การชำระโลกให้สะอาดยังคงดำเนินต่อไป พร้อมคลิปภัยพิบัติทั่วโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย supako, 4 กันยายน 2014.

  1. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    กำลังเกิดอะไรกับโลก ตอนที่ 4.3

    โลกใบนี้ให้พลังงานความรัก ขั้นพื้นฐานด้วยอำนาจแม่เหล็ กจากแท่งโลหะแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้ฝ่าเท้า(ในแกนกลางของโลก)ของมนุษย์มานานกว่าพันล้านปี โลกไม่เคย ย่นระย่อหรือท้อแท้กับการให้(หมุนรอบตัวเอง)แม้มนุษย์ ส่วนใหญ่จะไร้จิตสำนึกกันในเรื่องนี้มาตลอด
    (มนุษย์พากันแยกตนเองออกจากระบบโลก แล้วทำลายระ บบโลกให้เสียสมดุลในทุกทาง มุ่งขุดค้นพลังงานเอาจาก โลก ตัดโค่นทำลายทุกสิ่งด้วยความมักง่าย และสังเคราะห์ สรรพสิ่งใหม่ๆให้เป็นกากปฏิกูลด้วยวิทยาศาสตร์ที่ขาดสติ
    มนุษย์ไม่เข้าใจหลักปรัชญาศาสนาของตนเอง ในการถือ ศีลเพื่องดเว้นการทำผิดคิดชั่ว แล้วยึดถือธรรมมะเป็นแนว ปฏิบัติทั้งไม่รู้ว่ามันเป็นอุบายของศาสดานั้นๆ ในการชี้นำให้ มนุษย์เข้าถึงมันให้ได้ เพื่อทำหน้าที่ของตนด้วยจิตสำนึกใน การให้พลังงานด้านบวกแก่โลก(เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) อันเป็นศาสตร์ในมิติที่สามแห่งกาลเวลา โดยมัก มองว่าศาสนาเป็นเรื่องคร่ำครึ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผู้ใด พูด ถึงธรรมทางศาสนา กลายเป็นว่าเป็นเรื่องของคนวัยใกล้
    ตาย หรือเป็นคนหัวโบราณไปเสียหมด
    มนุษย์ฝึกฝนตนเองด้วยการปฏิบัติทางจิต มุ่งแสวงหาอำนาจหยั่งรู้แต่ไปหลงยึดติดกับปาฏิหาริย์อัศจรรย์ กระทำตนเป็นผู้วิเศษแทนที่จะเข้าให้ถึงแก่นแท้ เพราะร่างกายและจิตใจขาดการขัดเกลาให้สะอาดเสียก่อน จึงสร้างความสมดุลสู่การหลุดพ้นไม่ได้)
    มนุษย์พึงรู้ว่า สมการพลังงานจากจิตสำนึกด้านบวกของ มนุษย์ เคยเป็นเรื่องลี้ลับตลอดมาในยุคพลังงานเก่า ถ้ามนุษย์สามารถใช้แรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของตนต่อ โลก และเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ โลกในที่นี้รวมถึงสรรพสิ่งใน ระบบโลกด้วยค่าของพลังงานด้านบวกที่แต่ละคนปลดปล่อยออกมาสู่สนามแม่เหล็กโลก ภายนอกร่างกาย มันจะมีพลังอำนาจมหาศาลที่มนุษย์เองคาดไม่ถึงเลยทีเดียว การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก อาจเกิดจากกรณีใดๆ ต่อไปนี้
    1.การปฏิบัติสมาธิด้วยสมองซีกขวา(ธรรมชาติสมาธิ)เพื่อ
    สร้างปัญญาในการคิดรู้สู่การหยั่งรู้ โดยสามารถหยุดยั้งกระ บวนการทางอารมณ์ของ ต่อมไฮโปทาลามัส ในกระบวนการของสมองซีกซ้ายเอาไว้อย่างยาวนาน ระยะ เวลาที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้งเท่านั้น ถ้าจะให้เกิดพลังอำนาจสูงสุด(เพื่อช่วยโลก)ควรปฏิบัติสมาธิแบบรวมหมู่ด้วยการประชุมกลุ่มกันครั้งละหลายๆคน การปฏิบัติที่สำคัญ คือ การหยุดยั้งกระบวนการทางอารมณ์ และการนึกคิดที่ขาดสติละวางตัวตนจากการรับรู้ใดๆที่เกิด ขึ้น ปล่อยวางมายาต่างๆเหล่านั้น โดยไม่นำมันมาเป็นอุบาย เพียงเพื่อทำให้จิตนิ่ง อย่างที่มนุษย์มากรายหลงผิด หรือนำมันมาเป็นตัวตน(มโนภาพ)สำหรับยึดเหนี่ยว ซึ้งในที่ สุดจิตของตนมันจะปรุงแต่งมายานั้นให้มนุษย์หลงใหลเลย เถิดไปกับมัน (เป็นกันมากในปัจจุบันนี้) จนทำให้สมองซีก ซ้ายเข้ามามีอำนาจเหนือในสภาวะสมาธิแตกโดยไม่รู้ตัว
    2.การแผ่เมตตาด้วยการปลดปล่อยพลังงานความรัก ความ อดทน ความอดกลั้น (เมตตา,กรุณา,มุทิตา,อุเบกขา) ต่อผู้ที่กระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองต่อผู้อื่นที่กำลังได้รับทุกข์ เข็ญลำเข็ญ ต่อผู้ที่ด้วยกว่าทันทีที่ตนเผชิญ เป็นความรู้สึก จากจิตสำนึกที่แท้จริงไม่ใช่แสแสร้ง
    3.การบรรลุความจริงด้วยการสำเนียกรู้ถึงการกระทำไม่ถูก ต้องของตนเองต่อสรรพสิ่งใดๆจนแม้แต่ตัวเองพร้อมต่อการขออภัยและยอมรับมันด้วยจิตสำนึก ในทันทีที่สำเนียกรู้ ให้ได้โดยไม่ดื้อรั้น ถือทิฐิ และโดยไม่ต้องมีใครชี้นำ แต่เป็นการเกิดสติด้วยตัวเอง ด้วยอำนาจการหยั่งรู้ระดับต้น และพร้อมที่จะแก้ไขปรับเปลื่ยนทัศนคติและความรู้สึกนึก คิดของตนทันทีนั้น
    4.การค้นพบความปิติสุขภายในจิตใจตน แล้วรักษามันไว้ ให้ยาวนานโดยไม่ยอมให้สิ่งเร้าใดๆมายื้อแย่งมันไปได้ ไม่ ว่าจะเกิดด้วยวิธีมองโลกในแง่ดี หรือวิธีเลียนแบบเด็กๆ ด้วยนำเอาความเป็นเด็กในตนเองออกมาก็ตาม
    5.การรู้สึกเพลิดเพลินกับผลการกระทำที่ดีงามของตนต่อ มนุษย์คนอื่นๆ และทำให้ดียิ่งขึ้นไม่มีจิตคิดหวังสิ่งใดๆเป็น การตอบแทนจากพวกเขา มีเพียงความพึงพอใจที่ได้รับกระ ทำมันเท่านั้น พลังอำนาจสูงสุดของกระบวนการตามนัยที่ กล่าวนี้ คือ การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ทั้งพ่อแม่ และบุคคลอื่นๆ
    6.การรักษาศีลเพื่อเพาะบ่มจิตใจให้สงบงัน ด้วยการละเว้น การกระทำที่ไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นและสรรพสิ่ง ในอันที่จะก่อ ให้เกิดการสั่นสะเทือนทางกายและจิตใจด้านลบ ก่ออารมณ์ ด้านลบให้เกิดขึ้นให้จงได้ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจอย่างใด อย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกขึ้นมาได้
    7.การปฏิบัติสมาธิเพื่อการคิดรู้ จนเกิดการหยั่งรู้ในระดับ ใดระดับหนึ่ง จนถึงการหยั่งรู้ระดับสูงสุดที่เรียกว่า การหลุด พ้นทางกายและจิตใจ ทำให้ตนเองเป็นมนุษย์ที่สมดุลอย่าง แท้จริงได้
    8.การเข้าถึงความรักในตนเองด้วยการนำมันออกมาแสดง ปรากฏต่อเพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าหรือความรัก คือความดีงามทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ ในจิตใจตนนั่นเอง
    ถ้ามนุษย์สามารถเข้าถึง 8 ประการนั้นได้ พลังอำนาจจาก แรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกจะเป็นประโยชน์ด้านพลังงาน ต่อดาวเคราะห์โลกอย่างยิ่ง ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกได้เชื่อม โยงโครงข่ายไว้รองรับเอาจากจิตสำนึกมนุษย์ตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว มนุษย์จงพิจารณา สมการพลังงานรวมจาก จิตสำนึกของตนที่สั่นสะเทือนด้านบวก ก่อให้เกิดพลังงาน ไฟฟ้าด้านบวก ที่ปลดปล่อยออกมาภายนอกให้แก่โลก อัน เป็นสมการทางพลังงานของจักรวาลดังต่อไปนี้...
     
  2. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    กำลังเกิดอะไรกับโลก ตอนที่ 4.4

    จากรูปที่ 1
    สามารถขยายความได้ว่า จำนวน 1 ใน 3 ของพลังงานด้านบวก(คิดดี พูดดี ทำดี)ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในขณะนั้น(เบต้าเอ็น)จะมีค่าเท่ากับ จำนวนมนุษย์ผู้แสดงออก(X) มาร่วมกันในเวลานั้น ยกกำลังสอง คูณ(×)ด้วยผลรวมของพลังงานด้านบวกที่ แต่ละคนปลดปล่อยมันออกมา ซึ้งแต่ละคนอาจเท่ากัน หรือไม่เท่ากัน(บางคนทำความดีแล้วดีใจมาก บางคนดีใจน้อย ตัวอย่าง)
    จากสมการที่ 2 อธิบายได้ว่า
    จำนวนค่าของพลังงานรวมที่มนุษย์ผู้กระทำปลดปล่อยมันออกมาขณะนั้น(เกิดปิติขณะนั้น) จะเท่ากับ 3 เท่าของจำนวนมนุษย์ผู้กระทำ ยกกำลังสอง คูณด้วยผลรวมของพลังงานด้านบวกที่แต่ละคนปลดปล่อยมันออกมาในขณะนั้น
    เพื่อให้มนุษย์เข้าถึงจำนวนพลังงานมหัศจรรย์ที่มนุษย์เองไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า มันสามารถเกิดขึ้นในมิติที่ สามแห่งกาลเวลาได้ทุกเมื่อ เราจะลองสมมุติค่าเพื่อใช้สมการอย่างง่ายๆดังกล่าวแสดงผลอย่างเป็นรูปธรรมได้ดังนี้

    (ตามภาพที่ 2)

    ถ้ามนุษย์จะลองคิดดูเล่นๆว่า ขณะ มีมนุษย์ที่สมดุลเกิดขึ้น 144,000 คน ปลดปล่อยพลังงานด้านบวกให้แก่โลกอย่า งต่อเนื่องพร้อมๆกัน เป็นจำนวนหน่วยพลังงานจำนวนหนึ่ง ในขณะใดขณะหนึ่งด้วยการแทนค่าสมการข้างต้นนั้นแล้วจะพบว่าระดับพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมามีค่ามหาศาลเลยทีเดียวมันมากพอที่จะยกระดับ คลื่นความถี่สนามแม่ เหล็กโลกใบนี้ได้ด้วยการทำให้มันสั่นสะเทือนด้านบวกอย่างรุนแรงและถ้าพวกเขาปลดปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาไม่เท่ากันซึ่งมีความเป็นไปได้สูง ถ้าตราวจวัดในขณะใดขณะหนึ่งแล้ว ผลต่างของพลังงานด้านบวกมี่พวกเขาปลดปล่อยออกมาจะเกิด การผลักดันกัน ให้พลังงานหมุนวน อย่างรุนแรงและเร็ว ซึ่งมันจะมีผลต่อ การเหวี่ยงตัวเองของโลกในขณะเดียวกันด้วย(มองดูที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะมีแกนกลาง(ในที่นี้คือแท่งแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ในใจกลางโลก)และขดลวดรอบมอเตอร์เมื่อจ่ายไฟแล้วทำให้เกิดพลังงานและผลักให้เกิดการหมุน) โลกก็เหมือนกันต้องมีประจุไฟฟ้าจากการกระทำของมนุษย์ถึงจะหมุนต่อไปได้
    การที่โลกยังหมุนรอบตัวเองอยู่ได้ ไม่ล้มคว่ำลง มนุษย์แต่ ละคนบนโลกที่ คิดดี ทำดี พูดดี ล้วนเป็นผู้ร่วมสนับสนุน กระบวนการทำให้โลกหมุนทั้งสิ้น ...การเกิดมาเป็นมนุษย์ สำคัญมากนะครับ ...
     
