ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เดินตามรอยพ่อ

    นิตยสาร National geographic ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 ได้เทิดทูนในหลวง โดยลงบทความเรื่อง Thailand's Working Royalty หมายถึง "พระราชกรณียกิจใหญ่หลวงนัก" ท้ายสุดได้อัญเชิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เรื่อง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" โดยถ่ายทอด เป็นภาษาอังกฤษ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการประกอบพระราชณียกิจ ซึ่งคนไทยทุกคนสมควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้


    [​IMG]
    The Footsep of My Father
    “ Through the dark jungle, very dense,
    Which stretches out interminably , somber and immense…
    I follow without stopping the footstep of my Father.
    Oh Father, I am dying of hunger and I am tired.
    Look! The blood is running from my two wounded feet…
    Father! Will we arrive at our destination?

    -Child!… On the earth there exists no place
    Full of pleasure and comfort for you.
    Our road is not covered with pretty flowers.
    Go! Always,even if it breaks your heart.
    I see the thornes prick your tender skin.
    Your blood: rubies on the grass, near the water.
    On the green shruberry, your tears dropped.
    Diamonds on emerald, show their beauty.
    For all the human race does not lose its courage
    In the face of pain. Be tenacious and wise.
    And be happy to have and ideal so dear.
    Go! If you want to walk in the Footstep of your Father.”




    เดินตามรอยเท้าพ่อ
    “ ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด
    ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
    แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด มืดและกว้าง
    มีต้นไม้ใหญ่เหมือนหอคอยที่แข้มแข็ง
    พ่อจ๋า… ลูกหิวจะตายอยู่แล้วและเหนื่อยด้วย
    ดูซิจ๊ะ… เลือดไหลออกมาจากเท้าทั้งสองที่บาดเจ็บของลูก
    ลูกกลัวงู เสือ และหมาป่า
    พ่อจ๋า… เราจะถึงจุดหมายปลายทางไหม?

    ลูกเอ๋ย… ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์
    และความสบายสำหรับเจ้า ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
    จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า พ่อเห็นแล้วว่า
    หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า เลือดของเจ้า เปรียบดั่งทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำน้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียว
    เปรียบดั่งเพชรบนมรกตที่แสดงความงดงามเต็มที่
    เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า เมื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
    ไปเถิด… ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ.”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2009
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    เมื่อวานนี้ คณะกรรมการฯ ได้ประชุมกัน และได้มีมติให้ดำเนินการเบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ โดยถือเป็นยอดกิจกรรมของทุนนิธิฯ ประจำเดือนตุลาคม 2552 ได้ดังนี้

    1. ยอดบริจาคให้ รพ.ต่างๆ

    1.1 รพ.สงฆ์
    - ค่าสังฆทานภัตตาหารเช้า 5,000.-
    - ค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 7,500.-
    - ค่าโลหิตส่วนกลาง 7,500.-
    1.2 รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    1.3 รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    1.4 รพ.สมเด็จพระยุพราช
    (ปัว) จ.น่าน 8,000.-***
    1.5 รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
    (ผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์) 5,000.-
    1.6 รพ.สมเด็จพระยุพราช
    ด่านซ้าย จ.เลย 5,000.-
    1.7 รพ.50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ
    จ.อบลราชธานี 5,000.-
    1.8 รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-

    รวมเป็นงบประมาณบริจาคทั้งสิ้น 57,000.-

    *** สำหรับที่ รพ.สมเด็จพระยุพราช(ปัว) จ.น่าน นี้ ได้รับแจ้งจากคุณพันธ์ทิพย์ อยู่เอนก จนท.พยาบาลประจำหอสงฆ์ที่ทุนนิธิฯ ติดต่อด้วย แจ้งว่า ช่วงนี้มี case หนักเข้ามามากขึ้น แต่มีผู้บริจาคเจ้าประจำคือทุนนิธิฯ ของเรา เงินที่บริจาคสะสมมาปีกว่าจะหมดแล้ว จึงต้องเพิ่มยอดจากเดิม 6,000.- เป็น 8,000.-ครับ

    2. ยอดบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์

    2.1 เครื่องดันอาหารบริจาคให้ รพ.ศรีนครินทร์ เพื่อใช้สำหรับรักษาสงฆ์อาพาธภายนอก รพ. โดยอนุญาตให้หลวงปู่โสฯ วัดป่าคำแคนเหนือ จ.ขอนแก่น เป็นผู้ยืมใช้รายแรก ราคาเครื่องละ 33,000.-
    2.2 เครื่องดูดเสมหะบริจาคให้ รพ.ศรีนครินทร์ เพื่อบริจาคให้ หลวงปู่ใบ ธีรปัญโญ วัดป่าบ้านศาลา ต.โพนงาม อ.หนองหาน จ.อุดร ซึ่งมีอายุราวๆ 85 ปี และเป็นลูกศิษยฺ์ของหลวงปู่ลี ผาแดง พระกรรมฐานสายท่านหลวงตามหาบัว โดยท่านได้ป่วยเป็นโรควัณโรคปอดเรื้อรัง และมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องดูดเสมหะนี้เป็นอย่างมาก ราคาเครื่องละ 5,300.-
    2.3 ถังออกซิเจนขนาดกลางพร้อมอุปกรณ์เพื่อบริจาคให้ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) สำหรับนำไปมอบให้ หลวงพ่อทวี แสนกาจอายุ 57 ปี พระธุดงค์ที่มาจาก จ.ลำพูน และมาอาพาธป่วยด้วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง และพักรักษาตัวที่วัดบ้านหนาด อ.ปัว ได้ใช้รักษา 1 ชุด ราคา 10,000.-บาท

    รวมเป็นงบประมาณสำหรับจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งสิ้น 48,300.-

    และเมื่อรวมยอดบริจาคตามข้่อ 1. และ ข้อ 2. แล้ว คิดเป็นยอดเงินประมาณการทั้งสิ้น 105,300.- (หนึ่งแสนห้าพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยเมื่อวานนี้ ผมและนายสติได้เบิกจากบัญชีของทุนนิธิฯ เรียบร้อยแล้ว และในวันนี้ ผมได้ทยอยโอนเงิน และส่งธณาณัติ ไปทุก รพ. เรียบร้อยแล้ว โดยหลักฐานการโอนเงิน ผมจะสแกนให้ดูในวันพรุ่งนี้หรืออย่างช้าไม่เกินวันพุธให้ทั้งหมดครับ

    สำหรับเครื่องดูดเสมหะนั้น ผมได้นัดให้บริษัทที่ขายอุปกรณ์เครื่องนี้ ให้นำเครื่องไปให้เราได้ติดสติกเกอร์และโมทนาพร้อมกับชำระเงินกันในวันอาทิตย์นี้ ส่วนเครื่องดันอาหารนั้น ทุนนิธิฯ จะจ่ายเงินให้บริษัทผู้ขาย ทันทีที่ได้รับทราบว่าเครื่องถูกส่งไปยัง รพ.ศรีนครินทร์ในสภาพที่เรียบร้อยพร้ัอมใช้งานได้ โดยทางคุณวรารัตน์ สุนทราภา จนท.พยาบาล ประจำหอสงฆ์จะเป็นผู้ที่ตรวจเครื่อง และยืนยันมาให้ทราบก่อนชำระเงินด้วยเช่นกัน

