:
      412
    • 100_8642.JPG
      100_8642.JPG
      ขนาดไฟล์:
      98.7 KB
      เปิดดู:
      405
    • 100_8666.JPG
      100_8666.JPG
      ขนาดไฟล์:
      93.6 KB
      เปิดดู:
      410
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2010
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ความรู้ยามบ่ายนำมาฝากกัน "รู้มาก ไม่ยากนาน ไม่รู้เลย ก็เลยไม่รู้อ่ะดิ"

    ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด

    ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
    นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
    เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
    ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
    เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
    หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย.
    ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001


    ***



    ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง

    คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ
    จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
    แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม
    ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
    แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
    เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก( bone mass) ของคุณ.
    ที่มา : Rethinking Drinking' Reader's Digest, December 2001


    ***


    นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด

    นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
    รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
    เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
    และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
    จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
    ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
    ( ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )


    ***


    ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ

    ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน ( Goibrogen)
    ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
    ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน ( Thyroscine) ได้
    ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
    แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
    จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก
    จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ


    ***


    ถั่วงอกดิบมีโทษครับ

    ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
    มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
    ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
    ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
    ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
    สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
    จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ


    ***


    วิธีป้องกันตะคริว

    ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
    การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ
    จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
    ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News,
    August 22, 2001


    ***


    อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน

    ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
    จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
    คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
    ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001


    ***


    ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง

    ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
    แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
    หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
    ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001


    ***

    เนยแท้ vs เนยเทียม

    เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
    หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
    แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป
    ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...


    ***


    วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ

    เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
    แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ ' แก่ก่อนวัย '
    ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า ' ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ '
    เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
    สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    ๑.ต้องไม่อยากแก่...
    ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
    และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

    ๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว...
    คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
    หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี

    ๓.ลดความเครียด..
    เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
    ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ

    ๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
    ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี

    ๕.กินอาหารต้านชรา..
    พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย
    เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

    ๖.นอนหลับเพียงพอ..
    เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย
    ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด

    ๗.ความรัก..
    ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
    ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน


    ***


    ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
    อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ
    ของราชพฤกษ์โพล
    คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
    จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
    ในพื้นที่ 17 เขตของกรุงเทพมหานคร
    พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก
    โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
    ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
    โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
    ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย
    อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้


    ***


    10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง
    ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้

    1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
    2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
    3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
    4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
    5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์
    รสหัวหอมทรงเครื่อง
    6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
    7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
    8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
    9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
    10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ


    ***

    โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง

    น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด
    เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
    น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
    จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
    และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
    ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ
    จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
    ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย
    และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
    จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
    และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย
    ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
    จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ


    ***


    อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน

    1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
    เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
    เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย
    กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ

    2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
    เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ
    เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

    3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง
    เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
    เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ

    4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
    เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร

    5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
    เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่


    ***


    ผลกระทบของการอดนอน
    งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว
    ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด
    พบว่า มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก
    ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน
    นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
    โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ
    และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย
    การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง
    ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
    นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน
    ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท
    ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด
    ตามความต้องการอาหารของร่างกาย
    เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย
    ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
    แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม
    การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว
    และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย
    ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค
    การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
    มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน
    เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน
    ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
    ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว
    เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย


    ***


    6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด

    ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
    ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
    ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
    เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
    และหัวใจวายแน่นอน
    อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ
    ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
    6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
    1. มะเขือต่างๆ..
    2. หอมหัวใหญ่..
    3. กระเทียม
    4. ถั่วเหลือง..
    5. แอปเปิล..
    6. โยเกิร์ต
    วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
    ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.