  3. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เกิดอะไรขึ้นกับโลก ตอนที่ 5

    การเปลื่ยนแปลงอำนาจแม่เหล็กโลก ซึ่งจักรวาลกำลังดำเนินการทางเทค
    นิคอยู่นี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยการ ปรับเปลื่ยนโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกเสีย ใหม่ ด้วยวิธีเคลื่อนย้ายแนวแกนแม่เหล็กโลกที่อยู่ในใจกลางโลก ให้เคลื่อนตัวเบี่ยงเบนไปจากเดิมในตำแหน่งที่เหมาะสมคือ ประมาณ3องศา
    สนามแม่เหล็กโลก เป็นสนามของคลื่นที่มีค่าความถี่เป็นบวก ในแต่ละสถา น ที่บนโลกจะมีค่าความเข้มแตกต่างกัน โดยสนามแม่เหล็กโลก เป็นสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าระบบหนึ่งซึ่งจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ในลักษ ณะการหมุนเป็นวงกลม ตามการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก ....
    การยกระดับคลื่นแม่เหล็กโลกครั้งนี้ จะเป็นการกระทำทางเทคนิคต่อโลก เป็นครั้งที่ สี่ นับตั้งแต่เกิดดาวเคราะห์โลกขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ้งโลกทั้งโลก จะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทั่วทุกทวีป มนุษย์ทุกคนจะต้องเผชิญ ชะ ตากรรมจากมหันตภัยที่รุนแรงที่สุดในชีวิต อย่างแน่นอน โดยที่จักรวาลเน้น ว่า เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งเพื่อการยกระดับจิตสำนึกมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่การทำลายโลก ทำลายมนุษย์ เนื่องจากจักรวาลมีความรักให้กับมนุษ ย์ทุกคนทัดเทียมกัน มนุษย์ทุกคนที่เกิดมามิใช่เพียงเพื่อต้องตายไปเท่านั้น แต่เกิดมาเพื่อแสวงหาความดีงามในตนเองให้พบสู่การรู้แจ้งต่างหาก
    มหันตภัยธรรมชาติ จากการสั่นสะเทือนของโลกในการยกระดับคลื่นความ ถี่สนามแม่เหล็กโลก พอจะเล่าสู่กันฟังล่วงหน้าดังนี้(บางเรื่องก็กำลังเกิด)
    เขียนไว้ ตั้งแต่ 12 มิถุนายน 1998

    1.คลื่นอากาศร้อน คลื่นอากาศหนาวเย็น คลื่นยักษ์จากทะเล และพายุรุน แรง จะเป็นมหันตภัยเบื้องต้นที่มนุษย์บางทวีปจะต้องเผชิญ

    2.โรคระบาด โรคร้ายชนิดใหม่ และแผ่นดินไหว จะเป็นมหันตภัยระยะที่สอ งของมนุษย์ ที่ต้องเผชิญระหว่างการเปลื่ยนแปลงนี้

    3.จิตสำนึกอันต่ำทรามของชนชั้นผู้นำ และประชาชนผู้ไกลศาสนาในสังคม ต่างๆ จะแผ่พลังงานด้านลบด้วยการกระทำที่เลวทรามต่ำช้า ไร้ยางอายบน ผืนแผ่นดินนั้น จนเกิดความไม่สงบของสังคม และเป็นอุปสรรคต่อการดำ เนินชีวิตของคนดีโดยทั่วไป

    4.มหันตภัยทั้งสามประการข้างต้น จะก่อตัวพร้อมกันและรุนแรงยิ่งในความ คิดแบบจิตมนุษย์ พร้อมกับการระเบิดของภูเขาไฟทั้งเก่าและใหม่ในที่ต่างๆ

    5.มนุษย์จะเผชิญหน้ากับการรุกราน ของรูปธรรมมนุษย์ จากดาวเคราะห์อื่น จนหวาดผวา แม้ว่าพวกที่มีพลังาานด้านลบเหล่านั้นจะทำอะไรมนุษย์โลก ไม่ได้ก็ตาม

    6.เศรษฐกิจโลกทั้งระบบจะพังทลายลง เพราะจิตสำนึกที่ผิดพลาดของชน ชั้นผู้นำกระทำขึ้น เทคโนโลยีจะไร้ความหมายมากกว่าเรื่องปากท้อง การแสวงหาความรู้ของมนุษย์จะลดน้อยลง กว่าการแสวงหาปัญญาเพื่อ พัฒนาจิตสำนึกของตนเองสู่ การรู้แจ้ง

    7.โลกจะต้องเขียนแผนที่ใหม่ เนื่องจากส่วนที่เป็นพื้นน้ำจะเพิ่มขึ้น ผืนแผ่น ดินในแต่ละทวีปจะลดน้อยลง 1% ของทั้งหมดในปัจจุบัน เนื่องจากมหันต ภัยที่เกิดขึ้นนี้

    8.โลกจะมีท้องฟ้าใหม่ที่แตกต่างจากปัจจุบัน มนุษย์จะแลเห็นดาวดวงใหม่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และทิศเหนือของเราจะเบี่ยงเบนไปจากเดิมไม่เกิน 3 องศา เนื่องจากโลกเคลื่อนตัวสู่พิกัดใหม่ และโลกจะเอียงมากขึ้น

    9.เกาะบางเกาะในแผนที่โลก จะจมหายไปในทะเล ขณะที่บางเกาะจะโผล่ ขึ้นมาให้เห็นด้วยอิทธิพลแรงดึงดูดของดวงจันทร์ และแผ่นพื้นทวีปที่รุ่งเรือง ด้วยเทคโนโลยีจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีก

    จักรวาลยืนยัน ว่า มหันตภัย ที่มนุษย์กำลังเผชิญโดยตรงและทางอ้อม จะ สร้างความกลัว ให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เพราะ ความกลัวตาย จะน้อม นำให้มนุษย์เกิดการกลัวคนอื่นต้องตาย เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และทำให้ มนุษย์เกิดความรักและห่วงใยโลกกันมากขึ้นมาได้ นั่นคือ กุศโลบายที่สำ คัญ เพื่อต้องการให้มนุษย์ทั้งโลกร่วมใจกันปลดปล่อยพลังงานด้านบวก ออกมาด้วยจิตสำนึกแบบรวมหมู่อย่างพร้อมเพียงกัน ถึงแม้ มุนษย์มีพระ ศาสดาแต่ละศาสนาช่วยชี้แนะธรรมะให้ แต่มนุษย์ทำตัวห่างไกลจากธรรมะ ของศาสนาทั้งที่หลายรายใกล้ชิดกับศาสนาด้วยซ้ำไป บางคนปฏิเสธความ สัมพันธ์ของตน กับจักรวาลเห็นเป็นเรื่องไร้สาระและไม่เป็นวิทยาศาสตร์

    จากหนังสือ มหัศจรรย์อำนาจแม่เหล็กโลกกับจิตและจักรวาล
    ของท่าน อ.ปริญญา ตันสกุล
     
  4. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)
    "ศาสตร์แห่งจักรวาล"
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

    "เวรกรรม"
    นั้นมีจริง

    "เวรกรรม"
    ตอบสนองผู้กระทำหรือผู้ก่อได้

    "เวรกรรม" ยังผลให้หรือเป็นเหตุให้
    เกิดกฎแห่งกรรม
    จนนำไปสู่การมีสังสารวัฏของคนๆนั้นได้

    เพราะเหตุว่า....

    1.ผลกรรมลบ อันเกิดจาก "มโนกรรมลบ"
    เป็น "ผลิตผล" ของจิต ในมิติทางพลังงาน
    ที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ผลิตสร้างกันขึ้นมา
    ในทุกครั้งที่ท่านเกิดการสั่นสะเทือน
    เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
    อันเกิดจากจิตเสียสมดุลไปเพราะถูกยั่วยุ

    ซึ่งผลกรรมลบนี้
    จะมีตัวตนรูปลักษณ์เป็นคลื่นความถี่
    จะมีน้ำหนักมวลทางพลังงาน
    จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
    จะมีคุณสมบัติแห่ง "กรรม" ที่ก่อกำกับไว้ด้วย

    2.ผลกรรมลบใดที่ท่านก่อขึ้น
    ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กนี้
    นอกจากท่านจะนำมันออกมาแสดง
    เป็นพฤติกรรมภายนอก
    คือ กายกรรม กับวจีกรรม แล้ว

    จิตของท่านจะขับเคลื่อนมันออกมา
    ในรูปของพลังงานกรรมตามข้อ 1.นั้นด้วย

    3.คลื่นความถี่ของพลังงานกรรม
    ที่เราเรียกว่า "กรรมเวร" นี่แหละ
    เมื่อมันถูกขับเคลื่อนออกมานอกกายสังขาร
    มันก็จะสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลออกไป
    บนสนามพลังงานของจักรวาล
    ซึ่งโอบอุ้มหุ้มห่อทุกสรรพสิ่งเอาไว้
    อันหมายรวมทั้งตัวของท่านเองด้วย
    โดยมันจะกระจายออกไปจากตัวท่านทุกทิศ
    ในรูปลักษณะของวงกลมคล้ายคลื่นน้ำ
    เมื่อยามก้อนหินตกกระทบ

    ตราบใดที่จิตท่านยังสั่นสะเทือนเป็นลบอยู่
    จิตนั้นก็จะผลิตสร้างคลื่นลบนี้ออกมา
    เป็นระลอกต่อเนื่องเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ

    4.ท่านรู้หรือไม่ว่า....
    คลื่นพลังงานกรรมลบหรือกรรมเวรนี้
    เมื่อถูกผลิตออกมาแล้วไปไหนกัน

    คำตอบคือ
    มันจะพากันเคลื่อนที่เดินทางพาเหรดไป
    จนสุดขอบเขตของจักรวาลใหญ่คือ"เอกภพ"
    อันไกลแสนไกลเลยทีเดียว

    5.เมื่อคลื่นลบแต่ระลอกใน "กรรมเวร" นั้น
    เดินทางไปจนถึงสุดขอบสนามพลังงาน
    อันเป็นจักรวาลใหญ่ที่เรียกว่าเอกภพแล้ว

    มันก็จะเกิดการสะท้อนกลับหรือ "วกกลับ"
    เพื่อเดินทางย้อนคืนกลับมาหาเจ้าของ
    ผู้ก่อผลกรรมลบนั้นไว้ซึ่งยังอยู่ในมิติโลก
    ให้ได้แสดงความรับผิดชอบมัน

    เพื่อทำผลกรรมนั้นให้เป็นกลางหรือโมฆะ
    ซึ่งเป็นกรรมวิธีขจัดขยะพลังงานให้พระบิดา
    ในลักษณะของ "กรรมใคร ใครกำ"
    โดยใครคนนั้นนั่นแหละจักต้องรับผิดชอบ

    เราจึงเรียก "กรรมเวรด้านลบ"
    ที่สะท้อนกลับมาหาเจ้าของ
    ผู้ก่อกรรมนั้นขึ้นไว้ว่า..... "เวรกรรม"
    เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อขึ้นมา
    มีหน้าที่จักต้องรับผิดชอบมันสถานเดียว!

    6.อีกสาเหตุหนึ่งที่เรียกว่า "เวรกรรม"
    ก็เป็นเพราะว่าผู้ก่อผลกรรมลบนั้นขึ้นมา
    จักต้อง "รอคอยเวลา" ที่จะรับผิดชอบมัน

    เหมือนนักเรียนแบ่งเวรกัน
    ดูแลความสะอาดปัดกวาดห้องเรียน
    โดยผลัดกันรับผิดชอบคนละวัน
    ถ้าใครรับผิดชอบเวรวันจันทร์
    เมื่อถึงกำหนดทุกสัปดาห์คนๆนั้นก็ต้องทำ
    จะหนีเวรเพื่อหนีความรับผิดชอบไม่ได้

    7.สาเหตุที่ "เวรกรรมด้านลบ"
    ซึ่งเป็นการสะท้อนย้อนกลับ
    ของ "กรรมเวรด้านลบ" ที่กล่าวมานั้น
    ต้องใช้เวลานานจนท่านต้องรอคอย

    เพราะว่า "คลื่นพลังงานกรรม" ของท่าน
    ต้องใช้เวลาเดินทางจากโลก
    ไปจนสุดขอบเอกภพเสียก่อน
    จึงจะสะท้อนย้อนกลับคืนมาหาท่านได้
    เพราะท่านเป็นผู้ผลิตมันขึ้นมา

    ระยะทางที่แท้จริงในการเดินทางไป-กลับ
    ของพลังงานกรรรม คือ

    "แปดล้านหนึ่งแสนล้านไมล์"
    คูณด้วย "เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า"
    ยกกำลังสอง....
    มีหน่วยวัดระยะทางเป็น "ไมล์"

    ท่านลองตรองดูสิว่าไกลหรือไม่

    มันจึงต้องใช้เวลานาน "ข้ามภพชาติ"
    เพราะอายุคนในยุคหลังๆนี้แสนสั้น
    เมื่อตายแล้วจึงต้องรีบเกิดใหม่กัน
    เพื่อจะได้กลับมารอรับ "เวรกรรม" ที่ก่อไว้
    ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมมิผิดเพี้ยน

    8.เราจึงมุ่งสื่อสอนท่านให้ฝึกครองมหาสติ
    ให้ท่านจงมีปณิธานแห่งนิพพาน
    แล้วให้ท่านพยายามเข้าแทรกแซง
    กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เป็นกรรมจักรอยู่
    เพื่อเปลี่ยนโหมดเป็น "ธรรมจักร" เสียให้ได้
    ทำให้สำเร็จโดยพลันในชาตินี้แหละ
    ท่านจึงจะนำพาแก่นแท้ของท่านหลุดพ้นได้

    เรื่องง่ายๆมันมีเท่านี้
    น่าเสียดายที่หลายคนด่วนใจร้อน
    มองข้ามคุณค่าคำสื่อสอนจากจิตจักรวาลไป
    ทั้งๆที่ตนเองนั้นยังมิทันเข้าใจ
    เพียงแต่แค่คิดว่า "ตนรู้แล้ว" เท่านั้นเอง
    เราจึงช่วยไถ่บาปให้พวกท่านไม่สำเร็จ

    ห้องเรียนเราจึงมีนักเรียนเก่าหลายตน
    ละทิ้งโรงเรียนไปเรื่อยๆ
    เพราะมองดูว่าครูเสื่อม!
    บรรยากาศช่างวังเวงเสียจริงๆ

    ไม่ต่างจากโลกนี้ที่จะมีผู้คน
    เหลือจากปฏิบัติการชำระโลกน้อยมาก
    ในวันนั้นจักเป็น "วันเหลือน้อย"
    น้อยเสียจนวังเวง....เลยเชียว...ล่ะ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    2-2-2016
     
  5. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ความต้องการที่จะประสบผลสำเร็จ
    หรือ "อยาก" จะประสบความสำเร็จนี้
    เป็นอีกหนึ่ง "ความอยาก"
    ที่สามารถจะเป็นจุดอ่อนของท่าน
    ให้มารชักพาหลงทางได้อีกจุดหนึ่ง

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    ถ้าพิจารณาแต่คำตรงๆ
    คือ "อยากสำเร็จ" หรือว่า "อยากชนะ"
    ท่านก็อาจแลไม่เห็นข้อพิรุธของจิต

    เพราะใครๆก็รู้ว่า
    ความสำเร็จหรือชัยชนะนั้น
    มันเป็นของต้องประสงค์ของคนส่วนใหญ่
    ใครๆก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น

    เราจึงขอกล่าวความจริง
    เพื่อขยายความต่อท่านทั้งหลายว่า

    ในมิติโลกทางกายภาพนั้น
    ทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราว
    ล้วนมีให้มองให้พินิจพิจารณากัน
    อย่างน้อย 2 ด้านที่ตรงข้ามกันเสมอ
    เช่น ดีกับชั่ว ชนะกับแพ้
    สำเร็จกับล้มเหลว เป็นต้น
    รวมทั้ง "อยากกับไม่อยาก" ด้วย

    กรณี "อยากสำเร็จ" ก็เช่นกัน
    สิ่งตรงข้ามก็คือ "ไม่อยากล้มเหลว"
    ความไม่อยากล้มเหลว
    เสมอกับ "กลัวว่าจะไม่สำเร็จ" นั่นเอง

    ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าจิตของท่าน
    สั่นสะเทือนเป็น "อยากสำเร็จ" หรืออยากชนะ
    มันคือการสั่นสะเทือนทางด้านบวก

    เมื่อจิตมีคุณสมบัติทางด้านบวกคือด้านดี
    จิตก็ย่อมขับเคลื่อนกระบวนการคิดของสมอง
    ไปทางด้านบวก คือ การคิดบวก
    เมื่อจิตกับสมองสั่นสะเทือนร่วมกันด้านบวก
    ท่านก็จะแสดงพฤติกรรมด้านบวกออกมา
    เป็นกายกรรมหรือวจีกรรมที่พึงประสงค์ในที่สุด

    ในทางกลับกันกับที่กล่าวมา
    ถ้าหากว่าท่านมีจริตเป็นลบ
    โดยเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายเป็นทุนอยู่แล้ว
    ในเรื่อง "การอยากสำเร็จ" นี้
    มันก็จะเปลี่ยนแปรไปเป็น "กลัวล้มเหลว"
    หรือว่า "กลัวจะไม่สำเร็จ" แทน

    ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าจิตของท่าน
    สั่นสะเทือนเป็น "กลัวจะล้มเหลว"
    หรือว่า "กลัวจะไม่สำเร็จ"
    มันคือการสั่นสะเทือนของจิตทางด้านลบ
    ท่านก็จะแสดงพฤติกรรมด้านลบออกมา
    เป็นกายกรรมหรือวจีกรรมที่ไม่เหมาะสม

    พฤติกรรมทางกายที่ไม่เหมาะสม
    มักอยู่ในรูปของ "วิชามาร" นั่นแหละ
    เช่น เอาเปรียบ เบียดเบียน ฉ้อฉล ฯลฯ
    ส่วนวจีกรรมที่ไม่้เหมาะสมนั้น
    คงหนีไม่พ้น "การโกหก" ปลิ้นปล้อน
    ตลบแตลง การพูดไม่ตรง ฯลฯ

    พฤติกรรมด้านลบเหล่านี้
    ล้วนมีสาเหตุมาจากความไม่อยาก
    ที่แสดงออกมาจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น

    ถ้าท่านแสดงพฤติกรรมด้านลบ
    จากสภาวะจิตด้านลบเช่นนี้
    เท่ากับว่าท่านได้กระทำผิดบาป
    ต่อจิตวิญญาณของท่านเองแล้ว
    มันจะถูกบันทึกรหัสเป็น "บุรพกรรม"
    หรือที่ท่านรู้จักกัน
    ในนามวิบากกรรมนั่นเอง

    หากยังมีวิบากกรรมค้างคาให้ต้องแก้ไข
    แล้วจะกลับบ้านในสภาวะนิพพาน
    ได้อย่างไรกันล่ะ....