    สำหรับกิจกรรมเสริมในการสอนดูพระนั้น เมื่อวานนายสติได้นำพระบางส่วนออกมาให้กรรมการฯ ได้ชมกัน หลายองค์สวยมาก ส่วนของหลวงปู่ใหญ่นั้น เป็นกรุเก่าทั้งหมด บางองค์มีราคาเช่าหาในช่วงแรก มากกว่าหมื่นบาท ยังไงก็ลองไปเรียนรู้เทคนิคการดูพระสกุลนี้กันครับ ไม่เสียหลาย ได้เห็นและได้สัมผัสของจริง จะได้จำได้ เจอที่ไหนจะได้เก็บกันไว้ นับว่าเป็นสุดยอดของพระอภินิหารจริงๆ หากตื้อนายสติมากๆ เข้า อาจยอมให้บูชาต่อกันก็ได้...รับรองนายสติไม่ใช่คนหวงพระและหวงความรู้แน่นอน

    พันวฤทธิ์
    [COLOR=darkred.19/10/52[/COLOR]


    Quote;

    วันนี้เพิ่งได้รับเมล์ภาพถ่ายจาก รพ.สมเด็จพระยุพราช(ปัว) จ.น่าน โดยคุณพันธุ์ทิพย์ จนท.พยาบาลขอหอสงฆ์อาพาธส่งมาให้ โดยในภาพ หลวงพ่อทวี แสนกาจ กำลังรับมอบถังอ๊อกซิเจนที่ทางทุนนิธิฯ ได้ส่งปัจจัยจัดซื้อถวายให้เพื่อไปรักษาตัวต่อที่วัดท่าน (ตามรายละเอียดในข้อ 2.3) จึงขอให้ผู้ที่บริจาคปัจจัยมาทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาและสาธุบุญในกุศลผลบุญที่ท่านทั้งหลายได้มีส่วนในครั้งนี้ อย่างน้อยถังออกซิเจนนี้ก็อาจจะทำให้หลวงพ่อทวี ท่านมีธาตุขันธ์ได้ทุเลาจากการอาพาธในโรคปอดอุดตันเรื้อรัง มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น และสามารถปฏิบัติกิจทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการทำวัตร สวดมนต์ หรืออบรมสั่งสอนพุทธบริษัท อันเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองจนถึงดังพุทธทำนาย 5000ปี และพอให้เป็นกุศลผลบุญติดตัวแก่เราไปในภายภาคหน้าครับ ผมและคณะกรรมการฯ ทุกท่าน ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับผู้บริจาคทุกท่านอีกครั้งขอให้กุศลและผลบุญนี้ จงส่งผลให้ท่านและครอบครัวได้พ้นจากทุกข์ โศก โรค และภัยอันร้ายแรงทั้งหลายด้วยเทอญ. นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ...

    [​IMG]





     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [​IMG]

    อานุภาพแห่งบุญกุศล
    โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    ณ ศาลากาญจนาภิเษก
    ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๓



    บุญกุศล ย่อมอำนวยผลให้ตราบเท่าถึงชรา พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ คือ มีศรัทธา เชื่อบุญ-บาป ตั้งใจบำเพ็ญบุญกุศล ก็จะทำให้ร่างกายปกติ แข็งแรง จิตใจตั้งมั่นไม่ทุกข์ร้อน คนมีบุญใจไม่ร้อน ใจไม่ทุกข์ ลองสังเกตตัวเองว่าตั้งแต่ ตั้งใจทำดี ความโกรธ ความใจร้อน ความโมโหโทโสเบาลงหรือเปล่า อันนี้ต้องพิจารณาเอง คนอื่นรู้ให้ไม่ได้ ตัวรู้ของตัว

    บุญ บาป ทุกข์ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ให้พากันรักษาจิตใจ ฝึกสติรักษาใจ ให้มากกว่าทรัพย์ภายนอก ไม่เช่นนั้นกิเลสตัณหา ก็จะมาพาไป ดึงไปให้สุขอยู่กับความสุขในโลก อันไม่ยั่งยืน

    ตัณหา คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
    สมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
    นิโรธ คือ ความดับทุกข์ (เมื่อดับตัณหาได้ ทุกข์ในใจก็หมดลง)
    ศีล-สมาธิ-ปัญญา คือ ทางปฏิบัติเพื่อความดับไปของทุกข์ทั้งปวง

    การกิน การนอน การร่าเริงมหรสพต่างๆ เป็นเพียงสุขชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ย่อมแตกดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นทุกคนที่ปฏิบัติธรรม อย่าไปหลงไหลในความสุขชั่วคราวนั้น แต่ความสุขชั่วคราวนี้ ไม่มีก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อมีมาแล้ว ก็ให้รู้เท่า ถ้าไม่รู้เท่า ก็จะเป็นทุกข์ พอมันหายไปทุกข์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้น สร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นฝั่งฝา อยู่เย็นเป็นสุข และอาศัยความสุข ชั่วคราวนี้เอง

    ถ้ายังกินอาหารอร่อยอยู่ ยังไม่เบื่ออาหาร ความสุขใน การนอนหลับก็สุขชนิดหนึ่ง ยังเป็นเครื่องบำรุงร่างกายกำลังให้แข็งแรง ใครนอนไม่หลับ ๓ คืนก็แย่เลย โรยแรง ทำการงานก็อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ดังนั้น จึงต้องอาศัยความสุขชั่วคราวเหล่านี้ พยายามนอนให้หลับ ถ้ายังไม่หลับก็ไปหาหมอให้ตรวจเสีย เพื่อหมอจะได้แก้ไขให้นอนหลับได้

    กายนี้เป็นอยู่แสนยากลำบาก การมีชีวิตอยู่จนวันนี้นับเป็น วาสนานาบุญที่ทำมาแต่หนหลัง ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัย ไม่เจ็บร้ายแรง ผู้มีกุศลในใจ คือ มีบุญในใจ หนักแน่น ใครด่าว่าติเตียน ก็ไม่เสียใจ ไม่โกรธ ไม่เกลียด เพราะว่าใจมีบุญเป็นเครื่องอยู่ ตรงกันข้ามกับใจที่มีกิเลสเป็นเครื่องอยู่ กิเลสอยู่ในใจใคร ก็มีแต่ปั่นจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวาย ควรกำหนดละกิเลสให้เสมอ บรรเทาโกรธ พยายามเจริญเมตตาให้มาก

    ให้สัตว์ทั้งหลายมองเห็นเราเป็นเพื่อน สัตว์ทั้งหลายเห็นเรา เป็นมิตรก็เลื่อมใสยินดี อยากผูกมิตร (นี่เป็นอานิสงส์แห่งการเจริญเมตตา) ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย แม้เทวดาแสนสูงในชั้นฟ้า ก็จะมีจิตเมตตาต่อผู้มีใจดีมีคุณธรรม และให้การอารักขาไม่ให้มีอันตรายใด เพราะว่าเทวดาพร้อมด้วยเมตตาธรรมและคุณธรรม จะเห็นว่า เทวดาไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ต่างคนต่างเสวยผลบุญของตน สวรรค์ไม่มีการค้าขาย ไม่สะสมเงินทองเพราะว่าสวรรค์ เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ

    เพราะฉะนั้น ให้พากันอารักขาจิตใจทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน ให้ใจตั้งมั่นอยู่ในพุทธคุณ ก่อนนอนให้ไหว้พระก่อน นั่งสมาธิ เอาสติเข้าไปตั้งอยู่ในใจ รวบรวมจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญ คุณ มีสัมปชัญญะ คือ รู้ตัวเสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ต้องกำหนดดูรู้ตัวเสมอ เวลาเกิดอะไรก็ไม่ตกใจ ไม่หวั่นไหว เพราะว่ามีสติสัมปชัญญะตามรักษาจิตใจอยู่ แต่ถ้าปล่อยกิเลส ตัณหา ครอบงำจิตใจ เกิดอะไรขึ้นก็จะสะดุ้ง กลัว สัตว์ดุร้ายมีพิษไม่จำเป็นต้องไปฆ่าแกงเค้า ที่แท้ไม่คิดว่า เราเองมีพิษยิ่งกว่าพิษงู เช่น โกรธใครก็ใช้วาจาทิ่มแทงเค้า ให้เจ็บอกเจ็บใจยิ่งกว่าโดนพิษงูกัด เพราะว่าเจ็บที่ใจไม่ใช่ เจ็บที่กาย

    โบราณจึงบอกว่า "เจ็บอื่นหมื่นแสน...เจ็บจนตายเพราะพูดเหน็บให้เจ็บใจ อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย...เจ็บจนตายเพราะพูดเหน็บให้เจ็บใจ" (ที่ จุด ๓ จุด คือ จดไม่ทันค่ะ - deedi)

    เคยไหม ว่าใครให้เจ็บใจ ผู้ปฏิบัตินั้นใครทำเราเราให้อภัยไป ไม่ผูกเวรผูกกรรม ขอให้ต่างอยู่เย็นเป็นสุข รักษาตนให้พ้นจาก ทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ทำอย่างนี้ รักษาบุญไว้ในใจ บุญก็รักษาใจเราให้ไม่ดุร้าย จิตใจก็สม่ำเสมอ เบิกบานด้วยบุญกุศล ไม่อ่อนแอท้อแท้ จากหนุ่มตราบเฒ่าชรา

    บุญ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม บุญ กุศล ตราบเฒ่าชรา


    ที่มา www.relicsofbuddha.com/worralapo

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8352
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อย่างน้อยพวกเราก็คงมีสักข้อสิน่า...

    บุญของการทำทาน
    รายละเอียด
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ



    ๑ . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

    ๒ . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๔ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๕ . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ
    พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น " พระ " แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า " สมมุติสงฆ์ " พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น " พระ " ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ " พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า " และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

    ๖ . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )

    ๗ . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๘ . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๙ . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๐ . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๑ . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๒ . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๓ . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน " อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น " โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ " ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

    ๑๔ . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ( ๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ " การสอนธรรมมะให้ผู้ได้ฟังธรรมปฏิบัติได้ ดังคำกล่าวของพระพุทธองค์ตรัสกับพระอินทร์ไว้ว่า "สัพพทานัง ธรรมทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แต่ 19 ข้อนี่ น่าจะได้ทั้งหมดครับ

    อานิสงส์การบริจาคเงินเพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลภิกษุสามเณรอาพาธ

    ๑. ชื่อว่าเสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด"
    ๒. อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้
    ๓. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม
    ๔. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี
    ๕. เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้
    ๖. จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคลแก่ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
    ๗. คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด
    ๘. ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร
    ๙. ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน
    ๑๐. ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก
    ๑๑. จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
    ๑๒. มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้
    ๑๓. จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง
    ๑๔. จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
    ๑๕. จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล
    ๑๖. จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย
    ๑๗. จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม
    ๑๘. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน
    ๑๙. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้ผมและครอบครัวได้ร่วมทำุบุญ 200 บาท ครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • slip061152.jpg
      slip061152.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.9 KB
      เปิดดู:
      121
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    สืบหาพระเครื่องดีสัปดาห์นี้ มาดูนี่เลยครับ พระอรหันต์ที่ได้ฉฬภิญญา เวลาท่านเสกพระ ท่านไม่เห็นต้องมีราชวัตร ฉัตรธง ให้ยุ่งยากมากความ ท่านใช้กำลังจิตล้วนๆ เป่าพรวดเดียวสุดยอด ดูทีไรก็สุดขีดทุกครั้ง "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ครับ ของจริงนั่งนิ่งเป็นใบ้ ใครมาเล่าเรื่องความขลังของพระเครื่องที่ท่านเมตตาเสกให้ ท่านฟังทีไร ท่านบอก "โม้" ทุกครั้ง สาธุ "อรหันต์นะมามิ"

    ภาพการอธิฐานจิตพระของหลวงพ่อเกษมในสมัยก่อน ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความเมตตาและมีมนต์ขลังมากๆ ครับ

    [​IMG]

    เหรียญ ในยุคต้น อย่างเหรียญกองพันเชียงใหม่เป็นเหรียญหนึ่งซึ่งหลวงพ่อตั้งใจเสกให้กับทหาร ตำรวจ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2518 ซึ่งมีจำนวนการสร้างไม่มาก อีกทั้งมีรูปแบบที่สวยงามควรค่าแก่การบูชายิ่งครับ

    [​IMG]


    [​IMG]



    รูปเก่าๆ ของหลวงพ่อครับ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    และภาพสุดท้ายที่สุดของภาพหลวงพ่อเกษมครับ
    เมื่อพระโพธิสัตว์ กราบพระอรหันต์


    [​IMG]

    [​IMG]

    *เหรียญกองพันเชียงใหม่ ค่ายกาวีละ *<o></o>


    <o></o>

    สมัย ก่อนหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจรักท่านมาก เข้าหาท่านทุกวัน เหรียญดังกล่าวค่ายกาวีละสร้างขึ้น โดยมีหลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นผู้ปลุกเสก เมื่อ 25มกราคมปี2518 เนื้อเงิน สร้างจำนวน 299 เหรียญ เนื้อนวะ จำนวน 599 เนื้อทองแดง จำนวน 3,999เหรียญ



    *การเช่าหาพิจราณาไปถึงการการตัดขอบเหรียญ (เหรียญรุ่นนี้ขอบต้องหนานะคับและโค๊ตรูปกงจักรซึ่งเป็นจุดสำคัญ )<o></o>

    โค๊ตรูปกงจักร (หงายเหรียญขึ้น ส่องดูเส้นกาบหมากข้างในนะครับ)


    เหรียญรุ่นนี้ราคาค่อนข้างแพง ว่ากันหลักหมื่น ของปลอมเพียบครับ ยังไงก็ตามหากเป็นเหรียญที่ท่านได้เสกแล้วไม่ว่ารุ่นไหน หลักร้อยหรือหลักหมื่นรับรองครับท่านไม่ทิ้งเราจริงๆ และข้อที่สำคัญก็คือขอท่านได้ครับ โดยเฉพาะโชคลาภ ตัวอย่างของพระเครื่องของท่านราคาหลักร้อยต้นๆ เช่นเหรียญปี 17 ออกที่วัดพลับพลาตามสภาพข้างล่าง คุณภาพคับแก้วครับ ลองไปหาดูตามเวบประมูลพระนี่ล่ะมีเยอะไป ลองหากันดูครับ

    [​IMG]


