ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แหวนปลอกมีดหลวงปู่ดู่

    มีความสับสนกับแหวนปลอกมีดหลวงปู่ดู่กันมากว่ารุ่นไหนทันและรุ่นไหนไม่ทัน...
    ดังนั้นเพื่อป้องกันความสับสันผมจึงขออรรถธิบายรายละเอียดดังนี้ครับ

    แหวนแหวนปลอกมีด ที่ทางวัดสะแกจัดสร้างและทันลป.ดู่ ท่านเมตตาอธิฐานจิตปลุกเสกให้
    มีทั้งหมด 3 รุ่นสามารถแยกลำดับตามปี พ.ศ. ได้ดังนี้

    ๑.แหวนปลอกมีด ปี๒๕๒๓ (รุ่นเกลียวปืน)
    จัดเป็นแหวนปลอกมีดรุ่นแรกที่ทางวัดสะแกจัดสร้างไว้ เป็นเนื้อโลหะผสม
    ซึ่งนำชนวนโลหะจากพระรูปหล่อลอยองค์ลป.ดู่ปี๒๕๒๒(เนื้อออกแดง)
    และชนวนโลหะจากพระรูปหล่อลอยองค์ลป.ทวดปี๒๕๒๒(เนื้อออกเหลือง)
    จำนวนที่จัดสร้างคือ
    เนื้อโลหะผสมออกสีแดง จำนวน ๑,๐๐๐ วง
    เนื้อโลหะผสมออกสีเหลือง จำนวน ๑,๐๐๐ วง
    ลักษณะในท้องแหวนของรุ่นนี้เป็นเกลียวขลดรอบในวงแหวน เนื่องจาก
    แหวนรุ่นนี้ไม่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ และโดยลักษณะเกลียวคล้ายเกลียวปืน
    บางกลุ่มจึงเรียกว่า"แหวนเกลียวปืน"

    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1741-0-92345800-1258734588" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 28%
    [​IMG]
    757 x 534 (133.31กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1741-0-92345800-1258734588", parseInt("757"), parseInt("534"), "133.31กิโลไบต์" ); //]]> </script>

    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1739-0-92360300-1258734588" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 6%
    [​IMG]
    585 x 580 (108.37กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1739-0-92360300-1258734588", parseInt("585"), parseInt("580"), "108.37กิโลไบต์" ); //]]> </script>

    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1740-0-92371800-1258734588" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 31%
    [​IMG]
    790 x 310 (94.29กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1740-0-92371800-1258734588", parseInt("790"), parseInt("310"), "94.29กิโลไบต์" ); //]]> </script>
    ๒.แหวนปลอกมีด ปี๒๕๒๙ (รุ่นซื้อที่ดิน)

    จัดเป็นแหวนปลอกมีดรุ่น๒ที่ทางวัดสะแกจัดสร้างไว้ สาเหตุของชื่อรุ่นซื้อที่ดิน เนื่องจาก
    แหวนรุ่นนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อหาทุนสำหรับซื้อที่ดินเพิ่ม โดยนำเอาชนวนพระประทานพร
    มาหลอมผสมในเนื้อแหวน
    จำนวนการจัดสร้าง จำนวน ๓๐๐ วง
    การตอกโค๊ตมีการตอกทั้งด้านนอกวงแหวนและ/หรือในวงแหวน(บางวงตอกด้านนอก
    บางวงตอกด้านใน บางวงตอกทั้งข้างนอกข้างใน)
    ภาพแนบโพสต์ที่ได้รับการย่อแล้ว
    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1744-0-98482600-1258734706" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 26%
    [​IMG]
    734 x 527 (106.76กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1744-0-98482600-1258734706", parseInt("734"), parseInt("527"), "106.76กิโลไบต์" ); //]]> </script>



    รูปที่แนบมาด้วย [​IMG] [​IMG]




    ๓.แหวนปลอกมีด ปี๒๕๓๒
    จัดเป็นแหวนปลอกมีดรุ่น๓ที่ทางวัดสะแกจัดสร้างไว้ โดยจัดสร้างไว้มี ๓เนื้อ คือ
    เนื้อทองคำ จำนวน ๑๐๘ วง
    เนื้อเงิน จำนวน ๓,๐๐๐ วง
    เนื้อโลหะผสมออกสีแดง จำนวน ๕,๐๐๐ วง
    เนื้อโลหะผสมออกสีเหลือง จำนวน ๕,๐๐๐ วง
    การตอกโค๊ตจะตอกไว้ใต้ท้องแหวน โดยโค๊ตที่ตอกนี้มี๒แบบคือ
    แบบยันต์นะ จม และ แบบยันต์นะ นูน


    ส่วนแหวนปลอกมีดนอกเหนือจากนี้ถ้าไม่เป็นของหลวงน้าสายหยุดซึ่งไม่ทัน
    หลวงปู่ดู่อยู่แล้วและมีประมาณ 3 รุ่นแล้วก็จะเป็นของปลอมไปเลย
    หวังว่าคงคลายความสงสัยของเพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อยนะครับ.....

    ขอขอบพระคุณพี่ วิทย์ ญาณเสน สำหรับภาพแหวน
    แท้ๆสวยๆ ที่นำมาเป็นตัวอย่างการจำแนกรุ่นแหวนหลวงปู่ดู่ในครั้งนี้....

    ภาพแนบโพสต์ที่ได้รับการย่อแล้ว
    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1748-0-91716600-1258734754" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 33%
    [​IMG]
    820 x 592 (144.59กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1748-0-91716600-1258734754", parseInt("820"), parseInt("592"), "144.59กิโลไบต์" ); //]]> </script> <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-1746-0-91727100-1258734754" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG] Reduced 3%
    [​IMG]
    565 x 409 (56.7กิโลไบต์)​
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "1746-0-91727100-1258734754", parseInt("565"), parseInt("409"), "56.7กิโลไบต์" ); //]]> </script>



    รูปที่แนบมาด้วย [​IMG] [​IMG]



    ประสบการณ์ของแหวน

    แหวนหลวงปู่ดู่สุดยอดจริงๆ ครับ เพื่อนของคนรู้จักผมโดนยิงกลางวงไฮโลไม่เป็นไรครับ พกแหวนหลวงปู่เพียงวงเดียว
    ไม่นานนี้ก็มีข่าวคนโดนยิงคืนวันลอยกระทงที่ผ่านมา ห้อยเหรียญหลวงปู่ทวดเปิดโลก ก็ไม่เป็นไรครับ
    ถือได้ว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่ดู่ทุกชิ้นมีประสบการณ์ ขลังทุกอย่างครับ


    ข้อมูลทั้งหมดนำมาจาก
    www.suankhlang.com

    และนี่ก็คือของขลังที่แนะนำประจำทุกค่ำคืนวันศุกร์ครับ แต่ผมก็เดาได้ว่าแหวนแต่ละรุ่นที่ทัีนหลวงปู่ดู่ท่านเสก ราคาในปัจจุบันคงจะแพงมาก เอาใหม่ หากท่านมีเวลาว่างและเผอิญผ่านไปวัดสะแก อยุธยา ลองไปที่ตู้เช่าพระของวัดดู หาเช่าแหวนสวยๆ มาสักวงหนึ่ง แล้วเดินไปกราบขอความเมตตาจากท่านหลวงพ่อลำใย ให้ท่านอธิษฐานจิตให้ รับรองความแรง และกระแสพลังจิตของท่าน ไม่เป็นรองใครเหมือนกัน เชื่อเหอะ ไม่ีเสียชื่อนักเลงกรุงเก่าแน่ๆ บอกท่านให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ก่อน ท่านเมตตามาก แถมเป็นของชอบของท่านซะด้วยเรื่องบู๊ๆ นี่ล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2009
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ในวันนี้มีเพื่อนที่ทำงานฝากเงินมาทำบุญด้วย
    คุณอิทธิพล - คุณบรรจง หิปะนัด
    เป็นจำนวนเงิน 200.- บาทครับ

    แล้วผมจะนำไปให้พรุ่งนี้ครับ

    โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

    ในวันพรุ่งนี้ผมคงไม่ได้อยู่จนจบงานครับเพราะต้องเดินทางไกลไปอุบลราชธานี
    ไปรอลุ้นที่ห้องคลอดซักหน่อยครับกำหนดคลอด 20/11/2552 Time 9:45
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    สำหรับในวันกิจกรรมถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าและทำบุญที่ รพ.สงฆ์ในวันพรุ่งนี้ มีจำนวนพระสงฆ์อาพาธที่จะถวายสังฆทานภัตตาหารนับรวมถึงเมื่อวานช่วงเย็น มีจำนวนประมาณ 187 รูป ซึ่งหากท่านใดสนใจที่จะไปร่วมงาน เจอกัน 7.30 น. ที่ร้านค้าของโรงพยาบาล เข้าไปอยู่ด้านซ้ายมือสุดติดรั้วครับ ขอเพียงนมกล่อง น้ำผลไม้ หรือผลไม้บ้างก็ใช้ได้แล้ว หากจะใจดีซื้อขนมไปเลี้ยงกันบ้างในช่วงหลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้วก็ได้เช่นกัน เพราะเป็นช่วงพบปะสังสรรค์พูดคุยกัน และรอรับอังสะของหลวงปู่พระมหาโสฯ วัดป่าคำแคนเหนือ จ.ขอนแก่น ที่อธิษฐานจิตมาเป็นพิเศษ แล้วผมมาตัดแบ่งให้แต่ละท่านไว้เป็นที่ระลึกครับ

    พันวฤทธิ์
    21/11/52
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ข้อมูลจาก
    http://palungjit.org/threads/พระเครื่อง-หลวงปู่พระมหาโส-กัสสโป-วัดป่าคำแคนเหนือ.198508/

    1. พระสมเด็จพิมพ์ฐานสิงห์ รุ่นแรก หลวงปู่พระมหาโส กัสสโป
    2. พระพิมพ์รูปเหมือนยกซุ้ม หลวงปู่โส กัสสโป
    3. เหรียญโต๊ะหมู่พิมพ์เล็กหลวงปู่โส กัสสโป เนื้อทองเหลือง ปี 2540 ( มีโค๊ด )
    4. เหรียญสามอาจารย์ สีทน โส ผาง เนื้อทองเหลือง สร้างโดยหลวงปู่โส กัสสโป ปี 2547
    5. เหรียญเสมานั่งพานหลวงปู่โส กัสสโป รุ่นสหธรรมิก อายุครบ 82 ปี เนื้อทองแดง ปี 2539<!-- google_ad_section_end --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    6. เหรียญกฐินมหากุศล หลวงปู่โส กัสสโป หลังอัฐบริขาร เนื้อทองแดง ปี 2541 ( มีโค๊ด )
    7. เหรียญขอบระกา หลวงปู่โส กัสสโป อายุครบ 90 ปี เนื้อทองแดง
    8. เหรียญรุ่นอายุครบ 84 ปี หลวงปู่โส กัสสโป ปี 2541 ( มีโค๊ด )
    9. เหรียญระฆัง หลวงปู่โส กัสสโป ฉลองเจดีย์ ทองแดง ( มีโค๊ด )
    10. เหรียญรุ่นครบรอบ 30 ปี โรงเรียญมัญจาศึกษา หลวงปู่โส เสก ปี 2545<!-- google_ad_section_end -->
    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend> </fieldset>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    11. เหรียญหลวงปู่โส รุ่นอายุครบ 85 ปี ทองแดง ปี 2543
    12. เหรียญรุ่นสร้างเสริมบารมี หลวงปู่โส กัสสโป ฉลองรัตนเจดีย์ ปี2537 ทองแดง
    13. เหรียญเก้าเหลี่ยม รุ่น 3 หลวงปู่โส กัสสโป ปี 2543 ทองแดง
    14. เหรียญหลวงปู่โส กัสสโป หลังลายเซ็นต์ ทองแดง
    15. เหรียญเม็ดแตง หลวงปู่โส กัสสโป ทองแดง<!-- google_ad_section_end --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]





    </fieldset>

    </fieldset>
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ....ทันที

    ....เปรตพวกนั้น พากันไปยืนที่นอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยหวังว่า
    วันนี้พวกเราคงได้อะไรกันบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำโดยอาการที่เปรตพวกนั้น จะปรากฏแก่พระราชาหมดทุกตน.
    พระ ราชาถวายน้ำทักษิโณทก (ถวายน้ำเป็นทาน) ทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา. ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่เปรต พวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็อาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น
    ระงับความกระวนกระวายความลำบากและหิวกระหายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง.
    ลำดับนั้น พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินเป็นต้น แล้วทรงอุทิศ.
    ในทันใดนั้นเอง ข้าวยาคูของเคี้ยวและของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น.
    เปรตพวกนั้น ก็พากินบริโภคของทิพย์เหล่านั้น มีอินทรีย์เอิบอิ่ม.
    ลำดับนั้น พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะ (ที่อาศัย) เป็นต้น ทรงอุทิศให้
    เครื่อง อลังการต่าง ๆ มีผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอนเป็นต้น ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. สมบัติแม้นั้นของเปรตพวกนั้น ปรากฏทุกอย่างโดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงอธิษฐาน (ให้พระราชาทรงเห็น) โดยประการนั้น. พระราชาทรงดีพระทัยยิ่ง.....

    เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศบุญให้ท่านเหล่านี้

    บุคคล ผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือปรารภถึงบุรพเปตชน (นึกถึงบรรพบุรุษผุ้ตายไป) หรือเทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือ ท้าวธตรฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ๑ ท้าวกุเวร ๑
    ให้เป็นอารมณ์แล้วพึงให้ทาน

    ท่านเหล่านั้นเป็นอันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายก (ผู้ให้ทาน) ก็ไม่ไร้ผล

    ความ ร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำเลยเพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็น ประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลาย (ที่ตายไป) คงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตน ๆ อันทักษิณาทาน (สิ่งของทำบุญ) นี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ให้แล้ว (อุทิศให้ญาติที่ตายไป) ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปตชนโดยทันที สิ้นกาลนาน.

    อุทิศบุญบ่อยๆ เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย



    .....เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้มีปัญญา พึงให้ทักษิณา (ผลบุญ) บ่อย ๆ
    เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย

    เปรต เหล่าอื่น บางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาด รุ่งริ่ง บางพวกนุ่งผม หลีกไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่เพื่อหาอาหาร บางพวกวิ่งไปแม้ในที่ไกลก็ไม่ได้อาหารแล้ว กลับมา บางพวกสลบแล้วเพราะความหิวกระหาย นอนกลิ้งไปบนพื้นดิน บางพวกล้มลงที่แผ่นดินในที่ตนวิ่งไปนั้น ร้องไห้ร่ำไรว่า เมื่อก่อนเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศล (ความดี) ไว้ จึงได้ถูกไฟคือความหิวและความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาแล้ว ในที่ร้อน เมื่อก่อน พวกเรามีธรรมอันลามก เป็นหญิงแม่เรือนมารดาทารกในตระกูล
    เมื่อไทยธรรม (ของทำบุญ)ทั้งหลายมีอยู่ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน
    เออ…ก็ข้าวและน้ำมีมากแต่เราไม่กระทำการแจกจ่าย ให้ทาน
    และไม่ได้ให้อะไรในบรรพชิตทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติชอบ
    อยากทำแต่กรรมที่คนดีไม่พึงทำ เป็นคนเกียจคร้านใคร่แต่ความสำราญและกินมาก
    ให้แต่เพียงโภชนะก้อนหนึ่ง ด่าปฏิคาหก (ผู้รับทาน) ผู้รับอาหาร เรือน
    พวกทาสีทาสา (คนรับใช้ชาย – หญิง) และผ้าอาภรณ์ของเราเหล่านั้น
    ไม่สำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา พวกเขาไปบำเรอคนอื่นหมด เรามีแต่ส่วนแห่งทุกข์
    เรา จุติ (ตาย) จากเปรตนี้แล้ว จักไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม คือ ตระกูลจักสาน ตระกูลช่างรถ ตระกูลนายพราน ตระกูลคนจัณฑาล ตระกูลคนกำพร้า ตระกูลช่างกัลบก นี้เป็นคติ (ที่ไปเกิดของสัตว์) แห่งความตระหนี่

    ส่วน ทายกทั้งหลายผู้มีกุศลอันทำไว้แล้ว ในชาติก่อน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมยังสวรรค์ให้บริบูรณ์ และย่อมยังนันทวันให้สว่างไสวรื่นรมย์แล้วในเวชยันตปราสาทสำเร็จความปรารถนา ครั้นจุติ (ตาย) จากเทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง มีโภคะ (ทรัพย์สมบัติ) มาก....



