ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    ขออนุโมทนาและสาธุบุญด้วยครับคุณโสภณ ขอให้คุณและครอบครัว มีความสุขมากๆ เพราะคนทำบุญด้วยใจที่ยึดมั่นในบุญที่ตนเองกระทำว่าดีแล้ว ยิ่งแล้ว อยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ก็มีแต่ความสุขใจครับ

    พันวฤทธิ์
    1/11/52

    [​IMG]









     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2009
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ โสระ [​IMG]
    [​IMG]


    วัน เพ็ญเดือนสิบสองหรือวันลอยกระทง มิใช่เป็นวันสำคัญที่เราได้ขมาแม่คงคาสืบสานประเพณีอันดีงามเท่านั้น แต่เป็นวันที่ลูกหลานผู้นับถือในองค์หลวงพ่อโสธร จะได้มีโอกาสขอบารมีในองค์ใหญ่ที่จะลงมารับการสักการะบูชา อธิษฐานของเราท่าน ได้ตั้งแต่เช้าจนตลอดวัน ท่านใดมีเรื่องขอบารมีเชิญได้ที่วัดโสธรตลอดวัน แต่ควรไปให้เช้านะครับเพราะมหาชนจะมากมายครับ
    </td> </tr> </tbody></table>

    หลัง จากขอพรหลวงพ่อแล้ว สวดมนต์ไหว้พระ กำหนดเอาพระจันทร์ในคืนเพ็ญเป็น อาโลกสิณ ภาพเย็นๆ สบายๆ จะติดตาตรึงใจมาก โบราณว่าไว้ แม้จะอาบน้ำในตุ่ม หรือน้ำในฝักบัว ก็สามารถอธิษฐานฤทธิ์จากดวงจันทร์มาปัดเป่าสิ่งอัปมงคลทั้งหลายได้ "เรียกว่าอาบน้ำเพ็ญ" ในเวลาสองยามตรง นึกถึงตอนเป็นเด็กๆ กระโดดเล่นนำในแม่น้ำ แล้วอธิษฐานขอให้เรียนชนะเพื่อนก็สมหวังครับ วันนี้อยู่ต่างจังหวัดคนเดียวเหงาดีเหมือนกัน เพราะทุกทีต้องพาครอบครัวไปลอยกระทง ฝากลอยเผื่อด้วยเน้อ..

    [​IMG]


    ขอนำข้อความเดิมมาโพสท์อีกครั้ง อย่าลืมขอพรจากท่านกันครับ พรที่ขอในปีที่แล้ว ในปีนี้ผมได้มาแล้วครับ...แต่ได้มาก็ต้องใช้คืนแบบสบายๆ ไร้กังวล

    (หลายคนบอกว่าองค์ไหน ก็ต้องบอกว่า ท่านองค์ที่ห่มผ้าอังสะนั่นล่ะ "หลวงพ่อโสธร" ส่วนองค์หลังท่านเป็นพระประธานประจำวัดครับ)
     
  3. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือน พย. 2552 ครับ
    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cxp%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:SimSun; panose-1:2 1 6 0 3 1 1 1 1 1; mso-font-alt:宋体; mso-font-charset:134; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:3 135135232 16 0 262145 0;} @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} @font-face {font-family:"\@SimSun"; panose-1:2 1 6 0 3 1 1 1 1 1; mso-font-charset:134; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:3 135135232 16 0 262145 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:SimSun; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman";} </style> <![endif]--> ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 2 พย. 2552 เวลา 11:11 น. จำนวน 400 บาท ครับ
    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  4. ลูกปลาใหญ่

    ลูกปลาใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +577
    วันนี้ 02/11/52 เวลาประมาณ 15.42 น. ได้โอนเงินจำนวน 500 บาทเข้าบัญชีทุนนิธิฯ เพื่อร่วมทำบุญประจำเดือนพฤศจิกายนครับ
     
  5. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,698
    เนื่องจากเข้ามาสู่เดือนเกิดประจำปีนี้

    ผมได้โอนเงินจำนวน 500 บาทเข้าบัญชีทุนนิธิฯ

    ขออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้พ่อแม่ ครูบาอารย์ เทพเทวาและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2009
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    [​IMG]

    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

    • บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก
      ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียน โรงเรียนเดียวกับผม
      ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัย ยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง
      มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ
      พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูก ทอดทิ้งรวม 13 ชีวิต
      ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร
      สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฏีกา เรี่ยไรใคร

      พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาท ใส่ซองถวาย ท่านเป็นค่าใช้จ่าย
      ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น
      เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่งให้ คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ
      หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบางทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด
      มีผ้าห่มผืน บางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย
      แม่เฒ่าพยายาม ยกขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง
      กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตา เปล่งวาจาถามไถ่อาการและให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์
      หยาดน้ำตาแห่งความ ปิติ ท่วมท้นดวงตาสี ขาวขุ่นแล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เ่ยวย่นบนใบหน้าเวทนา
      บังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่
      เรื่องราวทั้งหลายในอดีต ยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน.......

      แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด
      สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวัน
      โดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น
      สามารถสร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะแต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพัก
      หวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก
      ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ
      เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบสามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่นมาร่ำลา
      หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด
      แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิด เป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิด
      อดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี
      ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด ลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด
      ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน
      สมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

      ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน แม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้น
      ให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดี โดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย
      สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด
      แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วย ความปรีดา
      สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า
      สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว
      แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือน ซักผ้าทำกับข้าวจัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม
      แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง
      กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน
      สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าวต้องถามราคา แล้วยกไปชั่งน้ำหนักราคา
      สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาดแต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

      แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อกินกันแค่สองผัวเมีย
      แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด
      แต่ลึกๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้มส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย
      จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก
      หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด
      แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย
      แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปใน บ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ
      แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตู นอนดูโทรทัศน์
      สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน
      จะคุยกับลูกชาย นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน
      อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่
      ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย
      เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ก็ เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ
      ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง
      ระหว่างทางลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึง
      เธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหา
      เพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ
      และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย
      แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้องทำอย่างไร
      แม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคน
      แม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็นเจ้าคนนายคน
      จึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัส ขนาดนั้น
      ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง
      กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด
      ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลงสองผัวเมียเริ่มมีงกันบ่อยครั้ง
      และแทบทุกครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล
      โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด...
      12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ ท้องฟ้ามืดครึ้มไป ด้วยพยับเมฆ
      สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง
      ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว

      แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด
      แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บใน ลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า
      สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด
      ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง
      เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง
      เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็นก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน
      ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียง กับสายลมนอกบ้าน
      ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร
      แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว
      กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่ม เหมือนถูกไฟนรกแผดเผา
      ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า
      ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้าน ด้วยความหนาวเหน็บ
      สายฝนยง*********ซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่าที่บ้านบ้าน ซึ่งประตูเหล็กถูกปิดสนิท

      แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้า
      ที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่าๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ
      บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด
      หยาดฝน*********ซัดรูป ถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น
      แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน
      ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้องจากสายฝนสุดชีวิต
      สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทองของลูกชายคนโต เหมือนเป็นการบอกลา
      แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคน เล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่
      จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ
      ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท
      บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติ ติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน
      รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ
      คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่
      จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้วตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่
      นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิง เหมือนร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม

      ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภาร และแม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด
      นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่ จนวันนี้แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด
      เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคยออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด
      แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่เงาของลูกทั้ง 3 ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..

      “แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่
      แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน
      ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ
      วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม.....”

    http://atcloud.com/stories/62262

    [​IMG]


     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="750"><tbody><tr></tr><tr> <td class="boder3" height="8" width="24">
    </td> </tr> <tr> <td class="boder4" height="254" width="8">
    </td> <td bgcolor="#ffffff" valign="top" width="698"> <table align="center" border="0" width="95%"> <tbody><tr> <td>พระกตัญญูเลี้ยงดูพ่อป่วยมา 3 ปี</td> </tr><tr> <td align="center"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td background="images/sub/fram_20.jpg"> [​IMG] </td> </tr> <tr> <td align="center" background="images/sub/fram_20.jpg">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center"> <table><tbody><tr valign="top"> </tr></tbody></table> </td> </tr> <tr> <td>
    พบ พระยอดกตัญญูเลี้ยงดูพ่อบังเกิดเกล้าป่วยสมองฝ่อนานกว่า 3 ปี ต้องรีบบิณฑบาตแต่เช้า แบ่งปันอาหารให้แม่วัยชรา คอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้บิดา ถึงได้ฉันอาหารเช้า ดีที่ "มารดา" ยังช่วยเหลือตัวเองได้ เผยไม่คิดท้อแท้ ดีใจได้ตอบแทนคุณ "บุพการี"