    ***


    อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง

    คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
    อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
    ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
    อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง
    มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ
    กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
    ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
    ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
    การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
    กระเทียม .. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
    โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
    ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
    จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ
    นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
    เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง
    จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
    นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
    แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
    มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
    เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
    ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
    น้ำตาลหรืออาหารหวาน. .. ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
    หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
    จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
    และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
    ชา. .. ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
    ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
    ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
    มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
    ลูกพลับ .. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
    เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
    และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
    คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร


    ***


    ไอศกรีม อาหารขยะ
    ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน
    และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
    1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol ) .. สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน
    ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง
    ( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
    2. อัลดีไฮด์ - ซี 71 ( aldehyde-C71 ) .. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่
    ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
    3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral ) .. ใช้แทนวานิลลา เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและหมัด
    4. อิธิลอะซีเตท ( ethyl acetate ) .. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด
    ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้
    ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
    5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde) ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล
    ไม้เปลือกแข็ง เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง
    6. แอนนิล อะซีเตท ( anyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม
    เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
    7. เบนซิล อะซีเตท( benzyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่


    ***

    นำมาฝากจาก
    Bloggang.com :
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ใครอยากสมองไบรท์ฟังทางนี้ เรามี 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์มาบอก...



    1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็
    เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผล
    ให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

    2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดี
    ไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มี
    ไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ
    ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

    3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่ง
    สมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำ
    ให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้
    ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

    4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็
    ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้า
    หมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น
    ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

    5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโด
    รฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่น
    ไปเรื่อย ๆ

    6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิด
    ขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วม
    งานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็น
    โดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ
    เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

    7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัย
    ตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระ
    ของสมอง

    8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life
    every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี
    ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมอง
    คิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้าง
    สรรค์

    9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย
    การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่
    ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
    สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลก
    ที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดี
    ตาม

    รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสมองไบร์ท ลองนำไปฝึกกันได้

    [​IMG]
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อมีความรู้แล้ว ฝึกสมองก็รู้เทคนิคแล้ว ทีนี้ก็มาถึงการฝึกลมกัน



    ลมกับจิต
    <ABBR class=published title=2008-06-23T14:53:18+07:00>

    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    ( ท่านพ่อลี ธมฺมธโร )

    ๗ สิงหาคม ๒๕๐๑ ณ วัดอโศการาม
    * บันทึกโดยแม่ชีอรุณ อภิวณฺณา​

    ในการนั่งภาวนาให้ทำลมให้แคบที่สุด อย่าให้จิตไปยู่นอกตัว ถ้าเราเอาจิตไปอยู่กับคนอื่นสิ่งอื่น เราก็จะต้องได้รู้แต่เรื่องของคนอื่นสิ่งอื่น ส่วนเรื่องของตังเองก็เลยไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรเลย
    เราอยู่ใกล้กับสิ่งใดจะต้องสนใจกับสิ่งนั้น เราอยู่ใกล้คนใด ก็จะต้องสนใจกับคนนั้นให้มากที่สุด คนใดนั่งใกล้เรา ต้องสนทนาปราศรัยกับเขา อย่านั่งเป็นใบ้ ทำความคุ้นเคยสนิทสนมกับเขาไว้ ถ้าเราไม่พูดคุยทำไมตรีกับเขาไว้บ้าง เขาก็จะต้องไม่ชอบเรา และกลายเป็นศัตรูของเราไป นี้ฉันใด เรื่องร่างกายของเรานี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุเหล่านี้ ก็ย่อมเปรียบเหมือนกับญาติหรือมิตรสหายของเรา เพราะเรานั่งนอนยืนเดินไปทางไหน เขาก็ติดตามเราไปทุกแห่ง ฉะนั้นเราต้องสนใจทำความรู้จักคุ้นเคยกับเขาไว้มากกว่า คนอื่น เมื่อสนิทสนมกันแล้ว นานๆ ไปเขาก็จะรักเราและช่วยเหลือเราได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเรามีมิตรที่ดีและซื่อตรงเช่นนี้ เราก็ย่อมจะปลอดภัยและมีความสุข
    ถ้าเรารู้เรื่องธรรมดาของโลก และรู้จักความเป็นจริงของธรรมแล้ว เราก็จะไม่ต้องมีความยุ่งยากในการเป็นอยู่ เรื่องภายนอกนั้น ถึงเราจะศึกษา ให้มีความรู้สักเท่าไร ๆ ก็ไม่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ สู้การเรียนจิตใจของตนอยู่ภายในวงแคบๆนี้ ไม่ได้



