ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่?

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 4 มิถุนายน 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>บทความโดย ธรรมสาทโร ภิกขุ เทศนาออกอากาศ วิทยุชุมชนเทพนิมิตมงคล 98.25 Mhz


    วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 และ วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551


    “ปลาที่ยังไม่ตาย ต้องว่ายทวนน้ำ เหมือนกับผู้[​IMG]ปฏิบัติ ธรรมส่วนใหญ่ คือผู้ที่พยายามว่ายทวนกระแสกรรม ผู้ที่อยู่เฉยๆ ไม่คิดหรือพยายามที่จะว่าย จึงต้องไหลไปตามกระแสกรรม ไหลไปจนถึงจุดจบของชีวิต เมื่อถึงตอนนั้นหากคิดจะว่ายทวนน้ำ คงจะสายเกินไปแล้ว”


    [​IMG] ในครั้งที่ 7 นี้ อาตมาจะขอเน้นเรื่อง “การกิน” เป็นพิเศษ หัวข้ออื่นๆจะตามมาในครั้งหน้า (ถ้าโยมยังไม่เบื่อซะก่อน ไม่เกลียดอาตมาซะก่อน เพราะอาตมาใช้คำพูดแรงและตรงไม่อ้อมค้อมนะ เพราะอาตมามีธรรมเป็นอาวุธ ไว้สู้กับกิเลส ก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาตมาจะตัดถางป่าดงดิบรกทึบที่อยู่ในใจ ตัดมันจนกว่าโยมจะได้เห็นแสงสว่าง เอาแค่รำไรก็ยังดี) หากใครรู้สึกว่าเจ็บจี๊ดๆที่หัวใจ นั้นแสดงว่า อาตมากำลังเฉือนเนื้อร้ายออกไปจากหัวใจโยมทีละนิดๆ แล้วใช้เวลาซักพัก อาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง

    ว่า ไปแล้วหลายคนไม่รู้ หลายคนอาจจะมองข้ามไม่ได้ฉุกคิด เพราะเราทำตามมาตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทำมาเป็นร้อยๆ พันๆ ปีหรือมากกว่านั้น เห็นตัวอย่างแบบนี้มาตั้งแต่เกิด ความเคยชินต่างๆ จึงครอบงำผูกติดเอาไว้ นานวันเข้าก็ยิ่งแน่นๆ หลุดหนีไปไม่ได้ จึงเกิดเป็นวัฎจักร วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด ที่พุทธองค์เรียก “วัฏสงสาร” cycle of life คือ เห็นแล้วสงสารมากที่จะต้องตายแล้วเกิดวนเวียนไม่จบสิ้น ความเคยชินต่างๆ นี่แหละคือกรรม ทำให้เรามองเห็นแสงธรรมที่จะส่องลงมากลางใจได้ยากยิ่ง เหมือนกับเราอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบสูงชัน แสงอาทิตย์ไม่สามารถสาดส่องลงมาจนถึงพื้นได้ ไม่รู้กลางวันไม่รู้กลางคืน มองทิศทางเดินไม่เห็น ไปไม่เป็น อาศัยแต่คลำทางไปเรื่อยๆ หลงทิศ ฉันใดก็ฉันนั้น แต่ถ้ารู้จักตัดถางริบใบออกซะบ้าง แสงอาทิตย์ แสงแดด จะสาดส่องลงมาจนถึงพื้น โยมจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันสว่างไสว ยิ่งตัดถางริบใบมากเท่าไหร่ แสงแดดก็ส่องลงมาได้มากขึ้น มองอะไรก็เห็นทะลุปรุโปร่งชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน แถมยังฆ่าเชื้อโรคได้อีกแม่นบ่ แต่ถ้าเราปิดกั้นกับสิ่งใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ เหตุผลใหม่ๆ เราก็จะหมดโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คุณค่าความยิ่งใหญ่จะมีมากน้อยก็อยู่ตามแต่เหตุปัจจัยนั้นๆ เมื่อเรารู้ว่าสิ่งนี้ดีมากๆโอ้ประเสริฐไร้ที่ติ “โอ้ววว!! มันยอดมาก!! ซาร่า ว้าว!! มันเยี่ยมยอดจริงๆ ค่ะจร๊อชช” แต่เราอ่านแล้วก็ปล่อยผ่านไป ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปอีก สิ่งไหนเป็นประโยชน์ โยมก็ไม่รีบทำ ไม่รีบปฏิบัติ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ถ้าปล่อยไว้นานโยมเองก็จะถูกปกคลุมด้วยความมืด จวนๆ จะเจอแสงสว่างอยู่แล้ว มันก็ไม่เจอสักที แต่ถ้าโยมรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดแทบทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี ต้องมีสติตั้งมั่นคิดตามให้มากๆ