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    10-2-2016
     
  6. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ที่เรากล่าวว่า "ลัทธิ" เพราะ
    สำนักนี้พระเขากราบไหว้แม่ชี
    ที่ครองศีลน้อยกว่า....แม่ชีนาม "นกยูง"เขาสอนว่านิพพานมีอัตตา
    ทั้งๆที่นิพพานเป็นสภาวะหรือ
    สถานะ หรือคุณสมบัติของจิตญาณ
    แก่นแท้ของหลวงพ่อ
    ทิ้งกายสังขารแล้วจึงไปได้แค่
    หลุดลอยอยู่ในระดับดุสิตมายา
    เพราะสอนผู้คนให้หลงยึดติด
    ดวงแก้ว(ดังภาพ)
    กำหนดจิตเพ่งลูกแก้วไปนานๆ
    จิตก็เลยหลงผิดคิดว่าเป็นรูปจริง
    เพราะเข้าใจเองว่านั่นคือกายทิพย์
    ของตัวเองที่มีรูปลักษณ์อย่างนั้น

    ทั้งๆที่แรกเริ่มนั้นตัวเองเป็นคนกำหนด
    ลูกแก้วมายานั่นขึ้นมาเอง....
    เลยกลายเป็นหลอกหลอนตัวเองไป
    เสียนี่....

    ถ้าลูกแก้วนั่นเป็น "กายทิพย์" จริง
    หากมีญาณทิพยจักขุจริงๆ
    ท่านก็จะเห็นรูปลักษณ์นั้น
    ไปตามความจริง โดยไม่ต้อง
    สร้างภาพมโนเลยก็ได้

    มโนเอาจนจิตมันติดรูปไปแล้ว
    ความหลงผิดหรืออุปาทานหมู่
    ในเรื่องนี้มันจึงเกิดขึ้น
    จนสาวกผู้ขาดมหาสติติดใจ
    ติดตากันเพียบ....ดั่งทุกวันนี้
    ฃถ้าเป็นสรรพสิ่งในมิติของจิตวิญญาณ
    ที่มีตัวตนอยู่จริง สมมติว่าเป็นกายทิพย์
    ของท่านก็ได้....เวลามองด้วยทิพยจักขุก็จะสามารถรู้เห็นรูปลักษณ์นั้น
    ได้ทันทีโดยไม่ต้องกำหนดจิตหรือเพ่งจิตให้เห็นเป็นลูกแก้ว เพื่อสร้างมายา
    ขึ้นมาเองแล้วหลอกตัวเองว่ามายา
    ที่ตัวเองสมมติขึ้นนั้น เป็นของจริง
    ทั้งๆที่ตนเองยังไม่รู้ความจริงด้วยซ้ำไปว่ากายทิพย์หรือธรรมกายของตนนั้น
    มันมีรูปลักษณ์แบบนั้นจริงรึเปล่า
    อีกอย่างหนึ่ง....คนที่จะสามารถเข้าถึง
    การสัมผัสรู้รูปธรรมในมิติทางพลังงาน
    ของจิตวิญญาณตัวเองหรือใครอื่นได้
    จักต้องสำเร็จฌาณขั้นสูงแล้วเท่านั้น

    นี่บอกว่าเห็นด้วยจิต
    จึงไม่แน่ใจว่าเห็นจริงแน่หรือ
    หรือเป็นแค่มายาหลอนเพราะเพ่งมา
    นานแล้ว....หรือเกิดจากการนึกเห็น
    ที่เรียกว่า "มโนเอา" ไงล่ะ
    ไหนๆเราเตือนเรื่องนี้แล้ว
    จึงขอใช้โอกาสนี้ให้ความรู้และปัญญา
    เสียเลยนะนักเรียน.....
     
  7. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ความที่มีการแบ่งแยก
    การสอนและการปฏิบัตินั้น
    ปรากฏว่าสิ่งที่พระมหายานของญี่ปุ่นทุกนิกาย
    “ไม่สามารถรักษาไว้ได้” คือ เพศพรหมจรรย์

    นิกายเซนที่ว่ารักษาไว้ด้วยดีมานาน
    ปัจจุบันนี้ตัวอาจารย์เจ้าสำนัก
    ก็มีครอบครัวกันไป

    นอกจากนั้นพระญี่ปุ่นอย่างนิกายชิน
    นอกจากมีครอบครัวแล้วยังทำธุรกิจ
    เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
    เป็นเจ้าของกิจการการค้าพาณิชย์ต่างๆ
    ขณะที่นิกายนิจิเรน
    ยังได้ตั้งพรรคการเมืองโกเมโตขึ้น
    เมื่อปี 2507 อีกด้วย

    ในอนาคตข้างหน้า
    หากว่าพระสงฆ์ไทยรักษาความเป็น
    “พระภิกษุแบบเถรวาท” ไว้ไม่ได้
    ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พระอาจมีครอบครัว
    หรือ ทำธุรกิจอุตสาหกรรม
    หรือทำการค้าพาณิชย์เป็นเจ้าของโรงงาน
    เจ้าของกิจการค้าขาย
    ตลอดจนมีอำนาจทางการเมือง
    อย่างที่เคยเป็นในประเทศญี่ปุ่น
    หรือในประเทศอื่นๆ ก็ได้

    “ในด้านหลักการทางธรรม
    ถ้าเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ
    มาอ้างกันสับสนต่อไป
    ก็อาจจะมีภิกษุบางรูปพูดว่า

    เอ๊ะ! ในประเทศญี่ปุ่นนั้น
    บางนิกายเขามีสูตรอื่นๆ ที่เราไม่มี
    เช่น สุขาวดียูหสูตรที่เป็นหลักสำคัญของนิกายโจโต
    และนิกายชิน ซึ่งเป็นนิกายที่นักบวช
    มีบุตรและภรรยา และทำกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมตามที่กล่าวมาแล้ว”

    ดันกลยุทธ์ปูเสฉวนยึดสถาบันสงฆ์

    ในทรรศนะของท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ในงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ข้อสังเกตของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ต่อปัญหาที่สำนักวัดพระธรรมกายอาจก่อให้เกิดขึ้นกับสถาบันสงฆ์ไทย พิสูจน์ได้จากที่ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการศาสนา และศิลปะและวัฒนธรรมของรัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่สำนักวัดพระธรรมกายสร้างขึ้น ก็ได้ค้นพบข้อเท็จจริง

    จากรายงานของคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของรัฐสภา กล่าวว่า วัดพระธรรมกายใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการเข้าแทรกแซงและยึดครองคณะสงฆ์ไทย ซึ่งอาจเรียกได้ว่า “กลยุทธ์ปูเสฉวน” เพราะปูเสฉวนอาศัยอยู่ในเปลือกหอย แต่ตัวเป็นปูไม่ใช่หอย อาศัยคราบเปลือกหอยกำบังธาตุแท้เพื่อลวงโลกแล้วเข้ามาใกล้หอย โดยหอยไม่สำเหนียกถึงอันตรายจนปูเสฉวนออกมาจากเปลือกแล้วกินเนื้อหอย หอยก็ยังไม่รู้สึกตัวจนตัวตาย แล้วปูเสฉวนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมก็เข้ามายึดเปลือกหอยที่ดีกว่า สวยกว่าเดิม เพื่อลวงโลกได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น

    นับว่าวัดพระธรรมกายได้ใช้กลยุทธ์ปูเสฉวน เพราะวัดพระธรรมกายเป็นลัทธิแปลกปลอม ไม่ใช่พุทธศาสนาเถรวาทแท้ของคณะสงฆ์ไทย แต่ผู้บริหารวัดฯ โดยเฉพาะ พระธัมมชโย พระทัตตชีโว และพระในคณะผู้บริหารวัดประมาณ 10 รูป ได้วางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอย่างชาญฉลาด เป็นนักฉวยโอกาสชั้นสุดยอด รู้จักใช้บุคคลชั้นนำทั้งทางศาสนจักร และอาณาจักร สถานการณ์ ช่วงจังหวะเวลาในการแฝงตัว กำบังตัว คืบคลานเข้ามาแทรกแซงและยึดครองคณะสงฆ์ไทยไปตามลำดับ โดยอาศัยฐานการเงินและคนที่หลอกล่อ ฉ้อฉล มาจากทุนทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ของชาวไทย คือ การศรัทธาอันสูงสุดต่อพระพุทธศาสนาซึ่งอยู่ในสายเลือดของชาวพุทธไทยแทบทุกคน

    เมื่อมีเงินและคนที่เป็นเป้าหมายได้ระดับหนึ่งแล้วก็ใช้การเอาใจ ยกยอ ให้เกียรติพระเถระผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ทุกระดับชั้น พร้อมทั้งถวายปัจจัยจำนวนมากทั้งเงิน รถยนต์ ยี่ห้อหรูราคาแพง ฯลฯ ให้แก่พระเถระชั้นนำที่วัดพระธรรมกายจะติดต่อเข้าหาเพื่อใช้ประโยชน์ มากน้อยผันแปรไปตามความสำคัญของระดับชั้นพระเถระนั้นๆ และตามงานที่วัดจะยกและยอพระเถระนั้นๆ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตน

    บางครั้งถวายเงินจำนวนมากถึงหกหลักเจ็ดหลักต่อการนิมนต์เพียงครั้งเดียว และพระเถระที่วัดพระธรรมกายยกและยอไปไม่เคยมีบทบาทที่เข้าถึงสาระของงานได้เลย เป็นได้เพียงเจว็ดหรือยันต์กันภัยเท่านั้น

    ในเวลาเดียวกันนั้นพระธรรมกายก็พยายามชักจูงพระเณรที่มีความรู้เปรียญธรรมสูงๆ ให้มาอยู่วัดด้วยการใช้เงินจำนวนมากกระทำทุกวิธีการและใช้การปลูกฝังลัทธิวิชาธรรมกายในหมู่เยาวชน เพื่อนำไปสู่การบวชเป็นพระเณรของวัด จนทำให้วัดพระธรรมกายในขณะนี้มีพระเณรมากที่สุดในประเทศไทย และสามารถสอบเปรียญธรรม 9 ประโยค ได้ชนะทุกวัดของประเทศไทยมาหลายครั้งแล้ว เรียกได้ว่า วัดพระธรรมกายจะอาศัยฐานเหล่านี้เพื่อ “คิดการใหญ่” ตามแผนการที่วัดประกาศไว้อย่างชัดเจนในโครงการ “Dhammakaya World” โดยมุ่งให้วัดพระธรรมกายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ชาวพุทธทุกคนทั่วโลกต้องมาจาริกบุญที่วัดพระธรรมกายอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต

    ลัทธิธรรมกายส่งผลกระทบต่อสังคมไทย 5 เรื่อง

    ขณะเดียวกันในการศึกษาเอกสารเพื่อพระธรรมวินัย ชื่อ “กรณีธรรมกาย” ตลอดทั้งเล่มแล้ว ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ข้อสรุปว่า “กรณีธรรมกาย” จะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในด้านต่างๆ ครอบคลุมถึง 5 ประเด็นสำคัญ ดังต่อไปนี้คือ

    ข้อแรก ผลกระทบต่อสังคมไทย ปัญหากรณีธรรมกายเฉพาะส่วนที่ส่งผลต่อสังคมไทย นอกจากเป็นเรื่องละเมิดจริยธรรมทางวิชาการและประทุษร้ายทางปัญญาต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว ยังเป็นปัญหาทางศาสนาที่มีผลร้ายแรงอย่างครอบคลุม อาทิ ปัญหานี้ส่งผลออกมาสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง คือ กลายเป็นวิถีชีวิตของคน ตลอดจนเป็นเรื่องของมวลชน หรือหมู่คนจำนวนมาก หรือกระทบต่อสังคมนั้นๆ ทั้งหมด

    ยกตัวอย่างเช่น การบิดเบือนหลักการให้แปรจากการรังเกียจอิทธิปาฏิหาริย์กลายเป็นความลุ่มหลงหมกหมุ่นในอิทธิปฏิหาริย์นั้น อาจนำไปสู่สภาพจิตใจแบบหวังพึ่ง ค่านิยมรอผลดลบันดาล ความอ่อนแอไม้รู้จักพัฒนาตน เป็นต้น

    ข้อที่สอง หลักการพระธรรมวินัยเกิดความคลาดเคลื่อน หรือผิดเพี้ยนออกไปจากหลักการเดิมแท้ของพุทธศาสนา และสถาบันสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์จะมีวิถีชีวิตเหมือนกับพระมหายานในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถประกอบธุรกิจ ทำการค้าพาณิชย์ได้ด้วยตนเอง หรือมีครอบครัวได้ เป็นต้น