    เรื่องของโลกยิ่งเรียนก็ยิ่งกว้าง เรื่องของธรรมยิ่งรู้ก็ยิ่งแคบ และรู้แคบเท่าไรก็ยิ่งดี ถ้ารู้กว้างออกไปมักฟุ้งซ่าน เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเดินไปในหนทางที่แคบๆ ย่อมจะไม่มีใครเดินสวนทางเข้ามาชนกับเราได้ ส่วนคนเดินตามหลังนี้ช่างเขา เมื่อไม่มีใครสวนทางเข้ามาข้างหน้าแล้ว คนที่จะเดินบังหน้าเราก็ไม่มี เราก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าออกไปได้ไกลที่สุด ฉันใด ผู้ทำจิตใจให้แคบเข้าละเอียดเข้าก็จะเกิดความวิเวกสงบ เกิดแสงและเกิดวิปัสสนาญาณ มองเห็นอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกอย่าง

    เหตุนั้น ท่านจึงว่าผู้มีวิปัสสนาญาณ เป็นผู้มีสายตาอันไกล คนที่ส่งจิตออกไปอยู่นอกตัว เปรียบเทียบกับคนที่เดินไปตามถนนกว้างๆ ถนนกว้างนั้น อย่าว่าแต่คนจะสวนทางเข้ามาได้เลย แม้แต่สุนัข และสัตว์ตัวโต ๆ มันก็เดินสวนเข้ามาได้ ฉะนั้น จึงไม่ปลอดภัย จิตผู้นั้นก็จะมีแต่ความฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยนิวรณธรรมหาความสงบมิได้

    การทำจิตให้แคบ เปรียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับการขุดหลุม ถ้าเราขุดหลุมเล็กๆ ก็ย่อมจะขุดได้ลึกและเร็วกว่าหลุมกว้างๆ ความเหน็ดเหนื่อยก็มีน้อย กำลังก็ไม่สึกหรอ ย่อมได้ผลดีกว่ากัน หรือจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับแม่น้ำ ถ้ากว้างมากก็มักไหลช้า และไม่แรง ถ้าแคบก็จะไหลเร็วและแรงด้วย หรือน้ำฝนที่ตกลงในที่กว้างย่อมกระจายไปทั่วในที่ต่างๆ น้ำก็จะไม่ขังในพื้นที่เหล่านั้นได้ เท่าไร ถ้าตกลงมาเฉพาะในที่แห่งใดแห่งหนึ่งแต่เพียงแห่งเดียว แล้ว มิช้าก็อาจจะท่วมท้นหัวคันนาได้ ฉันใด อำนาจแห่งจิต ก็เช่นเดียวกัน ถ้ายิ่งแคบและละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งมีกำลังแรงและคุณภาพสูงยิ่งขึ้น

    ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้เอาจิตมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่น ๆ ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ ให้มีสติสัมปชัญญะ อยู่ในลมเท่านั้น มันจะไม่ดี จะโง่ จะมืด จะหนาอย่างไรก็ช่างมัน มุ่งดูลมอย่างเดียวจนจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ ต่อไปความรู้ก็จะผุดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปนั่งคิดถึงว่าอะไรมันจะเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ความรู้เขาจะบอกเรื่องราวเหล่านี้ แก่เราเองอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ไม่ใช่ความรู้ตามสัญญาที่ได้ยินเขาบอกเล่า แต่เป็นความรู้ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาปัญญา

    จิตและลมของเรานี้มีอยู่ถึง ๕ ชั้น

    ชั้นที่ ๑ ลมหยาบที่สุดก็ได้แก่ลมที่เราหายใจเข้า "พุท" หายใจออก "โธ" อยู่ขณะนี้

    ชั้นที่ ๒ ลมที่หายใจผ่านลำคอเข้าไปแล้วเชื่อมต่อกับธาตุ ต่างๆ ภายในเกิดความสบายหรือไม่สบาย

    ชั้นที่ ๓ ลมหยุดนิ่งอยู่กับที่หมด ไม่วิ่งไปมา ทุกๆส่วนในร่างกายที่เคยวิ่งขึ้นบนลงล่างก็หยุดวิ่ง ที่เคยไปข้างหน้า มาข้างหลังก็ไม่ไปไม่มา ที่เคยพัดในลำไส้ก็ไม่พัด ฯลฯ หยุดนิ่งสงบหมด