    ทำบุญให้เทวดาบริเวณที่อาศัยอยู่

    บุรุษชาติบัณฑิต ย่อมสำเร็จการอยู่ในประเทศ (สถานที่) ใด
    พึงเชิญท่านผู้มีศีล ผู้สำรวมแล้ว ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริโภคในประเทศนั้น
    แล้วควรอุทิศทักษิณาทาน (อุทิศบุญ) เพื่อเทวดาผู้สถิตอยู่ในที่นั้นๆ
    เทวดา เหล่านั้นอันบุรุษชาติบัณฑิตนับถือบูชาแล้ว ย่อมนับถือบูชาบุรุษชาติบัณฑิตนั้น แต่นั้นย่อมอนุเคราะห์บุรุษชาติบัณฑิตนั้น ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตร

    บุคคลผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมเห็นความเจริญทุกเมื่อ



    [​IMG]

    ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวรในรูปข้างบน เป็นท้าวเวสสุวรรณที่จัดสร้างในสมัยวังหน้า "กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ" หรือ "พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ (ยอร์ช วอชิงตัน)" วังหน้าในสมัย ร.5 และเป็นองค์สุดท้ายในประเทศไทย ในภาพเป็นแบบทรงเครื่องใหญ่หรือที่เรียกว่า "ยักษ์ใหญ่"สูงประมาณ 12 นิ้ว ที่ อ.ประถม อาจสาคร กล่าวว่าสร้างถูกต้องตามลักษณะของท้าวเวสสุวรรณตามตำรา ส่วนองค์หลังเห็นไกลๆ เป็นแบบทรงเทวดาเล็กหรือ "ยักษ์เล็ก"สูงประมาณ 7 นิ้ว โดยให้ดูที่การยืน ลักษณะของขา และไม้ตะบอง เป็นหลัีก ในภาพถ่าย เป็นการถ่ายโดยนำท่านมาประทับยืนบนฝาโอ่งที่บ้าน อ.ประถมฯ จ.ชลบุรี เมื่อ 2 ปี มาแล้ว โดยทั้ง 2 องค์ ราคาไม่แพงมาก "ยักษ์เล็ก" หลักร้อย "ยักษ์ใหญ่" พันเดียว แต่ฤทธิ์เดชท่านฉมังนัก หาดูได้ตามร้านขายพระพิมพ์ในท่าพระจันทร์ เลือกให้ดีก็แล้วกัน เวลาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บิดา มารด และญาติทั้งหลาย เปรตทั้งหลาย เนื่องจากกำลังสมาธิของเรายังอ่อนไม่สามารถนำบุญนำบุญกุศลนี้ไปถึงญาติๆ ของเราเหล่านั้นได้ครบ จึงจำเป็นที่จะต้องเรียกท่านท้าวฯ มาเพื่อช่วยนำบุญ หรือบอกบุญที่เราทำนี้ ไปให้ญาติทั้งหลายของเราได้ทราบ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน อยู่ที่ใด ท่านท้าวฯ ท่านรู้หมด เพราะทุกดวงจิตของบุคคลธรรมดาเมื่อดับขันธ์ต้องเจอท่านทั้งนั้น อีกทั้งท่านยังอยู่ใกล้ชิดกับเรามาก เพราะท่านท้าวฯ เป็นใหญ่เหนือพระภูมินั่นเอง เราทำอะไรในบ้าน พระภูมิท่านจะบันทึกไว้ แล้วรายงานให้ท่านทราบอีกที ในเรื่องนี้ ลองหาอ่านดูจากบทความของเจ้าที่ และพระภูมิ ของหลวงพ่อฤาษี แห่งเวบ วัดท่าซุงดูได้ครับ เพราะฉะนั้น ดีชั่วอย่างไรหนีไม่พ้น มีผู้บันทึกไว้หมด เวลาทำบุญทำกุศล อุทิศให้พระภูมิ ให้ท่านท้าวฯ แบบว่าติดสินบนไว้ก่อน เมื่อถึงคราวของเรายืนต่อหน้าท่านท้าวฯ ท่านจะได้จำได้ว่าไอ้เสือนี่ทำบุญแล้วให้เราทุกที ไปข้างบนเลยไม่ต้องลงเหวเหมือนคนอื่นเค้า...อิิอิ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2009
  6. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    เมื่อวาน ผม ภรรยาและครอบครัว ได้โอนเงินร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ 200บาทนะครับ
    ขอบคุณที่ทำให้มีโอกาสทำบุญสุดยอดแบบนี้นะครับ
    โมทนาบุญกับทุกๆท่านอีกครั้งนะครับ
    เอ
     
  7. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายรายงานการทำบุญ รพ. สงฆ์

    วันที่ 22 พฤศจิกายน 2552 ครับ

    1. การตระเตรียมภัตรหารที่หลายท่านนำนม ไวตามิล อื่นๆ รวมขนม มาเพิ่มเติมครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    2. การไปบริจาคของพี่ๆ ท่านที่คณะครับ

    [​IMG]

    3. ยอดบริจาคครับ

    [​IMG]

    4. การไปถ่ายรูปร่วมกันที่หน้าตึกครับ

    [​IMG]

    5. การอธิฐานจิตร่วมกันครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC12028 2.JPG
      SDC12028 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      182.7 KB
      เปิดดู:
      519
    • SDC12030 2.JPG
      SDC12030 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      179.7 KB
      เปิดดู:
      493
    • SDC12031 2.JPG
      SDC12031 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      179.4 KB
      เปิดดู:
      496
    • SDC12033 2.JPG
      SDC12033 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169 KB
      เปิดดู:
      476
    • SDC12040 2.JPG
      SDC12040 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      195.9 KB
      เปิดดู:
      65
    • SDC12041 2.JPG
      SDC12041 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.3 KB
      เปิดดู:
      57
    • SDC12047 2.JPG
      SDC12047 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      192 KB
      เปิดดู:
      486
    • SDC12048 2.JPG
      SDC12048 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      217.8 KB
      เปิดดู:
      65
    • SDC12049 2.JPG
      SDC12049 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      187.5 KB
      เปิดดู:
      479
    • SDC12051 2.JPG
      SDC12051 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      207.1 KB
      เปิดดู:
      71
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2009
  8. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ช่วงที่ 2

    6. พิธีร่วมกันที่ชั้น 6 ครับ

    [​IMG]

    7. ร่วมกันช่วยกันถวายครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    8. รับพรกันครับ

    [​IMG]

    9. ไปถวายกันในแต่ละชั้น และรับพรด้วยครับ

    [​IMG]

    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ร่วมทำบุญ ที่ร่วมชม ที่รับรู้ และช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ครับ

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC12053 2.JPG
      SDC12053 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      225.4 KB
      เปิดดู:
      463
    • SDC12056 2.JPG
      SDC12056 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      182.9 KB
      เปิดดู:
      55
    • SDC12060 2.JPG
      SDC12060 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      182.5 KB
      เปิดดู:
      470
    • SDC12061 2.JPG
      SDC12061 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      178.8 KB
      เปิดดู:
      463
    • SDC12064 2.JPG
      SDC12064 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      204.2 KB
      เปิดดู:
      60
    • SDC12066 2.JPG
      SDC12066 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      189.8 KB
      เปิดดู:
      469
    • SDC12068 2.JPG
      SDC12068 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      167.9 KB
      เปิดดู:
      67
    • SDC12071 2.JPG
      SDC12071 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      171.2 KB
      เปิดดู:
      63
    • SDC12072 2.JPG
      SDC12072 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      193.4 KB
      เปิดดู:
      471
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2009
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หลายท่านข้างบนศีลพอไหว ทานมัยทำแล้ว แต่ภาวนายังไม่เริ่ม เลยนึกถึงและขอนำบทความอันมีค่าของหลวงปู่เหรียญมาลงให้ดูเป็นเหตุและปัจจัยในการเริ่มต้นการภาวนากัน...
    <!-- google_ad_section_end -->


    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --><center>วิมุตติปฏิปทา : ทาน ศีล ภาวนา มีผลจริงแก่ผู้กระทำ โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ </center>
    สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์ไม่เว้นแต่ละวัน หลังจากฉันเสร็จ จากนั้นก็จะทรงแสดงธรรมเพื่อโปรดญาติโยม พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

    ทาน-ศีล-ภาวนา มีผลจริงแก่ผู้กระทำ
    ทานนั้นมีผลแน่ เพราะมีประโยชน์ อย่างเช่นการมาใส่บาตรก็ทำให้พระสงฆ์ ที่ได้ฉันได้มีชีวิตอยู่ไปอีกวันหนึ่ง เพราะหากขาดอาหารหลายวันก็จะยิ่งเพลีย การใส่บาตรนี้จึงเป็นการให้ชีวิตเป็นทานแก่พระสงฆ์ซึ่งไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ หุงหาอาหาร เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้าม โดยทรงให้พระสงฆ์ ทำเฉพาะแต่การเจริญสมถะและวิปัสสนาภาวนา เพียรเผากิเลส เพราะจุดมุ่งหมายของผู้บวช คือ ฆ่ากิเลส ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ อติเรกลาภ แต่เพื่อปฏิบัติธรรม ชำระจิตให้ผ่องใสสะอาดปราศจากกิเลส ถ้าเราจิตใจผ่องใสเบิกบานก็จะมีความสุข และตรงกันข้าม ถ้าหากใจ ขุ่นมัว ก็จะไม่มีความสุข แต่กลับจะเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะว่า จิตมัวหมอง ตกเป็นทาสของอกุศล แถมยังมักไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็น เพราะอะไรจิตใจจึงมัวหมอง จึงคลางแคลงสงสัยอยู่เสมอ

    ดังนั้น ศีล การมาฝึกฝนอบรมใจ ปฏิบัติด้วย ทาน-ศีล-ภาวนาและไหว้พระ จิตก็ผ่องใส คัดเลือกบาปออกไป ให้เพียรพยายามให้ทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพื่อกันขโมย (คือ กิเลส อกุศล) ไม่ให้เข้าบ้านได้ เมื่อสมาทาน ศีลแล้วก็ต้อง รักษาศีล ด้วย อย่าสมาทานเสร็จแล้วก็วางคืน ไว้ที่พระหรือที่วัด ต้องสมาทานด้วยจิตยินดี และตั้งใจรักษา ไม่ควรให้สูญหายไป พากันรักษากาย-วาจา-ใจ ให้บริสุทธิ์ อย่างเช่น ไม่สร้างเวร ให้กับตัวเองด้วยการฆ่าหรือทำทุกข์ให้แก่สัตว์ตัวเล็กเท่าที่มองเห็นด้วย ตาไปจนถึงตัวใหญ่ที่สุดคือช้าง โดยเจตนา เป็นต้น

    ภาวนา พยายามเพ่งใจให้สงบ บริสุทธิ์จากนิวรณ์ 5 ภาวนามีอานิสงส์มากกว่า ทานและศีลเพราะว่ากิเลสบาปธรรมนั้นอยู่ภายใน เมื่อใครสามารถเข้าถึง ก็จะเกิดการละ อกุศลก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะเหตุว่าการภาวนานั้นจะโน้ม สติและสัมปชัญญะเข้าไปสู่จิต ถ้าไม่ภาวนา สติและสัมปชัญญะก็จะไม่มี จิตก็จะคอยแต่ส่งออกนอกไปสู่นอก เช่น การงานและกิเลสต่างๆ บุญกุศลก็ไม่เกิด เกิดไม่ได้ จิตไม่น้อมต่อบุญกุศล

    กิเลสนั้น นำไปเกิดในที่ทุกข์ยากลำบาก กิเลสบาปอธรรมก็อยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่ที่อื่น ถ้าเราเพียรเพ่งบริกรรม กิเลสก็มาครอบงำจิตไม่ได้ ก็จะห่างออกไป บุญกุศลก็จะเข้ามาใกล้ ใจก็อิ่ม เป็นสุข

    เราทุกคนมีบาปกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย จงสะดุ้ง หวาดกลัวต่อบาปต่อกรรม ต่อเวร และระมัดระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในใจ เช่น ระวังไม่ให้เกิดความโลภ ยินดีเท่าที่มีอยู่ เท่าที่หาได้ ไม่ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นไฟ เผาจิตใจให้ร้อนทั้งวันและคืน ให้อโหสิกรรมเสีย ยกโทษ โทษก็จะหมดไปเพราะว่าไม่ถือมั่นในความโกรธ ความพยาบาท ตรงกันข้าม เมื่อจิตถือมั่น บาปก็ติดตามไป เมื่อได้โอกาส เมื่อไหร่ก็ให้ผลเมื่อนั้น

    ให้เพียรดูจิตใจ ถ้าบาปครอบงำก็รู้ ถ้าจิตผ่องใสก็รู้ ถ้าใจจะเผลอ สติก็รู้ก็ระลึกได้ จะโกรธจะว่าใคร สติก็จะคอยเตือนคอยห้าม และไม่ยึด อโหสิกรรมให้เค้าไป บาปกิเลสก็จะเบาบางไป

    ดังนั้น อย่าชอบใจกับคำว่าใจเศร้าหมอง ขุ่นมัว ก็คือทุกข์ คือบาป ใจผ่องใสเบิกบาน ก็คือบุญ
    พากันมีสติสัมปชัญญะเสมอ ระลึกเข้ามารู้ตัวทั่วพร้อมไม่ว่าจะยืน-เดิน-นั่ง-นอน ทำการงานหรืออะไรก็ตาม

    เมื่อรู้ว่าจิตเป็นกุศลก็จะเกิดปิติในใจ การสร้างจิตใจให้เป็นกุศลเสมอ จิตใจก็จะสุข สงบ ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อใครมาว่ามาทำอะไร จิตใจก็ไม่หวั่นไหว ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท แต่มีสติเสมอ

    มีสติรู้ว่ากายนี้ไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-ไม่เป็นไปตามบังคับของใคร เมื่อรู้ก็เบื่อ เมื่อเบื่อก็คลายความยึดความถือ อาจยังยึดกาย แต่ไม่ยึดความโกรธ

    ขอให้พากันฝึกฝนอบรมตนไปเรื่อยๆ กิเลสก็จะเบาบางไป จนหมดไปได้ และนี่เอง คือจุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [FONT=CordiaUPC, MS Sans Serif][SIZE=+3]ทาน-ศีล-ภาวนา โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต [/SIZE][/FONT]
    <table border="0" width="100%"><tbody><tr><td width="5%">
    </td><td width="95%">สรุปหลักธรรมสำคัญ
    ทาน-ศึล-ภาวนาเป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์
    และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ที่มนุษย์ต้องคอยสั่งสมให้มาอยู่ในนิสัย
    ทานเป็นเครื่องแสดงน้ำใจ เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
    ศีลเป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของผู้มีกิเลส
    ภาวนาอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผลและความถูกต้อง
    ผู้เป็นหัวหน้างานหรือมีภารกิจมาก ควรหันมาฝึกใจอย่างยิ่ง
    เพราะการภาวนาช่วยแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภทที่เป็นภาระหนัก
    หากปล่อยใจโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง

    จิตเป็นสมบัติสำคัญมากที่ควรได้รับการเหลียวแล
    โดยฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร
    ด้วยสติตามรู้การเคลื่อนไหวของจิต
    สังเกตดูสังขารภายในว่าจิตมีการคิดปรุงแต่งอะไรบ้าง
    พิจารณาสังขารภายนอกว่าเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง
    พิจารณาธรรมสังเวช และความตายเป็นอารมณ์อยู่เรื่อยๆ
    จะเห็นโทษแห่งความบกพร่องของตัวและพยายามแก้ไขได้เป็นลำดับ
    มากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่นแล้วมานินทาเขา
    อีกทั้งทำให้ใจสงบเย็น ไม่ลำพองผยองตัว
    รู้จักประมาณในหน้าที่การงานที่พอเหมาะ ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆ

    การภาวนาต้องทำให้มาก อย่าพิจารณาครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งตั้งเดือน
    ให้พิจารณาก้าวเข้าไปถอยออกมาเป็นอนุโลมปฏิโลม
    คือเข้าไปสงบในจิต แล้วถอยออกมาพิจารณากาย
    ให้สังเกตดูความเกิดขึ้นและดับไปของธาตุ และสังขารที่เกิดขึ้นในจิต
    การพิจารณานั้นต้องให้ใจสงบ จึงจะไม่ใช้นึกใช้คิดอันเป็นชั้นสัญญา ไม่ใช่ชั้นปัญญา
    เมื่อปฏิบัติภาวนาอย่างอุกฤษฎ์ตามมรรคแปด ผู้ปฏิบัติย่อมจะบรรลุวิมุตติธรรมได้

    ทานเป็นเครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงและช่วยหนุนโลกให้ชุ่มเย็น
    ทานคือ เครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง
    มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ด้วยการให้
    การเสียสละแบ่งปัน มากน้อยตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่
    จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทาน
    เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
    นอกจากกุศลคือความดีที่ได้จากทานนั้น
    เป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น
    อภัยทานควรให้แก่กัน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน

    คนมีทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชน
    เป็นที่เคารพรักในหมู่ชน
    จะตกอยู่ทิศใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลน
    จะมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์
    ผู้มีทานประดับตนย่อมไม่เป็นคนล้าสมัย
    บุคคลทุกชั้นไม่รังเกียจ
    ผู้มีทานย่อมเป็นผู้อบอุ่น หนุนโลกให้ชุ่มเย็น
    การเสียสละจึงเป็นเครื่องค้ำจุนหนุนโลก
    การสงเคราะห์กันทำให้โลกมีความหมายตลอดไป
    ไม่เป็นโลกที่ไร้ชาติ ขาดกระเจิง เหลือแต่ซากแผ่นดิน
    ไม่แห้งแล้ง แข่งกับทุกข์ตลอดไป

    ศีลเป็นพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยมที่ควรมีประจำชาติมนุษย์

    ศีล คือ รั้วกั้นความเบียดเบียน และทำลายสมบัติ ร่างกาย และจิตใจของกันและกัน
    ศีลคือพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยมที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญหายไป
    เพราะมนุษย์ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้น เป็นเครื่องประดับตัว
    จะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนหลับสนิทได้โดยปลอดภัย
    แม้โลกเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าพระอาทิตย์
    แต่ความรุ่มร้อนแผดเผา จะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์
    ถ้ามัวคิดว่าวัตถุมีค่ามากกว่าศีลธรรม
    ศีลธรรมเป็นเพียงสมบัติของมนุษย์
    พระพุทธเจ้าผู้ค้นพบและนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมิด
    ให้สว่างไสว ร่มเย็นด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของมนุษย์ผู้มีกิเลส
    ที่ผลิตอะไรออกมาทำให้โลกร้อนจะบรรลัยอยู่แล้ว
    ยิ่งปล่อยให้ความคิดตามอำนาจโดยไม่มีศีลธรรม
    จะผลิตยักษ์ใหญ่ทรงพิษขึ้นมากว้านกินมนุษย์ จนไม่มีอะไรเหลืออยู่บ้างเลย

    ความคิดของคนสิ้นกิเลสที่ทรงคุณอย่างสูง คือ พระพุทธเจ้า
    มีผลให้โลกได้รับความร่มเย็น ซาบซึ้ง กับความคิดที่เป็นกิเลส
    มีผลให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน จนคาดไม่ถึง ผิดกันอยู่มาก
    ควรหาทางแก้ไข ผ่อนหนักให้เบาลงบ้าง
    ก่อนจะหมดทางแก้ไข
    ศีลจึงเป็นเหมือนยาปราบโรค ทั้งโรคระบาดและเรื้อรัง

    ภาวนาอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรง หักล้างความไม่มีเหตุผลของตนได้ดี
    ภาวนา คือ การอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผลอรรถธรรม
    รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย
    ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผล
    อันจะเป็นทางแห่งความสงบสุข
    ใจที่ยังมิได้รับการอบรมจากภาวนา
    จึงเปรียบเหมือนสัตว์ที่ยังมิได้รับการฝึกหัด
    ยังมิได้รับประโยชน์จากมันเท่าที่ควร
    จำต้องฝึกหัดให้ทำประโยชน์ ถึงจะได้รับประโยชน์ตามควร

    ใจจึงควรได้รับการอบรมให้รู้เรื่องของตัว
    จะเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย
    ทั้งส่วนเล็กส่วนใหญ่ ภายนอกภายใน
    ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ
    จะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ
    ไม่เสี่ยงและไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง
    การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต
    การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้มีภาวนา
    จะสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อย
    ทำด้วยความใคร่ครวญเล็งถึงประโยชน์ที่จะได้รับ
    เป็นผู้มีหลักมีเหตุผล ถือหลักความถูกต้องเป็นเข็มทิศทางเดินของ กาย-วาจา-ใจ
    ไม่เปิดช่องให้ความอยากอันไม่มีขอบเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง
    เพราะความอยากดั้งเดิมเป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา
    ซึ่งไม่เคยสนใจต่อความ ผิด-ถูก-ดี-ชั่ว
    พาเราเสียไปจนนับไม่ถ้วน ประมาณไม่ถูก จะเอาโทษมันก็ไม่ได้
    ยอมให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย
    ถ้าไม่มีสติระลึกบ้างเลยแล้ว ของเก่าก็เสียไป ของใหม่ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัวได้

    ฉะนั้นการภาวนา จึงเป็นเครื่องหักล้างความไม่มีเหตุผลของตนได้ดี
    วิธีภาวนานั้นลำบากอยู่บ้างเพราะเป็นวิธีบังคับใจให้นิ่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด หากตั้งใจจะทำจริง


    www.bkkonline.com

    </td></tr></tbody></table>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    วันนี้ได้นำคณะทำบุญของทุนนิธิฯ จำนวน 18 ท่าน ไปกราบท่านหลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี จ.เชียงใหม่ ที่อาพาธและมารักษาตัวอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฏร์ นานาซอย 3 ได้ไปกราบท่านแล้วชื่นใจมาก หลวงปู่มีสติสัมปัชญะครบถ้วนบริบูรณ์ดีมาก ขนาดอายุท่าน 104 ปี แล้วยังสนทนาได้สบาย คำถามแรกก็คือมาจากไหนกัน ท่านกวาดสายตามองดูทุกคนแล้ว แววตาท่านดีมาก เมตตามาก ได้กราบกัน ได้เห็นท่านใกล้ๆ กันทุกคน ก่อนกลับคุณสรพงษ์ศิษย์ใกล้ชิดนำเหรียญท่านเมื่อกฐินที่ผ่านมานำมาให้ ผมขออนุญาตให้ท่านอธิษฐานจิตให้ราวหนึ่งนาที ท่านสำทับกับผมว่า เอาไปแจกให้ทุกคนที่มาน๊ะ รับมากับมือรอบแรก 13 เหรียญพอดี สัมผัสแรกเมื่อหยิบเหรียญท่านแจกทุกคน โห...แรงดีจัง ค่าใช้จ่ายหลวงปู่ตอนนี้ตกเกือบสองล้านแล้ว คณะผมบริจาคเท่าเส้นขนแค่ 10,300.-บาท หากใครมีเวลาอย่าลืมไปกราบท่านให้ได้น๊ะครับ ทยอยไปกราบกัน อีกสักอาทิตย์ท่านจะกลับเชียงใหม่แล้ว คราวนี้ล่ะ กราบท่านไม่ได้ง่ายๆ แน่เพราะลูกศิษย์ลูกหาท่านเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ที่บำรุงราษฏร์สบายมาก กราบท่านแทบเท้่าได้เลย ไปกราบอริยสงฆ์เป็นบุญกันครับ ไปกัน ถือว่าได้กราบพระอรหันต์รับขวัญปีใหม่ซะเลยก็ได้ครับ...ตอนผมไปประมาณ 10 โมงกว่าเท่านั้น ไม่มีคนกวนดี แต่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวเช่นภูมิแพ้ หรือหวัดคงต้องให้ห่างท่านไว้เป็นดีที่สุดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  13. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    มาแวะแบ่งปันนะคะ

    บุญกุศลใดพึงเกิด ดิฉันขออุทิศให้น้องวีรภัทร์ อัครดำรงเวช เจ้าของเรื่องด้วยค่ะ _/\_
    ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 1
    เอามาจากเวปไดอารี่ของพี่อ๋อซียูนะครับ อ่านแล้วประทับใจ..เลยอยากเอามาให้เพื่อน ๆ ได้บ้าง ขอให้เครดิตแก่พี่อ๋อ จาก เวป อ๋อซียูดอทเน็ต - aurseeyou.net - หน้าแรก ครับ
    .........ตอนนี้เลยมีเรื่องใหม่มาเล่าให้ฟัง แทน พอดีพึ่งอ่านหนังสือเรื่อง ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จบ ได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อน ตอนที่เค้าให้ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่บอกว่าลูกเค้าตัวใหญ่ดี เรื่องที่เข้าเขียนน่าสนใจมากเพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น มีมุมมองที่เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้เลย
    พี่อ๋อจะค่อยๆเล่าให้ฟังเหมือนเวลาเราดูละครก็แล้วกันนะ ติดตามกันไปจะได้สนุกและลุ้นไปกับพี่อ๋อถึงตอนจบของละครชีวิตเรื่องนี้นะ
    ตอนที่ 1 วันแห่งความโหดร้าย
    เช้าแรกของเดือนตุลาคม 2550 วันนี้อากาศแจ่งใส เป็นวันที่ ลูกๆ ของผู้หญิงคนนี้มีความสุขมาก ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า หทัยภรณ์ กสิกิจนำชัย ลูกๆเรียกเธอว่า หม่าม้า มีลูกด้วย 2 คน คนโตชื่อว่า เหวินยุ่ย(โย้ง) ส่วนคนเล็กก็ตามปกติของลูกคนเล็ก ชื่อว่า ตี้ตี้ และอย่างที่บอกวันนี้เป็นวันที่ลูกๆมีความสุขที่สุดเพราะเป็นวันแรกที่ปิดเทอม และตี้ตี้ กำลังจะเดินทางไปเที่ยวรัสเซียกับปาป๊า โดยเหวินยุ่ย อยู่เป็นเพื่อนหม่าม้า เมื่อส่งปาปีาและน้องที่สนามบินเสร็จแม่ลูกก็ขับรถกลับบ้าน แต่ขณะที่กำลังขับกลับนั้นเองที่ เหวินยุ่ย ไอเป็นชุดเลย ทำให้หม่าม้าถามขึ้นว่า "ลูกไออีกแล้วนะ ครั้งนี้ไอหนักด้วย กินของทอดอีกแล้วหรือ เจ็บคอหรือเปล่า" แม่ถามลูกเหมือนปกติทุกครั้งที่เห็นลูกไอ แต่กินยาก็หาย
    "ไม่เจ็บคอหรอก ไอจนชินแล้ว แต่หมู่นี้ไม่รู้เป็นไงไอบ่อยจัง หายใจก็ไม่ค่อยคล่อง"
    "ไปหาหมอหน่อยดีกว่านะลูก เป็นหวัดก็ไม่ได้เป็น ไปตรวจซะหน่อยดีไหม"
    "ตามใจหม่าม้า"
    หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แม่ขอให้ลูกตรวจกับแพทย์เฉพาะทางด้านปอด แพทย์ตรวจและขอ x-ray ขณะที่รอฟังผล แม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต หมอเรียกพวกเค้าไปแล้วขอเจาะเลือดเพิ่ม หมอบอกว่า ปอดไม่สวยเลย มีก้อนเนื้ออยู่บนขั้วปวดกว้างประมาณ 6 ซ.ม. ยาวประมาณ 10-12 ซ.ม. ที่ปอดทั้ง 2 ข้างมีก้อนเนื้อใหญ่เล็กหลายจุด ใหญ่สุดประมาณ 5 ซ.ม.
    ไม่มีเสียงใดๆออกจากปากทั้ง 2 คนแม่ลูก มีแต่เสียงหัวใจของผู้เป็นแม่ที่เต้นโครมคราม อยู่ภายในว่า หมอกำลังบอกว่า "ลูกเป็นมะเร็ง" แม่มองหน้าลูกโดยพยายามยิ้มและทำหน้าปกติที่สุด แต่ลูกมาบอกภายหลังว่าเป็น รอยยิ้มที่แย่ที่สุดของแม่เลย
    หมอถามแม่กับลูกว่าพร้อมที่จะพูดคุยกับหมอเฉพาะทางไหม แล้วมีหรือที่แม่จะไม่พร้อม เมื่อเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็ขอให้ทำ CT Scan ขณะที่รอฟังผลก็ภาวนาให้ผลออกมาไม่ตรงกับผล x-ray แต่ผลออกมาว่า "ลูกคุณเป็นมะเร็งบนขั้วปอด และกระจายไปสู่ปอดทั้ง 2 ข้างแล้ว"
    แม่ถามออกไปว่าลูกเป็นขั้นไหนแล้ว แต่ไม่อยากให้หมอพูดต่อหน้าลูกเพราะกลัวเค้ากลัวและไม่สบายใจ แต่หมอกลับพูดว่า
    "น้องอายุยังน้อย 20 เอง รูปร่างสูงใหญ่หมออยากให้น้องเค้ารับรู้ด้วย หมอเห็นผลเลือดแล้ว หมอดีใจ คุณ........เป็นผู้โชคดีบนความโชคร้าย คุณเป็นมะเร็งที่มีชื่อเรียกว่า Gem Cell นักศึกษาทุกคนทราบดีว่ามะเร็งตัวนี้ รักษาง่าย ด้วยการทำคีโม ก็เห็นผลแล้ว 90% ของมะเร็งชนิดนี้รักษาหาย "
    คำบอกเล่าของหมอทำให้ทั้งคู่มีความหวัง จึงยิ้มและถามออกไปว่า
    "คุณหมอพบ และทำการรักษาคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมดกี่คนแล้วค่ะ"
    ประมาณ 70 คน
    อีก 10% ที่ไม่หายเป็นไงบ้างค่ะ
    เมื่อรักษาหายแล้ว อีก 2 ปีจะกลับมาอีก
    หมอเริ่มอธิบายถึงขั้นตอนในการรักษา โดยจะทำคีโม 5 ครั้งๆละ 5 วัน โดยห่างกัน 21 วัน วันแรกที่ทำมะเร็งจะลดขนาดลงและอาการไอก็จะดีขึ้น
    2 แม่ลูกได้ฟังก็ยิ้มได้และกลับบ้านไปด้วยความหวัง
    เริ่มทำคีโมครั้งแรก วันแรกที่ทำลูกหายใจได้คล่องขึ้นจริงๆ อาการไอก็ทุเลา ทำการให้ต่อครบ 5 วัน ทำการตรวจเลือดและ x-ray ปรากฏว่าก้อนเนื้อใหญ่กว่าเดิมทั้งๆที่จริงๆมันต้องเล็กลง และตำแหน่งที่เกิดก็เริ่มกดทับเส้นเลือดใหญ่ กดทับหลอดลมจนเบี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังไปอยู่ติดกับหัวใจด้วย
    ผู้เป็นแม่จึงเริ่มที่จะศึกษาเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับโรคนี้ และเริ่มให้ลูกหยุดการเรียนที่มหาลัยไว้ก่อน แต่ลูกต่อลองว่าขอเหลือไว้ 1 วิชาเพราะอยากเจอเพื่อนๆ จากเรื่องราวนี้ทำให้ผู้เป็นแม่ทราบว่าการทำคีโม คือการใส่ยาพิษเข้าไปสู่ร่างกายมนุายืเพราะคีโมจะทำลายแม้แต่เซลล์ที่ดีไม่เพียงแต่ทำลายมะเร็งเท่านั้น ทำให้ร่างกายมีอาการเคลื่อนไส้อาเจียน ภูมิคุ้มกันถูกทำลาย ง่ายต่อการติดเชื้อ จำนวนเม็ดเลือดขาวจะลดลง ทำพให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
    การทำคีโมครั้งที่ 2 ทำให้ผลร่วงน้ำหนักไม่ลด ปลายนิ้วมือเท้าเริ่มชา ไม่ปวดเมื่อย ไม่มีอาการเคลื่อนไส้ ลูกยังทำตัวร่าเริ่มปกติ แต่ก็ต้องดูแลเรื่องการติดเชื้อ เมื่อคีโมครบ 5 วันผลกลับกลายเป็นว่าก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นอีก
    หมอวินิฉัยว่า เป็นมะเร็งที่ดื้อยา ควรทำการผ่าตัดออก ซึ่งเมื่อลูกได้ยินก็จะรีบให้ทำเพราะอยากหายมากๆ แต่สิ่งที่แม่กลัวอยู่ในใจคือ มันรักษาไม่หาย ผู้เป็นแม่จึงขอพบหมอโดยที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย
    หมอบอกว่าลูกคุณเป็นถึงขั้นที่ 4 แล้ว และดื้อยาด้วย แถมยังขึ้นติดกับส่วนที่สำคัญ ถ้าทำการผ่าตัดก็ไม่สามารถเอาออกจนหมดได้ เมื่อขอทราบวิธีการผ่า
    หมอบอกว่า ต้องผ่าช่องอกด้วยเลื่อย เลื่อยแผงซี่โครง และตัดก้อนเนื้อ ซึ่งไม่สามรถเอาออกได้หมด หลังจากนั้นก็เย็บปิดซี่โครง โดยการร้อยถัดด้วยลวดทางการแพทย์
    แม่จึงถามว่า ซี่โครงจะเชื่อมติดเมื่อไหร่
    แล้วแต่ความแข็งแรงของคนไข้อาจจะ 2 เดือน
    ก้อนเนื้อที่ปอดละค่ะ
    ไม่สามารถเอาออกได้เพราะกระจายไปทั่วแล้ว
    แล้วจะผ่าทำไมค่ะ กระดูกยังไม่เชื่อมก็เกิดขึ้นใหม่แล้ว
    "หมอเห็นใจนะ ส่วนมากที่พบก็ขั้นสุดท้ายแล้ว ของลูกคุรเกิดในจุดสำคัญด้วย เกิดกับคนที่อายุเยอะยังดีนี่ลูกคุรยังแข็งแรงก้อนเนื้อก็จะยิ่งโตเร็ว หมอขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้"
    แม่นั่งร้องไห้ทำใจหมอช่างพูดได้ แต่ทำใจยากมาก เมื่ออกมาก็เจอคำถามจากลูก เลยต้องบอกว่า ผ่าไปก็ไม่คุ้ม ผ่าเอาออกไม่หมดก็ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อที่เหลือโตเร็วมากขึ้น จึงเริ่มคิดที่จะไปหาทางอื่นสำหรับการรักษา เรามาดูกันว่าสิ่งมหัศจรรยืจะเกิดขึ้นจริงไหมอย่างไรรออ่านตอนที่ 2 นะ

    ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2
    ตอนที่ 2 น้ำตาลูกผู้ชายรินหลั่งครั้งแรก
    หลังจากที่ทั้งครอบครัวปรึกษากันแล้วว่าจะเปลี่ยนหมอ ผู้เป็นแม่ก็ตระเวณปรึกษาแพทย์ทั้งในและนอกประเทศ เท่าที่มีคนแนะนำว่าดี คำตอบก็คือ โอกาศรักษาได้มีน้อยมาก ทำให้ต้องชั่งใจมากว่าเอาไงดี แต่สุดท้ายทุกคนในครอบครัวก็เลือกที่จะรักษาต่อในประเทศ เพราะอย่างน้อยลูกรู้สึกอบอุ่นกว่า
    ตั้งแต่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ลูกจะตื่นมาสวดมนต์ทุกเช้าและไปใส่บาตรทุกวัน เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร คืนแรกของการตัดสินใจเปลี่ยนหมอ เป็นคืนที่แม่ลูกนอนกุมมือกัน เมื่อมองหน้ากัน ลูกก็ร้องไห้โฮออกมาเลย นั้นเป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นแม่ร้องไปกับเค้าด้วย ผู้เป็นแม่บอกกับลูกว่า
    "ร้องให้เต็มที่เลยลูกมีอะไรปล่อยออกมาให้หมด" แล้วก็นอนกอดลูก ให้ลูกนอนหนุนตัก "หม่าม้าครับ ผมอยากเลี้ยงดูหม่าม้า ตอนที่หม่าม้าแก่เฒ่า ทำไมผมอายุแค่นี้เอง ต้องเป็นโรคนี้ด้วย"
    คนเป็นแม่เมื่อได้ฟังลูกพูดก็สะเทือนใจ มิเสียแรงที่สอนให้ลูกรู้จักกตัญญู หนูจำที่อากงสอนได้ไหม
    ไม่มีคำว่าทำไม พระพุทธองค์ทรงสอนว่าในโลกนี้อะไรที่เกิดขึ้นมีเหตุ ก็ต้องมีผล มนุษย์เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แรงกรรมส่งเรามาเกิด สัตย์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อะไรเกิดเป็นผลย่อมมีเหตุปัจจัย คนเราแต่ละคนเกิดมาแล้วไม่รู้ว่ากี่พันชาติ ในอดีตก็ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรกันไว้ เจ้ากรรมนายเวรของเราก็ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่คน พุทธองค์จึงทรงสอนว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อเกิดแล้วขอให้ใช้ความสงบ ความมีสติ สยบความวุ่ยวาย หันหน้าเข้าแก้ไขตามสภาวะแห่งความเป็นจริง แก้ไขได้เท่าไหร่ เอาแค่นั้น ในเมื่อมันเกิดมาแล้วเราก็ต้องรักษามันตามอาการ อย่าเพิ่งไปปรุงแต่งจนมันเลวร้ายไปหมด
    เมื่อเราเปลี่ยนหมอกายเราป่วยได้แต่ใจเราห้ามป่วย เราต้องยอมรับความจริง และเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเรามองดูตัวเรามีอะไรเป็นของเราบ้าง ผม ขน เล็บ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี เราบังคับมันไม่ได้ บอกให้มันไม่เจ็บก็ไม่ได้ ไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สุดท้ายร่างกายนี้ก็ต้องเน่าเปื่อย แต่วิญญาณเท่านั้นที่ไม่ได้ตายไปตามร่างกาย หากมีเชื้อกิเลสอยู๋ ก็จะกลับมาเกิดใหม่ อยู่กับกรรมที่เราเป็นทายาท
    ผู้เป็นแม่พยายามที่จะสอนธรรมให้ลูกเพื่อให้เค้าไม่กังวลมาก เพราะเค้ารู้สึกว่าตนเองนั้นไม่เคยสูบบุหรี่เลยแต่กลับต้องมาเป็นมะเร็งปอด ด้วยวัยเพียง 20 โลกของเค้ากำลังสดใส มีแต่ความสวยงามและสนุกสนาน คำสอนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปลอบใจลูกเท่านั้นแต่รวมถึงใจแม่ด้วย ผู้เป็นแม่ต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา เพราะพ่อต้องไปทำงานหาเงิน แม่จึงต้องเป็นผู้ที่เห็นและรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวมทั้งเห็นความทรมาณของลูกด้วย เวลาอยู่ต่อหน้าลูกต้องเข้มแข็ง อ่อนแอไม่ได้ แม้แต่เวลาอยากจะร้องไห้ต้องแอบร้องในห้องน้ำตอนที่อยู๋คนเดียวเพราะไม่ต้องการให้ลูกใจเสีย แม้ขณะที่กอดลูก เอามือลูปหัวที่ตอนนี้ไม่ผมเหลืออยู่แล้ว
    "ทุกวันนี้ผมก็ตักบาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ทำไมก้อนเนื้อมันยังโตขึ้นอีก"
    "การตักบาตรก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง เป็นการสะสมเสบียงบุญ สะสมไปเรื่อยๆ ทำเพียงไม่กี่วันจะให้เห็นผลทันตาได้ไง การสวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นการฝึกจิตให้มีสติ ทุกวันนี้หม่าม้าเห็นลูกร่าเริ่ง ไม่หงุดหงิด ทำกิจกรรมทุกอย่างได้ ก็พอใจแล้ว ก้อนเนื้อจะเล็กลงหรือไม่อยู่ที่หมอรักษา ส่วนเรื่องเลี้ยงดูหม่าม้า ก็ไม่ต้องห่่วง หม่าม้าอายุยังไม่มากดูแลตนเองได้ น้องก็อยู่ หนูไม่ต้องกังวล ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุดนะลูก"
    "แล้ววันนี้ของผมเหลืออีกกี่วัน ผมอยากรู้นัก" พูดพร้อมน้ำตาที่พยายามหยุดมันไว้
    "ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้ของเราเหลือเท่าไร อาจจะเหลือแค่หนึงลมหายใจ เหลือวันเดียว ปีหนึ่ง หรือ 10ปี ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ลูกอยากทำอะไรทำเลย แต่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ทำให้ตนเอง คนรอบข้างและสังคมเดือดร้อน ถ้าทำแล้วมีความสุขทำเลย "
    ผู้เป็นแม่พยายามกั้นน้ำตาพูดกับลูก พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นหรือไม่ให้เสียงสั่น รู้สึกผิดที่ที่ผ่านมา "ฉันเลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ และมาตราฐานของตนเองในการเลี้ยงลูก พยายามให้เรียนในสิ่งที่ตนเองอยากเรียนแต่ไม่มีโอกาศได้เรียน โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมหรือความถนัดของเค้าเลย ลูกต้องเรียนโรงเรียนดีๆ มีชื่อเสียง ทำทุกอย่างเพื่อลูก เพราะรักลูก ต้องการให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่ฉันทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะฉันไม่ได้คิดถึงหัวใจน้อยๆของเขา ที่เขาต้องฝืนทำในสิ่งที่เค้าไม่ชอบ ต้องเจ็บปวดเวลาที่เค้าอยากดูรายการฟุตบอล แล้วฉันห้ามไม่ให้ดู เพราะกลัวเค้าติดการพนัน ลูกอยากจะเล่นฉันก็ห้ามเพราะกลัวเค้าเกิดอุบัติเหตุ ไม่ยอมติดเคเบิลเพราะไม่อยากให้เค้าได้ดู ทั้งๆที่ลูกเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่าง ที่ผ่านมาฉันทำร้ายจิตใจเค้าโดยไม่เคยนึกถึงเลย"
    ผู้เป็นแม่เฝ้าถามตนเองว่า "สายไปหรือเปล่าที่จะให้ลูกเป็นอย่างที่เค้าต้องการ ให้เค้าสุขอย่างที่เค้าชอบ"
    นอกจากหนังสือธรรมะ ก็ได้ ซีดีตลก เป็นร้อยตอน เพื่อที่จะนั่งดูกันแม่ลูก เล่นเกม เล่นเปียโน คุยโทรศัพท์กับเพื่อน เค้ายังหวังอยู่เต็ม 100 ว่าเค้าจะหายและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับเพื่อนๆที่เค้ารักและรักเค้า
    และเมื่อการทำคีโมครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เค้าก็ปวดเมื่อย ขณะที่ทำคีโม ผู้เป็นแม่จึงนวดให้ลูก
    "หม่าม้าครับไม่ต้องนวดก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำให้แม่ " ลูกน่ารักเสมอ พูดเพราะเกรงใจแม่ ทั้งๆที่ตนเองทรมาณอยู๋
    "ไม่เป็นไรลูก จำได้ไหม ตอนเป็นเด็ก เวลาหม่าม้านอนไม่หลับ เราบีบนวดให้จนหม่าม้าหลับไปเราถึงหยุด ตอนนี้ลูกป่วยหม่าม้าทำให้ได้อยู่แล้ว"
    ทำคีโม 3-5 ครั้งผลก็ออกมาเหมือนเดิม ก้อนเนื้อไม่เล็กลงเลย กลับพัฒนาใหญ่ขึ้น แต่ไม่กระจายไปที่อื่นแล้ว หมอลงความเห็นว่าเป็นมะเร็งที่ดื้อยา
    ผู้เป็นแม่จึงถามหมอตรงๆว่า "คุณหมอมีทางรักษาไหมค่ะ ต่างประเทศก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ขอให้คุรหมอแนะนำด้วย"
    "เท่าที่ผ่านมาหมอก็ให้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ไปต่างประเทศยาก็คงไม่แตกต่างกัน"
    ถ้าเช่นนั้นจากอาการของลูก ลูกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน "หนึ่งปี" หนึ่งปีคือคำตอบ แต่หมอบอกว่ายังมีอีกวิธี คือการทำสเต็มเซลล์
    ผู้เป็นแม่เดินออกมามองหน้าลูกแล้วพูดว่า
    "ปาฏิหาริย์มีจริงนะลูก ดูอย่างบางคนเป็นขั้นสุดท้ายแล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ยังสามารถหายจากโรคได้ ลองดูกันนะ" คำปลอบใจตนเองและลูกที่น่ารัก หัวอกคนเป็นแม่จะมีอะไรทุกข์ได้มากกว่านี้ เรามาลุ้นกันต่อในวันพรุ่งนี้นะ
    ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 3
    ความรักลูกทำให้ผู้เป็นแม่ต้องกาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ สเต็มเซลล์ ทั้งจากหนังสือและจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรู้ก็ทำให้เห็นความน่ากลัวของมัน (ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ ความน่ากลัวที่น้อยคนนักจะรู้ คือการเอาไขกระดูกของคนไข้มาเพาะเลี้ยง เมื่อมันเติบโต ก็จะต้องมาลุ้นว่ามันจะเติบโตเป็นเซลล์ดีหรือเซลล์มะเร็ง
    ในขณะเดียวกันคนไข้เมื่อถูกเอาไขกระดูกไปแล้วก็ต้องรับคีโมอีก ซึ่งครั้งนี้ต้องให้ยาแรงกว่าเดิม และจะต้องอยู่ในห้องที่ปลอดเชื้อเท่านั้น ซึ่งใครก็จะเข้าไปเยี่ยมไม่ได้ และถ้าคนไข้ทนไม่ได้ก็อาจจะต้องเสียชีวิตในตอนนี้ละ แต่ถ้าทนได้ ก็จะฉีดไขกระดูกที่เลี้ยงไว้กลับเข้าไปแล้วก็รอลุ้นว่ามันจะเป็นเซลล์ที่ดี หรือเซลล์มะเร็งที่ดี ถ้ามันเป็นเซลล์มะเร็งก็เท่ากับเราไปเพิ่มมะเร็งในร่างกายของคนไข้นั้นเอง (น่ากลัวไหม)
    หลังจากที่ผู้เป็นแม่รู้อย่างนี้แล้ว จะมีแม่คนไหนบ้างที่จะกล้าเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อคีโม ครั้งสุดท้าย ลูกเจ็บปวดและทรมาณมากถึงขนาดพูดว่า "หม่าม้าครับ ไม่เอาอีกแล้วนะ ในเมื่อไม่มีทางรักษา ก็ขอหยุดเถอะ"
    ผู้เป็นแม่ไม่กล้าที่จะทำสเต็มเซลล์ เพราะคิดอยู่ในใจว่า ถ้าลูกจะต้องตายก็ขอให้ตายอย่างสมบูรณ์ มีผมขึ้น สวยงามตามที่เค้าชอบดีกว่า อยู่บ้านรักษาสุขภาพ ฟิ้นฟูร่างกาย ดีกว่าให้ลูกต้องทรมาณไปจนถึงวันสุดท้ายของเค้านะ
    หลังจากที่ลูกทำคีโม ในเดือน กุมภาพันธ์ 2551 ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ยังไอ และกินมังสะวิรัติ วันละ 2 มื้อ ลูกก็ยอมบวช เริ่มปฏิบัติธรรม และแม่ได้ซื้อ ซีดี วัดวรเชษฐ์ จังหวัดอยุธยา เป็นซีดีบทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บทสวดโพชฌังคปริตร และบทสวดอีกหลายพระสูตร ซึ่งเพื่อนของผู้เป็นแม่พ่อเค้าก็เป็นมะเร็งเมื่อไรก็ตามที่ทรมาณ เมื่อเปิดเทปความทรมาณก็หายไป จากคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพาน สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระองค์คือ "พระธรรม" ซึ่งเหมือนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระวักกลิว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
    ฉะนั้นการสวดมนต์ในบทพระสูตรต่างๆจึงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว
    แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เมื่อไรก็ตามที่ลูกไอ เมื่อเปิดเทปสวดมนต์ โดยอธิฐานว่าขอใช้เสียงสวดมนต์นี้เข้าเฝ้าพระองค์แทนตนเองที่สวดไม่ไหว ประมาณ 20 นาทีหลังจากเปิด (สำหรับพี่อ๋อแค่ นาทีเดียวไอก็แย่แล้วงะ) เค้าก็จะหายจากอาการไอ ผู้เป็นแม่พยายามที่จะหาคำแปลของบทสวดต่างๆมาให้เพื่อให้เค้าใจในคำสวดทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะไม่งั้นก็เท่ากับเป็นนกแก้วนกขุนทอง เมื่อบวชเค้าก็พาลูกเดินทางไปอินเดีย ไปสักการะ 4 สังเวชนียสถาน (ถ้าตามที่พุทธองค์ตรัส ตายไปก็ไปสวรรค์แน่แล้วงะ) ทั้ง 2 แม่ลูกได้ไปกราบท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี ซึ่งบอกแล้วศัทธาเท่านั้นที่ดีที่สุด เมื่อไปถึงอินเดีย แค่วันแรกเท่านั้นที่ยังไอยู่นอกนั้นอาการไอและป่วยหายไปจนสิ้น ทุกวันของการสวดมนต์ไหว้พระ ผู้เป็นแม่จะสอนให้ลูกอธิฐานจิตว่า ขออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร และขอให้หายจากโรคนี้แต่ถ้ามันจะไม่หายก็ขอให้อย่าทรมาณเลย
    ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่อินเดีย(จากประสบการณ์ที่เคยไปขอบอกว่าอยู๋ที่วัดนี้เหมือนสวรรค์เลย อาหารโคตรอร่อย นอนก็สบาย ท่านเจ้าคุณท่านแสนดี พวกเราไม่ลำบากที่อินเดียเพราะท่านเลยละ ท่านมีแต่บวชให้ผู้คนที่ไปแล้วประทับใจจนไม่อยากกลับ แต่ครั้งนี้ท่านกับยอมที่จะสึกพระให้กับแม่ลูกคู่นี้ แถมยังมีเมตตา โทรศัพท์มาถามไถ่และมาโปรดถึงบ้านด้วย ซึ่งในการสึกครั้งนี้ ผู้เป็นแม่ก็ขอให้ลูกเปลี่ยนชื่อ เพื่อที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ แต่ลูกทำหน้าแสนเบื่อเพราะชีวิตนี้เปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 ครั้ง เพราะแม่ทั้งสิ้น ส่วนคราวนี้ถึงจะไม่พอใจแต่ก็เหมือนทุกครั้งคือถ้าแม่สบายใจและตนเองมีความหวังว่ามันอาจจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ก็ทำในที่สุด หลังจากกลับจากอินเดีย เค้าได้เพื่อนพี่น้องดีๆ มาหลายคนทำให้ชีวิตแต่ละวันของเค้ามีความสุขมากขึ้น ผมเริ่มขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้นจนเหมือนคนปกติทุกอย่าง แม่ลูกยังคงไปวัดอย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ไปวัดใกล้ๆเพราะจะทำให้ลูกเหนื่อยง่าย
    ถึงขนาดลุกขึ้นมาเขียนกลอนหัวข้อว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่กูยังอยากอยู่ต่อว้อย
    แม่ได้ทีจึงพูดว่า "เยี่ยมมาก ในเมื่อลูกอยากอยู่ต่อ ลูกก็ต้องรักษาตัว อย่าตามใจปาก อะไรที่เป็นอาหารของเพื่อนของเรา(เจ้าก้อนเนื้อ) เลี่ยงได้ก็เลี่ยง และต้องไม่ลืม ธรรมะโอสถนะลูก"
    หม้าม่าในชีวิตนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้วนะ เพราะลูกผู้ชายได้เรียน ร.ด. ได้บวชเรียน แต่หม่าม้าครับ ผมยังตายไม่ได้ เพราะยังมีอีก 2 เรื่องไม่ได้ทำ "
    อะไรหรือลูก
    1. ผมยังไม่ได้รับปริญญา มันเป็นความฝันอันสูงสุด
    2. ผมยังไม่มีแฟนงะ
    กวนนะเนี่ย ผู้เป็นแม่ยิ้มแล้วพูดว่า ลูกเอ้ย ถ้าหาย เรื่องเรียนจะเรียนอะไรเมื่อไหร่ได้เลย แต่เรื่องแฟนอย่าพึ่งมาเป็นภาระเลยนะ
    หลังจากการปฏิบัติที่ดีของทั้งแม่ลูก ความทรมาณของกายและใจก็บรรเทา แต่ชีวิตมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อเราไม่ได้อยู่คนเดียวจึงมีผู้ที่หวังดีประสงค์ร้ายเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งงานนี้ก็เช่นกัน มีหลายคนชอบถามว่า ทำไมไม่เอาลูกไปรักษาที่ต่างประเทศ ทำเหมือนแม่ไม่รักลูกใครจะหวังดีและรู้ดีเท่าแม่ไม่มีอีกแล้ว สภาพร่างกายของลูกเรารู้อยู่ทุกวัน ใครจะไม่อยากให้ลูกหาย ด้วยความที่สังคมไทย ชอบเป็นห่วงกัน เมื่อห่วงก็เอาแต่ความคิดของตนไปยัดใส่เค้า พอเค้าไม่ทำตามก็ว่าๆเค้าไม่รักลูก เออ หนอคนเรา
    จากประสบการณ์ของครอบครัวนี้ทำให้เค้าอยากบอกเป็นทานแก่ผู้คนที่ไม่เคยเข้าใจในสถานนะการณ์ของคนที่เค้ากำลังเศร้าว่า สิ่งที่มิตรที่ดีควรทำคืออะไร
    1. การให้กำลังใจ พูดคุยแต่เรื่องสนุกสนาน เพราะทั้งคนไข้และผู้ดูแลไม่อยากตอกย้ำ หรือเจ็บป่วย ทุกคนที่เข้ามาจะถามซ้ำๆ เหมือนเป็นการตอกย้ำ
    2. อย่าแสดงอาการหรือสีหน้าว่าเวทนาคนไข้ หรือพูดประมาณว่า "โถ .... น่าสงสารจัง ทำไมดูผอมอย่างนี้ ทำไมดูแก่อย่างงี้"
    เวลาไปเยี่ยมก็อย่าไปทีละมากๆ บางครั้งด้วยอาการ หรือนิสัยของผู้ป่วยบางคน ที่อยากอยู่สงบ
    เขียนมาใกล้จบแล้วเอาน่าอีก1-2 วันก็จบ เรามาดูกันว่า เค้าดีขึ้นแล้วหายไหม และถ้าไม่หายเค้าจะทำอย่างไรกันต่อ แต่ขอบอกว่ามันถึงจุดคลายเม็กแล้วละรออ่านกันนะ อีก 2 วันก็จบแล้ว

    ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 4
    เมื่อลูกท่ีแสนดี ดีขึ้น จึงเริ่มทำหน้าที่ดีโดยขับรถพาแม่และน้องไปเที่ยว แต่ก่อนที่จะขับรถเดินทางลูกก็เริ่มมีอาการไข้ โดยกินยาลดไข้ เป็นๆ หายๆ แต่ก็ยังอยากพาน้องไปเที่ยว เพราะรับปากไว้ และนี่นับเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกได้ออกไปเล่นสนุกตามที่ใจเขาอยากไปแบบคนปกติ
    ลูกเริ่มมีอาการไอและเจ็บปวดด้านข้างขวามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นๆ หายๆ จึงพาลูกไปหาหมอ เพื่อ x-ray ปรากฏว่ามีน้ำขังที่ผนังปอด ซึ่งเป็นอาการของโรคที่แสดงให้รู้ว่า "เวลาเหลือน้อยลงแล้ว"
    คุณหมอเจาะเอาน้ำออกแล้วใส่ยาเข้าไปเพื่อมิให้น้ำกลับเข้าไปอยู่อีก ขณะที่ทำ นึกถึงใจแม่สิ นั่งสวดมนต์อยู๋หน้าห้อง ภาวนาให้สำเร็จและไม่เป็นขึ้นมาอีก คุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปอดก็ต้องไอแบบนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ลูกทรมาณน้อยที่สุดก็คือ "ธรรมะโอสถ" ใครจะนึกว่ายาช่วยไม่ได้แต่บทสวดมนต์ เพียง ๒๐ นาทีก็สามารถทำให้ความทรมาณหายไป การไอ หายไป
    มันคงถึงเวลา ผู้เป็นแม่จึงต้องพูดคุยกับลูกอีกครั้งให้เค้ารู้ตัว ซึ่งจากอาการเค้าก็คงสงสัยอยู่บ้าง ผู้เป็นแม่จึงถือโอกาสการอยู่ ร.พ.ครั้งนี้ให้เป็นโอกาส
    คนเราเมื่อไม่ทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม (ไม่มีดำก็ไม่รู้จักขาว ไม่มีความไม่ดีก็ไม่รู้จักว่าดี) ความเจ็บป่วยทางกายใช้หมอรักษา ความเจ็บป่วยทางใจให้ธรรมรักษา
    ลูกรู้ใช่ไหมว่าลูกเป็นอยู่ดื้อยา ไม่สามารถรักษาได้ หม่าม้ามีเงินรักษาได้ แต่ไม่มียารักษา ไม่มีวิธีรักษา รอปาฏิหาริย์เท่านั้น
    "ผมเป็นระยะสุดท้ายแล้วใช่ไหม"
    หัวอกแม่กว่าจะตอบคำนี้......นึกเอา......ชีวิต "มะเร็งมันกระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เรียกว่าขั้นสุดท้ายแล้ว แต่บางครั้งปาฏิหาริย์เกิดเท่านั้น กลัวไหมลูก"
    "ไม่กลัว เพราะวันนั้นยังไม่มาถึง" ฟังแล้วอึ้งไหม
    ดีแล้วลูก อยู๋กับปัจจุบันอย่างนี้ดีแล้วอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ผู้เป็นแม่พูดพร้อมลูปผมลูก รวมทั้งกลั้นน้ำตา ใจนี่ละน้าที่แสน ทุกข์ สมุทัย นิโรท มรรค เกิดขึ้น รู้วิธีดับแต่ดับไม่ได้ .............. มนุษย์
    ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้คิดถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนันตา คือความไม่เที่ยง ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจของเรา
    วันสุดท้ายของร.พ. คุณหมอเรียกไปคุยหลังจากดูx-ray คุณหมอว่า "หมอไม่เคยพบก้อนเนื้อใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย แสดงว่าลูกคุณแข็งแรงมากเลยนะเพราะถ้าเป็นคนอื่นคงจากไปนานแล้ว" "คุณทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าลูกคุณใช่ไหม" เท่านั้นละผู้เป็นแม่หรือจะกลั้นได้ กี่เดือนแล้วที่ต้องทน มันกำลังสุดจะทนแล้ว
    เมื่อร้องไห้จนพอใจจึงกล้าที่จะถามคำถามที่กลัวที่สุด "ลูกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนค่ะ"
    "ประมาณ ๒ เดือน คุณคงต้องพึ่งธรรมะบ้างแล้ว"
    หารู้ไม่ว่าที่อยู่มาได้นี่ก็เพราะเชื่อมั่นและยึดเอาธรรมะเป็นหลักนี่ละ หมอบอกว่า คุณจะทำยังไงต่อไป
    ลูกอยากอยู่บ้าน อยากให้เค้ามีความสุขที่สุดก่อนที่จะไปนะค่ะ แล้วหลังจากนี้อาการของเค้าจะเป็นยังไงบ้างค่ะ
    ผนังปอดเชื่อมติดแล้ว แต่สิ่งที่คุณต้องระวังคือ ขณะนี้ก้อนเนื้อใหญ่ของเขาใหญ่มากและมันไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ของเขาอยู่ เส้นเลือดนี้อาจจะแตกเมื่อไหร่ก็ได้
    จะมีอาการอย่างไรค่ะ มีให้เราสังเหตุหรือเห็นบ้างไหม
    มีเลือดออกมากทางปาก จมูก คุณอย่าตกใจหรือเปล่า คุณจะทนดูลูกคุณได้หรือเปล่า
    เมื่อเกิดเหตุต้องนำส่งร.พ.เต็มที่
    ส่งเพื่ออะไรค่ะ
    คุณถามได้ดี ส่งเพื่อปั้มหัวใจเค้า เอาเค้ากลับมาเจ็บปวดใหม่ ยังไงเค้าก็ไม่อยู่หรืออยู่ไม่ได้แล้ว
    ถ้าเราไม่ส่ง ร.พ. เค้าจะอยู่ได้นานแค่ไหนค่ะ
    ไม่เกิน ๑๐ นาที เขาจะช็อค หน้าเขียว คุณจะทนดูลูกไหวหรือ
    ทนได้ค่ะ เพราะที่ผ่านมาก็ที่สุดแล้วค่ะ
    คุณหมอจัดยาแก้ปวดไปให้ ต่อไปเค้าจะปวดและปวดมากขึ้น
    แล้วถ้าปวดมากแล้วมอร์ฟีนเอาไม่อยู๋ จะทำยังไงค่ะ
    ก็ต้องพามาร.พ. ฉีดแทนแต่เมื่อฉีดเค้าก็จะไม่รู้สึกตัวเลย
    คุณหมอน่ารักมาก เพราะมีหลายคนที่เข้าใจผิด กลัวญาติตายเอาเข้าห้องฉุกเฉิน ช่วยจนถึงที่สุด ไม่รู้บุณหรือบาป เพราะมันยิ่งทำให้เค้าทรมาณหนักขึ้นไปอีกเวลาการทรมาณเพิ่มขึ้น และจากไปอย่างทุกข์ทรมาณ
    สำหรับผู้เป็นแม่ ขอภาวนาเพียง เมื่อถึงเวลาที่ต้องจาก ขอให้ลูกจากไปอย่างสงบ และจากไปอย่างเป็นสุข
    เงินทองมีมากมายกลับทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครเลยหนีความตายได้ เพียงแต่เราจะได้เห็นละว่า ปฏิหาร์ยมีจริง และมีมากด้วย ทุกวันนี้เราก็เจออยู่ เฉพาะ ๓ วันที่ผ่านมาสำหรับพี่อ๋อความมีอยู๋ของบุญกรรมก็มากพอแล้ว ปกติพี่อ๋อสุขภาพไม่ค่อยดีีนั้น ตลอด ๓ วันนี้ทุกครั้งที่พิมพ์ก็ทรมาณมาก แต่ก็จะขอเจ้ากรรมนายเวร ว่าที่พิมพ์นี้ เพราะอยากที่จะให้ทุกคนได้รู้ ขอให้ร่วมทำบุญด้วยกันอย่าให้ต้องทรมาณมากเลยนะ แล้วความทรมาณนั้นก็จะหายไป บุญกรรมนั้นมีจริง หากเราเชื่อมั่นและศัทธา การเป็นโสดาก็อยู๋ไม่ไกล เพียงเราถือ ศีล ๕ และถือเอารัตนไตรเป็นสรณะ เท่านี้ก็เป็นได้แล้ว โสดา แล้วเมื่อเราเป็นแล้วอีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้นเราก็สำเร็จถึงเป้าหมาย
    เรามาร่วมส่งแม่ลูกไปตามที่เค้าหวังในคืนนี้นะ
    ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 5 (ตอนจบ)
    เมื่อย้ายกลับมาบ้านแม่ก็อยากให้ลูกได้ทำบุญที่ประเทศอินเดีย จึงได้ฝากทำบุญกับวัดไทยที่กุสินารา ซึ่งบุญกุศลนี้เองที่ช่วยให้ลูกไม่ทรมาณมากนัก
    ช่วงหลังๆลูกจะเหนื่อยง่ายจนแม่ต้องช่วยแม้กระทั่งอาบน้ำ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและช่วยลูกอาบน้ำ ผู้เป็นลูกก็พูดว่า
    หม่าม้าครับ ผมทำให้หม่าม้าลำบาก ขอโทษครับ
    แม่ไม่กล้าที่จะร้องไห้ จึงแสร้างทำเป็นเรื่องตลก เพื่อให้ลูกคลายกังวล แต่ในความตลกนั้นมีความจริงบางอย่างซ้อนอยู่
    ลำบากอะไรกันลูก ดูซิหม่าม้าทำได้ หม่าม้ามีความสุข สัจธรรมที่เค้าพูดกันว่า แม่คนเดียวเลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกคนเดียวเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ ตอนอาม่าป่วย หม่าม้าจ้างคนมาดูแล ให้คนงานอาบน้ำ ป้อนข้าว ให้คนงานทำทุกอย่างแทนที่จะทำเอง บางครั้งก็ปล่อยให้อาม่าอยู๋กับคนงาน แต่พอถึงคราวลูกป่วยบ้าง คนงานขอทำหม่าม้าไม่ยอมให้ทำ หม่าม้ามีความสุขที่จะทำให้หนูเอง เหมือนลูกเมื่อตอนเล็กๆ ความรักเหมือนกันแต่ต่างกันมากเลย
    หลังกินข้าวเสร็จ จึงเริ่มคุยกับลูกว่า ยาอะไรเอ่ยรักษาได้ทุกโรค
    ธรรมะโอสถ
    ไม่ใช่นั้นเป็นเพียงยารักษาใจ ที่รักษาได้หายขาดทุกโรคเลยไม่เจ็บปวดอีกแล้ว
    อ๋อ ........ความตาย
    ยามที่พูดแม้จะเหมือนพูดเล่นแต่หัวใจของแม่ แสนเจ็บปวดและกลัวมากว่า ลูกจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
    ลูกเชื่อไหม คนเราเกิดตายไม่รู้กี่ชาติ ร่างกายผุพัง แต่มีอย่างเดียวที่ไม่แก่ไม่ตาย จนกว่าจะหมดกิเลส
    จิตวิญญาณใช่ไหม
    ใช่ลูกจิตวิญญาณไม่มีวันตาย ร่างกายเราเปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมันก็ต้องพุพัง เราก็ต้องหาบ้านอยู่ใหม่ กลัวไหมลูก
    ที่ถามลูกบ่อยๆเพราะต้องการให้ทำใจให้คุ้นชินกับความตาย เป็นเป็นเรื่องปกติ วางใจ เมื่อเวลานั้นมาถึง
    ไม่กลัวเพราะยังมาไม่ถึง
    ดีมากลูก อย่าว่าหม่าม้าผลักไสเรานะ ในเมื่อสิ่งที่เราเป็นอยู่รักษาไม่ได้ ป่าป๊า หม่าม้า เจ็บปวดมากที่มีเงินแต่ไม่สามารถรักษาลูกได้ อย่าโกรธพ่อกับแม่นะลูก
    มันเป็นกรรมของเราทั้งสองคนหม่าม้า
    ใช่เป็นกรรมหม่าม้าด้วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราคุยกันให้หมดอย่าให้มีอะไรค้างคาใจ สักวันหนึ่ง ถ้าเราต้องจากกัน จะได้ไม่เสียใจว่า นั้นยังไม่ได้พูด นี่ยังไม่ได้ทำ นะลูก ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งใดที่หม่าม้าทำให้ลูกไม่พอใจ เสียใจ หม่าม้าขอโทษ สิ่งใดที่ลูกทำให้หม่าม้าโกรธ เสียใจ หม่าม้ายกโทษให้ลูกทั้งหมด
    ผู้เป็นแม่พูดจบก็ดังลูกเข้ามากวดแน่น เหมือนเค้ากำลังจะจางหายไป ในใจคิดถึงแต่สิ่งที่ตนเองทำกับลูกมาในอดีต เสียใจแต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เวลาไม่ย้อนกลับมาแล้ว คำขอโทษที่ลูกเคยพูดยามที่แม่งอน โกรธนาน แม่เสียอีกที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การกอดและจูบลูก ก่อนที่จะพูดว่า นี่เป็นการอโหสิกรรมกันนะลูก ไม่ต้องดอกไม้ ธูปเทียนหรอกลูก แค่คิดก็เพียงพอแล้ว
    ลูกก้มลงกราบเท้าแนบหน้าอยู่ที่เท้าแม่พร้อมทั้งพูดว่าอะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ไม่พอใจมาตลอด ผมขอโทษ ขออโหสิครับ