    ข้อที่สาม ผลกระทบต่อระบบการพัฒนา คือ ชาวพุทธไทยจะไม่สนใจกระบวนการพัฒนาตนตามแนวไตรสิกขา แต่หันไปเน้นการพัฒนาชีวิตด้วยการหวังผลดลบันดาล การพึ่งอำนาจสิ่งลึกลับ หรือปาฎิหาริย์ต่างๆ ที่ทางสำนักวัดพระธรรมกายชี้ชวนชักนำให้คล้อยตาม เช่น การเชื่อในอานุภาพของบุญชนิด “ทันตาเห็น” หรือการวัดคุณค่าของบุญด้วยการประสบความสำเร็จเชิงรูปธรรม คือ มี เงิน มีบ้าน มีรถ มีวัตถุบริโภคพรั่งพร้อม เป็นต้น

    ข้อที่สี่ ผลกระทบต่อระบบความสัมพันธ์ของคฤหัสถ์กับบรรพชิต คือ เป็นไปได้ว่าคฤหัสถ์กับบรรพชิตจะมีความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์กันมากขึ้น เพราะกระบวนการทำบุญตามแนวสำนักวัดพระธรรมกายเน้น “เงิน” เป็นเหตุให้คฤหัสถ์ต้องหาเงินมาทำบุญกับพระสงฆ์ จึงมุ่งแต่จะชักชวนให้คฤหัสถ์ระดมทุนให้ได้มากที่สุด ในที่สุดความสัมพันธ์แบบ “พระสงฆ์ให้ธรรม คฤหัสถ์ให้อามิสก็จะหายไป” จะกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์เข้ามาแทนที่

    ข้อที่ห้า ผลกระทบต่อวัดและชุมชน คือ การที่สำนักวัดพระธรรมกายระดมคนไปทำบุญกับสำนักของตนจำนวนมาก เป็นการดูดเอาพระสงฆ์และชาวบ้านออกไปจากชุมชนของตน แล้วไปรวมกันทำบุญอยู่ที่เดียว ผลก็คือ พระสงฆ์ก็ทิ้งวัด คฤหัสถ์ก็ทิ้งชุมชน วัดเดิมในท้องถิ่นของตนก็ถูกละเลย พระสงฆ์และคฤหัสถ์จึงมองความสำคัญของวัดเดิมในชุมชนของตน ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้ชุมชนอ่อนแอ วัดก็สูญเสียความเป็นศูนย์กลางทางปัญญาและศูนย์กลางของชุมชนไป

    ในทัศนะของท่าน ว. เห็นว่าผลกระทบทั้ง 5 ประการนี้ นับว่าผลกระทบทางปัญญาของประชาชนสำคัญที่สุด เพราะเมื่อประชาชนเชื่ออย่างไร ก็จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนไปตามหลักความเชื่อนั้น

    เพราะการเปลี่ยนระบบความเชื่อของประชาชน ก็คือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm) หรือทิฐิของสังคม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโลกทัศน์ หรือวิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรมของสังคมไทยทั้งหมด ถ้าการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์นั้นเป็นสิ่งที่ดี ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ควรชื่นชม

    แต่สิ่งที่สำนักวัดพระธรรมกายกำลังชี้ชวนให้ประชาชนเชื่อถือ คล้อยตามไปด้วยนั้น ไม่ใช่หลักความเชื่อ ไม่ใช่หลักธรรมคำสอนที่แท้ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่กระบวนทัศน์ที่ควรชื่นชม แท้จริงแล้วผู้วิจัยเห็นว่าเป็น “สัทธรรมปฏิรูป” คือ การประยุกต์ธรรมเพื่อหวังผลประโยชน์เป็นเงิน เป็นความมั่งคั่ง และเพื่อความมั่นคงของสำนักตนเท่านั้น

    สิ่งที่สำนักวัดพระธรรมกายกำลังเผยแพร่อยู่นั้น เป็นคำสอนนอกธรรมแนวทางของพระพุทธศาสนา

    “คำสอนและการปฏิบัติของสำนักธรรมกายผิดแผกแตกต่างออกไปเป็นอันมากจากพระพุทธศาสนาเถรวาท ข้อที่สำคัญมาก คือ ความผิดเพี้ยนนั้นเกี่ยวด้วยหลักการใหญ่ที่เป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดังเรื่องที่พิจารณากันมา คือ เรื่องนิพพานเป็นอัตตา หรือ อนัตตา เรื่องธรรมกาย และเรื่องอายตนนิพพาน ซึ่งในที่สุดก็โยงเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เป็นเรื่องของนิพพาน คำสอนและข้อปฏิบัติที่สำคัญๆ ของสำนักพระธรรมกาย

    นอกจากจะไม่มีอยู่ในคำสอนเดิมของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังขัดแย้งกันอย่างมากกับหลักการเดิมที่ถือว่าเป็นมาตรฐานของพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นด้วย”

    ในอีกทางหนึ่ง คือ เป็นการนำเอาถ้อยคำในพระพุทธศาสนาเถรวาทไปใช้ แล้วกำหนดความหมายและวิธีปฏิบัติขึ้นเองใหม่เป็นระบบของตนเองต่างหาก

    การประทุษร้ายผลประโยชน์ทางปัญญาของประชาชน เป็นสิ่งที่ก่อผลเสียหายได้กว้างขวางและลึกซึ้ง ทั้งในด้านเทศะ คือ อาจแพร่หลายไปยังสังคมอื่น ประเทศอื่น หรือทั่วโลก และในด้านกาละ คือ อาจเป็นการสร้างความสับสน ความหลงผิดให้แก่ประชาชนอย่างยาวนาน ซึ่งจะมีผลสะท้อนกลับมาเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อนประการต่างๆ มากมาย

    อย่างไรก็ดี ท่าน ว.วชิรเมธี ยังได้เสนอให้มีการทำวิจัยในหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากข้อค้นพบใหม่จากงานวิจัย“บทบาทในการรักษาพระธรรมวินัยของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) : ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย” นี้ ดังตัวอย่างเช่น ศึกษาเปรียบเทียบแนวคำสอนเรื่องนิพพานในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับนิพพานของสำนักวัดพระธรรมกาย, ศึกษาเปรียบเทียบคำสอนเรื่องธรรมกายของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จันทสโร) กับธรรมกายที่สำนักวัดพระธรรมกายพัฒนาขึ้นมาใหม่ชั้นหลัง และศึกษากระบวนการสร้างสายสัมพันธ์ของสำนักวัดพระธรรมกายกับนักธุรกิจ สถาบันการเงิน นักการเมือง และพระเถระในองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย เป็นต้น

    สนใจ…..อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มได้ที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย!

    CR: MGR. Online
     
  8. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ขณะที่ท่านกำลังนั่งหลับตา
    ปฏิบัติกรรมฐานสมาธิอยู่เพียงลำพัง
    แล้วกำหนดจิตให้เห็นเป็นภาพใดๆก็ตาม
    ที่ท่านต้องการจะแลเห็นมัน

    ตัวอย่างเช่นกำหนดให้เห็นเป็นลูกแก้ว
    อยู่แถวๆท้องน้อยของตัวเองนั้น

    เราขอบอกท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
    ภาพที่ท่านกำหนด "นึกให้เห็น" เป็นลูกแก้วนั่น
    มันเป็นแค่เพียงภาพมายาเท่านั้นนะ
    เพราะจิตของท่านปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
    มันเป็นเพียงสิ่งที่ท่านสมมติขึ้นมา
    มิใช่ภาพจริงในมิติแห่งจิตวิญญาณ

    ท่านรู้หรือไม่ว่า......
    ถ้าวันๆท่านเอาแต่นั่งหลับตากำหนดจิต
    เพื่อที่จะ "นึกให้เห็นมายา"
    มีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นลูกแก้ว
    ให้เห็นแล้วเห็นอีก
    โดยฝึกที่จะเห็นมันอยู่อย่างนั้น

    นานวันเข้า "ลูกแก้วดวงสมมติ"
    ซึ่งเป็น "มายา"
    มันจะกลับมาหลอนตัวท่านเอง
    ให้เกิดการ "นึกว่าเห็นจริง" เข้าสักวัน

    จงจดจำเอาไว้ว่า....
    แรกเริ่มจะประเดิมด้วยการกำหนดจิต
    ด้วยการ "นึกให้เห็น" ลูกแก้วที่เป็นมายา
    พอฝึกจิตให้ทำเช่นว่านี้ไปนานๆเข้า
    จิตของท่านก็จะเปลี่ยนจากการ "นึกให้เห็น"
    เป็น "นึกว่าเห็น" ลูกแก้วปลอมนั่น
    โดยหลงผิดคิดว่ามันเป็นของจริงแทน

    จนหลายรายหลงเชื่อว่าเจ้าลูกแก้วมายานั่น
    มันเป็นกายทิพย์ของตนเข้าไปโน่น
    ทั้งๆที่หากใช้มหาสติตรึกตรองไปตามจริงแล้ว
    ก็จะพบความจริงได้ว่า
    ที่ตนเชื่อว่าใช่นั้นแท้จริงแล้วมันไม่ใช่

    นอกจากนั้น
    การเชื่อว่าที่ตัวท่านเองเห็นลูกแก้ว
    ซึ่งใส่รหัสเพิ่มเข้าไปอีกว่าเป็นกายทิพย์นั้น
    มันเป็นการแลเห็นภาพจริงด้วยจิตแน่หรือ

    เพียงแค่ท่านฝึกปฏิบัติจิต
    ด้วยการนั่งเพ่งลูกแก้วอยู่แค่ไม่กี่สัปดาห์
    ท่านกลับสามารถเพิ่มสมรรถนะของจิต
    ให้มีอำนาจพิเศษด้านทิพยจักขุคือตาทิพย์
    จนสามารถแลเห็นรูปธรรมของสรรพสิ่ง
    ที่มีอยู่จริงในมิติทางพลังงาน
    ด้านของจิตวิญญาณได้แล้วแน่หรือ

    ทั้งๆที่ท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
    รูปลักษณ์กายทิพย์จริงๆของตนนั้น
    จะเป็นอย่างที่ท่านกำหนดมายาขึ้นมาหรือเปล่า

    ท่านรู้หรือไม่ว่า....การปฏิบัติเช่นว่านี้นั้น
    เท่ากับเป็นการสอนจิตให้ยึดติดมายา
    แทนที่จะแสวงหาความว่าง
    บนเส้นทางแห่งนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

    นี่แหละ...
    ปฏิบัติดีมานมนานแต่นิพพานกันไม่ได้
    เป็นจริงได้แค่การ "หลุดลอย" เท่านั้น
    ก็เพราะเหตุแห่งงมงายนี่แหละท่าน

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    25-2-2016
     
  9. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    ในเรื่องที่เราเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า

    เพราะครูบาจารย์ของบางคนที่เขาเชื่อว่า
    เป็นผู้สมดุลทางจิตวิญญาณได้แล้ว
    เมื่อละทิ้งกายสังขารไปจากโลกนี้
    พวกเขาพบว่าจิตวิญญาณของครูคนนั้น
    ได้หลุดลอยไปติดอยู่ที่สวรรค์มายา
    จึงโมเมเหมาว่าสวรรค์มายาที่ตรงนั้น
    เป็นดินแดนของประดาผู้หลุดพ้น

    ทั้งๆที่แท้แล้วเป็นแค่การ"หลุดลอย"
    ของดวงจิตวิญญาณของครูเท่านั้นเอง

    เมื่อเขาตั้งฐานการคิดผิดๆแบบบิดเบี้ยว
    อุปมาดั่งการสร้างตึกสูงที่ฐานไม่สมดุล
    ตึกหลังนั้นถ้ายิ่งพยายามจะก่อสูงขึ้น
    ตึกก็จะยิ่งเอียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    ปรากฏการณ์ผิดเพี้ยนที่แลเห็นกันได้
    จะเป็นดั่งผู้คนในแบบต่อไปนี้

    *ผู้ที่เข้าใจว่าถิ่นสถิตย์ของครูบาจารย์
    ผู้หลุดลอยไปอยู่บนสวรรค์มายาตรงนั้น
    เป็นแดนนิพพานของผู้หลุดพ้นแน่นอน
    เหตุเพราะเชื่อว่าครูของตนนั้น
    เป็นผู้บรรลุมรรคผลสูงสุดแล้ว
    นี่จึงเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง...

    *ผู้ที่เข้าใจผิดว่าถิ่นสถิตย์ของครูบาจารย์
    ผู้หลุดลอยไปอยู่บนสวรรค์มายาที่ตรงนั้น
    เป็นแดนนิพพานของผู้หลุดพ้น
    เมื่อตนสามารถติดต่อสื่อสารทางจิต
    กับครูผู้หลุดลอยไปติดอยู่ที่นั่นได้
    จึงสรุปว่าแดนนิพพานของผู้หลุดพ้น
    ก็ยังมีอัตตาตัวตนที่สามารถสื่อสารกันได้
    เลยเหมาเอาว่า "นิพพานเป็นอัตตา"
    นี่จึงเป็นการเข้าใจผิดไปอีกหนึ่ง...

    *ผู้ที่เข้าใจว่าถิ่นสถิตย์
    ของครูบาจารย์ของตน "ผู้หลุดลอย"
    ขึ้นไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาที่ตรงนั้น

    ว่ามันเป็นแดนนิพพาน
    ของประดา "ผู้หลุดพ้น"
    ทั้งหมด...ทั้งหลาย...ทั้งปวง
    อันหมายรวมถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า
    พระบรมศาสดาทั้งหลาย
    พระอรหันต์และบรรดาอริยะบุคคล
    ต่างก็ล้วนสถิตย์อยู่ตรงพิกัดนี้ทั้งสิ้น
    นี่ก็เป็นการเข้าใจผิดไปอีกหนึ่ง....

    *ผู้ที่เข้าใจว่าถิ่นสถิตย์
    ของครูบาจารย์ของตน
    "ผู้หลุดลอย" ขึ้นไปติดค้างอยู่
    บนสวรรค์มายาที่ตรงนั้น

    เป็นแดนนิพพานของประดา "ผู้หลุดพ้น"
    ทั้งหมด...ทั้งหลาย...ทั้งปวง
    กับการที่ตนสามารถติดต่อสื่อสาร
    กับจิตวิญญาณครูของตนที่อยู่บนนั้นได้

    ตนจึงย่อมสามารถจะติดต่อสื่อสาร
    กับพระจิตวิญญาณแห่งพระพุทธองค์ก็ได้
    สามารถจะติดต่อกับอรหันต์องค์ใดก็ได้
    โดยจะติดต่อสื่อสารได้จนแม้กระทั่ง
    พระเจ้าหรือพระผู้สร้างเข้าไปโน่น

    อีกทั้งตนจะสามารถนำพา
    กายทิพย์ของตนหรือนำพาใครต่อใคร
    ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
    ที่ตรงนั้นได้อีกด้วย
    ทั้งๆที่กายทิพย์นั้นอาจเป็นแค่
    "นึกเอาเองว่าเห็น เน้นเอาเองว่าใช่"

    เผลอๆสักวันหนึ่งข้างหน้า
    เมื่อจิตมารเข้าเบียดแทรก
    เขาอาจหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้า
    หรือเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองเข้าสักวัน
    นี่ก็เป็นการเข้าใจผิดอีกหนึ่ง...