    ชั้นที่ ๔ ลมที่ทำให้เกิดความเย็นและเกิดแสง

    ชั้นที่ ๕ ลมละเอียดสุขุมมากจนเป็นปรมาณู แทรกแซงไปได้ ทั่วโลก มีอำนาจ ความเร็วและแรงมาก

    รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี้ก็อยู่อย่างละ ๕ ชั้น เหมือนๆ กัน เช่น เสียงหยาบ ชั้นที่ ๑ ก็ได้แก่ เวลาพูดจบแล้วดับไป ชั้นที่ ๒ พูดไปแล้วยังดังอยู่ถึง ๒-๓ นาที จึงจะดับ ชั้นที่ ๓ อยู่ได้นานมากแล้วจึงหายไป ชั้นที่ ๔ พูดแล้วถึงพรหมโลก ยมโลก และชั้นที่ ๕ เป็นเสียงทิพย์ พูดแล้วได้ยินอยู่เสมอ พูด ๑๐๐ ครั้ง ก็มีอยู่ทั้ง ๑๐๐ ครั้ง เสียงไม่สูญไปจากโลก เพราะอำนาจแห่งความละเอียดจึงสามารถแทรกแซงได้อยู่ได้ทุกปรมาณูในอากาศ

    ฉะนั้น ท่านจึงว่า รูป รส กลิ่น เสียง ไม่สูญไปจากโลก เพราะโลกนี้เปรียบเหมือนกับจานเสียงที่อัดเสียงอะไรๆ ไว้ได้ทุกอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง หรือกรรมดี กรรมชั่วอันใด ก็ดีที่เรากระทำไว้ในโลก มันย่อมจะย้อนกลับมาหาเราเมื่อตายทั้งหมด เหตุนั้น ท่านจึงว่า "บุญบาป" ไม่สูญหายไปไหน คงติดอยู่ในโลกนี้เสมอ จิตละเอียดที่สุด ซึ่งเปรียบเหมือน "ปรมาณู" นั้น มีอำนาจความแรงเหมือนกับดินระเบิดที่จมลงในพื้นแผ่นดิน แล้วก็สามารถระเบิดทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับพินาศไปได้ ฉันใด จิตละเอียดที่จมลงในลมก็สามารถระเบิดคนสัตว์ให้พินาศย่อยยับเช่นเดียวกัน คือ เมื่อจิตละเอียดถึงที่สุดถึงขั้นนี้แล้ว ความรู้สึกในตัวตนของเราก็จะดับสิ้นไปไม่มีเหลือ จิตนั้นก็จะหมดความยึดถือในอัตภาพร่างกายตัวตนคนสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้นจึงเหมือนกับ "ปรมาณู" ที่ทำลายสัตว์ ทั้งหลายฉันนั้น

    "วิตก" คือ การกำหนดลมหายใจ เปรียบเหมือนกับเราป้อนข้าวไปในปาก "วิจาร" คือขยาย แต่ง ปรับปรุงลมหายใจ เปรียบเหมือนกับเราเคี้ยวอาหาร ถ้าเราเคี้ยวให้ละเอียดๆ แล้วกลืนลงไป อาหารนั้นก็จะย่อยง่าย และเป็นประโยชน์ แก่ร่างกายได้มาก การย่อยนั้นเป็นหน้าที่ของธรรมชาติร่างกาย ส่วนการเคี้ยวเราต้องช่วยจึงเกิดผล ถ้าเรากลั่นกรองละเอียดได้เท่าไรก็ยิ่งได้ผลดีขึ้นเท่านั้น เพราะของสิ่งใดละเอียดสิ่งนั้นย่อมมีคุณภาพสูง

    การทำลมละเอียดนั้นจิตก็จะต้องละเอียดตาม และกายก็ละเอียดด้วย ฉะนั้น พระบางองค์ที่นั่งเจริญกรรมฐานอยู่จนลมละเอียดจิตละเอียด และกายของท่านจึงละเอียดเล็กลงๆ จนสามารถลอดซี่กรงหน้าต่างเข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์ หรือวิหารได้ทั้งๆ ที่ปิดประตูหน้าต่างอยู่ดังนี้ก็มี นี่ก็เป็นอำนาจของลมละเอียดอย่างหนึ่ง