    ใช้เหตุผลตามให้มากๆ มองให้เห็นทะลุทั้ง 6 มิติ (มองโดยรอบ) มีความเป็นกลางไม่โอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใด แล้วโยมก็จะกลายเป็นคนที่มีจิตใจเปิด มองอะไรก็เห็นแจ้งแทงตลอด จริงมั้ย ....ไปๆมาๆก็น่าน้อยใจนะ พระบวช พระเรียน พระคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อมาใช้ในการเทศนา ใช้ในการสอน อยากให้โยมเชื่อ ให้โยมบรรลุ ผลักดันให้โยมถึงฝั่ง ใช้ปากไม่พอ ใช้มือก็ยังไม่พอ ต่อไปจะใช้อะไรดีนะ?? แต่โยมก็ไม่เชื่อ ยังไม่ทำตาม โยมก็รู้ว่ามันดี๊ดี แต่ก็ไม่ลงมือทำซะที มันติดที่อะไรเน้อ ช่วยบอกอาตมาที...


    อาตมา บวชมาระยะเวลาหนึ่งประมาณ 9 เดือนเห็นจะได้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะบวชแค่เดือนเดียวเท่านั้นก็จะกลับไปทำงานต่อ เพราะงานทุกอย่างตอนนี้อาตมาฝากโยมเพื่อนดูแลไว้คนเดียว ป่านนี้คงเดี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้อาตมาเริ่มมีปัญหาแล้วเพราะงานบางอย่างโยมเพื่อนทำแทนไม่ได้ อาตมาทำได้คนเดียว เงินหลุดไปหลายแล้ว แต่อาตมาจะหาวิธีช่วยทำงานบางอย่างจากที่นี่ เพื่อจะช่วยโยมเพื่อนได้บ้าง ทั้งนี้อาตมาช่วยโยมเพื่อนเท่ากับช่วยตัวอาตมาเอง ภาระโยมเพื่อนก็จะเบาลง อาตมาก็จะได้ยืดระยะเวลาสึกออกไป บวชต่อไปอีกได้นานขึ้น อาตมาก็ได้แต่บอกโยมเพื่อนว่าทนๆ หน่อยนะ ขอบวชอีกสักหน่อย ผลัดไปอีกขอให้เห็นบั้งไฟ ผลัดไปอีกหน่อยขอให้ได้เข้าพรรษา ผลัดไปอีกสักหน่อยขอให้ได้รับกฐิน ผลัดไปอีกขอให้ได้ครบองค์ประกอบของการบวชพระ ผลัดโยมเพื่อนเค้าไปเรื่อยๆ เกรงใจเค้าเหมือนกัน อาตมาก็ไม่แน่ใจว่าจะยืดระยะเวลาแบบนี้ได้นานแค่ไหน จนกระทั่งตอนนี้ผลัดไปจนจะครบรอบฮีตสิบสองแล้ว จนอาตมาแน่ใจอะไรบางอย่าง จึงสินใจอีเมลบอกกับโยมเพื่อนว่า ปล่อยงานของอาตมาที่กรุงเทพฯเลย จะได้ไม่เหนื่อย เพราะตอนนี้อาตมาตัดสินใจ จะอยู่ช่วยคนที่ภาคอีสานจนกว่าเราจะหมดแรง ดูเป็นสุภาพบุรษจังเลยเนอะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่อาตมาจะทำจริงๆ