    ขอขอบคุณบทความและรูปภาพจากสวนขลังดอทคอม และna-amulet พระเครื่อง ในเรื่องการดูตำหนิเหรียญครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2009
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    รายงานการอาพาธหลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา จากเวบสวนขลังเมื่อ 1/11/52
    (เมื่อสองเดือนก่อน ทุนนิธิฯ เคยมอบเงินถวายการรักษาหลวงปู่ไปแล้ว 10,000.-บาท เห็นทีอาจจะต้องเข้าที่ประชุมกันอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือท่านในเวลาที่เหลือไม่มากแล้วครับ พระดีครับ พระดี ใครผ่านไปอยุธยาอย่าลืมผ่านไปทางวัดท่านไปช่วยท่านด้วยครับ อานิสงค์บุญก็อย่างข้างต้นนั่นล่ะ หน่อเนื้อพุทธวงศ์ที่ดีๆ แต่มีความขัดสนทางด้านปัจจัย น่าช่วยเหลือครับ หลายองค์ที่ดีอยู่แล้ว ลูกศิษย์ลูกหาเยอะอยู่แล้ว ปล่อยๆ ท่านบ้าง องค์ที่ดีๆ และลำบาก ลูกศิษย์น้อยๆ อันเนื่องมาจากวาสนาบารมีเดิมทำมาน้อยยังมีอยู่เยอะครับ)

    [​IMG]
    เนื่องด้วยในขณะนี้หลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา ได้อาพาธเป็นอัมพาต และเจาะคอ ต้องรักษาอยู่บนเตียงพยาบาล บนกุฏิของท่าน ณ วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ต้องฉันอาหารผ่านสายยาง โดยอาหารกระป่องของทางการแพทย์ซึ่งมีราคาแพงถึงกระป๋องละเกือบ 700 บาท 1 กระป๋องฉันได้ 3วัน ซ้ำที่วัดคุณแม่ชีที่ดูแลอุปัฎฐากหลวงปู่ยังต้องรับภาระลูกสุนัขกว่า 60 ตัว โดยท่านสามารถบริจาคเป็นข้าวสาร หรืออาหารเม็ดสำหรับสุนัข โดยท่านสามารถบริจาคได้ดังนี้ โดนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีคุณพชฎา ราชเวชพิศาล เลขที่บัญชี 1920021930 สาขาถนนพระราม 4 โทรศัพท์ของคุณแม่ชี 084-0139733

    ข่าวดีขณะนี้มีผู้รวบรวมข้าวก้น บาตรของหลวงปู่ดู่ วัดสะแกไว้แล้วได้กดพิมพ์เป็นพระของขวัญ พิมพ์พระแก้วมรกต และพระสมเด็จ หลวงปู่เยี่ยมอธิษฐานจิตเป็นกรณีพิเศษ รับได้ที่กุฏิหลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พระสมเด็จข้าวก้นบาตรหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ที่หลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรมอธิษฐานจิตเดี่ยวครับ

    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2009
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
  13. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    07/11/2009 12 .44 น.โอนผ่าน TMB internet banking


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวาร,ผู้มีพระคุณ,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เพิ่งใส่บาตรยามเช้ากลับเข้ามา เห็นคุณฟ้าใสใส เข้ามาดูในเวบ อนุโมทนาบุญและเอาบุญฝากให้คนที่เข้ามาดูยามนี้ด้วยครับ

    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td class="contentheading" width="100%">บรรยากาศใส่บาตรยามเช้าบ้านนอกง่ะ </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%">
    </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%">
    </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%">
    </td> </tr> </tbody></table> <table class="contentpaneopen"><tbody><tr> <td valign="top">
    </td> </tr> <tr> <td class="createdate" valign="top">
    </td> </tr> <tr> <td valign="top"> [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร (อ่านแล้วก็ขำดี ก๊อปมาจากเมลล์ครับ)

    [​IMG]

    1. นิมนต์พระ
    หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
    การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
    ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
    รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน
    การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
    ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ
    นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)
    มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
    การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
    โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -"[​IMG]
    การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
    ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
    มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
    อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
    self จนอยากสึกออกไปทำ baby face
    โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า
    กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์
    หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

    2. จบ
    อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ
    การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
    การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
    เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
    นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

    3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
    จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน
    เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
    มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น
    บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
    บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
    เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า
    พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
    โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
    โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
    พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
    โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
    โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
    อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
    อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)
    พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

    4. ใส่บาตร
    อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
    สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
    บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
    พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
    พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
    ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
    นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
    เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
    ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป
    เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
    กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า
    แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
    คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
    การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
    โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับ
    ชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)
    ขั้นตอนต่อไปคือ

    5. รับพร
    หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
    เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
    เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
    (ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
    ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม
    ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

    การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้
    ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ
    ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะครับ พี่น้อง


    http://www.prakard.com/Default.aspx?g=posts&t=174181
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_1234-0.jpg
      DSC_1234-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.2 KB
      เปิดดู:
      102
  16. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ขำดีแต่เป็นเรื่องที่อ่านแล้วจริงครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บทความจากพระอภิญญาจารย์หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่ดู่ กล่าวถึงหลวงปู่บรมครูพระธรรมฑูตเทพโลกอุดร

    <div class="postbody">หลายคนคงได้อ่านเรื่องราวของท่านมามากมาย ลองมาฟังพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี พูดถึงเรื่องของท่านบ้างนะครับ

    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- luang%20por.jpg [ 29.49 KiB | เปิดดู 637 ครั้ง ] -->



    "ฉันฟังมาตั้งนาน โลกอุดร โลก อุดรใครหนอ มีวันหนึ่งก็เลยนั่งอยู่ ใครกันหนอ...? อ้อ...พอเจอหน้าก็ร้องอ้อเลย แต่ว่าท่านพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีต้องมาจากพุทธภูมิก่อน พอใกล้จะเต็มก็ลา ลาจากพุทธภูมิเป็นสาวก ก็เลยต้องทำงานพุทธภูมิ ถ้าสาวกจริง เขาไม่เอาด้วยหรอก เขาทำงานเฉพาะเรื่องของเขา ที่เห็นว่ามีเยอะๆ ทำได้ก็เงียบฉี่ คืองานของเขาไม่มี พวกนี้ถ้าถึงจุดเขาเว้นงาน คือต้องทำงานตามหน้าที่

    มันมีเรื่องหนึงที่เราพูดกันแล้วเหมือนคนบ้า...

    ไอ้ ก่อนที่จะลงมานี่มันมีสัญญาใจ ว่าจะมาทำงานอะไร เวลาลงมาเกิดใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก จิตไม่ถึงที่สุด ถ้าจิตถึงที่สุดกระเทาะเปลือกสัญญา อีตอนนี้แหละงานอื่นที่เคยทำมาแล้วก็โยนทิ้งหมด เอาเฉพาะงานของตน

    ไปๆ มาๆ ก็ไปเจอะท่าน ไปเจอะกับท่าน ฉันอยากนึกจะเจอก็ชนปั้งเลย เมื่อชนปั๊บ ถามว่า

    "เป็นพุทธภูมิมาก่อนใช่ไหม"

    คือ ว่าพวกนี้ถ้าไม่สงสัยแกก็ไม่รู้เรื่องฉัน ถ้าสงสัยก็ชนกันเมื่อนั้นแหละ ต่างคนต่างขี้เกียจด้วยกัน มันไม่เก่งแล้ว มันต้องเก่งมาตอนต้นๆ ตอนต้นก็อยากเก่ง ไอ้นักมวยตอนที่หัดใหม่ๆ ไปไหนกำหมัดยิกๆๆ ฉันเป็นนักมวย เอาเข้าเป็นแชมป์แล้ว เขาก็เลิก พระก็เหมือนกัน แก่แล้วก็เลิก แก่ก็มีเรื่องเด็ก ขี้เกียจ จะรู้อะไรไปทางไหนก็ตายแหงๆๆ อย่างพวกนี้ ตายแล้วจะไปไหน หาทางให้มันให้ไปแล้วไม่มาใช่ไหม อะไรบ้างที่เราจะเปลื้องความทุกข์ไอ้การเวียนว่ายตายเกิด ก็ภาวะจิตมุ่งตรงสู่นิพพาน คือไอ้การอยากรู้ อยากเห็นก็เลิกกัน แต่ว่าเหตุใหญ่มันชนกันเข้าก็ต้องรู้ สงสัยเขาก็พูดกันเรื่อยเลย โลกอุดรๆๆ คือใคร