    วัตถุใดที่มีความสามารถมากๆ ย่อมเป็นเหตุให้คุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิม เช่น เกลือนี้ถ้าเรานำมากลั่นกรองมากๆ เข้า รสเค็มของเกลือนั้นจะกลายเป็นรสหวานไปได้ หรือน้ำตาลซึ่งเดิมรสหวานและเปรี้ยว ๆ นิดหน่อย แต่ถ้ากลั่นมากเข้าๆ ก็จะกลายเป็นรสขม ไปได้ เหตุนั้น ท่านจึงว่าไม่มีอะไรเป็นของเที่ยง แต่อะไรจะเที่ยงหรือไม่เที่ยงนี้ เราก็ไม่ต้องไปนึกถึงมัน เพราะเมื่อเราทำจิตใจแคบและละเอียดจนเกิดเป็นญาณความรู้ขึ้นในตนแล้ว อาการทั้งหลายจะบอกให้เรารู้เห็นเองในสิ่งเหล่านี้ เพียงตั้งใจทำจริงอย่างเดียว แล้วในที่สุดก็จะต้องเห็นผลแห่งความจริง

    "
    การไม่ทำจริง เป็นเหตุให้ไม่เกิดผล
    เมื่อไม่เกิดผลก็ย่อมเกิดสนิมขึ้นในใจ คือ ความเบื่อหน่าย
    ท้อถอย เกียจคร้าน แล้วในที่สุดก็เลิก ...
    ถ้าทำจริงแล้วย่อมจะเกิดผลเป็นกำลัง (พละ) ๕ ประการ
    คือ ศรัทธา...วิริยะ...สติ...สมาธิ...ปัญญา
    "​

    มีบางคนเขาว่าคนที่มานั่งหลับตาทำสมาธิว่า "การมานั่งหลับตาอยู่นั้นจะได้ผลอะไร แต่คนที่เขามีความรู้มาก ๆ สูง ๆ ลืมตาอยู่ยังไม่เห็นผล นี่รู้ก็ไม่เท่าไร แล้วมานั่งหลับตานิ่งๆ อย่างนี้ จะได้ผลอะไร" เราก็ควรจะตอบได้ว่า "ผลอันแท้จริงนั้น ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้มาก หรือการศึกษาตำรับตำราบาลี เป็นมหาเปรียญอะไรดอก ผลความดีนั้นเกิดจากการกระทำจริง เมื่อใครทำจริงแล้วผลก็ต้องได้จริง" คนที่มานั่ง "พุทโธ ๆ" แต่จิตคอยเผลอบ้าง แลบไปข้างหน้าหลังบ้าง โงกง่วงบ้าง อย่างนี้เดี๋ยวก็ลืมลมหมด นั่ง ๑๐ ปี จนแห้งไปกับที่ ก็ไม่เกิดผล

    การไม่ทำจริง เป็นเหตุให้ไม่เกิดผล เมื่อไม่เกิดผลก็ย่อมเกิด สนิมขึ้นในใจ คือ ความเบื่อหน่าย ท้อถอย เกียจคร้าน แล้วในที่สุดก็เลิกวางทิ้งเลย พวกเราก็มักเป็นอย่างนี้กันโดยมาก การเจริญสมาธินี้ ถ้าทำจริงแล้วย่อมจะเกิดผลเป็นกำลัง (พละ) ๕ ประการ คือ ศรัทธา ความเชื่อ เมื่อเกิดความความเชื่อเห็นผล ในการกระทำของตนแล้ว วิริยะ ความขยันก็จะเกิดตามขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครบังคับ ต่อจากนี้ สติ ก็จะมีความรอบคอบในการกระทำ สมาธิ ก็ตั้งมั่นในสิ่งนั้น จึงเกิดปัญญา ความรู้พิจารณา ความถูกผิดทั้งหลายได้ นี้รวมเรียกว่า "พละ"