    หลังจากนั้นอาการของลูกก็เริ่มหนักขึ้น มีอาการเจ็บปวด เอามอร์ฟีนให้ทานทุก ๖ ชั่วโมง ถามลูกว่านานแค่ไหนกว่าจะหายปวด ได้คำตอบว่าหลังทานไปแล้ว ๑ ชั่วโมง จึงพาลูกไปหาหมอ ปรากฏว่าก้อนเนื้อมันใหญ่ขึ้นอีก แม้จะทำใจมานานแล้วแต่ ๒๐ ปีที่ผ่านมาไปไหนไปด้วยกัน รอยยิ้มของลูกคือแสงสว่างที่ฉันมี ฉันจะทำไงดี
    เมื่อออกจากห้องหมอ คำถามว่า " ใหญ่ขึ้นอีกใช่ไหม"
    ใช่ถ้าวันที่มอร์ฟีนเม็ดเอาไม่อยู๋ต้องมาโรงพยาบาลนะ
    มาทำไม ถึงมาก็ไม่หายอยู่บ้านดีกว่า
    คนป่วยหลายคนอยากกลับบ้านอยากมีชีวิตกับคนที่ตนเองรัก และรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่บ้านต้น แต่มีสักกี่คนที่ได้กลับมาตายบ้าน เพราะญาติกลัวตลอดว่าถ้าเอากลับบ้านจะมีคน ว่าได้ว่าไม่ดูแล แคร์แต่ผู้อื่นแต่กลับไม่แคร์ ความรู้สึกของคนป่วยเลย
    หม่าม้าต้องขอบใจลูกมาก เพราะความเข้มแข็งของลูก ทำให้แม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกได้อย่างมีสติ
    หลังจากเวลาผ่านไปจากยาหนึ่งเม็ดก็กลายเป็น ๒ แต่น่าแปลกอาการไอกลับหายไปเลย ช่วงนี้เป็นช่วงที่แม่เฝ้าดูและมีบางครั้งที่คิดว่า ถ้าลูกหลับไปแล้วไปเลยก็คงจะดีเพราะไม่อยากเห็นเค้าทรมาณแล้ว
    คำถามที่ว่ากลัวไหมลูกได้กลับมาอีกครั้ง และคราวนี้ลูกตอบกลับมาทำให้หัวใจแม่ ร้าวราน
    เริ่มกลัวแล้วหม่าม้า กลัวตกนรก
    ทุกครั้งจะตอบว่าไม่กลัวเพราะยังมาไม่ถึงแต่คราวนี้กลับตอบว่ากลัวตกนรก แม่จึงปลอบว่า
    บุคคลแม้เหาะได้ ก็ไม่พ้นความตาย จะไปหลบซ้อนอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนเดียวเลยที่บุคคลยืนอยู่แล้วหนีพ้นความตาย แม่พยายามพูดด้วยเสียงที่ดูเป็นปกติ ทั้งๆที่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้าจจะทำให้ลูกเจ็บปวด เพราะเค้าเป็นเพียงวัยรุ่นที่กำลังรักสนุกและสดใสกับชีวิต ยังอยากใช้ชีวิตในโลกใบนี้อย่างบุคคลทั่วไป ใครเล่าจะอยากให้บุคคลอันเป็นที่รักจากไปก่อนวัยอันควร
    ลูกหมดกรรมก่อน ลูกก็ไปก่อนนะ ใครก็ไม่อยากพลัดพรากจากคนที่เรารัก ดูอย่างอาม่า อายุ๙๐ ยังไม่อยากตายเลย นับประสาอะไรกับลูกอายุแค่นี้ แต่เราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้สังขารเรามันไม่ไหว ข้างในมันทรุดโทรม หมดแล้ว อย่าไปกลัวความตาย คนเราไม่ได้ตายจริง ตายแต่เพียงร่าง จิตไม่ได้ดับไปด้วย เมื่อสิ้งลมกิเลสก็จะนำพาไปหาร่างใหม่ ตอนมีชีวิตอยู่หากร่างมดสภาพก็นำมาซึ่งความทุกข์ ไม่สามารถใช้ร่างนี้ให้เกิดประโยชน์การตายกลับเป็นโอกาสที่จะหาร่างใหม่เพื่อให้เราทำอะไรได้มากขึ้น อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น บางคนนอนป่วยเป็นปีทำให้เกิดทุกข์แก่ตนเองแลผู้อื่น แต่ลูกไม่ต้องกังวลเพราะลูกไม่เคยทำบาป จุดสำคัญที่สุดคือ ตอนที่เราจะละร่างนี้ไป อย่าให้จิตของตนเศร้าหมอง แต่ต้องทำให้จิตผ่องใส่ จิตที่สงบ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำมา ไม่ห่วงอาลัยต่อสิ่งต่างๆ เข้าใจในความไม่เที่ยงของสังขาร ความไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิม ความไม่สามารถบังคับได้ดังปรารถนาเพราะไม่มีอะไรเป็นของตน ด้วยความเข้าใจนี้ จะทำให้จิตของเราปล่อยวางจากสังขาร ทำให้จิตสงบ ตอนที่จิตออกจากร่างก็ไปสู่สุคติภูมิได้ จำไว้นะลูก
    ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ วันนี้ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี เมตตา นำเทียนหนักหนึ่งคู่ มาให้อธิษฐาน ขอให้เทียนคู่นี้เป็นแสงนำทางลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อลูกรับเทียนจากพระคุณเจ้า ก็ร้องไห้ โฮทันที แล้วพูดว่า "ความตายคงใกล้เข้ามาแล้ว" หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแหลกสลาย หลายวันมานี้ลูกดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ หมอยังบอกว่าโชคดีที่ระบบขับถ่ายของลูกไม่มีปัญหา
    ก่อนพระคุณเจ้าจะกลับขึ้นรถ ท่านพูดว่า "เข้าพรรษา ลูกจะขออยู่กับแม่อีกสามวันนะ ในวันที่ ๑๘ เป็นวันเข้าพรรษาพอดีจงเอาเทียนคู่นี้จุดให้ลูกนะ"
    เมื่อท่านกลับไปผู้เป็นแม่กลับมานั่งคิดว่า เป็นไปได้ยังไง ลูกยังแข็งแรงดีอยู่เลย แม่จึงพูดกับพ่อว่า "เวลาของลูกคงใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงห้ามร้องไห้ให้ลูกเห็นเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้ลูกกังวล เป็นห่วงเรา และที่สำคัญ จะทำให้ฉันจิตตกด้วย"
    วันที่ ๑๘ มาถึง ลูกปวดมากขึ้นๆ เป็นระยะ เพิ่มยาขึ้นให้เวลาที่สั้นลงในปริมาณที่มากขึ้น ลูกไม่ยอมไปโรงพยาบาล ขออยู่บ้าน
    แล้วลูกก็พูดว่า "หม่าม้ายาไม่ได้ผล ปวดมากเลยครับ"
    ลูกน่ารักมากเวลาปวดมากๆ ลูกได้แต่กำมือชกหมอนเบาๆ เพราะไม่อยากให้แม่กังวล แต่แม่ก็หมดหนทางจริงๆ สงสารลูกมาก เมื่อยาไม่ได้ผล ผู้เป็นแม่จึงคิดถึงจ้ากรรมนายเวร แล้วเอามือลูบบริเวณที่ปวดแล้วพูดว่า
    เจ้ากรรมนายเวรเจ้าขา ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจากภพใดชาติใดก็ตม บัดนี้เราสองแม่ลูกได้รับทราบถึงกรรม ที่เราสองได้กระทำกับท่านแล้ว ว่าท่านได้ทุกขืทรมาณจากการกระทำของเราเช่นไร เพราะความเจ็บปวดนั้นเรากำลังได้รับอยู่
    ได้โปรดอโหสิกรรมให้เราสองแม่ลูกด้วยเถิด บุญกุศลที่เราได้สร้างมาทั้งที่สร้างพระถวายวัด สร้างหอไตรที่อินเดีย ฯลฯ เราขออุทิศให้ท่านทั้งหมด เมื่อท่านรับแล้วได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่เรา อย่าจองเวรกันอีกเลย ขอให้นายวีรภัทร์ อัครดำรงเวช ผู้นี้อย่าได้ทุกข์ทรมาณเลย ถ้าเขาต้องไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ขอให้เค้าไปอย่างสงบเถิด
    ผู้เป็นแม่พูดวนไปมาอย่างนี้อยู่ครึ่งชั่วโมง ปาฏิหารย์ก็เกิดความทรมาณของลูกดีขึ้น สามารถนอนหลับได้แม่บางครั้งจะนั่งเพื่อให้หลับก็ตามที หลังจากนั้นเมื่อลูกปวด แม่ก็จะใช้วิธีเดิมเพื่อช่วยให้ลูกดีขึ้น แม้จะห็นหน้าเค้าทรมาณ แต่อย่างน้อยเค้าก็ดีขึ้น
    เมื่อวันสุดท้ายมาถึง เค้าเริ่มใช้ออกซิเจน ซึ่งในวันนี้เมื่อเค้าตื่นขึ้นมาเค้าดูหน้าตาสดชื่น เค้าบอกว่า "หม่าม้าวันนี้แปลกมาก ทั้งๆที่นอนตื่นเช้ากว่าทุกวัน แต่รู้สึกเหมือนนอน น้านนาน"
    ตกบ่ายแม่รู้สึกเพลียจึงขอนอน ล้มตัวลงนอนข้างๆลูก หลับไปได้สักครู่ ลืมตาขึ้นมามองดูลูก เหมือนเค้าเสียการทรงตัว เอียงมาหาแม่ทำให้แม่ต้องรีบกอดไว้
    เป็นอะไรไปลูก
    ไม่ตอบเหมือนหมดแรง
    ลูกจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วหรือลูก
    ใช่ ตอบอย่างมีสติหนักแน่น
    พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ นะลูก ลูกเงียและหมดสติในอ้อมกอดของแม่ ประมาณ ๕ นาทีก็ลุกขึ้นนั่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    เมื่อกี้วูบไป นึกว่าตายแล้วเสียอีก ลูกพูดพร้อมยิ้ม ทำให้แม่ต้องหัวเราะ หิวไหม ตามป่าป๊ากลับมานะลูก เค้านั่งเงียบเหมือนหมดแรง
    ยังไม่ตายหรอกตกลับมาทำไม
    สามโมงแล้วปิดร้านก่อนได้ให้ป่าป๊ากลับมานะ ผู้เป็นแม่ลุกออกไปห้องพระจุดธูปอธิฐานว่า
    พระพุทธเจ้าเจ้าขา ถ้าถึงเวลาที่ลูกชายของลูกจะได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอพระพุทธองค์ได้โปรดเมตตามานำพาขาไปอย่างสงบด้วยเถิด
    หลังจากนั้นถึงจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ ถ้าลูกหนูต้องไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอท่านเจ้าที่ได้โปรดเมตตาพาลูกหนูไปเข้าเฝ้าพระพุทธองคืด้วยเถิด
    เมื่อป่าป๊ามาถึง ก็ถามลูกว่าจะโทรฯ ลาใครไหมลูก เค้าโบกมือช้าๆ
    แล้วแม่จึงเปิดบทสวดมนต์ที่เคยให้ แล้วบอกลูกว่า หม่าม้าเช็ดตัวให้นะลูก เช็ดให้สะอาดที่สุด ทาแป้งและบอกว่า หม่าม้าเปลี่ยนชุดนักศึกษาให้นะ ลูกรักมหาลัยมาก ใส่ชุดนักศึกษานะลูก ลูกมองแม่แล้วน้ำตาไหล
    ลูกกำลังจะจากบุคคลผู้เป็นที่รักไปแล้ว จากทุกคนที่ร่วมภพชาติของเค้า ย่อมมีความอาลัยเป็นธรรมดา เพียงแต่ลูกเก่ง เข้มแข็ง เพราะเตรียมใจมานาน จึงเป็นเพียงชั่วขณะที่แม่เอาผ้าซับน้ำตาให้แล้วพูดว่า
    อย่าร้องไห้ลูก ลูกกำลังจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ต้องห่วงหม่าม้า ป่าป๊า น้อง ทุกคนดูแลตนเองได้ ลูกคิดถึงบุญกุศลที่เราร่วมกันทำมานะลูก
    แม่แต่งตัวให้ลูกไป ปากก็พูดย้อนถึงบุญที่เคยทำมาร่วมกัน ยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสุดท้าย ภาวนาไปเรื่อยๆนะลูก หม่าม้ากับป่าป๊าช่วยกันแต่งตัวให้ลูก เมื่อสะอาดเรียบร้อย ก็กอดลูกไว้แนบอก จนกระทั่งลูกหลับไปกับอกของแม่ หลับอย่างสงบ ไม่มีอาการทรมาณ ทุรนทุราย แม้แต่น้อย หลับนะลูก หลับให้สบาย ลมหายใจที่แม่ส่งให้ยามลูกเกิดได้ยุติลงแล้ว เป็นการส่งลมหายใจสุดท้ายให้ลูกกลับคืนสู่สุคติภายในอ้อมกอดด้วยสองมือแม่โดยแท้
    รู้แล้ว ซึ้งแล้ว กับคำว่า น้ำตาตก มันเจ็บที่กระดูกตรงหัวใจ เจ็บทุกครั้งที่คิดถึง แต่หาได้มีน้ำตาไหลออกมา แม่มองร่างกายที่นอนทอดยาว หลับตาพริ้ม มีรอยยิ้มน้อยๆของลูก ลูกไม่ได้นอนสบายอย่างนี้นานแล้ว เพราะเจ้าก้อนเนื้อมันทับอยู่ ทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก สุดท้ายแม้แต่นั่งหลับ แต่ตอนนี้ลูกหลับสนิทและสบายแล้วจริงๆ ชีวิตมีการมาและมีการจาก เช่นนี้เอง อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปก่อน
    ที่มา:เรื่องจริง "ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า"<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. thaiput