    ก็มีคนหนึ่งบังเอิญเข้าไปพบ และก็ขอถ่ายภาพ ภาพแรกเป็นพระ กล้องเดียวกันถ่ายทีเดียว ขอถ่ายอีกทีกันเสีย มีภาพนุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุงมีดเหน็บข้างหลัง ถาม*********ถ่ายอะไร ฟิลม์เดียวกันครับ ขอถ่ายครั้งที่ ๒ แกร็ก...กันเสีย ก็ไม่เสีย ได้อีกภาพหนึ่ง ถ้าได้ซ้ำก็เสียฟิลม์เปล่าใช่ไหม พวกตกใจใหญ่ เป็นไปได้รึ เขาเป็นจะถามทำเกลืออะไร ก็เพราะมันเอง มันเห็นเอง ถามเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้แล้ว ไม่น่าจะมาถามเลย

    โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็ อุตตระ พระ ที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ อุตตระกับโสณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท ๔ สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง"

    อย่า ลืมนะผู้ที่คล่องอิทธิบาท ๔ คือ พระอรหันต์ พระอนาคามีนี่ถือว่ายังไม่คล่อง เพราะอะไร ยังตัดสังโยชน์อีก ๕ ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต็ก็ถือว่าคล่อง ไอ้คล่องไม่ใช่ว่าเฉยๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อั๊วะก็ว่าได้นี่ นี่ไม่ได้นะ"

    <!--แนบไฟล์:
    -->
    [​IMG]
    <!-- post-1-1253370087.jpg [ 53.22 KiB | เปิดดู 637 ครั้ง ] -->



    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๖ หน้า ๔๗-๔๘



    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งที่คณะศิษย์นั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ ก็ คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปแต่ก็ล้วนเป็นธรรมะทั้งนั้น จนมาถึงเรื่องหนึ่งที่ทุกคนมีความสงสัย แต่ยังไม่มีใครกล้าถาม ก็มีศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่หลวงปู่เอ็นดูรักใคร่เป็นพิเศษ ถือโอกาสนั้นกราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ หลวงปู่โลกอุดรมีจริงไหมครับ ?"

    ถามแล้วก็กลั้นใจรอคำตอบกันทุกคน

    หลวงปู่นิ่งไปพักหนึ่งก็ถามกลับมาว่า "แกเคยเรียนหนังสือกัน ในหนังสือสอนไหมว่าใครที่นำเอาศาสนาพุทธมาเผยแผ่ในสุวรรณภูมิ ?"

    ทุกคนก็พนมมือแย่งกันตอบ "พระโสณะเถระกับพระอุตตระเถระครับ(ค่ะ)"

    หลวงปู่ก็ยิ้มแล้วว่า "ใช่ พระโสณะนั้นท่านนิพพานไปแล้ว แต่พระอุตตระเถระท่านยังอยู่ ท่านอธิษฐานคอยดูแลพระพุทธศาสนาไปจนครบห้าพันปี"

    ดังนั้น เราจึงมานั่งตรองกันตามหลักบาลีไวยากรณ์ "อุตตระ" แปลว่า เหนือ เมื่อแปลงมาอีกคำเป็น "อุดร" ก็แปลว่า เหนือ เช่นกัน เพราะฉะนั้น หลวงปู่โลกอุดร แปลแล้วได้ความว่า หลวงปู่เหนือโลก ซึ่งคิดว่าพระอุตตระเถระท่าน คงนิยามชื่อท่านขึ้นใหม่เพื่อป้องกันการสืบสาวถึงเรื่องราวของท่านได้ (สำหรับคนที่ไม่มีฌาน-ญาณ) อันจะเป็นเหตุให้มีแต่เรื่องวุ่นวาย

    ส่วนรูปด้านบน ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร เมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งมีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปพุทธประวัติและ ประวัติตอนพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่แคว้นสุวรรณภูมิ .....
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <div class="postbody">เพชรเม็ดงามเมืองน้ำเค็ม
    พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) วัดกำแพง อ.เมือง จ.ชลบุรี
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    ถ้า เอ่ยถึงของดีเมืองชลบุรี ใคร ๆ ก็คงคิดถึงหาดบางแสน หาดพัทยา ความงามของธรรมชาติ และข้าวหลามหนองมนอันลือชื่อ แต่ถ้าเอ่ยถึงพระดีพระขลังก็คงหนีไม่พ้น หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผู้สร้างสรรพระปิดตาราคาเรือนแสนเป็นแน่แท้ ไม่อย่างนั้นก็คงคิดถึง หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร แห่งวัดสัต******บ หรือ หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม หรือ หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก และอีกหลายต่อหลายองค์ตามแต่จะสดับความกึกก้องของชื่อเสียงและค่านิยมของ วัตถุมงคลในแต่ละองค์ ๆ ไป

    มีสักกี่คน ที่ข้อวัตรอันเคร่งครัดและจริยาวัตรอันอ่อนนุ่มละมุนละไม จะสามารถแทรกซึมลงในหัวใจพอที่จะเกิดศรัทธาปสาทะได้โดยไม่ต้องเอ่ยถึงอุโฆษ แห่งวัตถุมงคล ถ้าเป็นดังนั้นได้ ใครคนนั้นก็คงจะมีตานอกและตาในที่เปิดกว้างสว่างพอจะแยกแยะพระปฏิบัติดี กับพระปฏิบัติแย่ ถึงแย่มาก ได้แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

    หลวงปู่เหมือน อินทโชโต ก็เป็นพระดังว่า ผมไม่สามารถยกยอตัวเองได้ว่ามีตาดีหรือตาร้าย เพราะสองตาคู่นี้ไม่ทันได้ดูองค์ท่านเหมือนกันกับใครหลาย ๆ คน แต่การสดับคุณงามความดีที่ไม่มีวันจางหายไปจากใจคนเมืองชลนั้น ผมรับได้ดีเท่า ๆ กับทุกคน
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> <!--คำอธิบาย: พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต)
    --> พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต)
    [​IMG]
    <!-- 02.jpg [ 33.19 KiB | เปิดดู 629 ครั้ง ] -->


    ความเป็น หลวงปู่เหมือน ไม่อาจทำให้ท่านโด่งดังได้เฉกเช่น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ อาจเป็นด้วยจริยาวัตรที่อ่อนโยนไม่มุทะลุดุดันดังเช่นบางอาจารย์หรือไม่ก็เป็นเพราะ บารมี ของท่านที่สั่งสมมา แบบเงียบ ๆ อย่างนั้นเอง

    แต่ความ ‘ดังเงียบ’ ของท่านก็ดังไกลไปถึงดอยแม่ปั๋ง เมื่อมีคนเมืองชลกลุ่มหนึ่งนำทีมโดยบิดาของเพื่อนผม จัดรถทัวร์หอบลูกน้ำเค็มไปกราบพระภูเขาถึงถิ่น เมื่อพระเลือดอีสานนามลือชาถูกพระอุปัฏฐากเข็นรถออกมา ชาวชลบุรีก็กรูเข้าไปกราบ ครั้นหลวงปู่แหวนทักทายไปสักหน่อย ท่านก็เอื้อนเอ่ยว่า