    *ผู้ที่เข้าใจว่านิพพานเป็นอัตตา
    เพียงเพราะหลงผิดคิดว่าแดนสวรรค์มายา
    เป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นหรือนิพพาน
    จึงเป็นการใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์
    ที่เป็นความบกพร่องของ "จิตสามนึก"
    คือ นึกได้ว่า นึกเอาว่า และนึกเอาเองว่า

    เช่นนึกคิดเอาเองว่าสามารถใช้สิทธิ์
    ครอบครองสวรรค์มายาชั้นนี้แห่งนี้ได้
    เหมือนการยึดครองที่ดินบนโลก
    ในฐานะของผู้เข้าถึงก่อนหรือเข้าอยู่ก่อน

    สักวันหนึ่งการจัดสรรที่ดินบนสวรรค์มายา
    เสมือนมหาอำนาจจัดสรรที่ดินบนดวงจันทร์
    มันก็จะเกิดเป็นธุรกิจธุรกรรมขึ้นมาให้เห็น
    นี่ก็นับเป็นการเข้าใจผิดอีกหนึ่ง...

    *ความเข้าใจผิด
    ที่แตกแขนงออกมามากมายเช่นว่ามา
    สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นว่า
    ตนเองนั้นเป็นจ้าวแห่งจักรวาล
    ทั้งๆที่ยังคนตนเองให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ
    แล้วก็นำพาท่านทั้งหลาย
    ให้หลงทางไปนิพพานกันหมด

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    28-2-2016
     
  10. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)
    "ศาสตร์แห่งจักรวาล"

    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    "กรรมเวร" นั้นมีจริง

    เพราะเหตุว่า....

    1.กรรม หมายถึง การกระทำใดๆของท่าน
    อันเกิดจาก "การสั่นสะเทือน" ของจิต
    ที่จะกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนของสมอง
    เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง

    2.เมื่อจิตกับสมองสั่นสะเทือนร่วมกันแล้ว
    ก็จะเกิดเป็น "มโนกรรม" คือ การกระทำทางจิต
    ที่จะตอบสนองต่อ "เงื่อนไข" ใดๆ
    อันเป็นตัวต้นเหตุให้จิตสั่นสะเทือนในข้อ 1.นั่น

    3.ส่วนใหญ่แล้ว
    การสั่นสะเทือนเป็น "มโนกรรม" นั้น
    จิตมักจะถามหา "บุคคล" หรือ "ตัวตน" ที่มีรูปธรรม
    เป็นเป้าหมายของ "การตอบสนอง" เสมอ

    4.ดังนั้น......มโนกรรม
    จึงเป็นพฤติกรรมทางจิต
    ที่สั่นสะเทือนตอบสนอง
    ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งยั่วยุ
    อันเป็นเงื่อนไขหรือเหตุ
    ให้จิตสั่นสะเทือนนั่นเอง

    เงื่อนไขให้จิตของท่าน
    เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมานั้น
    จะมีด้วยกัน 2 ด้าน

    คือ เงื่อนไขด้านบวก
    ที่ท่านพึงใจต่อผู้นั้นหรือสิ่งนั้น
    กับเงื่อนไขด้านลบ
    ที่ท่านไม่พึงใจต่อผู้นั้นหรือสิ่งนั้น

    5.ในที่นี้.....
    เราจะกล่าวเฉพาะด้านลบให้ท่านรู้ว่า

    เมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าไม่พอใจ
    จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือน
    ให้เกิดเป็น "มโนกรรม" ด้านลบ
    ในรูปของอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
    เพื่อตอบสนองต่อตัวต้นเหตุนั้นเสมอ

    6.ผลของมโนกรรมลบที่เกิดขึ้น
    มันจะปรากฏเกิดขึ้นใน 2 มิติตามลำดับ

    ลำดับแรก:
    ผลของมโนกรรมลบนั้นมันจะเกิดขึ้น
    ในมิติที่สองตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็น
    เพราะมันจะอยู่ในรูปของ "พลังงาน"

    โดยพลังงานจาก "มโนกรรมลบ" นี้
    มันจะปราฏอยู่ในรูปลักษณ์ของ
    "คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก" ระบบหนึ่ง
    ซึ่งจะมี "คุณสมบัติแห่งมโนกรรม" นั้น
    บันทึกไว้เป็นคุณสมบัติ
    ของคลื่นพลังงานนั้นด้วย

    เราจึงเรียก "มโนกรรมทางพลังงาน"
    ที่มีคุณสมบัติแห่งมโนกรรมลบ
    อันเกิดจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
    ที่ท่านมีต่อตัวต้นเหตุหรือสิ่งเร้านั้นๆว่า
    "ผลกรรมด้านลบ" นั่นเอง

    ลำดับสอง:
    เมื่อท่านผลิตสร้าง "ผลกรรมด้านลบ"
    ให้ปรากฏขึ้นไว้ในมิติแห่งจิตแล้ว
    ในขณะเดียวกัน "มโนกรรมลบ"
    ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนทางจิตด้านลบนั้น
    มันก็จะถูกจิตท่านขับเคลื่อนออกมาภายนอก
    ให้ปรากฏผ่านพฤติกรรม
    ทางอวัยวะร่างกายต่อเนื่องไปอีกด้วย
    เราเรียกมันว่า "พฤติกรรมภายนอก"

    โดยพฤติกรรมทางกายภายนอกนี้
    จะประกอบด้วย
    ภาษากายกับภาษาท่าทาง คือ "กายกรรม"
    และที่เป็นภาษาคำพูด คือ "วจีกรรม"

    ดังนั้น
    ทั้งกายกรรมและวจีกรรม
    จึงล้วนเป็น "พฤติกรรมภายนอก" ทั้งสิ้น

    7.ผลกรรมลบอันเกิดจากมโนกรรมลบ
    ดังที่เราได้สยายความมาตั้งแต่ต้นนี่ไง
    คือที่มาของประโยคทอง
    ซึ่งหลายท่านพากันท่องเสียจนขึ้นใจจำว่า
    "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

    โดยจิตของท่านนั้นเมื่อมันสั่นสะเทือน
    ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบแล้ว
    มันก็จะสั่งให้อวัยวะร่างกายท่าน
    เกิดการสั่นสะเทือนตามทางด้านลบ
    ให้เกิดเป็นอากัปกริยาท่าทางและพูด
    ที่เป็นพฤติกรรมด้านลบต่อตัวต้นเหตุ
    ให้ท่านสูญเสียสมดุลในจิตใจนั้นเสมอ
    โดยเกือบจะทันทีทันควันที่จิตตก

    เพราะเหตุนี้เองที่ผ่านๆมาเราจึงเรียก
    คนที่ต้องเป็นมนุษย์เยี่ยงท่านว่า
    "คนสองมิติ" หรือ "มนุษย์ในมิติคู่ขนาน"

    8.เมื่อท่านสั่นสะเทือนจิตกับสมอง
    จนเกิดเป็น "มโนกรรมลบ" ขึ้นมาเมื่อใด
    ถ้าคนที่ท่านแสดงมโนกรรมลบ
    ตอบสนองเขาไปนั้นเขาไม่รู้เรื่องด้วย
    เพราะว่าท่านแสดงออก
    แต่มโนกรรมลบอย่างเดียว

    หรือท่านอาจกระทำตอบสนอง
    ทางกายกรรมหรือวจีกรรมต่อเขาแล้ว
    แต่พวกเขา "อโหสิกรรมให้" ไม่เอาความ
    นั่นเท่ากับว่า "มโนกรรมด้านลบ" นั้น
    เป็นเพียงการกระทำผิดบาปต่อ "ใจ"
    หรือจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
    ของท่านเองโดยตรงเท่านั้น

    แต่ถ้าท่านขับเคลื่อนหรือแสดงมันออกมา
    ไม่ว่าจะเป็นทางกายกรรมหรือวจีกรรม
    มันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขให้จิตของเขา
    เกิดการสั่นสะเทือนเป็นลบขึ้นมาได้
    เขาก็จะเกิดอาการเสียสมดุลไปทางลบ
    ทั้งด้านอารมณ์รู้สึกนึกคิด
    จนเกิดเป็น "มโนกรรมลบ" ตอบสนองท่าน
    แล้วเขาก็อาจขับเคลื่อนมันออกมา
    เป็นกายกรรมกับวจีกรรมลบกระทำตอบ

    9.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    กระบวนการที่เรากล่าวมาตั้งแต่ข้อ 1- ข้อ8
    มันคือการ "หมุนกรรมจักร" ร่วมกันนะเอง

    วันๆพวกท่านที่สอบตกบททดสอบ
    ล้วนร่วมกันหมุนกรรมจักรในลักษณะนี้ทั้งสิ้น

    กรรมที่ท่านกระทำต่อกันเหล่านี้
    ไม่ว่าท่านจะก่อมันขึ้นมาด้วยมโนกรรม
    จนเกิดผลกรรมทางพลังงานมิติเดียว
    หรือจะก่อทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมด้วย
    มันล้วนแต่เป็น "กรรมเวร" ทั้งสิ้น

    10.คำว่า "เวร"
    หมายถึงสิ่งที่หรือภารกิจที่จักต้องมีผู้รับผิด

    "กรรมเวร" จึงหมายถึงผลกรรมด้านลบใดๆ
    ที่ผู้ใดกระทำหรือก่อขึ้นมาผู้นั้นต้องรับผิดชอบ

    ถ้าเป็นผลกรรมทางพลังงาน
    ผลกรรมนั้นผู้ก่อจักต้องทำให้มันเป็นกลาง
    คือ กำจัดคุณสมบัติกรรมลบนั้นเสีย
    ให้เหลือแต่พลังงานที่ไร้คุณสมบัติกรรม
    เหมือนคลื่นความถี่ทางพลังงานทั่วๆไป
    ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในธรรมชาติ

    วิธีทำให้มันเป็นกลางก็คือ
    การต้องมาเกิดใหม่
    เพื่อ "เผชิญ" กับเงื่อนไขแบบเดิมนั้นใหม่
    แล้วสั่นสะเทือนจิตกับสมองให้ถูกต้อง
    ด้วยการสั่นสะเทือนอารมณ์รู้สึกนึกคิด
    ให้เป็นด้านบวกต่อผู้สร้างเงื่อนไขนั้นให้ได้
    ผลกรรมที่เกิดขึ้นมันก็จะมีคุณสมบัติด้านบวก
    ซึ่งมันจะทำให้คุณสมบัติเดิมที่เป็นลบ
    ของผลกรรมที่ท่านเคยก่อขึ้นไว้นั้น
    เกิดความเป็นกลางทางไฟฟ้า
    ที่เรียกว่า "โมฆะกรรม" ในมิติแห่งจิตได้
    ผลกรรมนั้นจึงไม่มีอีกต่อไป
    นั่นคือ จิตจะ "ว่าง" ไปจากสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง
    อันเป็นบันใดสู่ "จิตสุญญตา" โดยแท้

    ทั้งหมดที่เราเปิดเผยมาในที่นี้
    เป็นคัมภีร์เรื่อง "กรรมเวร" ที่ท่านจักต้องเผชิญ
    ในภพชาติถัดไป (ถ้ามี) ในรูปของ "เวรกรรม"

    ใครเกียจคร้านในการอ่านทบทวน
    เพื่อทำความเข้าใจในสัจธรรมอันลึกล้ำนี้
    ในข้อกล่าวหาว่า "ร่ายยาวเกินไป"
    นั่นเท่ากับว่าผู้นั้นได้ปฏิเสธการหลุดพ้น
    ไปเรียบร้อยแล้ว....

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    2-2-2016
     
  11. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตจักรวาลอ่านกรรม
    *******************
    เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    ในเรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 1 ไปแล้ว

    เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
    อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
    ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
    สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
    ในผลกรรมแบบที่ 2 ให้ท่านรู้อีกว่า

    ถ้าหากภพชาตินี้
    ท่านต้องประสบกับชะตากรรมต่อไปนี้แล้ว
    ท่านจะสามารถสอบผ่านบททดสอบ
    และเข้าถึงความสำเร็จด้านการเรียนรู้
    ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
    ซึ่งแก่นแท้ของท่านถือชะตากรรมนั้น
    ติดตัวมาเองจากชาติที่แล้วได้
    ท่านจักต้องสำนึกให้ได้ว่า
    ท่านก่อกรรมทำเวรอะไรมา

    ชะตากรรมในกรรมแบบที่ 2 นี้ก็คือ

    1.มีคู่กี่ครั้ง ก็หย่าร้างทุกคน

    2.อยากมีคู่ร่วมเตียงเมียงมองมาหลายปี
    แต่ชีวิตนี้ดูเหมือนจะยากไร้คู่ครอง

    3.ไม่มีความสุขในครอบครัว
    ความเป็นคู่ตัวผัวเมียมักไม่ราบรื่น

    ทะเลาะกันเป็นนิจ ผิดใจกันเป็นประจำ
    ทั้งๆที่บางครั้งทะเลาะกันจริงจัง
    ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง....

    แปลก.....ทะเลาะกันอย่างไร
    แต่กลับไม่มีใครคิดจะแยกทาง

    แปลก...แปลก.....ทะเลาะกันหยกๆ
    แต่ลูกดกยั้วเยี้ย....

    ดังนั้น
    หากท่านจะสอบผ่านบททดสอบนี้
    ท่านจึงจะต้องเรียนรู้ชีวิตคู่ชีวิตโสด
    ให้ถ่องแท้ว่า...