    เรื่องราวพระสงฆ์ยอดกตัญญูรายนี้ ถูก เปิดเผย เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเป็นพระลูกกตัญญู เลี้ยงพ่อที่เป็นโรคสมองฝ่อ อยู่ที่วัดเฉลิมมาศ หมู่ 7 ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์ บุรี จ.สิงห์บุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบภายในกุฏิของพระล่ำ สมาจโร พระลูกวัดดังกล่าว พบว่า พระล่ำกำลังวุ่นวายกับการให้อาหารทางสายยางแก่ พ่อบังเกิดเกล้า คือ นายชะลอ สุวรรณขำ อายุ 75 ปี ที่กำลังนอนป่วยด้วยโรคสมองฝ่อ รูปร่างผอมแห้ง นอนอยู่บนเตียงช่วยเหลือตนเองไม่ได้

    พระล่ำ สมาจโร เปิดเผยว่า อาตมาบวช มาแล้ว 12 พรรษา และอาตมาเป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนบุตรทั้ง 4 คน ของโยมพ่อชะลอ และโยมแม่สำออย เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โยมพ่อได้ล้มป่วยลงด้วยโรคสมองฝ่อ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขยับตัวก็ไม่ได้ต้องนอนอยู่กับที่อย่างเดียว ทำให้โยมพ่อเป็นแผลกดทับ ทำให้อาตมาต้องคอยทายาดูแลให้ทุกวัน เคยไปหาหมอ หมอบอกว่าโอกาสหายยากเนื่องจากอายุมากแล้ว ปัจจุบันอาตมาต้อง คอยดูแลโยมพ่อมาเป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้ว โดยในตอนเช้าอาตมาต้องรีบออกไปบิณฑบาตพอ กลับมา ก็จะต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งไปให้โยมแม่ สำออย อายุ 74 ปี ที่ไปผ่าตัดขามาและทำงาน ไม่ได้ แต่ยังดีที่โยมแม่ยังช่วยเหลือตัวเองได้

    พระ ล่ำ สมาจโร กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นอาตมาจะต้องรีบกลับมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับโยมพ่อ โดยในวันหนึ่ง ๆ ต้องใช้ผ้าอ้อมวันละ 3-4 ผืน เสร็จจากเปลี่ยนผ้าอ้อม ก็ต้องเตรียม ทำอาหารเหลวให้โยมพ่อทางสายยาง พร้อมเช็ดตัวทำความสะอาด จึงจะฉันอาหารเช้าได้ ส่วนช่วงดึกต้องลุกขึ้นมาดูโยมพ่อว่าปัสสาวะรดที่นอนหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมอีก อาตมาทำอยู่อย่างนี้มานานแล้ว เคยคิดน้อยใจตัวเองเหมือนกัน แต่มาคิดได้อีกทีว่าถ้าไม่มีเราใครจะคอยปรนนิบัติโยมพ่อโยมแม่ จึงตั้งใจพยายามดูแลทั้งสองท่านให้ดีที่สุดเท่าที่ลูกคนหนึ่งจะทำได้

    ที่มา : นสพ.เดลินิวส์
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <table border="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td valign="top"><!--Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 17:49:47 น.--> ธรรมกถาสำหรับญาติของผู้ป่วย (พระพรหมคุณาภรณ์; ป.อ. ปยุตฺโต)
    <!-- Main -->[SIZE=-1]ทีมา : หนังสือเรื่อง กายหายไข้ ใจหายทุกข์ โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) :สำนักพิมพ์อมรินทร์ (พิมพ์ครั้งที่ ๓) : กรุงเทพฯ : พ.ศ.๒๕๔๘

    <center>[​IMG]</center>

    <download viewstory.php?id="313</font" alternative="" www.dtam.moph.go.th="" http:="" :="" ได้ที่="">

    </download><center>คำอนุโมทนา ในโอกาสที่ลูกหลานของคุณโยมยิ้น จันทรสกุล ถวายสังฆทาน ณ ห้อง ๘๑๔ ตึก ๘๔ ปี
    โรงพยาบาลศิริราช วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๓๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.</center>