    แต่จะพยายามทำเท่าที่ทำได้นะ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะชีวิตคล้ายกับเปลวเทียนที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง ลมพัดมาแรงๆ ก็พร้อมที่จะดับได้ทุกเมื่อ และโยมก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะดับด้วยเช่นกัน แต่มีข้อแม้ต้อง ดับอย่างมีสติ นะ เข้าใจบ่ ..ตอนที่อาตมาบวชพระวันแรกๆ ยังจำตอนฉันอาหารครั้งแรกได้ กังวลมาก จะฉันยังไงดี ตัวเราเองก็ไม่กินเนื้อสัตว์ กรุงเทพก็หาร้านเจยากแล้ว ตอนแรกๆ โยมยังไม่รู้ เห็นอาตมาไม่ค่อยฉันอะไร ก็ตะโกนบอกอาตมาว่าฉันไปเถอะ อาหารอีสานก็มีแต่แบบนี้แหละ ตามมีตามเกิด อาตมาก็ไม่ได้ตอบอะไรเดี๋ยวก็คงจะรู้เองล่ะนะ จะไม่ให้จ้องแต่กับข้าวได้อย่างไร ก็อาหารอีสาน มีแต่เนื้อสัตว์ล้วนๆ เลย แถมยังแปลกๆ ด้วย ตายแน่ๆ งานนี้จึงต้องลำบากโยมป้าฝึกทำอาหารมังสวิรัติมาใส่บาตร แรกๆ ก็ทำไม่คล่องอาตมาจึงจดสูตรอาหารไปให้ ตอนนี้ทำเก่งแล้ว เปิดร้านอาหารเจได้สบายเลย ก็ขอให้ได้บุญเยอะๆ นะโยม

    อาตมาได้ฉันอาหารมาระยะเวลานึงก็เริ่มเห็นอะไรอยู่ตัว [​IMG]สังเกต มานานแล้ว โยมจับทุกอย่างมาทำเป็นอาหารได้หมด กิ้งก่าเอย แมงต่างๆเอย ล่าสุดไข่กบ กินได้ไง? ไข่มดแดงนี่มีทุกวัน อาตมาจะบอกโยมว่า มันบาปนะรู้มั้ย โยมตัดวงจรชีวิตของมันตั้งแต่ยังเป็นไข่ ธรรมชาติสร้างเครื่องป้องกันตัวให้มดแดงมีพิษกัดแล้วแสบคัน สร้างสัญชาติญาณเอาไว้สอนให้มดมันกลัวคน จึงสร้างรังไว้ในที่สูงๆ เพราะมันคิดว่าเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับไข่และลูกน้อยของมัน มันหวงและสู้สุดชีวิตขนาดอยู่ในถ้วยแล้วมันยังเดินรอบไข่เลย สัญชาติญาณสร้างให้มันมีความรักความเป็นห่วงลูก เหมือนกับคนไม่มีผิดเพี้ยน แต่ความพยายามของคนก็ยังปีนขึ้นไปจับมัน ไปสอยมันมาทำเป็นอาหารจนได้ กินกันอย่างอร่อยลิ้น แบบนี้เค้าเรียกว่าฆ่าล้างโคตร สัตว์พวกนี้น่าสงสารมากนะโยม เป็นเพราะบาปกรรมของเค้าที่ทำให้จะต้องเกิดมาเป็นสัตว์ชั้นต่ำ กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกเค้าต้องใช้บาปกรรมไม่รู้จักกี่ภพกี่ชาติ และยิ่งเกิดเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ อีก ก่อนจะมาเกิดหรือจุติเป็นสัตว์ ดวงจิตเค้าจะต้องถูกตีจนแตกละเอียดกระจัดกระจาย รังมด 1 รังใหญ่ ดวงจิต 1 ดวงนะโยม เค้ายังใช้กรรมที่สร้างไว้ไม่ทันหมด โยมก็ไปเร่งให้เค้าไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี้ต่อไปอีก ก็ยิ่งทำให้เค้าใช้กรรมไม่รู้จักจบ จะต้องตาย แล้วก็เกิด ไม่เสร็จไม่สิ้นซะที แค่นี้เค้าก็รับกรรมแย่แล้วนะโยมน่าเห็นใจเค้านะ อย่าทำร้ายเค้าอีกเลย อย่าเห็นแก่ความแซ่ป ไม่กินสักวันเราก็ไม่ตายหรอก คิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หายอยาก นี่อาจจะเป็นความเห็นเป็นมุมมองของคนเมืองนะ แต่ที่นี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเคยชินกันแล้วมาตั้งแต่ปู่ ย่า ตายาย เป็นอย่างนั้นรึเปล่า