    “มาจากไหน”

    ชาวชลบุรีก็ตอบอย่างภาคภูมิใจกับการเดินทางมาราธอนว่า

    “มาจากชลบุรี”

    คำถามต่อมาคือ

    “พระดีเมืองชลก็มี ทำไมมาถึงนี่ ท่านวัดกำแพงน่ะ”

    เอ ! ใครคือ ท่านวัดกำแพง คนอะไรชื่อแปล๊ก แปลก พอสติแล่นก็ อ๋อ ! หลวงปู่เหมือน นั่นเอง

    ครั้นกลับจากวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ วัดกำแพงก็คลาคล่ำไปด้วยนักแสวงบุญลูกน้ำเค็มผู้มองไกล จนลืมใกล้

    อะไร ? ที่ทำให้หลวงปู่แหวนเอ่ยปากถึง ‘ท่านวัดกำแพง’ ก็ในเมื่อหลวงปู่แหวนไม่เคยมาชลบุรี และ ‘ท่านวัดกำแพง’ ก็ไม่เคยไปเชียงใหม่ ท่านรู้จักกันได้อย่างไร ? ค้นความจริงยากเหลือเกิน ขอโยนเรื่องไปที่ ‘ญาณ’ อันสูงสุดจะคาดเดาของท่านทั้งสองก็แล้วกัน

    เมื่อ หลวงปู่เหมือน ได้รับการการันตีจากหลวงปู่แหวนเช่นนี้ ‘เสื่อแห่งความศรัทธา’ น่าจะถูกปูลงในใจคุณพอที่จะลงนั่งฟังเรื่องของท่านได้บ้างละกระมัง

    หลวง ปู่เหมือน ท่านถือกำเนิดในสกุล ถาวรวัฒนะ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 บิดาชื่อนายตึ๋ง มารดาชื่อ นางปุ่น ณ บ้าน ต.มะขามหย่ง อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่านอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2456 โดยมีพระอธิการจั่น วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรรม (ถมยา) วัดกลาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการหมอน วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูอุดมวิชชากร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2495 และเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นเอก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2522

    หลวงปู่ เหมือน เป็นพระที่เรียบง่าย มีวัตรปฏิบัติที่นุ่มนวลเย็นตาเย็นใจแก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก ความเป็นผู้พูดน้อยนี่เอง ทำให้ท่านไม่เคยเอ่ยปากใช้ใครเลย มีกิจอันใดที่องค์ท่านสามารถทำเองได้ ท่านจะทำเองทั้งหมด

    แม้กระทั่ง ผ่าฟืน !!

    ถ้า ไม่มีใครไปขอช่วยท่านทำ ท่านก็จะผ่าอยู่นั้นแหละ และถ้าเข้าไปบอกว่า “ผมช่วยไหมหลวงปู่” ท่านจะตอบทันทีว่า “ไม่ต้อง” แล้วท่านก็ทำต่อไป แต่ถ้าเข้าไปขอมีด ท่านก็จะปล่อยให้ทำแล้วท่านก็ไปทำอย่างอื่นต่อไป

    โดย นิสัยของหลวงปู่ ถ้าถูกนิมนต์ไปในกิจอันใดก็ตาม แล้วมีผู้คนมาขอวัตถุมงคลท่านก็จะไม่ให้ เพราะท่านถือระเบียบอยู่อย่างหนึ่งว่า จะไม่แจกวัตถุมงคลต่อหน้าพระสงฆ์และประชาชน ใครอยากได้จริงให้ไปรับที่กุฏิ แม้ไปกราบท่านถึงกุฏิ ถ้าไม่เอ่ยปากขอก็เป็นอันไม่ได้อีกเหมือนกัน

    ทุกครั้งก่อนท่านจะมอบพระให้ใครก็ตาม ท่านมักจะกล่าวว่า

    “การทำความดี พระย่อมคุ้มครอง”

    แล้วจึงประสิทธิ์ประสาทให้ และจะให้เพียงคนละหนึ่งองค์เท่านั้น

    เกี่ยว กับเรื่องนี้ผมเห็นว่าท่านคงไม่ใคร่จะสนับสนุนในด้านวัตถุมงคลนัก ท่านคงอยากให้ทุกคนที่ศรัทธาท่านปฏิบัติธรรมมากกว่า แต่ท่านก็ไม่อาจต้านกระแสโลกที่ยังต้องการพึ่งพาวัตถุภายนอกได้ เหรียญรุ่นแรกจึงถือกำเนิดขึ้นในวันทำบุญอายุของท่านเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 จากนั้นก็ได้ทยอยตามกันออกมาอีกมากรุ่นมากแบบทั้ง ผง ดิน โลหะ ต่าง ๆ ซึ่งผมคงไม่สามารถนำมาเสนอได้หมด จึงมีรูปมาให้ชมเพียงบางส่วน ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้ผู้ที่มีอยู่แล้วแต่มองข้ามไป ได้หวนกลับมามองใหม่ หรือเป็นแว่นส่องทางให้กับผู้ที่คิดจะมองหา

    หากหลวงปู่ไม่ดีจริง วัตถุมงคลต่าง ๆ คงไม่เรียงรายกันออกมาจากวัดนับสิบ ๆ รุ่นหรอกครับ และทุกรุ่นก็หาค่อนข้างลำบากในสนามพระเครื่องต่าง ๆ คล้ายกับพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่มีผู้ใจร้ายชอบพูดกันว่า ‘ไม่มีใครเล่น’ แต่ก็หาแทบไม่มีตามสนาม ครั้นบอกให้คนพูดไปหา

    เขาก็ยังหาไม่ได้เลย

    มี เหรียญของหลวงปู่เหมือนอยู่รุ่นหนึ่ง เข้าใจว่าจะสร้างโดยภัตตาคารไต้ฮี้ ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ท่านที่สร้างเหรียญอย่างมือสะอาด เหรียญที่ว่านี้มีลักษณะคล้าย ๆ กับเต่า จึงเป็นที่เรียกขานในวงการว่า ‘เหรียญเต่า’ ผู้สร้างก็สร้างไว้สำหรับแจกกันเองในหมู่ญาติมิตรเพื่อนพ้อง จึงไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก เหรียญเต่านี้มีดีตรงประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างนี้ครับ

    เมื่อคณะผู้ สร้างได้นำเหรียญไปถวายหลวงปู่ปลุกเสกจนครบตามกำหนดที่ท่านวางไว้ ก็ไปรับกลับมาพร้อมแบ่งถวายท่านไว้แจกเองจำนวนหนึ่ง พอได้เหรียญก็เลี่ยมแขวนกันทั้งผู้ใหญ่ และลูกเล็กเด็กแดง
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> <!--คำอธิบาย: ‘เหรียญเต่า’ พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) เนื้อทองแดง (ด้านหน้า/หลัง)
    --> ‘เหรียญเต่า’ พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) เนื้อทองแดง (ด้านหน้า/หลัง)
    [​IMG]
    <!-- .เหมือน_03.JPG [ 32.26 KiB | เปิดดู 625 ครั้ง ] -->


    วัน หนึ่ง คณะผู้สร้างได้เดินทางไปธุระที่ อ.ศรีราชาแต่วัน พาหนะในการเดินทางก็คือรถปิกอัพเปิดหลังตามแบบชาวชนบทที่นิยมกัน ครั้นเสร็จธุระก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว บังเอิญว่าเด็กชายคนหนึ่งในคณะอายุราว 10 ขวบ ได้รบเร้าขอนั่งที่กระบะข้างหลัง จะมีผู้ใหญ่นั่งไปด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผู้เล่าก็มิได้บอก

    ขากลับ ก็ขับรถกลับมาด้วยอัตราความเร็วพอสมควร ด้วยเร่งจะให้ถึงบ้านในตัวเมืองชลบุรีก่อนดึก ทุกท่านก็คงจะทายอยู่ในใจว่า อ๋อ ! รถคงจะชนกันแหลกแล้วคนรอดตายกันราวปาฏิหาริย์ใช่ไหมล่ะ

    มิได้ครับ พวกเขาขับรถกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ !!