    ขออนุโมทนา ในการที่อาจารย์ได้นิมนต์อาตมาทั้งสองในนามของพระสงฆ์ มารับสังฆทาน ซึ่งอาจารย์ได้จัดถวายร่วมกับญาติพี่น้อง เป็นการทำบุญแทนคุณพ่อ ในขณะที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย โดยมีความระลึกถึงท่าน มีจิตใจที่รักและมีความผูกพันต่อท่าน หวังจะให้ท่านหายจากความเจ็บป่วยนี้ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน สิ่งที่จะเป็นเครื่องบำรุงจิตใจที่สำคัญ ก็คือการทำบุญ การที่ได้มาใกล้ชิดพระรัตนตรัย ได้อาศัยอานุภาพบุญกุศล และอาศัยพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ เป็นเครื่องอภิบาลรักษาในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งเป็นเวลาที่สำคัญนี้ เรื่องของจิตใจก็สำคัญมาก ทั้งจิตใจของผู้ป่วยและจิตใจของญาติ ตลอดจนท่านที่มีความเคารพนับถือ ซึ่งพากันห่วงใย การรักษานั้นก็ต้องรักษาทั้งสองอย่าง คือทั้งกายและใจ ส่วนที่เป็นโรคอย่างแท้จริง ก็คือด้านร่างกาย แต่ในเวลาที่ร่างกายเป็นโรคนั้น จิตใจก็มักพลอยป่วยไปด้วย คือ จิตใจอาจจะอ่อนแอลง หรือแปรปรวนไป เพราะทุกขเวทนา หรือความอ่อนแอของร่างกายนั้น จึงมีพุทธพจน์ที่ตรัสสอนไว้ ให้ตั้งจิตตั้งใจว่า ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วย แต่ใจของเราจะไม่ป่วยไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้อย่างนี้ เพื่อให้ส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรายังคงความเข้มแข็งไว้ได้ แล้วใจก็จะช่วยร่างกายด้วย

    ถ้าหากว่าใจพลอยป่วยไปด้วยกับกาย ก็จะทำให้ความป่วยหรือความเจ็บนั้น ทับทวีขึ้นซ้ำเติมตัวเอง แต่ถ้ากายป่วยเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ใจไม่ป่วยไปด้วย ใจนั้นจะกลับมาเป็นส่วนช่วยดึงไว้ ช่วยอุ้มชูค้ำประคับประคองกายไว้ ยิ่งถ้ามีกำลังใจเข้มแข็งก็กลับมาช่วยให้ร่างกายนี้แข็งแรงขึ้น เราจะเห็นว่า ในเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยนี้ คนไข้จะต้องการกำลังใจมาก ถ้าไม่สามารถจะมีกำลังใจด้วยตนเองก็ต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วย ผู้ที่จะช่วยให้กำลังใจได้มากก็คือญาติพี่น้อง คนใกล้ชิดทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ทางพระหรือทางธรรมจึงได้สอนผู้ที่ใกล้ชิดให้มาให้กำลังใจแก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย

    ข้อสำคัญก็คือว่า ผู้ที่เป็นญาติของท่านผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมีความรัก มีความห่วงใยต่อท่านผู้เจ็บไข้ เมื่อเป็นอย่างนี้ จิตใจของผู้ใกล้ชิดที่เป็นญาตินั้น บางทีก็พลอยป่วยไปด้วย พลอยไม่สบายไปด้วย เลยไม่สามารถจะไปให้กำลังใจแก่ท่านที่เจ็บป่วยอันนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ จึงจะต้องมีวิธีการที่จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง
    ให้จิตใจสบาย เมื่อจิตใจของเรา ที่เป็นญาติ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดที่หวังดีนี้เข้มแข็งสบายดี ก็จะได้เป็นเครื่องช่วยให้ท่านผู้เจ็บป่วยนั้น พลอยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วย ในยามเช่นนี้การวางจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ

    เรื่องการรักษาทางด้านร่างกายนั้นก็เป็นภาระของแพทย์ ที่จะพยายามจัดการแก้ไขไปตามวิชาการตามหลักของการรักษา แต่ทางด้านญาติของผู้ป่วย ต้องถือด้านจิตใจนี้เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากการที่จะคอยเอื้ออำนวยให้ความสะดวก และการดูแลทั่วๆ ไปแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ การรักษาทั้งจิตใจของตนเองและจิตใจของผู้ป่วยให้เป็นจิตใจที่เข้มแข็ง ในด้านจิตใจของตนเอง ก็ควรให้มีความปลอดโปร่ง สบายใจ อย่างน้อยก็มีความสบายใจว่า เมื่อท่านผู้เป็นที่รักของเราป่วยไข้ เราก็ไม่ได้ทอดทิ้งท่าน แต่เราได้เอาใจใส่ดูแลรักษาอย่างเต็มที่ เมื่อได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้ว ก็สบายใจได้ประการหนึ่งแล้วว่า เราได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนเองแล้ว ก็มีความสบายใจขึ้นมา ความเข้มแข็งที่เกิดจากความสบายใจนั้น ก็จะมาคอยช่วย คอยเสริม คอยให้กำลังใจ ไม่ว่าท่านผู้เจ็บป่วยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามคนเรานั้น เรื่องจิตใจเราทราบไม่ได้ บางทีรู้ในทางประสาทสัมผัสไม่ได้ แต่มีความซึมซาบอยู่ภายใน แม้แต่คนที่ไม่รู้ตัวแล้วในบางระดับก็ยังมีการฝันบ้าง ยังมีความรู้สึกรับรู้เล็กๆ น้อยๆ บางทีเป็นความละเอียดอ่อนในทางการรับสัมผัสต่างๆ ในทางประสาท ในทางจิตใจ จึงอาจจะได้รับรัศมีแห่งความสุขสบายใจ ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา อย่างน้อยก็ทำให้ไม่มีห่วงมีกังวล ใจก็จะเข้มแข็งขึ้น ความปลอดโปร่ง ความสบายใจ จิตใจที่ผ่องใสเบิกบานนั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม คนเรานั้นเรื่องจิตใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว การที่ลูกๆ หลานๆ ผู้ที่ใกล้ชิดมาคอยเอาใจใส่ดูแล ถึงกับได้สละการงาน อะไรต่างๆ มา ก็เพราะจิตใจที่มีความรักกัน มีความห่วงใยกันนี่แหละ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เพราะความรักและความห่วงใยกันนี่แหละ ก็อาจจะทำให้จิตใจของเรานี้ กลายเป็นจิตใจที่มีความเร่าร้อนกระวนกระวายไปได้เหมือนกัน สิ่งที่ดีนั้น บางทีก็กลับเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ อย่างที่ทางพระท่านบอกว่าความรักทำให้เกิดความทุกข์ เพราะว่าเมื่อรักแล้วมีความผูกพัน ก็ทำให้มีความกระทบกระเทือนเกิดขึ้นได้ง่าย ทีนี้ ทำอย่างไรจะให้มีความรักด้วย และก็ไม่มีทุกข์ด้วย ก็ต้องเป็นความรักที่ประคับประคองทำใจอย่างถูกต้อง เมื่อทำได้ถูกต้องแล้วก็จะได้ส่วนที่ดี เอาแต่ส่วนที่ดีไว้ ให้มีแต่ส่วนที่เป็นความดีงามและความสุข ความรักนั้นก็จะเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความผูกพัน แล้วก็ทำให้มาเอาใจใส่ดูแลกัน แล้วทีนี้ความรักที่เราประคับประคองไว้ดี ก็จะทำให้จิตใจปลอดโปร่งผ่องใส เป็นไปในแง่ที่ทำให้เกิดกำลังในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    ฉะนั้น จึงควรพิจารณาทำใจอย่างที่กล่าวเมื่อกี้ว่า เราได้ทำหน้าที่ของเราถูกต้องหรือไม่ สำรวจตัวเอง เมื่อทำหน้าที่ถูกต้องแล้วก็พึงสบายใจในขั้นที่หนึ่ง ต่อแต่นั้นก็มองในแง่ที่ว่า การที่จะไม่สบายใจหรือมีความรู้สึกทุกข์โศกอะไรนี้ ไม่สามารถช่วยท่านผู้ที่เจ็บไข้นอนป่วยอยู่ได้ สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือขวัญหรือกำลังใจที่ดีและความปลอดโปร่งเบิกบานผ่องใส แม้แต่ในส่วนของตัวเราเอง การที่จะคิดอะไรได้ปลอดโปร่งคล่องแคล่ว ก็ต้องมีจิตใจที่สบายสงบด้วย ถ้ามีความกระวนกระวายเช่นความกระสับกระส่ายทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม ก็จะทำให้คิดอะไรไม่คล่อง และก็จะทำอะไรไม่ถูกต้องด้วย ถ้าจะทำให้ได้ผลดีก็ต้องมีจิตใจที่สงบและเข้มแข็งปลอดโปร่ง มีความเบิกบานผ่องใส จึงจะทำให้เกิดเป็นผลดี