    [​IMG]อาตมา เห็นญาติโยมเกาะติดสถานการณ์ที่วัด มาทำบุญแต่เช้า เตรียมอาหารแต่เช้า ไม่เคยขาดเลย รู้สึกเป็นภาพที่น่าดีใจมาก จึงถ่ายรูปเก็บ เห็นแล้วชื่นใจจริงๆ ภาพแบบนี้ ความตั้งใจแบบนี้ ในเมืองหลวงไม่มี เพราะกรรมกระมัง ที่ต้องทำงาน ที่ต้องออกจากบ้านกันแต่เช้า บ้านแต่ละคนก็ไม่ได้ใกล้ที่ทำงาน ส่วนใหญ่จะอยู่รอบๆ เมือง จึงทำให้หมดโอกาสเข้าวัดในเวลาเช้าๆ แบบนี้ อาจจะได้เข้ากันอีกทีก็โน่น งานของตัวเอง คราวนี้อยู่กับวัดนานเลย อยู่กันเป็นคอนโดเลยนะ มีตั้งหลายชั้นน่าอยู่ทีเดียว แต่อาตมาก็ไม่อยากไปอยู่หรอก อยู่แบบนี้ดีแล้ว มีเวลาก็พิมพ์หนังสือ ทำเว็บไซต์ เตรียมสอนเด็กๆ ได้เจอญาติโยมได้พูดได้คุย ได้ฟังเสียงอีสาน ฝึกไปวันละคำ สองคำ เดี๋ยวก็เข้าใจได้ เดี๋ยวก็พูดได้ คำไหนไม่เข้าใจอาตมาก็ถามพระด้วยกัน พระก็สงเคราะห์บอกให้เข้าใจ …แล้วอาตมาได้ยินได้ฟังมาจากไหนล่ะ? ก็ตอนฉันจังหัน กับฉันเพลนี่แหละ พ่อออก แม่ออก เค้าก็จะแลกเปลี่ยนข่าวสารในหมู่บ้านมาพูดคุย มาเล่าสู่กันฟัง นั่งคุยกันเป็นกลุ่มๆ ฟังไปฟังมา เหมือนรายการของโยมสรยุทธ์เลย ถึงลูกถึงคนจริงๆ