    thaiput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    9,528
    ค่าพลัง:
    +27,656
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพกิจกรรมทำบุญของทุนนิธิฯ เพิ่มเติมจากที่ลงให้ชมกันไปแล้ว

    [​IMG]

    ประธานกับรองประธานทุนนิธิฯรายงานการบริจาคทำบุญประจำเดือนพฤศจิกายนให้กับผู้ที่มาที่โรงพยาบาลสงฆ์
    [​IMG]

    [​IMG]

    สมาชิกตัวน้อยตื่นแต่เช้ามาทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    ประธานนำเงินไปจ่ายค่าอาหารให้กับเจ้าของร้านเจ้าประจำที่รับจัดอาหารถวายสงฆ์

    [​IMG]

    ต่อจากนั้นได้ไปถวายปัจจัยแด่ครูบาดวงดี ที่พักรักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
    [​IMG]

    [​IMG]

    ถวายปัจจัยให้ไว้กับพระที่ดูแลหลวงปู่
     
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    แจกพระของครูบาดวงดี ได้รับกันทุกท่านที่ไปในวันนั้น

    [​IMG]

    ก่อนกลับได้ถ่ายภาพร่วมกันไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เราเคยมาร่วมกันทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ที่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นอริยะที่หาได้ยาก ณ ปัจจุบันนี้

    โมทนากับทุกๆท่านครับ
     
  18. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    สาธุโมทนามิ ขอให้ปลอดภัย ร่ำรวยทั้งพ่อทั้งแม่และลูกนะครับ
     
  19. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    เรียน คุณ พงศ์กฤต อนุรักษ์วงศ์ศรี
    เรื่อง แจ้งผลการทำรายการโอนเงินต่างธนาคารแบบออนไลน์ (สำเร็จ)
    ตามที่ท่านได้ทำรายการโอนเงินต่างธนาคารแบบออนไลน์ ผ่านบริการ K-Cyber Banking ตามรายละเอียด ดังนี้


    วันที่ทำรายการ : 24/11/2009 11:33:43 AM.
    หมายเลขอ้างอิง : KBKR091124252291
    โอนเงินจากบัญชี : xxx-x-93765-4
    ธนาคารของบัญชีผู้รับโอน : BANK OF AYUDHAYA
    เพื่อเข้าบัญชี : 348-1-23245-9 ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร
    ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล : PRATOM F.
    จำนวนเงิน (บาท) : 1000.0
    ค่าธรรมเนียม (บาท) : 25.0
    บันทึกช่วยจำ : ทำบุญสงเคราะห์ภิกษุอาพาธ


    ธนาคารขอเรียนให้ทราบว่า ธนาคารได้ดำเนินการโอนเงินต่างธนาคารแบบออนไลน์ ตามที่ท่านได้ทำรายการไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    ทั้งนี้ ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center (24 ชั่วโมง) โทรศัพท์ 0 2888 8888 กด 03 หรือ
    อีเมล์: K-CyberBanking@kasikornbank.com โดยแจ้งหมายเลขอ้างอิงของท่านในการติดต่อกับธนาคาร


    โมทนาบุญทุกท่านด้วยครับ ร่วมทำบุญ1000บาท
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ




    [​IMG]

    ศาสนาในโลก

    หนังสือเนชั่นแนลจีออกราฟฟิค ฉบับเดือนธันวาคม 2544 ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับจำนวนประชากรในโลกและการนับถือศาสนาไว้ค่อน ข้างละเอียดแต่จะขอสรุปให้เห็นภาพกว้างๆในที่นี้ดังนี้...

    1. จำนวนประชากรในโลกมีประมาณ 6,000 ล้านคน (ในจำนวนนี้จำนวนผู้ชายน้อยกว่าจำนวนผู้หญิงเล็กน้อย)
    2. ประชากรประมาณ 3,900 ล้านคนนับถือศาสนาใหญ่ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
      1. จำนวน 2,000 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์ (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
      2. จำนวน 1,300 ล้านคนนับถือศาสนาอิสลาม (ศาสนาพระเจ้าองค์เดียว)
      3. จำนวน 600 ล้านคนนับถือศาสนาฮินดู (ศาสนาพระเจ้าหลายองค์)
    3. ประชากรประมาณ 390 ล้านคนนับถือพระพุทธศาสนา (รวมทุกนิกายทั้งหินยานแบบไทย พม่า ลาว ศรีลังกา และมหายานแบบจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เวียดนาม...)
    4. ประชากรที่เหลืออีกประมาณ 1,700 ล้านคน ส่วนหนึ่งนับถือศาสนาเล็กๆเฉพาะกลุ่มบ้าง (บางศาสนาเชื่อพระเจ้า บางศาสนาไม่เชื่อพระเจ้า), อีกส่วนหนึ่งไม่มีศาสนาที่ชัดเจน ในจำนวนที่ไม่ถือศาสนาที่ชัดเจนนี้เป็นพวกนับถือเหตุผลตามหลักปรัชญาของนัก คิดสายต่างๆ บ้าง ถือหลักยึดตนเองบ้าง นับถือเหตุผลและศักยภาพของวิทยาศาสตร์และหลักความคิดแบบสมัยใหม่บ้าง นับถือเทพนับถือผีต่างๆซึ่งรวมถึงวิญญาณของวีรบุรุษต่างๆบ้าง นับถือวัฏฏจักรของธรรมชาติบ้าง นับถือไสยศาสตร์บ้าง กระจายกันไปในส่วนต่างๆของโลก.
    [​IMG]จะ เห็นได้ว่ามีคนถึงประมาณ 28% ที่ไม่มีศาสนาที่ชัดเจน และมีเพียง 6.5% เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ในขณะที่มีคนประมาณ 65% ของโลกที่นับถือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า...

    ดังนั้น ถ้าจะกล่าวแบบรวบรัดลงไปอีกก็อาจกล่าวได้ว่า คนในโลกทุกๆ 100 คน มี 65 คนนับถือพระเจ้า และมี 35 คนที่ไม่นับถือพระเจ้า...
    การเชื่อและนับถือในพระเจ้า กับการไม่เชื่อไม่นับถือในพระเจ้าย่อมทำให้วิธีคิดและการดำรงชีวิต ตลอดจนการสังเคราะห์วิธีการแก้ปัญหาในชีวิตของมนุษย์มีความแตกต่างกันอย่าง ไม่ต้องสงสัย ...
    อย่างไรก็ตามบทความนี้มีได้มุ่งในประเด็นการพิสูจน์เรื่อง การมี อยู่ของพระเจ้าและไม่ได้มุ่งที่จะทำให้ผู้อ่านเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม แต่คงเป็นที่เข้าใจเอาเองว่าท่านผู้อ่านคงจะต้องถูกจำแนกโดยอัตโนมัติที เดียวว่า ท่านอยู่ในกลุ่มที่เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า
    ศาสนา หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ หรือหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพ โดยทั่วไปแล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข หรือคือ หลักการและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต สำหรับประเทศไทย ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาสำคัญ และมีคนนับถือมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์

    พัฒนาการของศาสนา
    มี ความเชื่อว่าศาสนานั้นเกิดมาจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่อดีดมนุษย์จะสงสัยว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมต้องเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลอะไรต่อมาอีก จนนำมาสู่การค้นหาแนวทางต่างๆเพื่อตอบปัญหาเหล่านี้ จนนำมาเป็นความเชื่อและเลื่อมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจากเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยวิธีการต่างๆนานา จนทรงค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยวิธีที่เรียกว่าทางสายกลาง เป็นการฝึกจิตด้วยสมาธิจนถึงซึ่งความรู้แจ้ง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับสิ้นซึ่งกิเลส ทรงสอนให้มนุษย์ ให้ทำบุญ รักษาศีล และภาวนา เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาในปัจจุบัน คำอธิบายของการเกิดขึ้นและพัฒนาการของศาสนา สามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม
    กลุ่มที่มองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
    กลุ่มที่มองว่าศาสนาค่อย ๆ พัฒนาการไปสู่สภาวะแห่งความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ
    กลุ่มที่มองว่าศาสนาบางศาสนานั้นคือความจริงแท้
    ศาสนาหลักๆ ที่มีอยู่ถ้ามองตามเป็หมายในเรื่ององค์สูงสุดจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆคือ
    1)ศาสนาที่ยึดถือองค์สูงสุดเป็นเป้าหมาย
    2)ศาสนาที่ไม่ยึดถือองค์สูงสุดเป็นเป้าหมาย
    ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อที่เหมือนกันคือยอมรับว่าองค์สูงสุดมีอยู่จริง ศาสนาคริสต์และอิสลามเรียกองค์สูงสุดว่าพระเจ้า ผู้นับถือมีเป้าหมายเพื่อการเข้าไปรวมอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยอมรับการมีอยู่ขององค์สูงสุดเช่นเดียวกัน แต่เรียกต่างกันว่าอรูปพรหม แต่ต่างกันตรงที่ผู้ที่นับถือศาสนาศาสนาพุทธไม่มีเป้าหมายเพื่อการไปรวมอยู่ กับอรูปพรหม เพราะการรวมอยู่กับอรูปพรหม เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏอันมีต่ำสุดคือนรกสูง สุดคืออรูปพรหม(มุสลิมเรียกว่า อัลลอฮ์) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทางที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้จึงมีทางเดียวเท่านั้นคือ นิพพาน

    พุทธศาสนา

    สัจธรรมที่เป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ อริยสัจ แปลว่า "สัจจะของผู้ประเสริฐ (หรือผู้เจริญ)" "สัจจะที่ผู้ประเสริฐพึงรู้" "สัจจะที่ทำให้เป็นผู้ประเสริฐ" หรือแปลรวบรัดว่า "สัจจะอย่างประเสริฐ" พึงทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า มิใช่สัจจะตามชอบใจของโลกหรือของตนเอง แต่เป็นสัจจะทางปัญญาโดยตรง อริยสัจ ๔ คือ
    ๑. ทุกข์ ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ซึ่งเป็นธรรมของชีวิตและความโศก ความระทม ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ซึ่งมีแก่จิตใจและร่างกายเป็นครั้งคราว ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ความพลัดพรากจากสิ่งทีทรักที่ชอบ คงวามปรารถนาไม่สมหวัง กล่าวโดยย่อคือ กายและใจนี้เองที่เป็นทุกข์ต่าง ๆ
    ๒. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจ คือ ดิ้นรนทะยานอยากเพื่อที่จะได้สิ่งปรารถนาอยากได้ ดิ้นรนทะยานอยากพื่อจะเป็นอะไรต่าง ๆ ดิ้นรนทะยานอยากที่จะไม่เป็นในภาวะที่ไม่ชอบต่าง ๆ
    ๓. นิโรธ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับตัณหา ความดิ้นรน ทะยานอยากดังกล่าว
    ๔. มรรค ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ ทางมีองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ เพียรพยายามชอบ สติชอบ ตั้งใจชอบ
    ได้มีบางคนเข้าใจว่า พระพุทธศาสนามองในแง่ร้าย เพราะแสดงให้เห็นแต่ทุกข์และสอนสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ เพราะสอนให้ดับความดิ้นรนทะยายอยากเสียหมด ซึ่งจะเป็นไปยาก เห็นว่าจะต้องมีผู้เข้าใจดังนี้ จึงต้องซ้อมความเข้าใจไว้ก่อนที่แจกอริยสัจออกไป พระพุทธศาสนามิได้มองในแง่ร้ายหรือแง่ดีทั้งสองแต่อย่างเดียว แต่มองในแง่ของสัจจะ คือความเจริญ ซึ่งต้องใช้ปัญญาและจิตใจที่บริสุทธิ์ประกอบกันพิจารณา ตามประวัติพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแสดงอริยสัจแก่ใครง่าย ๆ แต่ได้ทรงอบรมด้วยธรรมข้ออื่นจนผู้นั้นมีจิใจบริสุทธิ์พอที่จะรับเข้าใจได้ แล้ว จึงทรงแสดงอริยสุจธรรมข้ออื่นที่ทรงอบรมก่อนอยู่เสมอ สำหรับคฤหัสถ์นั้น คือ ทรงพรรณนาทาน พรรณนาศีล พรรณนาผลของทาน ศีลที่เรียกว่า สวรรค์ (หมายถึงความสุขสมบูรณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจาก ทาน ศีล แม้ในชีวิตนี้) พรรณาโทษของกาม (สิ่งที่ผูกใจให้รักใคร่ปรารถนา) และอานิสงส์ คือ ผลดีจากการที่พรากใจออกจากกามได้ เทียบด้วยระดับการศึกษาปัจจุบัน ก็เหมือนอย่างทรงแสดงอริยสัจแก่นักศึกษาชั้นมหาวิทยาลัย ส่วนนักเรียนที่ต่ำลงมาก็ทรงแสดงธรรมข้ออื่นตามสมควรแก่ระดับ พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงแสดงธรรมที่สูงกว่าระดับของผู้ฟัง ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย แต่ผู้ที่มุ่งศึกษาแสวงหาความรู้ แม้จะยังปฏิบัติไม่ได้ ก็ยังเป็นทางเจริญความรู้ในสัจจะที่ตอบได้ตามเหตุผล และอาจพิจารณาผ่อนลงมาปฏิบัติทั้งที่ยังมีตัณหา คือความอยากดังกล่าวอยู่นั่นแหละ ทางพิจารณานั้นพึงมีได้เช่นที่จะกล่าวเป็นแนวคิดดังนี้
    ๑. ทุก ๆ คนปรารถนาสุข ไม่ต้องการทุกข์ แต่ทำไมคนเราจึงยังต้องเป็นทุกข์ และไม่สามารถจะแก้ทุกข์ของตนเองได้ บางทียิ่งแก้ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก ทั้งนี้ก็เพราะไม่รู้เหตุผลตามเป็นจริงว่า อะไรเป็นเหตุของทุกข์ อะไรเป็นเหตุของสุข ถ้าได้รู้แล้วก็จะแก้ได้ คือ ละเหตุที่ให้เกิดทุกข์ ทำเหตุที่ให้เกิดสุข อุปสรรคที่สำคัญอันหนึ่งก็คือใจของตนเอง เพราะคนเราตามใจตนเองมากไป จึงต้องเกิดเดือดร้อน
    ๒. ที่พูดกันว่าตามใจตนเองนั้น โดยที่แท้ก็คือตามใจตัณหา คือความอยากของใจ ในขั้นโลก ๆ นี้ ยังไม่ต้องดับความอยากให้หมด เพราะยังต้องอาศัยความอยากเพื่อสร้างโลก หรือสร้างตนเองให้เจริญต่อไป แต่ก็ต้องมีการควบคุมความอยากให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร และจะต้องรู้จักอิ่ม รู้จักพอในส่งที่ควรอิ่ม ควรพอ ดับตัณหาได้เพียงเท่านี้ ก็พอคราองชีวิตอยู่เป็นสุขในโลก ผู้ก่อไฟเผาตนเองและเผาโลกอยู่ทุกกาลสมัยก็คือ ผู้ที่ไม่ควบคุมตัณหาของใจให้อยู่ในขอบเขต ถ้าคนเรดามีความอยากจะได้วิชาก็ตั้งใจพากเพียรเรียน มีความอยากจะได้ทรัพย์ ยศ ก็ตั้งใจเพียรทำงานให้ดี ตามกำลังตามทางที่สมควร ดังนี้แล้วก็ใช้ได้ แปลว่า ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ในทางโลกและก็อยู่ในทางธรรมด้วย
    ๓. แต่คนเราต้องการมีการพักผ่อน ร่างกายก็ต้องมีการพัก ต้องให้หลับ ซึ่งเป็นการพักทางร่างกาย จิตใจก็ต้องมีเวลาที่ปล่อยให้ว่าง ถ้าจิตใจยังมุ่งคิดอะไรอยู่ไม่ปล่อยความคิดนั้นแล้วก็หลับไม่ลง ผู้ที่ต้องการมีความสุขสนุกสนานจากรูปเสียงทั้งหลาย เช่น ชอบฟังดนตรีที่ไพเราะ หากจะถูกเกณฑ์ให้ต้องฟังอยู่นนานเกินไป เสียงดนตรีที่ไพเราะที่ดังจ่อหูอยู่นานเกินไปนั้น จะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง จะต้องการหนีไปให้พ้น ต้องการกลับไปอยู่กับสภาวะที่ปราศจากเสียง คือความสงล จิตใจของคนเราต้องกาความสงบดังนี้อยู่ทุกวัน วันหนึ่งเป็นเวลาไม่น้อย นี้คือความสงบใจ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสงบ ความดิ้นรนทะยานอยากของใจ ซึ่งเป็นความดับทุกข์นั่นเอง ฉะนั้น ถ้าทำความเข้าใจให้ดีว่า ความดับทุกข์ก็คือความสงบใจ ซึ่งเป็นอาหารใจที่ทุก ๆ คนต้องการอยู่ทุกวัน ก็จะค่อยเข้าใจในข้อนิโรธนี้ขึ้น
    ๔. ควรคิดต่อไปว่า ใจที่ไม่สงบนั้น ก็เพราะเกิดความดิ้นรนขึ้น และก็บัญชาให้ทำ พูด คิด ไปตามใจที่ดิ้นรนนั้น เมื่อปฏิบัติตามใจไปแล้วก็อาจสงบลงได้ แต่การที่ปฏิบัติไปแล้วนั้น บางทีชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวก็ให้เกิดทุกข์โทษอย่างมหันต์ บางทีก็เป็นมลทินโทษที่ทำให้เสียใจไปช้านาน คนเช่นนี้ควรทราบว่า ท่านเรียกว่า "ทาสของตัณหา" ฉะนั้น จะมีวิธีทำอย่างไรที่จะไม่แพ้ตัณหา หรือจะเป็นนายของตัณหาในใจของตนเองได้ วิธีดังกล่าวนี้ก็คือ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่
    ๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ ๔ หรือเห็นเหตุผลตามเป็นจริง แม้โดยประการที่ผ่อนพิจารณาลงดังกล่าวมาโดยลำดับ
    ๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ คือ ดำริ หรือคิดออกจากสิ่งที่ผูกพันให้เป็นทุกข์ ดำริในทางไม่พยาบาทมุ่งร้าย ดำริในทางไม่เบียดเบียน
    ๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ แสดงในทางเว้น คือ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียดให้แตกร้าวกัน เว้นจากพูดคำหยาบร้าย เว้นจากพูดเพ้อเจ้อไม่เป็นประโยชน์
    ๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ แสดงในทางเว้น คือ เว้นจากการฆ่า การทรมาน เว้นจากการลัก เว้นจากการประพฤติผิดในทางกาม
    ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากมิจฉาอาชีวะ (อาชีพผิด) สำเร็จชีวิตด้วยอาชีพที่ชอบ
    ๖. สัมมาวายามะ เพียรพยายามชอบ คือเพียรระวังบาปที่ยังไม่เกิดมีให้เกิดขึ้น เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม แต่ให้เจริญยิ่งขึ้น
    ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ระลึกไปในที่ตั้งของสติที่ดีทั้งหลาย เช่น ในสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
    ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ คือ ทำใจให้เป็นสมาธิ (ตั้งมั่นแน่วแน่) ในเรื่องที่ตั้งใจจะทำในทางที่ชอบ
    มรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นทางเดียว แต่มีองค์ประกอบเป็น ๘ และย่อลงได้ในสิกขา (ข้อที่พึงศีกษาปฏิบัติ) คือ