    เพราะฉะนั้น หลักการสำคัญก็คือ ให้ส่วนที่ดีนำมาซึ่งส่วนที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป คือความรักที่มีต่อคุณพ่อที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เป็นส่วนที่ดีอยู่แล้ว จึงควรให้เกิดความเบิกบานผ่องใสของจิตใจ แล้วก็เอาจิตใจที่ดีงามนี้ มาคิดไตร่ตรองพิจารณาในการที่จะคิดแก้ไขสถานการณ์ ในการที่จะจัดการดูแลเอาใจใส่ดำเนินการรักษาต่างๆ ตลอดจนทำสภาพจิตใจของตนให้เป็นจิตใจที่จะช่วยเสริมให้จิตของท่านผู้ป่วยได้มีความสบายใจ สมมติว่า ท่านผู้ป่วยได้ทราบถึงลูกหลานที่กำลังห้อมล้อมเอาใจใส่คอยห่วงใยท่านอยู่ ท่านก็จะรู้สึกว่าลูกหลานรักท่าน และท่านก็จะมีกำลังใจพร้อมกับมีความสุขขึ้นมาส่วนหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ถ้าลูกหลานทั้งหมดนั้นมีจิตใจที่สบายท่านก็จะไม่ต้องห่วงกังวล ก็จะเป็นเครื่องช่วยให้จิตใจของท่านสบายด้วย เมื่อท่านมีจิตใจที่สบาย มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ก็จะเป็นเครื่องช่วยในการรักษาร่างกายของท่านอีกด้วย โดยเฉพาะในตอนนี้ นอกจากจะพยายามทำใจ หรือคิดพิจารณาไตร่ตรองให้จิตใจเข้มแข็งแล้ว ก็ยังได้อาศัยอานุภาพของบุญกุศลและพระรัตนตรัยช่วยเหลืออีกด้วย กล่าวคือ ในขณะนี้เราไม่ใช่อยู่เฉพาะตัวลำพังจิตใจผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังมีอานุภาพของบุญกุศลช่วยหล่อเลี้ยงด้วย อาจารย์และคุณพี่ และญาติทุกคนมีความห่วงใยรักในคุณพ่อ และก็ได้ทำบุญแทนคุณพ่อแล้ว จึงขอให้อานิสงส์อานุภาพของบุญกุศลที่ได้ทำนี้ จงเป็นเครื่องช่วยเสริมกำลังใจของท่านด้วย โดยเฉพาะขอให้ทุกท่านตั้งใจ รวมจิตไปที่ตัวคุณพ่อ ขอให้อานุภาพแห่งบุญนี้ เป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยงรักษาตัวท่าน

    เมื่อมีการทำบุญ ก็จะมีการที่ได้บูชาเคารพพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยนั้น เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ลึกซึ้งที่สุดในทางจิตใจ เมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว จิตใจก็จะมีความเข้มแข็ง มีกำลัง มีความสงบ มีความร่มเย็นเกิดขึ้น ก็ขอให้ความร่มเย็นนี้ เป็นบรรยากาศที่แวดล้อมหมู่ญาติทั้งหมดพร้อมทั้งคุณพ่อ ช่วยประคับประคองหล่อเลี้ยงให้ท่านฟื้นขึ้นมา โดยมีความเข้มแข็งทั้งในทางกายและทางจิตใจในโอกาสนี้ อาตมาขออนุโมทนาอาจารย์ พร้อมทั้งคุณพี่และญาติทั้งปวง ที่ได้ทำบุญถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นเครื่องที่จะทำให้เกิดความดีงามแห่งจิตใจ หล่อเลี้ยงจิตใจให้เกิดความสดชื่นผ่องใส มีความสุข มีความปลอดโปร่งเบิกบาน และมีความสงบ ก็ขอให้จิตใจที่เบิกบาน มีความเย็น มีความสงบนี้ นำมาซึ่งผลอันเป็นสิริมงคล คือความสุข และความฟื้นฟู พรั่งพร้อมด้วยสุขภาพทั้งกายและใจต่อไป

    ต่อแต่นี้ไป ขอเชิญรับพรและขอให้เอาใจช่วยคุณพ่อ ขอให้ท่านได้อนุโมทนารับทราบ และขอให้ทุกท่านได้ช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่งความสงบ ความแช่มชื่นเบิกบานผ่องใสยิ่งๆ ขึ้นไป