    ปัญญา ที่เกิดจากการเจริญสมาธินี้ มีความคมรอบตัวเหมือนกับจักรเลื่อยวงเดือน ที่ตั้งอยู่บนแท่น แกนของมันคือตัวจิต เลื่อยวงเดือนที่ตั้งอยู่บนแท่น แกนของมันคือตัวจิต เลื่อยวงเดือนนี้เมื่อมีอะไรส่งเข้ามาก็สามารถจะบั่นทอนตัดขาดได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง จะส่งเข้ามาทางด้านไหน วงเลื่อยก็หมุนไปตัดได้ทุกด้าน ส่วนแกนในของมันคือดวงจิต ก็ตั้งเที่ยงอยู่บนแท่น ไม่หมุนไปตามตัวเลื่อย ใครอยากได้ไม้ซุง ไม้เสา ไม้ฝา ไม้พื้น หรือตงรอดอย่างใด ก็สามารถจักหั่นให้ได้ทุกชนิดตามความต้องการ

    ปัญญานี้หมุนไปทางกายกรรมก็เป็นการงานที่ชอบ ก็สามารถประกอบกิจการต่างๆ ให้สำเร็จประโยชน์ได้ทุกประการ หมุนไปทางวจีกรรมก็สามารถ กล่าวคำอันเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ฟังได้ทุกอย่างพูดดีก็เป็นน้ำตาล น้ำอ้อย พูดไม่ดีก็เป็นน้ำร้อนลวกเผาใจเขา เมื่อประกอบด้วยปัญญา แล้วจะเทศนาหรือพูดให้คนฟัง ก็สามารถกลั่นกรองให้ถูกกับอัธยาศัยของคนได้ ทุกชั้น ทุกเพศ ทุกวัย หมุนไปทางมโนกรรม ก็สามารถพินิจพิจารณาในความดีความชั่ว และบุญบาปทั้งหลายได้ถูกต้อง เมื่อเป็นดังนี้ก็จะมีแต่คุณประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นหาเวรภัยมิได้

    วิตก วิจาร ในลมหายใจนี้ ท่านเปรียบอีกอย่างก็เหมือนกับช่างแก้รถยนต์ ตัวจิตคือนายช่าง เมื่อเราขับรถไปนั้น เราจะต้องมีสติคอยสังเกตและหมั่นตรวจดูเครื่องยนต์ของเราว่า มีสิ่งใดชำรุดขัดข้องบ้าง เช่น พวงมาลัย ล้อ แหนบ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าสิ่งใดขัดข้องเสียหาย ก็ต้องรีบจัดการแก้ไข เปลี่ยน ปรับปรุงเสียทันที แล้วรถของเราก็จะแล่นไปได้ตลอดสุดที่หมายปลายทางโดยไม่มีอันตราย

    การทำสมาธิต้องคอยสังเกต สำรวจตรวจตราดูลมหายใจของตนที่ผ่านเข้าไปนั้นเสมอว่าสะดวกหรือขัดข้องอย่างใด แล้วก็ขยับขยาย ปรับปรุงให้เป็นที่สบาย สมาธิของเราก็จักเจริญขึ้นเป็นลำดับจนถึงที่สุดแห่งโลกุตระ ฉันนั้น

    การเจริญสมาธินี้ ควรเจริญใน "อารักขกรรมฐาน" ด้วยคือ

    ๑. พุทธานุสสติ ทำกายจิตให้เป็นศีลก่อน ทำใจให้พ้นจากนิวรณ์ แล้วตั้งใจหายใจจริง ๆ ด้วยการระลึก "พุทโธ ๆ"

    ๒. เมตตญฺจ เมตตาตนเองโดยนึกถึงตัวว่า เราเกิดมาไม่มีอะไรเลย ช่างน่าสงสารจริง ๆ หนอ ร่างกายก็ไม่ใช่ของตน ไม่ได้เอาอะไรมา แล้วก็ไม่ได้เอาอะไรไป ผ้าขี้ริ้วผืนเดียวก็ไม่ได้ติดตัวมา เราจะต้องหาอริยทรัพย์ คือ ทำบุญกุศลไว้ จะได้นำติดตัวไปได้ เราเกิดมาตอนแรกมันก็แข็งแรงสวยงามดี ต่อไปมันก็จะแก่ไป ๆ แล้วก็เจ็บแล้ว ในที่สุดเขาก็จะหามขึ้นเชิงตะกอน

    ๓. อสุภ ทำความคุ้นเคยกับธาตุขันธ์ในตัวไว้ พิจารณาให้เห็นความไม่สะอาดในกาย ตั้งแต่ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ มันจะต้องเปื่อยเน่าผุ พังไปตามสภาพของมัน