    อ้าว ! ถึงตรงนี้คงจะงงว่าแล้วมันจะมาเล่าหาอะไร (วะ) ใจเย็น ๆ ครับ มันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะถึงบ้านโดยสวัสดิภาพนี่แหละครับ ถึงได้รู้ว่า ‘เด็กผู้ชายตัวน้อย’ ได้อันตรธานไปจากกระบะหลังเสียแล้ว

    จะหล่นจากรถ ไปตอนไหนก็ไม่มีใครทันสังเกต หรือจะปลิวไปกับลมแรงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ผลก็คือต้องรีบตะลีตะลานขับรถย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมด้วยใจที่โหวงเหวงบอก ไม่ถูก โธ่ ! ถ้าเป็นลูกเราหายไปทั้งคน หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร แล้วนี่ไม่ใช่หายอยู่กับบ้าน ดันหายไปบนรถ

    ก้อ...ถ้าตกลงบนถนน แล้วรถวิ่งตามหลังมาพอดี โอย ! ไม่อยากจะคิดทีเดียว

    รถ ปิกอัพคันต้นเหตุวิ่งพลางดูพลางไปตลอดทาง ใจก็ภาวนาขอให้ลูกน้อยปลอดภัยจากอุปัทวเหตุทั้งปวงด้วย ชะรอยคำภาวนาจะเป็นผล เมื่อรถวิ่งมาถึงบางพระก็แลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินกระเซอะกระเซิงร้องไห้ อยู่ริมถนนอีกฝั่งหนึ่ง ดีใจเหมือนได้แก้ว รีบกลับรถเข้าไปเทียบ ลงไปปลอบประโลมพลางสำรวจตรวจตามร่างกายก็ไม่พบร่องรอยของการบาดเจ็บแต่อย่าง ใด

    พอเด็กเริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้าง คำแรกที่แกพูดออกมาก็คือ

    “พระอุ้ม...พระอุ้ม...”

    จะถามอะไร ๆ คำตอบระคนเสียงสะอื้นก็คือ “พระอุ้ม” เท่านั้น

    ในคอของเด็กน้อยคนนี้ มีเพียงเหรียญรูปเหมือนของท่านพระครูอุดมวิชชากร หรือ หลวงปู่เหมือน แห่งวัดกำแพงอยู่เพียงเหรียญเดียว

    คงไม่ต้องบอกกระมังว่า ‘ใครอุ้ม’

    ยิ่ง เรื่องหนึ่งที่ฟังจากปากของคนผู้ถูกมัจจุราชเมินคือ คุณพิชิต สิวะวัฒน์ หรือเปิ้ล เพื่อนคนหนึ่งของผม เขาเล่าว่าบ้านของเขานั้นเป็นร้านขายรถยนต์มือสองอยู่ ต.นาป่า ข้ามสี่แยกบายพาส ‘สี่แยกมหาภัย’ ไปหน่อยเดียว สมัยที่เขายังไม่ได้ขับรถยนต์นั้น ก็มีเพียงมอเตอร์ไซค์คู่ชีพที่ควบข้ามสี่แยกแข่งกับบรรดาสิบล้ออยู่เป็น ประจำ

    วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าพลาดอีท่าไหน สิบล้อคันใหญ่ก็เสยเปรี้ยงเข้าให้เต็มลำ ด้วยอัตราความเร็วที่ ‘รีบแข่งกับไฟเหลือง’ ผลก็คือ มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลายเป็นมอเตอร์ไซค์สิ้นชีพ เพราะแหลกยับไปกลายเป็น ‘ขดเหล็ก’ ก้อนหนึ่งในทันที ตัวคุณเปิ้ลเองก็ลอยละลิ่วลงฟาดกับพื้นถนนแล้วกลิ้งม้วนต้วนไปไม่รู้กี่ตลบ

    คน ขับสิบล้อพอหยุดรถได้สนิท ก็เผ่นตะโพงไปไม่เหลียวหลังมาแล โอ้ ! ปาฏิหาริย์มีจริง คุณเปิ้ลกลับลุกขึ้นแล้ววิ่งกวดตามคนขับสิบล้อไป พลางร้องตะโกนให้คนช่วยกันจับที ‘ชนคนแล้วหนี’ คนดูก็แสนดีตะครุบตัวไว้ได้ คุณเปิ้ลก็ลากคอมาที่เกิดเหตุ โทรเรียกตำรวจมาดำเนินคดี จีนมุง ไทยมุง ก็พากันเฮโลสาระพามาถามว่า

    “เพ่...เพ่...มีอะไรดีหรือ โดนขนาดนี้ถึงยังไม่ตาย”

    คุณ เปิ้ลก็ควักสร้อยออกมาให้ชมเป็นขวัญตา เป็นเหรียญนั่งเต็มองค์รูปหลวงปู่เหมือน สร้างโดยสมาคมศิษย์เก่า ร.ร.ชลราษฎร์บำรุง (ร.ร.ชลชาย) แกะพิมพ์โดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ พระนั้นอยู่ในกรอบทองสวยสนิท สร้อยทองเส้นเบ้อเริ่มไม่มีอะไรชำรุดแม้แต่น้อย<!--แนบไฟล์:
    --> <!--คำอธิบาย: ภาพซ้ายมือ : เหรียญรุ่น 7 รอบ พิมพ์ครึ่งองค์
    ภาพขวามือ : เหรียญรุ่นสมาคมศิษย์เก่า ร.ร.ชลราษฎร์บำรุงสร้าง
    --> ภาพซ้ายมือ : เหรียญรุ่น 7 รอบ พิมพ์ครึ่งองค์
    ภาพขวามือ : เหรียญรุ่นสมาคมศิษย์เก่า ร.ร.ชลราษฎร์บำรุงสร้าง
    [​IMG]
    <!-- .เหมือน_01.JPG [ 37.79 KiB | เปิดดู 622 ครั้ง ] -->


    คุณเปิ้ลบอกกับผมว่า “แต่นั้นมา หลวงปู่เหมือนก็นั่งอยู่ในใจผมตลอด ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอีกเลย” ว่าแล้วก็ควักสร้อยเส้นโตอวดพระองค์เก่งให้ดู ผมเลยต้องแจ้นไปหามาจนได้ด้วยประการฉะนี้แล