    อันว่าคู่ครองของท่านนั้น......
    เป็นเสมือนทรัพย์สิ่งที่มีค่า
    ท่านมีหน้าที่ต้องให้เกียรติกัน
    ท่านต้องปฏิบัติต่อกันอย่างละมุนละมัย
    ด้วยจิตใจที่มองเห็นคุณค่าของกันและกัน

    ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น ให้อภัย
    ไม่เอาความรู้สึกนึกคิด
    และความต้องการของฝ่ายใด
    มาใช้อำนาจเหนือนำอีกฝ่ายหนึ่ง

    ต้องคิดดีต่อกัน
    ต้องพูดดีต่อกัน
    ต้องทำดีต่อกัน
    ต้องมองกันในแง่ดี

    ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
    เมื่อใครผิดจักต้องไม่ซ้ำเติมกัน

    ต้องไม่หวาดระแวงต่อกัน
    ต้องซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าลับหลัง

    นอกจากนั้นท่านยังจะต้องรู้ด้วยว่า
    อันคู่ครองของท่านนั้น
    คือผู้ที่มาเกิดเพื่อร่วมเล่นละครชีวิต
    ไปตามบทบาทที่ตัวท่านนั่นแหละ
    เป็นผู้ขีดเขียนแล้วร้องขอให้เขาเล่น
    ไม่ว่าจะเป็นบทดีหรือบทร้าย

    ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ท่านเข้าถึง
    การสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกต่อเขา
    ด้วยการรักเขาให้ได้
    ด้วยการให้อภัยเขาให้เป็น
    ด้วยการอดทน อดกลั้น เมตตา สงสาร
    ไปตามบทบาทที่เขาแสดงต่อท่าน

    เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมของเขา
    ผลิตสร้างประจุบวกให้กับโลก
    ตามเงื่อนไขพันธะสัญญาข้อแรกในหกข้อ
    ที่จิตวิญญาณของเขา
    ได้ให้ไว้ต่อพระบิดาตั้งแต่ภพชาติแรก
    ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

    ตัวท่านซึ่งเป็นคู่ครองเขาเองก็เช่นกัน
    ก็ได้ขอร้องให้เขาช่วยเล่นละครชีวิต
    ไปตามบทบาทที่ท่านเอง
    เป็นผู้เลือกให้เขาเล่นด้วยเช่นกัน

    โดยต่างได้ร่วมวางแผนกันมา
    ณ วิหารสีขาวที่เราเรียกว่า "ด่านนภาลัย"
    ซึ่งเป็นประตูมิติระหว่างเอกภพ
    กับดินแดนแห่งสุญญตาของผู้หลุดพ้นนั่น

    เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีแล้ว
    ท่านทั้งหลายถูกปิดมิติไว้มิให้ล่วงรู้
    เพื่อใช้บทละครที่เขียนกันมา
    เป็นบททดสอบจิตสำนึกของทั้งคู่
    โดยอาศัยความไม่รู้เพราะจำไม่ได้ของทั้งคู่
    เป็นเงื่อนไขสำคัญนั่นเอง

    หากท่านเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง
    ตามที่เราเปิดเผยมาทั้งหมดนี้
    แล้วปรับปรุงแก้ไขจิตสำนึกเสียให้ถูกต้อง
    เวรกรรมบทนี้จักถือเป็นยุติ
    ด้วยการรักได้ ให้เป็น
    เห็นคุณค่าของคู่ครองของท่านเท่านั้น

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    29-2-2016
     
  12. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตจักรวาลอ่านกรรม
    *********************
    เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    ในเรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 1และ 2 ไปแล้ว

    เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
    อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
    ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
    สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
    ในผลกรรมแบบที่ 3 ให้ท่านรู้อีกว่า

    *ถ้าภพชาตินี้ชะตากรรมของท่าน
    ต้องมีอาชีพเป็นคนรับใช้เขามาตลอด
    โดยไม่สามารถเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้
    เพราะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรที่ดีกว่า
    หรือหมายใจว่าจะทำแต่เหมือนไร้โอกาส

    *ถ้าภพชาตินี้ในหลายๆปีที่ผ่านมา
    ชะตากรรมของท่านที่เผชิญอยู่ก็คือ

    การที่ท่านต้องตกอยู่ในสภาพ
    เสมือนเป็นทาสของใครบางคน
    ที่ชอบใช้อำนาจเหนือนำท่าน
    ด้วยการออกคำสั่งบงการท่านให้ทำ
    ในสิ่งที่ท่านไม่เต็มใจที่จะทำอยู่เนืองๆ

    ท่านมักจะถูกกดขี่ข่มเหงทำร้าย
    ทั้งร่างกายและจิตใจของท่าน
    ให้ต้องได้รับทุกข์ระทม
    ให้ได้รับความทรมาน หรืออับอาย
    ในสภาวะจำเป็นต้องยอม
    โดยที่ท่านไม่สามารถจะเป็นอิสระได้

    ชะตากรรมทั้งสองลักษณะที่กล่าวนี้
    ส่วนใหญ่แล้วผู้รับกรรมทั้งหลาย
    จักต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ชั่วชีวิต

    เพราะมันเป็น "เวรกรรม"
    อันเกิดจาก "กรรมเวร" ที่ท่านผู้นั้นก่อไว้
    ในภพชาติอดีตที่ผ่านมา

    ความผิดบาปที่จิตวิญญาณแก่นแท้
    ของผู้ที่ต้องเผชิญชะตากรรมดังว่านี้
    จักต้องเรียนรู้และมีสำนึกให้ได้
    เพื่อทำให้ผลกรรมนี้เป็นโมฆะก็คือ

    ท่านจักต้องรู้สำนึกให้ได้ว่า
    การที่ท่านต้องมีอาชีพเป็นข้ารับใช้ชั่วชีวิตนี้
    การที่ท่านต้องตกเป็นทาสของคนอื่น
    การถูกคนอื่นกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบรังแก
    มันล้วนเกิดจากความผิดบาปของท่านเอง
    ในภพชาติอดีตที่ผ่านมา

    ความผิดบาปที่ว่านี้ ก็คือ "เนรคุณ"
    ต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ

    คำว่า "เนรคุณ" หมายถึง
    การกระทำไม่ถูกต้องต่อผู้มีพระคุณ
    ให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
    เสียทรัพย์สินสิ่งของ
    เสียเวลา เสียโอกาส เสียชื่อเสียง
    เสียใจจนแม้กระทั่งเสียชีวิต

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    ทรงเน้นย้ำเรื่องความกตัญญูกตเวที
    ไว้เป็นลำดับต้นๆ
    สำหรับคนที่จะเป็นมนุษย์

    เพราะพระองค์ทรงแลเห็นว่า
    พวกท่านที่เป็นส่วนใหญ่นั้น
    เมื่อจิตวิญญาณได้รับโอกาส
    ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้แล้ว
    ต่างก็พากันลืมพระผู้ให้กำเนิด
    จิตวิญญาณของตนจนหมดสิ้น

    มิหนำซ้ำหลายคนยังใช้จิตตปัญญา
    กระทำการก้าวล่วงจ้วงจาบพระบิดา
    ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อตนเอง
    ในฐานะผู้ให้โอกาส
    มาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้อีกด้วย
    อีกทั้งยังจดจำไม่ได้ด้วยว่า
    ตนเคยให้พันธะสัญญา 6 ข้อต่อพระบิดา
    กันว่าอย่างไรบ้าง....

    นี่มิใช่เป็นการ "เนรคุณ" ต่อผู้ให้กำเนิด
    จิตวิญญาณของตนเองดอกหรือ

    เพื่อให้ลูกๆที่เป็นบุตรมนุษย์
    ได้สั่นสะเทือนจิตสำนึกแห่งผู้กตัญญู
    เอาไว้อย่างจริงจังในทุกภพชาติ
    จะได้อนุรักษ์คุณสมบัติข้อสำคัญนี้ติดตัวไว้
    ไม่ว่าจะต้องเวียนตายเวียนเกิดกันกี่ชาติ
    จิตวิญญาณนั้นก็จะได้ไม่ลืมพระบิดา
    และไม่กระทำเนรคุณต่อพระองค์กันง่ายนัก

    นี่ขนาดพระองค์ทรงเน้นเรื่องกตัญญูมาก
    แต่มิวายบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
    ผู้กระทำตนเนรคุณต่อผู้มีพระคุณของตน
    ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในสังคมโลกกันอย่างดาดดื่น

    ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
    ยังจะมีบุตรมนุษย์ของพระองค์สักกี่คนกัน
    ที่ยังมีสำนึกรักพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    ที่ยังปฏิบัติงานตามที่ขันอาสาพระองค์มา
    ที่ยังคงรักษาพันธะสัญญา 6 ไว้ได้อย่างมั่นคง

    เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า
    ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้น
    ชะตากรรมของท่าน
    ในชาติสุดท้ายสำหรับกรณีนี้
    ก็เป็นอีกหนึ่งสำนึกที่ท่านจักต้องมี

    เรา...ทราบดีอยู่แล้วว่า
    การจะให้ท่านทั้งหลายนั้น
    มีสำนึกในผิดบาปที่เนรคุณต่อพ่อแม่
    ครูอาจารย์และผู้มีพระคุณกันได้เอง
    มันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย
    หากสนามแม่เหล็กโลก
    ยังมีแนวโน้มวิปริตแปรปรวนมากขึ้น

    เพียงแค่เมื่อได้มาเกิดในชาตินี้แล้ว
    ท่านต้องเผชิญกับการมีชีวิตลำเค็ญ
    เพราะมักตกเป็นทาสของผู้อื่นอยู่เสมอ

    เพียงแค่เมื่อได้มาเกิดในชาตินี้แล้ว
    ชะตากรรมของท่านก็คือ
    การตกเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นอยู่เนืองๆ
    จนมีแนวโน้มว่า....ตัวท่านนั้น
    น่าจะตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปตลอดชีวิต

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    1-3-2016
     
  13. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    หลายปีที่ผ่านมานี้

    มีทั้งคนคุ้นหน้าคุ้นตาและแปลกหน้า
    ได้พากันออกมากล่าวขานกัน
    ถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ
    ที่น่าสะพรึงกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
    พร้อมทั้งระบุวันที่เวลาที่จะเกิดและสถานที่
    เอาไว้ชัดเจนแบบฟันธงอีกด้วย
    แต่ท้ายที่สุดแล้ว...มันก็มิได้มีอะไรเกิดขึ้น
    คือ ทำนายทายผิดนั่นเอง

    แต่ในขณะเดียวกัน
    ทั่งโลกรวมทั้งประเทศไทยเองด้วย
    ก็มีแนวโน้มของการเกิดภัยพิบัติ
    ในรูปแบบต่างๆและแปลกๆเพิ่มขึ้นจริงๆด้วย

    สถานที่ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว
    ก็ชักจะเริ่มสั่นไหวถี่ขึ้นแรงขึ้น
    สถานที่เคยเกิดแผ่นดินไหวแล้ว
    ก็ยังมีการไหวซ้ำๆอีก

    สถานที่ไม่เคยเกิดพายุทอร์นาโด
    ก็กลับมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น
    ทั้งๆที่เป็นพิกัดนอกเขตทอร์นาโด

    สถานที่ซึ่งไม่เคยมี
    คลื่นอากาศหนาวเย็นจัดพัดผ่าน
    ก็ปรากฏว่ามีอากาศหนาวจัดอย่างไม่เคยเป็น

    สถานที่ไม่เคยมีน้ำท่วม
    ก็ปรากฏว่าเกิดอุทกภัยแบบเฉียบพลัน
    สถานที่ไม่เคยมีหิมะตก
    ก็เกิดหิมะตกลงมาอย่างหนัก
    โดยเฉพาะประเทศในดินแดนแห่งทะเลทราย
    ที่เป็นประเทศในเขตร้อน

    ปรากฏการณ์เหล่านี้เอง
    ที่ยั่วยวนให้นักทำนายหรือผู้พยากรณ์
    ออกมากล่าวขานกันอยู่เป็นระยะๆ

    แต่เราจะบอกความจริง
    ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกว่า
    ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลกเสรีนี้
    ทั้งที่ผ่านมา จนปัจจุบัน และในกาลอนาคต
    มันมิใช่ภัยที่เกิดจากธรรมชาติปกติ

    ภัยธรรมชาติที่ไม่ปกติก็คือ
    ภัยที่เกิดจากการเสียสมดุลของระบบโลก
    อันเกิดจากจิตสาม(สำ)นึกมนุษย์บกพร่อง
    ทั้งในมิติโลกทางกายภาพ
    เช่น การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
    และในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
    เช่น รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
    ดำเนินชีวิตด้วยกิเลสตัณหา เป็นต้น

    โดยที่วินาทีใดก็ตาม
    ถ้าโลกเสรีนี้เกิดการเสียสมดุลไป
    ในมิติใดมิติหนึ่งแม้เพียงเล็กน้อย
    ภัยพิบัติอันเกิดจากดินน้ำลมไฟ
    มันจะก่อตัวสำแดงปรากฏการณ์
    ขึ้นมา ณ บัดเดี๋ยวนั้นเสมอ

    นอกจากนั้นภัยพิบัติหนักเบาแต่ละแบบ
    ยังเกิดจากการกระทำของช่างเท็คนิก
    ในแผนปฏิบัติการปรับสมดุลของดาวโลก
    เพื่อยกระดับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
    ด้วยวิธีการชำระส่วนเกิน
    ที่เป็นขยะรกโลกออกไปเสียจากระบบ

    ด้วยเหตุนี้เอง...
    คำทำนายของพวกเขา
    จึงไม่เคยมีความแม่นยำแม้เพียงสักครั้ง
    เพราะความศักดิ์สิทธิ์หรือการเป็นผู้วิเศษ
    จะไม่มีวันเข้าถึงความจริงที่เกี่ยวกับ
    วันเวลาและพิกัดที่จะเกิดภัยพิบัติได้เลย
    เนื่องจากไม่มีผู้ใด
    จะสามารถล่วงรู้ล่วงหน้าได้เลย

    ที่รู้ล่วงหน้าไม่ได้ก็เพราะว่า
    จิตสำนึกมนุษย์ทั้งโลกจะบกพร่อง
    จนทำให้โลกเกิดการเสียสมดุลไป
    ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนั้น
    ไม่มีใครบอกได้หรอก
    แม้กลไกเท็คโนโลยีของมนุษย์โลก
    ก็ไม่มีความสามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้

    นอกจากนั้น...
    จะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้อีกเช่นกันว่า
    แผนปฏิบัติการชำระโลกของช่างเท็คนิก
    จะปฏิบัติการแบบไหน
    จะปฏิบัติการตรงพิกัดพื้นที่ไหน
    จะปฏิบัติการในวันเวลาใด
    จะปฏิบัติการในระดับรุนแรงขนาดไหน

    มันจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ในแผนปฏิบัติการเลย
    แม้แต่ทีมช่างเท็คนิกเอง
    เพราะพวกเขาจะลงมือปฏิบัติการกัน
    ในแบบกระทันหันเสมอ

    ผู้ใดที่แม้จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์
    ก็มิอาจบอกได้หรอกว่า

    จะเกิดแผ่นดินไหว
    จะเกิดภูเขาไฟระเบิด
    จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
    จะมีอุกกาบาตพุ่งชน
    ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

    เหตุผลเดียว คือ "ความลับของฟ้า"
    จึงเป็นที่มาของความไม่รู้

    ดังนั้น...
    ท่านทั้งหลายเมื่อรู้ความจริงดั่งนี้แล้ว
    ต่อไปก็จงอย่าได้เชื่อข่าวลือ
    อย่าได้หวั่นไหวไปกับคำทำนายนั้นๆ
    เพราะมันมิใช่หน้าที่ของพวกเขา
    พวกเขาจะไม่มีวันแม่นยำได้หรอก

    ความลับและความจริงของฟ้า
    จะทรงสื่อผ่านมาทางเรา
    ในรูปของข่าวสาร
    ให้ได้เปิดเผยกัน
    ตามกาลเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
    เพราะมันเป็นหนึ่งในภารกิจของเรา
    มิใช่ภารกิจของใครอื่น

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    4-4-2016
     
  14. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตจักรวาลอ่านกรรม
    *********************
    เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    ในเรื่องกฎแห่งกรรม
    แบบที่ 1,2 และ 3 ไปแล้ว

    เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
    อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
    ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
    สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
    ในผลกรรมแบบที่ 4 ให้ท่านรู้อีกว่า

    คนที่เกิดมาในภพชาตินี้
    ผู้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
    ลักษณะ "ปากแหว่ง" หรือ "เพดานโหว่"
    เป็นคุณสมบัติด้านลบติดตัวมาด้วย
    อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างนั้น

    เป็นเวรกรรมที่เขาจักต้องรับผิดชอบ
    ด้วยการสร้างจิตสำนึกที่ถูกต้อง
    จากการเรียนรู้ตลอดชีวิตในภพชาตินั้น

    โดยเขาจักต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่า
    ที่ตนต้องประสบกับชะตากรรมเช่นว่านี้
    เป็นเพราะก่อกรรมเวรอันใดไว้
    เพื่อที่จะมีสำนึกต่อไปให้ได้อีกว่า
    ในวันหน้าตนจะไม่ทำผิดบาปเช่นนั้นอีก

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    ลักษณะปากแหว่ง-เพดานโหว่นั้น
    เป็นลักษณะของผู้พิการทางปาก

    ผู้พิการทางปากก็คือผู้ที่ปากพิการ
    ผูที่ปากพิการก็คือผู้ที่ปากเสีย
    ผู้ที่ปากเสียก็คือผู้ที่ใช้ปากไม่ถูกต้อง

    ดังนั้น
    ผู้ที่ปากเสียจึงต้องถูกส่งเข้ามาซ่อม
    การซ่อมคือการสร้างจิตสำนึกใหม่
    ในการใช้ปากให้ถูกต้อง

    *กรณีของผู้ที่มาเกิดพร้อมปากแหว่งนั้น
    ความมีสำนึกที่ถูกต้องของตัวท่านก็คือ
    ท่านจักต้องยอมรับให้ได้ว่า

    ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
    ตัวท่านได้ก่อกรรมเวรที่ผิดบาปไว้
    ด้วยการชอบใช้ปาก
    ยุยงส่งเสริมคนอื่นให้เขาผิดใจกัน

    ด้วยการใช้ปาก
    ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาแตกแยกกัน
    เมื่อเข้ากลุ่มไหนก็มักจะวงแตกที่นั่น
    จนกลายเป็นนิสัยที่เคยตัวไปในที่สุด

    การที่ท่านต้องมาเรียนรู้บทเรียนโลก
    ด้วยลักษณะอาการ "ปากแหว่ง"
    ก็เพื่อจะได้ใช้ความอายเป็นเงื่อนไข
    กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนจิตสำนึก

    เพื่อให้ใช้ปัญญาแยกแยะให้ได้ว่า
    ระหว่าง "ปากเสีย" กับ "ปากสวย"
    อย่างไหนจะสร้างความมั่นใจให้ท่าน
    ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นได้มากกว่า
    ซึ่งผลลัพธ์แห่งการเรียนรู้นี้
    มันจะช่วยให้ท่านเกิดสติทางวิญญาณ
    ในการระวังปากระวังคำของท่านมากขึ้น
    โดยจะไม่ใช้มันพูด
    เพื่อทำร้ายทำลายใครๆอีกตลอดไป

    *กรณีท่านที่มาเกิดพร้อม "เพดานโหว่" นั้น
    ความมีสำนึกที่ถูกต้องของตัวท่านก็คือ
    ท่านจักต้องยอมรับให้ได้ว่า

    ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
    ตัวท่านได้ก่อกรรมเวรที่ผิดบาปไว้
    ด้วยการชอบใช้ปากหรือคำพูด
    ยุยงให้คนอื่นเขาทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ
    ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ

    เพราะเที่ยวยุยงให้คนอื่น
    เขาทะเลาะเบาะแว้งกันนี่แหละ
    จึงเป็นที่มาของเพดานโหว่

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    ปากเป็นกลไกอายตนะภายนอกที่สำคัญ
    ดั่งคำโบราณว่า "ปากเป็นเอก"

    จักรวาลจึงมีเพียงวิธีเดียวที่จะช่วย
    ให้มีการสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้อง
    ให้มองเห็นความสำคัญในการใช้ปากได้
    ด้วยการย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ในชาตินี้
    เพื่อคืนสมดุลให้แก่จิตวิญญาณตนเอง
    ให้ประสบผลสำเร็จในภพชาตินี้ให้จงได้

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    1-3-2016
     
  15. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตจักรวาลอ่านกรรม
    *********************
    เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    ในเรื่องกฎแห่งกรรม
    แบบที่ 1,2,3 และ 4 ไปแล้ว
    เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
    อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
    ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
    สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
    ในผลกรรมแบบที่ 5 ให้ท่านรู้อีกว่า

    *ถ้าคนใกล้ตัวของท่าน
    ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
    ที่มีอาการป่วยทางประสาท
    แม้ว่าเขาจะสามารถรับรู้
    โลกแห่งความเป็นจริงได้
    แต่ก็จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมาก
    ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

    โรคประสาทจะมีอาการตั้งแต่ซึมเศร้า
    ตื่นตระหนก และกังวลอย่างเฉียบพลัน
    ย้ำคิดย้ำทำ หวาดกลัว (phobia)
    วิตกกังวล หวาดหวั่นไม่สมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ใจสั่น อาจตัวร้อน ชาเป็นแถบ ๆ หายใจไม่อิ่ม
    เบื่ออาหาร มีเหงื่อออกตามมือและเท้า
    ก่อนหลับมีอาการสะดุ้งคล้ายตกเหว

    เป็นคนเจ้าอารมณ์ หลงตัวเอง
    หวาดกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ
    เช่น กลัวการอยู่ตามลำพัง
    กลัวสถานการณ์บางอย่าง

    เป็นคนย้ำคิดย้ำทำบางอย่าง
    ที่เกิดจากความวิตกกังวล
    โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้

    มีอาการซึมเศร้า
    ชนิดที่เป็นความแปรปรวน
    อันเกิดจากความขัดแย้งภายในจิตใจ
    หรือเกิดจากการสูญเสียของรัก คนรัก
    ทำให้มีความรู้สึกเศร้าหมอง
    จนขาดความสนใจสิ่งใดๆ

    ซึมเศร้าชนิดท้อแท้ ใจ
    จะมีอาการหมดแรง ไม่แจ่มใส
    นอนไม่หลับ

    ซึมเศร้าชนิดบุคลิกวิปลาส
    จะรู้สึกสับสน
    ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร

    จะมีความวุ่นวายเกี่ยวกับร่างกาย
    โดยย้ำคิดเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง
    ทั้งๆที่ร่างกายยังปกติเหมือนคนทั่วไป
    หรืออื่นๆ

    การป่วยด้วยโรคประสาทเช่นที่ว่านี้
    จะทำให้คนรอบข้างขลาดกลัว
    จะทำให้คนรอบข้างรังเกียจ
    จะทำให้คนรอบข้างเหยียดหยาม
    จะทำให้คนรอบข้างไม่พอใจ

    จะทำให้ตนเองทุกข์ทรมานจิตใจ
    จะทำให้ตนเองด้อยสมรรถนะกว่าคนอื่น
    จะทำให้ตนเองรู้สึกว่ามีปมด้อย
    จะทำให้ตนเองกุมสติไม่ได้
    จะทำให้ตนเองใช้ปัญญาไม่ได้

    คนที่มีอาการป่วยทางประสาทเหล่านี้
    เป็นชะตากรรมอันเกิดจากเวรกรรม
    ซึ่งจิตวิญญาณของคนผู้นั้นถือติดตัวมา
    อันเป็นบทเรียนโลกที่สำคัญบทหนึ่ง
    เพื่อเรียนรู้ที่จะมีสำนึกให้ถูกต้องให้ได้ว่า
    ได้กระทำผิดบาปต่อตนเองมาอย่างไร

    เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
    จิตวิญญาณของท่านได้ขันอาสาพระบิดา
    มาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้
    หน้าที่แรกที่จักต้องกระทำต่อตนเอง
    คือ ต้อง "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
    ด้วยกระบวนการของ "ขันธ์ 5"
    ตามที่เราเคยสื่อสอนมาให้แล้ว

    คำว่ามนุษย์แปลว่า "ผู้มีจิตใจสูง"
    ผู้มีจิตใจสูงหมายถึงผู้ที่สามารถเข้าถึง
    การสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาด้านบวก
    คือ รักได้ ให้เป็น ใช้ปัญญาของสมองได้
    อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์
    ที่จะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
    เพื่อปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ
    ซึ่งเป็น "พันธะสัญญา 6" ให้สำเร็จได้

    แน่นอนว่าถ้าท่านหรือใครก็ตาม
    จะเข้าถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์ได้
    ก็จักต้องเป็นผู้ครอง "มหาสติ"
    และมีปณิธานแห่งนิพพานอย่างชัดเจน

    มหาสติ คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ
    ปณิธานแห่งนิพพาน คือ
    การรักได้ ให้เป็น
    ไม่ก้าวล่วงใครแม้กระทั่งตนเอง

    เราถามท่านทั้งหลายว่า
    การทำตนเสเพลเหลวไหล
    การทำตนขี้เมาหยำเป
    การทำตนเป็นอันธพาลเกเรเมื่อดื่มจัด

    มันเป็นการใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นหรือไม่?
    มันทำตนให้มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์ได้มั้ย?
    มันจะบรรลุภารกิจทางจิตวิญญาณได้มั้ย?
    มันทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมเสื่อมใช่มั้ย?
    มันเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอื่นๆไม่ได้ใช่มั้ย?

    มันเป็นการทำลายสติ
    ทั้งของตนเองและผู้อื่นใช่หรือไม่

    มันปิดโอกาสการใช้สติปัญญา
    ของตนเองใช่หรือไม่

    มันมีแต่จะนำไปสู่การเป็นทาสกิเลสตัณหา
    เพราะว่าจิตสำนึกตกต่ำจนไร้สำนึก
    อันเป็นความล้มเหลวทางจิตวิญญาณ
    ใช่หรือไม่

    ความผิดบาปที่กระทำต่อจิตวิญญาณ
    และต่อเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเองเช่นนี้
    ล้วนมาจากจิตใจที่อ่อนแอ
    จนมีผลต่อกระบวนการทางประสาทสมอง
    ที่เสื่อมสมรรถนะในการใช้งานในชีวิต

    ดังนั้น
    ท่านผู้ใดที่กระทำผิดบาปต่อตนเอง
    ในแบบอย่างที่ไม่ดีดังกล่าวมานี้
    จึงต้องถือบทเรียนทางจิตประสาท
    ที่บกพร่อง ที่ไม่สมดุล ติดตัวมาด้วย

    เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าในการเป็นมนุษย์
    เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าของการมีมหาสติ
    เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าของปัญญา
    เพื่อให้มีสำนึกรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง

    หากใครสามารถ
    สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
    สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
    ในชะตากรรมอันไม่พึงประสงค์ในชาตินี้ได้
    เวรกรรมที่เผชิญนี้จะเป็นโมฆะทันที
    แต่...เมื่อจบสิ้นอายุขัยในชาตินี้เท่านั้น

    มันจะสำนึกได้ง่ายมั้ยล่ะ
    ถ้าตนมีอาการทางประสาท
    จนต้องวุ่นวายอยู่กับความไม่สงบทางจิต
    ในชีวิตประจำวันของตนอยู่อย่างนี้

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    2-3-2016
     
  16. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เพราะมนุษย์เรียนรู้ที่จะรักกันไม่ได้
    เรียนรู้ที่จะให้กันไม่เป็น.....

    พลังงานความรักจากจิตมนุษย์บนโลกเสรีนี้
    ที่อยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
    ตามสมการซัมเบต้าซึ่งเราเคยเปิดเผยไว้ให้แล้วนั้นว่า

    ในทุกพื้นที่ 33.33 ตารางกิโลเมตร กลับมีไม่ถึง 540 เม็กกะเฮิร์ท
    ทั้งๆที่พระบิดาทรงกำหนดอัตราขั้นต่ำไว้
    ให้พวกท่านแค่ 3 คน ก็สามารถเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้แล้ว
    แต่กลับไม่สามารถกระทำได้
    เหตุเพราะพวกท่านจำนวนมากมาย
    ไม่รู้จักว่าความรักที่แท้จริงคืออย่างไร

    เราจะขอบอกพวกท่านว่า....
    ที่มนุษย์อย่างพวกท่านพัฒนาความสามารถทางปัญญากันได้
    ก็เพราะท่านมีปัญหาน้อยใหญ่ให้ได้เผชิญกันในชีวิตเป็นบททดสอบ

    ที่มนุษย์อย่างพวกท่านสามารถข้ามผ่านความทุกข์จนเข้าถึงความสุขได้
    ก็เพราะท่านทั้งหลายต้องมีความทุกข์ในชีวิตเป็นบททดสอบ

    อันความรักนี่ก็ใช่....
    เมื่อพวกท่านไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักการให้ จนดาวโลกเสียสมดุลไปเช่นนี้
    จักรวาลจึงต้องส่งผ่านบททดสอบ "ความกลัวตาย" มาให้เป็นบทเรียนเช่นกัน
    มันคือเหตุการณ์ร้ายอันน่าสะพรึงกลัวในรูปแบบต่างๆ
    แม้พวกเธอเคยตายกันมาหลายรูปแบบในภพอดีตแล้วก็ตาม
    แต่ความน่ากลัวของสถานการณ์เพื่อการชำระโลกคราวนี้
    มันจะไม่เคยมีอยู่ในประสบการณ์แห่งความตายของผู้ใดมาก่อนเลย

    การที่ท่านกลัวตัวเองต้องตาย
    นั่นย่อมแสดงว่าท่านน่ะรักตนเองเป็นแล้ว

    การที่ท่านกลัวพ่อแม่พี่น้องต้องตาย
    ย่อมแสดงว่าท่านรักพวกเขาเป็นแล้วเช่นเดียวกัน

    การที่ท่านกลัวว่าเพื่อนร่วมโลกต้องตาย
    ย่อมแสดงว่าท่านรักพี่ๆน้องๆทางจิตวิญญาณของท่านได้แล้ว

    การที่ท่านกลัวว่าโลกจะแตกสลาย
    นั่นย่อมหมายถึงท่านได้เรียนรู้ที่จะรักโลกของตนเองกันแล้วนั่นล่ะ

    มหันตภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ คือ สถานการณ์สะพรึง
    ที่ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ท่านทั้งหลายบนโลกนี้ได้เผชิญกันแล้ว
    ใครเชื่อก็ต้องเผชิญ...ใครไม่เชื่อก็ต้องเผชิญ
    โปรดเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
    เพื่อการผจญภัยกันเถิดนะ
    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    3-09-2014
     
  17. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เงียบๆมานาน...ท่านฉุกคิดอะไรได้บ้างไหม

    ภาพทั้งห้าที่นำมาแสดงนี้
    เป็นภาพพื้นดินที่แตกแยกเป็นทางยาว
    วัดความยาวได้ไม่ต่ำกว่า 100 เมตร