    ๔. มรณสฺสติ ลมหายใจเข้าไม่ออก หรือออกแล้วไม่กลับเข้า เราก็ต้องตาย ชีวิตความตายเป็นอยู่อย่างนี้ นี่แหละ จะทำดวงจิต ให้ถึงความสงบและสิ้นทุกข์ได้

    จากยาใจดอทคอม


    </ABBR>
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    เมื่อมาถึงด้านบนกลุ่มทุนนิธิฯ ก็ร่วมกัน จบของที่นำมาทำบุญกัน

    [​IMG]

    และก็ได้นิมนต์พระสงฆ์มารับสังฆทาน ให้ศีล ให้พร แก่ชาวทุนนิธิฯ

    <object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ipy3hSx7tAA&hl=en_US&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/ipy3hSx7tAA&hl=en_US&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" width="425" height="344" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_8670.JPG
      100_8670.JPG
      ขนาดไฟล์:
      36.1 KB
      เปิดดู:
      389
    • 100_8668.JPG
      100_8668.JPG
      ขนาดไฟล์:
      47.4 KB
      เปิดดู:
      390
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2010
  16. kim9

    kim9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +2,179
    สาธุครับ กราบอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
    ขออนุโมทนาบุญ นับตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน
    และอนาคตกาลด้วยนะครับ...........สาธุๆๆๆ อนุโมทามิ
    เห็นแล้วก็ชื่นใจครับ ที่พวกพี่ได้ทำความดี เป็นกุศลที่ถึงพร้อมมากมายด้วยกันขนาดนี้ ขอให้พวกพี่ เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมนะครับ ขอให้คุณพระรักษาน๊ะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เมื่อถวายพระเสร็จแล้ว และหลังจากนั้นเราก็จะได้ฟังพระท่านให้พร
    <object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/pIjNZPY6RYU&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/pIjNZPY6RYU&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>​

    ที่ผมได้ทำมาเป็นรูปแบบคลิปวีดีโอเช่นนี้ก็เผื่อว่าท่านใดที่ไม่ได้ไปร่วมกันในงาน
    ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศในวันที่ไปทำบุญร่วมกัน

    โมทนากับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    narongwate
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2010
  18. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ดีจังเลยนะครับน้องโอ๊ต ผู้ไม่ได้ไปร่วมงานก็ได้รับบรรยากาศงานบุญนี้ด้วยครับ
    โมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  19. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านค่ะ ถ้ามีโอกาสจะไปร่วมบุญอีกนะคะพี่เสือ

    วันนี้มีสูตรดีท็อกส์และการกระตุ้นคลื่นเซลล์มาฝากเพื่อในการดูแลรักษาสุขภาพค่ะ

    สูตรดีท็อกส์ค่ะ
    http://www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.php?id=160

    ฝึกกระตุ้นคลื่นเซลส์ค่ะ
    http://www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.php?id=311
     
  20. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพเพิ่มเติมบางส่วนครับ จากการทำบุญ รพ. สงฆ์ เดือนกุมภาพันธ์ 2553

    [​IMG]

    ยอดบริจาคสำหรับที่นี่ครับ

    [​IMG]

    การถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าตึกครับ

    [​IMG]

    ช่วงทำพิธีครับ

    [​IMG]

    บรรดาสมาชิกที่ท่านร่วมบุญครับ

    [​IMG]

    และไปถวายตามชั้นครับ

    พบกันในเดือนมีนาคม 2553 ครับ

    สาธุครับ และขออนุโมทนาสาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC12847.JPG
      SDC12847.JPG
      ขนาดไฟล์:
      95.8 KB
      เปิดดู:
      449
    • SDC12878.JPG
      SDC12878.JPG
      ขนาดไฟล์:
      109.3 KB
      เปิดดู:
      384
    • SDC12884.JPG
      SDC12884.JPG
      ขนาดไฟล์:
      119.6 KB
      เปิดดู:
      376
    • SDC12887.JPG
      SDC12887.JPG
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      371
    • SDC12890.JPG
      SDC12890.JPG
      ขนาดไฟล์:
      97.8 KB
      เปิดดู:
      364
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2010

แชร์หน้านี้

Loading...