    <center>-----------------------------------------------------------------------------------</center>
    <center>หนังสือนี้ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ แต่เพื่อให้เนื้อหาสาระของหนังสือถูกต้องแม่นยำ
    ท่านผู้ใดศรัทธาประสงค์จะพิมพ์เผยแพร่
    ขอให้ติดต่อขอรับต้นแบบหนังสือฟรีจากวัดญาณเวศกวัน
    ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ๗๓๒๑๐
    แล้วนำไปดำเนินการจัดพิมพ์เองตามแต่เห็นสมควร</center>

    <center>[​IMG]</center><!-- End main-->
    [/SIZE]
    </td></tr></tbody></table>
     
  9. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327
    วันนี้ผมโอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิ 200 บาทครับ เวลา 12.05
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา ประมาณ 13.58 น.ผมได้ฝากเงินจำนวน 500บาทเพื่อร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธประจำเดือน พฤศจิกายน 2552 ขอบคุณครับ
     
  11. ไม่อยาก

    ไม่อยาก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +35
    ร่วมบุญไป 300 บาท เมื่อวันที่ 3/11/52 อานิสงส์อันใดที่ข้าพเจ้าจะได้ก็ขอให้เกิดแก่ครอบครัวและผู้มีพระคุณและเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
  12. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมใอนเงินทำบุญสงฆ์อาพาธ จำนวน 500 บาท
    *04/11/09* เวลา 18:32 น.*
     
  13. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันที่ 4 พ.ย. 2552 เวลา 19.59 น.
    ผมได้โอนเงิน 200.- ร่วมทำบุญฯ
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เก็บตกใบอนุโมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่างๆ พร้อมงบการเงินที่ทุนนิธิฯ เพิ่งได้รับมาดังนี้
    1. ใบอนุโมทนาบัตรของ รพ.สงขลา จ.สงขลาจำนวน 5 ฉบับ
    2. ใบอนุโมทนาบัตรของ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่จำนวน 1 ฉบับ
    3. รายงานบัญชีรับจ่ายของทุนนิธิฯ ที่จัดทำโดย รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย จำนวน 1 ฉบับ

    จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อให้ผู้บริจาคทุกท่านได้รับทราบและอนุโมทนาบุญร่วมกัน

    พันวฤทธิ์
    5/11/52
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    ต้องขออนุโมทนาและสาธุบุญพร้อมกันทีเดียวทั้ง 5 ท่านเลยครับ คณะกรรมการฯ ก็คงต้องขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้บริจาคปัจจัยเข้ามา มากบ้างน้อยบ้างไม่เป็นไร บริจาคมาเท่าไร เราก็ช่วยไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ให้หมด ส่วนหลักฐานใบอนุโมทนาก็ลงไว้ให้ทราบข้างต้น ปัจจัยของท่าน ไม่หายไปไหน รับรองว่าจะใช้เพื่อสงฆ์อาพาธอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หนาวนี้ ก็กำลังรวบรวมความต้องการเพิ่มเติมของพระสงฆ์ที่อาพาธตามโรงพยาบาลทางเหนือและอีสานอยู่โดยเฉพาะที่ จ.เลย คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และที่ จ.น่าน ซึ่งในขณะนี้หนาวมากๆ พระเจ็บป่วยเข้ามาเยอะ เดือนนี้จะแจ้งให้ทราบครับว่ามีความต้องการอะไร และอย่างล่ะเท่าไรบ้าง โดยทุนนิธิฯ จะให้ความช่วยเหลือทันที จากบัญชีที่มีอยู่ในขณะนี้ ราว สองแสนสี่หมื่นกว่าบาท โดยจะทยอยส่งให้ทีละโรงพยาบาลไปครับ ขออนุโมทนาบุญอีกครั้ง สำหรับผู้บริจาคทั้ง 5 ท่านข้างต้น ลมหนาวมาแล้วรักษาตัวด้วยครับ

    [​IMG]

     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บทกวีหน้าหนาว

    **************** " ไม่คิดถึงแม่ไม่ต้องอ่าน " **********

    <HR style="COLOR: #8cbde7; BACKGROUND-COLOR: #8cbde7" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]