    ความ ขลังของวัตถุมงคลท่านย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อาราธนาติดตัวอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็น ทนมีด อยู่ปืน กันภัย กันเขี้ยวงา สารพัดตามแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่า ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์คงไม่พ้น ‘เมตตา’ ที่แน่นอนว่า ‘แรงนัก’ ในเครื่องมงคลของหลวงปู่
    <!--แนบไฟล์:
    --> <!--คำอธิบาย: ภาพบน : พระผงรูปเหมือนโรยเกศา ปี 2522
    ภาพล่าง : พระผงห้าเหลี่ยมโรยเกศา พิเศษลงรักปิดทอง
    --> ภาพบน : พระผงรูปเหมือนโรยเกศา ปี 2522
    ภาพล่าง : พระผงห้าเหลี่ยมโรยเกศา พิเศษลงรักปิดทอง
    [​IMG]
    <!-- .เหมือน_02.JPG [ 36.83 KiB | เปิดดู 621 ครั้ง ] -->


    ครั้งหนึ่ง ก่อนท่านจะละสังขาร ท่านได้เอ่ยปากคล้ายจะฝากฝังลูกศิษย์ลูกหาของท่านไว้กับองค์อื่นอยู่ในทีว่า

    “ต่อไป ท่านวัดเนินตามาก จะมีชื่อเสียง”

    จาก คำพูดนี้ทำให้ศิษย์วัดกำแพงต้องออกไปด้อม ๆ มอง ๆ วัดเนินตามากอยู่หลายคน และเมื่อสิ้นหลวงปู่เหมือน หลายคนก็ยกหลวงปู่ม่น มาเป็นที่พึ่งต่อทันที ซึ่งก็นับว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ

    หลวงปู่เหมือน อินทโชโต มหาเถระพระสุปฏิปันโน ผู้รัตตัญญูภาพ ได้ดำรงขันธ์มาจนถึงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ท่านก็มีอาพาธเป็นอันมาก จากนั้นท่านก็ปรารภขึ้นท่ามกลางศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติว่า

    “อีกสองวันตายแน่”

    ครั้น ล่วงมาถึงเช้า วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ท่านก็ถึงแก่มรณภาพโดยอาการอันสงบไปจริง ๆ ตามคำของท่าน เมื่อเวลา 07.19 น. ณ กุฏิเก่าของท่าน ในวัดกำแพง สิริอายุได้ 91 ปี 6 เดือน 10 วัน

    ตาม ธรรมดาบุคคลเมื่อสิ้นไปแล้วย่อมไม่อาจกำหนดสิ่งใดได้อีก แต่ท่านผู้อยู่เหนือโลกธรรมอย่างเช่นหลวงปู่เหมือนแล้ว ทำให้คนเมืองชลมีลาภกันถ้วนหน้า ด้วยปี 27 ที่ท่านมรณภาพนับว่าเป็นข่าวใหญ่ทีเดียวในปีนั้น เพราะแทบจะไม่มีใครเลยที่ไม่ถูกหวย

    วันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ ณ เมรุชั่วคราว ในวัดกำแพง ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันอาจจะเป็นเครื่องยืนยันในคุณธรรมของท่านว่า...

    ‘ไม่ธรรมดา’

    เมื่อ ไฟพระราชทานมาถึงก็บังเกิดเหตุที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้น ด้วยมีลมพายุอันแรงกล้าพัดกระหน่ำลงในบริเวณวัดอย่างรุนแรง... แรง...ขนาดที่ว่าต้นไม้ใหญ่หน้ายุวพุทธิกสมาคม ชลบุรี ถึงกับถอนรากล้มตึงลงทีเดียว ผู้คนตระหนกตกใจกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าอันไม่ทันตั้งตัวนี่ยิ่งนัก

    เมื่อ ลมร้ายฟาดงวงฟาดงาจนเต็มที่แล้วก็พลันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จนไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อกี้นี้มีมหาวาตภัยเกิดขึ้นในวัด ความเสียหายปรากฏอยู่ทั่วบริเวณ แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เครื่องประดับประกอบเมรุไม่มีอะไรเสียหายเลย กระทั่งพวงหรีดหรือดอกไม้บูชาต่าง ๆ ในแจกันก็ไม่ล้มลงเลยแม้แต่อันเดียว

    ผมเคยถามพระภาวนาจารย์ผู้เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านหนึ่งว่า

    “เมื่อเทพมาชุมนุมกันมาก ๆ จะเป็นเหตุให้เกิดลมอย่างนั้นหรือ”

    ท่านตอบทันทีว่า “ใช่”

    ก็ ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงในพรหมจรรย์ ย่อมเป็นเหตุให้เทพพรหมพึงใจแลเคารพรักยิ่ง เมื่อวันต้องพรากสังขารท่านไปด้วยไฟ ท่านผู้ลี้ลับซึ่งอยู่ต่างภพภูมิจึงแสดงอาการอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุด ท้ายกระมัง

    หรือท่านว่าอย่างไร ?


    บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 กรกฎาคม 2539

    และก็นับว่าเป็นความบังเอิญอย่างมากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไปเดินเกาะตามตู้่พระในเมืองระยอง ถามถึงหลวงปู่เหมือน เจ้าของร้านหยิบมาให้ดู 3 เหรียญ ในราคาเด็กประถม พอถามถึงหลวงปู่ม่น เจ้าของหยิบมาให้ดูอีก 5 เหรียญพอแตะถึงมือ อู้ว...แรงจังฮู้ เอาหมดเลยดีกว่า เอาไว้วันกิจกรรมประจำเดือน พ.ย. นี้ สำหรับผู้ที่มาร่วมบุญผมจะเอามาให้บูชากันครับ พระเก่งพระดีราคาถูกใครไม่เอาผมก็เก็บไว้เอง อย่างน้อยไว้ฝึกจิตให้ได้กุศลกับตนเองก็ยังดีครับ

    เหรียญหลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ชลบุรี รุ่นกองทัพไทย

    [​IMG]

    รุ่นที่ได้มาเป็นรุ่นนี้ แต่ไม่สวยเท่านี้.

    [​IMG]

    ที่ได้มาสวยเท่านี้ครับ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  19. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ร่วมทำบุญไป 300 บาท เวลาประมาณ 15.20 น.ค่ะ โอนผ่าน ATM SIM ค่ะ ลองเช็คดูนะคะ
    สิริกานต์ ทองขุนดำ
    ร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  20. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ในเวลา 15.45 ของวันที่ 9/11/2009
    ผมได้โอนปัจจัยจากการที่ได้รวบรวมจากหมู่เพื่อนทั้งหมดเป็นเงิน 1700 บาท
    เพื่อทำบุญกับทุนนิธิฯสงฆ์อาพาธรวมถึงส่วนอื่นๆที่ทางผู้นำบุญเห็นสมควร
    ด้วยผลบุญที่พึงมีพึงได้ แม้ไม่ได้ร้องขอ.....
    ขอผองเพื่อนพี่น้องทั้งหมด ที่ได้ร่วมทำบุญกันมา จงรุ่งเรืองเจริญในทุกๆด้าน
    ประสบผลสำเร็จในทุกๆเรื่อง ขอสิ่งศักดิ์สิทธ์จงคุ้มครองท่านทั้งหลาย ปราศจาคโพยภัย พยันอันตรายอย่าได้มี
    และขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ โรคภัยอย่าได้กล้ำกลาย...สาธุ...
    ทราบมาว่าน้องเบิร์ดผู้เป็นกำลังอย่างมั่นคงในการทำบุญกับสงฆ์อาพาธ ไม่สบายอยู่ ณ.ตอนนี้ ก็ขอให้หายป่วยโดยใวนะครับ .....
    ขออานิสงค์ผลบุญที่น้องได้ทำมา จงเป็นพลัง กำลัง ทำให้น้องหายป่วยและมีสุขภาพแข็งแรงนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...