    ศีลสิขา สิกขาคือศีล ได้แก่ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ พูดโดยทั่วไป จะพูดจะทำอะไรก็ให้ถูกชอบ อย่าให้ผิด จะประกอบอาชีพอะไรก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังไม่มีอาชีพ เช่น เป็นนักเรียนต้องอาศัยท่านผู้ใหญ่อุปการะ ก็ให้ใช้ทรัพย์ที่ท่านให้มาตามส่วนที่ควรใช้ ไม่ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายเหลวแหลก ศึกษาควบคุมตนเองให้งดเว้นจากความคิดที่จะประพฤติตนที่จะเลี้ยงตนเลี้ยง เพื่อนในทางที่ผิดที่ไม่สมควร

    จิตตสิกขา สิกขาคือจิต ได้แก่ เพียรพยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ พูดโดยทั่วไป เรื่องจิตของตนเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพยายามศึกษาฝึกฝน เพราะอาจฝึกได้โดยไม่ยากด้วย แต่ขอให้เริ่ม เช่น เริ่มฝึกตั้งความเพียร ฝึกให้ระลึกจดจำ และระลึกถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ และให้ตั้งใจแน่วแน่ สิขากข้อนี้ใช้ในการเรียนได้เป็นอย่างดี เพราะการเรียนจะต้องมีความเพียร ความระลึกความตั้งใจ
    ปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญา ได้แก่ เห็นชอบ ดำริชอบ พูดโดยทั่วไป มนุษย์เจริญขึ้นก็ด้วยปัญญาที่พิจารณาและลงความเห็นในทางที่ถูกที่ชอบ ดำริชอบ ก็คือ พิจารณาโดยชอบ เห็นชอบ ก็คือลงความเห็นที่ถูกต้อง นักเรียน ผู้ศึกษาวิชาการต่าง ๆ ก็มุ่งให้ได้ปัญญาสำหรับที่จะพินิจพิจารณาและลงความเห็นโดยความถูกชอบตาม หลักแห่งเหตุผลตามเป็นจริง และโดยเฉพาะควรอบรมปัญญาในไตรลักษณ์และปฏิบัติพรหมวิหาร ๔

    ไตรลักษณ์

    หมายถึง ลักษณะที่ทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง คือ อนิจจะ ทุกขะ อนัตตา
    อนิจจะ ไม่เที่ยง คือ ไม่ดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ เพราะเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดับในที่สุด ทุก ๆ สิ่งจึงมีหรือเป็นอะไรขึ้นมา ก็กลับไม่มี เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
    ทุกขะ ทนอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ เหมือนอย่างถูกบีบคั้นให้ทรุดโทรมเก่าแก่ไปอยู่เรื่อย ๆ ทุก ๆ คนผู้เป็นเจ้าของสิ่งเช่นนี้ ก็ต้องทนทุกข์เดือดร้อน ไม่สบายไปด้วย เช่น ไม่สบายเพราะร่างกายเจ็บป่วย
    อนัตตะ ไม่ใช่อัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน อนัตตานี้เป็นลำดับชั้นสามชั้น ดังนี้
    ๑. ไม่ยึดมั่นกับตนเกินไป เพราะถ้ายึดมั่นกับตนเกินไปก็ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตนถ่ายเดียว หรือทำให้หลงตนลืมตนมีอคติ คือลำเอียงเข้ากับตน ทำให้ไม่รู้จักตนตามเป็นจริง เช่น คิดว่าตนเป็นฝ่ายถูก ตนต้องได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ด้วยความยึดมั่นตนเองเกินไป แต่ตามที่เป็นจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
    ๒. บังคับให้สิ่งต่าง ๆ รวมทั้งร่างกายและจิตใจไม่ให้เปลี่ยนแปลงตามความต้องการไม่ได้ เช่น บังคับให้เป็นหนุ่มสาวสวยงามอยู่เสมอไม่ได้ บังคับให้ภาวะของจิตใจชุ่มชื่น ว่องไวอยู่เสมอไม่ได้
    ๓. สำหรับผู้ที่ได้ปฏิบัติไปได้จนถึงชั้นสูงสุด เห็นสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้นแล้ วตัวตนจะไม่มี ตามพระพุทธภาษษิตที่แปลว่า "ตนย่อมไม่มีแก่ตน" แต่ก็ยังมีผู้รู้ซึ่งไม่ยึดมั่นอะไรในโลก ผู้รู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสมควรแก่สถานที่และสิ่งแวดล้อม โดยเที่ยงธรรมล้วน ๆ (ไม่มีกิเลสเจือปน)

    พรหมวิหาร ๔

    คือ ธรรมสำหรับเป็นที่อาศัยของจิตใจที่ดี มี ๔ ข้อ ดังนี้
    ๑. เมตตา ความรักที่จะให้เป็นสุข ตรงกันข้ามกับความเกลียดที่จะให้เป็นทุกข์ เมตตาเป็นเครื่องปลูกอัธยาศัยเอื้ออารีทำให้มีความหนักแน่นในอารมณ์ ไม่ร้อนวู่วาม เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรู ไม่เบียดเบียนใคร แม้สัตว์เพียงไหน ให้เดือดร้อนทรมานด้วยความเกลียด โกรธ หรือสนุกก็ตาม
    ๒. กรุณา ความสงสารจะช่วยให้พ้นทุกข์ ตรงกันข้ามกับความเบียดเบียน เป็นเครื่องปลูกอัธยาศัยเผื่อแผ่เจือจาน ช่วยผู้ที่ประสบทุกข์ยากต่าง ๆ กรุณานี้เป็นพระคุณสำคัญข้อหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นพระคุณสำคัญข้อหนึ่งของพระมหากษัตริย์ และเป็นคุณข้อสำคัญของท่านผู้มีคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดา เป็นต้น
    ๓. มุทิตา ความพลอยยินดีในความได้ดีของผู้อื่น ตรงกันข้ามกับความริษยาในความดีของเขา เป็นเครื่องปลูกอัธยาศัยส่งเสริมความดี ความสุข ความเจริญ ของกันและกัน
    ๔. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ในเวลาที่ควรวางใจดังนั้น เช่นในเวลาที่ผู้อื่นถึงความวิบัติ ก็วางใจเป็นกลาง ไม่ดีใจว่าศัตรูถึงความวิบัติ ไม่เสียใจว่าคนที่รักถึงความวิบัติ ด้วยพิจารณาในทางกรรมว่า ทุก ๆ คนมีกรรมเป็นของตน ต้องเป็นทายาทรับผลของกรรมที่ตนได้ทำไว้เอง ความเพ่งเล็งถึงกรรมเป็นสำคัญดังนี้ จนวางใจลงในกรรมได้ ย่อมเป็นเหตุถอนความเพ่งเล็งบุคคลเป็นสำคัญ นี่แหละเรียกว่า อุเบกขา เป็นเหตุปลูกอัธยาศัยให้เพ่งเล็งถึงความผิดถูกชั่วดีเป็นข้อสำคัญ ทำให้เป็นคนมีใจยุติธรรมในเรื่องทั่ว ๆ ไปด้วย
    ธรรม ๔ ข้อนี้ควรอบรมให้มีในจิตใจด้วยวิธีคิดแผ่ใจประกอบด้วยเมตตา เป็นต้น ออกไปในบุคคลและในสัตว์ทั้งหลาย โดยเจาะจง และโดยไม่เจาะจงคือทั่วไป เมื่อหัดคิดอยู่บ่อย ๆ จิตใจก็จะอยู่กับธรรมเหล่านี้บ่อยเข้าแทนความเกลียด โกรธ เป็นต้น ที่ตรงกันข้าม จนถึงเป็นอัธยาศัยขึ้นก็จะมีความสุขมาก

    นิพพานเป็นบรมสุข

    ได้มีภาษิตกล่าวไว้ แปลว่า "นิพพานเป็นบรมสุข คือสุขอย่างยิ่ง" นิพพานคือความละตัณหาในทางโลกและทางธรรมทั้งหมด ปฏิบัติโดยไม่มีตัณหาทั้งหมด คือ การปฏิบัติถึงนิพพาน
    ได้มีผู้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "ธรรม" (ตลอดถึง) "นิพพาน" ที่ว่า "เป็นสนฺทิฏฺฐิโก อันบุคคลเห็นเอง" นั้นอย่างไร? ได้มีพระพุทธดำรัสตอบโดยความว่า คือ ผู้ที่มีจิตถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำเสียแล้ว ย่อมเกิดเจตนาความคิดเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง ผู้อื่นบ้าง ทั้งสองฝ่ายบ้าง ต้องได้รับทุกข์โทมนัสแม้ทางใจ เมื่อเกิดเจตนาขึ้นดังนั้นก็ทำให้ประพฤติทุจริตทางไตรทวาร คือ กาย วาจา ใจ และคนเช่นนั้นย่อมไม่รู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองตามเป็นจริง แต่เมื่อละความชอบ ความชัง ความหลงเสียได้ ไม่มีเจตนาความคิดที่จะเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ไม่ประพฤติทุจริตทางไตรทวาร รู้ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองตามเป็นจริง ไม่ต้องเป็นทุกข์โทมนัสแม้ด้วยใจ "ธรรม(ตลอดถึง) นิพพาน" ที่ว่า "เห็นเอง" คือ เห็นอย่างนี้ ตามที่ตรัสอธิบายนี้ เห็นธรรมก็คือ เห็นภาวะหรือสภาพแห่งจิตใจของตนเอง ทั้งในทางไม่ดีทั้งในทางดี จิตใจเป็นอย่างไร ก็ให้รู้อย่างนั้นตามเป็นจริง ดังนี้ เรียกว่าเห็นธรรม ถ้ามีคำถามว่า จะได้ประโยชน์อย่างไร ก็ตอบได้ว่า ได้ความดับทางใจ คือ จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความโลภ โกรธ หลง นั้น เพรามุ่งออกไปข้างนอก หากได้นำใจกลับเข้ามาดูใจเองแล้ว สิ่งที่ร้อนจะสงบเอง และให้สังเกตุจับตัวความสงบนั้นให้ได้ จับไว้ให้อยู่ เห็นความสงบดังนี้ คือเห็นนิพพาน วิธีเห็นธรรม เห็นนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายไว้ จึงเป็นวิธีธรรมดาที่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไปปฏิบัติได้ ตั้งแต่ขั้นธรรมดาต่ำ ๆ ตลอดถึงขั้นสูงสุด
    อริยสัจ ไตรลักษณ์ และนิพพาน "เป็นสัจธรรม" ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และได้ทรงแสดงสั่งสอน เรียกว่าเป็น "ธรรมสัจจะ" สัจจะทางธรรมเป็นวิสัยที่พึงรู้ได้ด้วยปัญญาอันเป็นทางพ้นทุกข์ในพระพุทธ ศาสนา แต่ทางพระพุทธศาสนาก็ได้แสดงธรรมในอีกหลักหนึ่งคู่กันไปคือ ตาม "โลกสัจจะ" สัจจะทางโลก คือ แสดงในทางมีตน มีของตน เพราะโดยสัจจะทางธรรมที่เด็ดขาดย่อมเป็นอนัตตา แต่โดยสัจจะทางโลกย่อมมีอัตตา ดังที่ตรัสว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ในเรื่องนี้ตรัสไว้ว่า "เพราะประกอบเครื่องรถเข้า เสียงว่ารถย่อมีฉันใด เพราะขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ สัตว์ก็ย่อมมีฉันนั้น" ธรรมในส่วนโลกสัจจะ เช่น ธรรมที่เกี่ยวแก่การปฏิบัติในสังคมมนุษย์ เช่น ทิศหก แม้ศีลกับวินัยบัญญัติทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้น แม้จะปฏิบัติอยู่เพื่อความพ้นทุกข์ทางจิตใจตามหลักธรรมสัจจะ ส่วนทางกายและทางสังคม ก็ต้องปฏิบัติอยู่ในธรรมตามโลกสัจจะ ยกตัวอย่างเช่น บัดนี้ตนอยู่ในภาวะอันใด เช่น เป็นบุตรธิดา เป็นนักเรียน เป็นต้น ก็พึงปฏิบัติธรรมตามควรแก่ภาวะของตนและควรพยายามศึกษานำธรรมมาใช้ปฏิบัติ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นประจำวัน พยายามให้มีธรรมในภาคปฏิบัติขึ้นทุก ๆ วัน ในการเรียน ในการทำงาน และในการอื่น ๆ เห็นว่า ผู้ปฏิบัติดังนี้จะเห็นเองว่า ธรรมมีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชีวิตอย่างแท้จริง


     

แชร์หน้านี้

Loading...