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ภูเขาเตี้ยๆลูกหนึ่ง
    ในแถบ Waymouth ประเทศอังกฤษ

    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    แผ่นดินแตกแยกที่อังกฤษนี้
    สาเหตุการเกิดต่างจากเหตุที่ถนนแตกแยก
    บริเวณธัญบุรีหรือเขตพื้นที่อยุธยานะ

    เพราะที่นี่แตกแยกเพราะคลองข้างถนน
    เกิดภาวะแล้งน้ำขั้นวิกฤต
    จนแผ่นดินบริเวณนั้นขาดน้ำตามไปด้วย
    การทรุดตัวลงของแผ่นดินจึงทำให้ถนนแยก

    แต่สำหรับที่อังกฤษ
    ท่านควรเห็นเป็นเรื่องแปลก
    โดยให้มันแปลกพอๆกับเกิดภาวะน้ำท่วม
    ในกรุงลอนดอนและชานเมือง
    ที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
    ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

    นี่ก็เช่นกัน...
    ปรากฏการณ์แผ่นดินแตกแยกที่นี่
    เป็นสัญญาณเตือนภัยในแผนปฏิบัติการ
    เพื่อการชำระโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
    เข้าสู่โหมดแห่งการเริ่มต้นแล้ว
    โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป

    ท่านผู้สนใจ...โปรดรอติดตามชม

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    19-4-2016
     
  18. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    *เพื่อยืนยันข่าวสารการชำระโลก
    ในการนำโลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

    ที่มนุษย์โลกจักต้องผ่านมหันตภัยพิบัติ
    แบบต่างๆที่จะได้เผชิญกันในวันหน้าไปให้ได้

    ซึ่งเราได้ทำหน้าที่เปิดเผยความจริง
    ของข่าวสารการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
    ให้รู้กันล่วงหน้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว

    มายาแห่งปรากฏการณ์พลิกประวัติศาสตร์
    กรณีเกิดอุทกภัยหรือ "น้ำท่วมทะเลทราย"
    จึงถูกช่างเท็คนิกทำสิ่งที่เหลือเชื่อ
    ให้คนที่ไม่เชื่อข่าวสารของเรา
    ให้คนที่เคยต่อต้านข่าวสารเรา
    ให้ได้ประจักษ์ ให้ได้จำนน

    เพราะพวกเขาจะไม่สามารถ
    ใช้ตำราวิทยาศาสตร์ฉบับเดิมอธิบายได้เลยว่า

    ทำไมน้ำจึงท่วมประเทศในเขตทะเลทรายได้
    ทั้งๆที่ประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมานั้น
    ประเทศนี้ไม่เคยมีปัญหา
    ด้านอุทกภัยกรณีน้ำท่วมเช่นนี้มากอนเลย

    ทำไมน้ำจึงท่วมฉับพลัน
    จนพวกเขาขับรถหนีไม่ทัน
    ทำให้รถยนต์หลายคัน
    ต้องจมน้ำที่ไหลหลากมาไปต่อหน้าต่อตา

    เราจึงขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
    โลกจะเกิดมหันตภัยพิบัติรุนแรงกระจายทั่ว
    ด้วยปฏิบัติการทางเท็คนิกที่ถูกกำหนดแผนไว้
    มิใช่ภัยธรรมชาติตามปกติแน่นอน

    ให้ดูประเทศในเขตทะเลทราย
    ที่จะเกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมหนัก
    หรือจะเกิดกรณีหิมะพัดตกถล่มลงมา
    ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้ากันอีก
    แล้วท่านบางคนค่อยหันมาฟังเราก็ได้

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    21-4-2016
     
  19. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย

    เกี่ยวกับปฏิบัติการเปลี่ยนโลกเสรีนี้
    จากยุคพลังงานเก่าผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    ด้วยการแจ้งข่าวสารการชำระโลกในทุกมิติ
    ให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้รับทราบกันล่วงหน้า
    ตามกาลเวลาอันเหมาะสม
    เพื่อมิให้พวกท่านแตกตื่นตกใจกลัวหรือต่อต้าน

    โดยเราเป็นผู้กล่าวไว้
    ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลต่อท่านทั้งหลาย
    นานกว่า 30 ปีโลกที่ผ่านมาแล้ว

    นัยสำคัญที่เราเปิดเผยความลับเบื้องหลังมิติโลก
    ต่อท่านทั้งหลายให้ได้รู้กันมาก็คือ
    มนุษย์โลกจักต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติ
    แทนการทำสงครามโลกครั้งที่ 3 กันเอง

    โดยมหันตภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ
    จะถูกจัดโปรแกรมให้มนุษย์ทั้งโลกได้เผชิญ

    เพื่อทดสอบจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
    เพื่อทดสอบจิตสำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียว
    เพื่อทดสอบจิตสำนึกการเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรี

    ควบคู่ไปกับการ "ชำระขยะโลก"
    ที่พวกท่านทั้งหลายผลิตสร้างกันขึ้นมา
    ไม่ว่าจะเป็นขยะวัตถุเท็คโนโลยี
    หรือจะเป็นขยะพลังงานจิตในรูปอีเล็คตรอนอิสระ
    ที่ถูกเหวี่ยงออกมาสั่งสมไว้ในบรรยากาศ
    จากการเหวี่ยงอารมณ์หยาบๆรายวันใส่กัน
    โดยไม่รู้ตัวว่า "ตน" กำลังสร้างขยะพลังงาน
    ที่โลกไม่ต้องการกันอยู่อย่างไร้สติสำนึก

    ปฏิบัติการเพื่อการชำระโลกให้สะอาดและสมดุล
    เพื่อการเปลี่ยนโลกผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    ขณะนี้กำลังดำเนินการโดยทีมเท็คนิกทั่วโลก
    ดังท่านจะได้เห็นภัยพิบัติแปลกๆแบบต่างๆ
    เกิดผิดฤดูกาลบ้าง เกิดผิดที่ผิดทางบ้าง
    ซึ่งนับวันจะเกิดกระจายทั่วและรุนแรงขึ้น

    ทีมช่างเท็คนิกผู้อยู่เบื้องหลังภัยพิบัติต่างๆนั้น
    จะแบ่งคร่าวๆออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

    1.กลุ่มแรก
    จะเป็นทีมช่างเท็คนิกที่อยู่ในระบบโลกเอง
    คือ กลุ่มดวงจิตวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวร
    ทั้งคนและสัตว์ที่ต้องตายเพราะถูกทำร้าย
    ให้เกิดความทุกข์ทรมานและอาฆาตแค้น
    เมื่อตายแล้วจึงไม่ยอมไปผุดเกิด
    คงได้แต่ติดตาม "จองจำ" มนุษย์
    ผู้ที่เคยล่วงเกินทำร้ายพวกเขาไว้ไม่ยอมห่าง
    เพื่อคอยหาโอกาสแก้แค้นทวงคืนตลอดมา

    ในจังหวะปฏิบัติการชำระโลกนี้
    เมื่อใดที่สนามแม่เหล็กโลก
    เกิดอาการวิปริตแปรปรวนไปชั่วขณะ
    นั่นเท่ากับว่า "บานประตู" เปิดปิด
    ระหว่างมิติโลกกับมิติจิตวิญญาณ
    จะถูกแง้มออกชั่วขณะด้วย

    พวกเขาเหล่านี้จึงสบโอกาสหลุดเข้ามาสู่
    มิติโลกทางกายภาพของพวกท่านทันที

    พวกเขาคลั่งแค้นใครอยู่
    ก็จะเข้าจู่โจมจัดการผู้นั้นทันทีเมื่อมีโอกาส
    โดยจะใช้ประจุลบอิสระสกปรกที่พวกท่าน
    พากันผลิตสร้างแล้วเหวี่ยงออกมาทิ้งขว้าง
    สั่งสมไว้ในบรรยากาศโลกนี่แหละ
    เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ

    ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพายุฝนลูกเห็บ
    เข้าโจมตีทำร้ายพวกท่าน
    ด้วยก้อนน้ำแข็งสกปรกก้อนโตๆ
    จนหลังคาบ้านทะลุเสียหาย
    จนกระจกรถยนต์แตกกระจาย

    ไม่ว่าจะเป็นพายุหมุนฤดูร้อน
    ที่พัดถล่มอาคารบ้านเรือน เสาไฟฟ้า ต้นไม้ใหญ่
    ให้พังทลายลงมาเพื่อหมายเอาชีวิตพวกท่าน
    หรือกรณีฟ้าผ่าฟาดลงมาทั้งๆที่หลบอยู่ในที่กำบัง
    เพื่อเอาชีวิตพวกท่านและสัตว์เลี้ยง

    ไม่ว่าจะเป็นพายุลูกเห็บที่ตกลงมากับฝนหนาว
    ซึ่งเกิดขึ้นกลางทะเลทรายจนประสบภัยน้ำท่วม
    บางแห่งลูกเห็บตกลงมาจนขาวโพลนดั่งหิมะตก
    ทั้งๆที่ตรงพิกัดนั้นเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง

    ส่วนกรณีที่เห็นในภาพ (ที่ทำวงกลมไว้)
    พวกเขาโผล่หน้าออกมาให้ท่านได้เห็นมายา
    เพื่อยืนยันว่าที่เรากล่าวมาน่ะเป็นความจริง
    ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลก
    มิได้หลอกลวงเพ้อเจ้อหรือชวนท่านงมงาย

    เป็นภาพที่ถ่ายมาจากกองเพลิง
    ที่เกิดจากไฟป่าแล้วลุกลามเข้ามาในเมือง
    แล้วทำการเผาผลาญอาคารบ้านเรือนอาศัย
    แม้กระทั่งโรงแรมใหญ่ในเมืองจนวายวอด
    โดยพวกเขาไม่กี่รูปธรรมใช้อาวุธคือ

    1.ความอาฆาตแค้นฝังจิตวิญญาณ

    2.ประจุลบอิสระขยะพลังงานจิตด้านลบ
    ที่มนุษย์ผู้มากกิเลสตัณหาพากันเหวี่ยงมันออกมา
    ทิ้งอยู่ในชั้นบรรยากาศอย่างหนาแน่นอยู่แล้ว

    3.ใช้แรงลมกระพือ
    อันเกิดจากปฏิบัติการของพวกเขาเอง
    โดยร่วมมือกันสร้างพลังลมขึ้นมา
    เพื่อใช้เร่งไฟและต้านพลังน้ำที่ถูกนำมาดับไฟ

    ซึ่งในภาพจากเหตุการณ์ที่นี่ปรากฏว่า
    ไฟลุกไหม้จากป่าเดินทางเข้าโจมตีตัวเมือง
    จนบัดนี้เผาอาคารบ้านเรือนไปแล้วกว่าหกร้อยหลัง
    และยังต้านพวกเขาไม่อยู่ (ไฟยังไม่ดับ)
    ชาวเมืองต้องอพยพหนีตายกว่าหกหมื่นคน

    ข้อสังเกตว่ามิใช่ไฟป่าลามมาเผาเมืองธรรมดา

    1.ไม่ยอมลุกลามไปทิศทางอื่น
    ได้แต่มุ่งหน้าเข้าสู่ย่าน Down Town เท่านั้น

    2.ไฟลุกลามอยู่ดีๆก็สามารถที่จะข้ามถนนไฮเวย์
    ไปเผาคฤหาสถ์บนเนินเขาคนละฟากถนน
    ก่อนที่จะลุกลามเข้าชุมชนถัดไปได้ (ดูคลิป 1-5)
    ซึ่งปกติแล้วมิใช่ไฟจะข้ามถนน 4 เลนไปได้ง่ายๆ

    3.การไหม้ข้ามถนน คือ การปิดถนนไฮเวย์เส้นนั้น
    เสมือนบังคับให้ผู้คนอพยพไปทางเดียว
    เพื่อหนีออกนอกเขตไฟไหม้ออกไปจากเมือง
    ซึ่งเหลือเพียงสายเดียวคือขึ้นเหนือเท่านั้น

    2.กลุ่มสอง
    ช่างเท็คนิกกลุ่มที่สองนี้เป็นกลุ่มใหญ่
    เดินทางมาจากนอกระบบโลก
    เป็นช่างเท็คนิกของพระบิดา (องค์จิตจักรวาล)
    มีทีมผู้เชี่ยวชาญต่างๆเฉพาะด้านมากมาย
    โอกาสต่อไปเราจะแนะนำพวกเขาให้ท่านรู้

    โปรดดูภาพประกอบ
    ในวงกลมที่วงไว้เป็นมายาของใบหน้าพวกเขา
    ผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการไฟนรกนี้
    เมื่อทุกสิ่งราบเป็นหน้ากลองแล้ว
    ไฟจะดับเอง....

    หมายเหตุ:
    ไม่เชื่อ...ไม่ใส่ใจ ก็จงอ่านผ่านไปเสีย
    จงอย่าได้ลบหลู่ก้าวล่วง

    เวรกรรมนั้นมีจริง

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    5-05-2016
     
  20. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ภาพปลาซาร์ดีนนับล้านตัว
    ถูกพบเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค.นี้
    โดยพวกเขาพากันขึ้นมาเกยหาดตาย
    บริเวณ ชายฝั่งของชุมชนเมนโดซ่า ประเทศชิลี

    นับว่าเป็นครั้งที่สองแล้วในเวลาแค่ 15 วัน
    ที่ชายฝั่งของหมู่บ้าน carahue นี้
    มีฝูงปลาซาร์ดีนจำนวนมากมาเกยหาดตาย
    โดยเฉพาะที่ชายหาด lobería
    ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป 40 ไมล์ จาก carahue

    *เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    ยิ่งประเทศแถบนี้มีแผ่นดินไหวถี่ๆมากเท่าใด
    ยิ่งประเทศแถบนี้มีแผ่นดินไหวรุนแรงมากขึ้น
    รอยยุบแยกใต้ทะเลย่านนี้ก็จะเกิดเพิ่มขึ้น
    เพื่อการลดความเครียดภายใต้แผ่นเปลือกโลก

    แต่มันจะยังผลให้อุณหภูมิของน้ำทะเลร้อนขึ้น
    จะยังผลให้น้ำทะเลเกิดการปนเปื้อนสารพิษ
    ที่ผุดขึ้นมาตามรอยแยกและหลุมยุบมากขึ้น

    จะยังผลให้ปริมาณก๊าซออกซิเจน
    ในน้ำทะเลแถบนั้น
    เกิดการลดปริมาณลงอย่างฉับพลันกระทันหัน

    ดังนั้น
    ต่อไปนี้โอกาสที่ท่านทั้งหลาย
    จะได้เห็นฝูงปลาน้อยใหญ่นับแสนนับล้านตัว
    พากันมาเกยหาดเกยตื้นตาย
    ในย่านที่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยๆ แรงๆ
    ท่านก็จะได้เห็นกันบ่อยมากขึ้นอย่างแน่นอน

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    3-05-2016
     

แชร์หน้านี้

Loading...