    ************** " ไม่คิดถึงแม่ไม่ต้องอ่าน"************

    อยู่คนเดียวเปลี่ยวเหงาเข้ากระดูก
    บอกไม่ถูกยามป่วยไข้ทุกข์ใจหนอ
    หนาวสะบั้นกายก็สั่นคันในคอ
    ไม่มีหมอไม่มียาคลายหายหนาว
    หนาวกายจะกี่หนสุดทนได้
    แต่หนาวใจคนไข้ใจปวดร้าว
    อยากมีคนเฝ้าป่วยช่วยป้อนข้าว
    พาย่างก้าวเดินไปใจต้องการ

    เมื่อก่อนลูกเฝ้าดูอยู่เต็มบ้าน
    คอยช่วยงานทุกอย่างดั่งประสงค์
    ปรุงอาหารหาข้าวปลามาวางลง
    ใส่กระด้งจัดพาข้าวยาวหลายวา
    ลุงป้าน้าอาร่วมวงมามากมายหลาย
    ปู่ย่าตายายเชิญท่านเข้ามาหา
    กินอิ่มสนุกสุขใจทั้งกายา
    สวรรค์บ้านนานำพาให้จดจำ

    ตอนนี้เจ็บป่วยไข้หาไฟก่อ
    น้ำไส่หม้อตั้งก่อนบนก้อนหิน
    จุดขี้ไต้ไม้เชื้อไฟใส่ทีชิ้น
    หอมได้กลิ่นไฟไหม้เปลือกไม้ฟืน
    ก้มเป่าไปควันไฟเถ้าเข้าในตา
    เจ็บนักหนาน้ำตาใหลใจทนฝืน
    ถอยออกมาทนทุกข์ลุกขึ้นยืน
    จับได้ฟืนอันยาวก้าวเขี่ยไป

    เหมือนตาบอดมอดสนิดลืมทิศทาง
    สุดอ้างว้างปล่าวเปลี่ยวเหลียวไม่เห็น
    คว้าหาน้ำยามเจ็บยามจำเป็น
    ตาไม่เห็นมือคลำจับกำมา
    ตุ่มน้ำน้อยวางอิงพิงกับเสา
    จับเจอเข้าด้ามกระบวยนั้นสั้นนักหนา
    น้ำใสใสเทลงใส่ที่ใบหน้า
    ล้างลูกตาทั้งควันเถ้าเอาออกไป.........

    �š�ä�����ٻ�Ҿ��� Google ����Ѻhttp://img264.imageshack.us/img264/3826/es026aw1.jpg
     
  17. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เมื่อวานนี้ 4 พ.ย. 2552 เวลา 19.00 น. โอนเงินทำบุญกับ ศ.ทุนนิธิฯ เพื่อร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธประจำเดือน พฤศจิกายน 2552 ขอน้อมบุญนี้ ให้บิดา และมารดา ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณ ของข้าพเจ้า
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  18. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ โดยโอนเงินเข้าบัญชี ศ.ทุนนิธิสงฆ์อาพาธ ผ่านเค้าเตอร์ธนาคารกรุงศรี ฯ เป็นเงินจำนวน ๑,๗๒๘ บาท

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญขอแจ้งทาง PM ผ่านคุณโสระ ค่ะ

    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  19. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    วันนี้เวลาประมาณ 9.40 น. คุณแม่ได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนนี้ 500 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ โมทนากับผู้ร่วมทำบุญ และคณะกรรมการทุนนิธิ ฯ ทุกท่านด้วยครับ
     
  20. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    "พรดี 4 ข้อ"จากท่าน ว.วชิรเมธี
    [​IMG]


    1. อย่าเป็นนักจับผิด
    คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร'
    ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี 'แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข'

    2. อย่ามัว แต่คิดริษยา
    'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน'
    คนเรา ต้อง มีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เรา ต้อง ถอดถอน
    ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
    เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

    3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
    90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น'
    มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ 'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน'
    'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา

    4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
    ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคย อิ่ม ด้วยน้ำ ไฟไม่เคย อิ่ม ด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม'
    ทุกอย่าง ต้อง ดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น
    *คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู *คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์

    เรา ต้อง ถามตัวเองว่า 'เกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ
    คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'

    กรุณาส่งข้อความดีๆ อันนี้ให้คนที่ท่าน 'รัก' และ 'ปราถนาดี'
    หวังว่าทุกๆท่านจะได้ประสบแต่ความสุขกายสบายใจ


    ขอบขอบคุณ
    "
     

แชร์หน้านี้

Loading...