    อาตมาอาจจะมีความโชคดีเล็กน้อย คือ ได้มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับการเกิด เจ็บ ตาย และได้มีโอกาส ศึกษาธรรมมาบ้างพอควร สองสิ่งนี้ เมื่อมารวมกัน ก็จะเกิดเป็นปัญญา ให้ฉุกคิด ทำให้เราคิดที่จะลงมือทำ ให้รู้จักสร้างเหตุ อุดรูรั่วต่างๆให้หมด ให้รู้จักตัวตนจริงๆของตัวเอง ให้รู้จักสภาวธรรมจริงแท้ ให้รู้จักพุทธจิตธรรมญาณเดิมของตัวเองว่าเป็นเช่นไร ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเป็นเกราะป้องกันภัย ให้กับตัวเอง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ..ขอพูดถึงพุทธจิตธรรมญาณสักหน่อย จริงๆ แล้วแต่เดิมนานมาแล้วไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนปี ก่อนที่เราจะได้มาจุติเป็นมนุษย์ เรามีดวงจิตเดิมแท้ ซึ่งมาจากที่เดียวกันเป็นดินแดนที่สุขสงบ เป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ใสสะอาดดุจเพชรที่เจียระไนและขัดถูอย่างประณีต แต่เมื่อมาจุติเป็นมนุษย์แล้ว นานวันนานปีเข้าก็ถูกกระแสแห่งกิเลส มี ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นพลังร้าย สิ่งเหล่านี้ทำให้ดวงจิตมัวหมองลง และยิ่งถ้าไม่มีโอกาสพบเจอพุทธศาสนา ขาดการขัดเกลา เมื่อมันเกาะกับดวงจิตแน่นเข้าๆ ดวงจิตเหล่านั้นก็มัวหมองลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างแห่งปัญญาก็หมดลงตามไปด้วย เมื่อหมดปัญญาก็ไม่รู้จักการสร้างบุญ เมื่อไม่รู้วิธีก็ไม่สามารถที่จะกลับขึ้นไปจุติยังภพภูมิของตัวเองที่เคย อยู่มาแต่เดิม และด้วยแรงกรรมที่ได้ทำไว้ ก็ได้ไปจุติเป็นสิ่งต่างๆ ตามที่กรรมกำหนด ถ้าทำกรรมไว้มากๆ ก็ไม่รู้จักกี่ชาติจึงจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก และก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสได้พบกับกระแสธรรมของพุทธองค์หรือไม่ เมื่อหมดบุญก็จะต้องกลับไปเวียนวนอยู่อย่างนั้นต่อไป แต่ถ้ามีโอกาสพบกับกระแสธรรมของพุทธองค์ และน้อมนำสิ่งที่พุทธองค์พร่ำสอนมาใส่ตน จะทำให้มีการฉุกคิด จนเป็น
    ผู้ ตื่น จากอาสวะกิเลสทั้งหลาย ก็จะทำให้เราได้เป็นผู้รู้ รู้แล้วไม่ใช่รู้เฉยๆ ต้องเป็นผู้ตื่นด้วย คือเป็นผู้ที่ลงมือปฏิบัติ เราจึงจะเป็นผู้ที่เบิกบานคือ เบิกบานชื่นมื่นจากผลของการปฏิบัติ เมื่อได้มีโอกาสเดินตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เท่ากับเราได้เดินตามรอยเท้าพ่อ พ่อคิดอย่างไร เราคิดอย่างนั้น พ่อทำอย่างไร เราทำอย่างนั้น พ่อได้ผลอย่างไร เราก็จักได้ผลอย่างนั้นเช่นกัน เมื่อนั้นเราก็จะมีโอกาสกลับขึ้นไปดินแดนเดิมที่เราเคยลงมา และถ้าปัจจุบันโยมทำได้อย่างที่อาตมาพูดดังนี้ ตัวโยมเองก็ไม่ต่างอะไรกับ “พุทธะตัวจริง” จริงมั้ยโยม

    มี เหตุผลเข้าข้างตัวเองมากมายซะเหลือเกินที่เราจะหยุดการเบียดเบียนสัตว์มากิน เป็นอาหารไม่ได้ เช่น “มันบ่แซ่บ ถ้าไม่ได้ใส่มันลงไป” นอกเรื่องนิดนึง มีอยู่คราวนึง โยมป้าของอาตมาไม่ได้ทำอาหารเอง ก็ไปสั่งที่ร้านอาหารตามสั่ง ก่อนหน้านี้อาตมาได้เขียนรายอาหารว่า อันนี้ฉันได้ อันนี้ฉันไม่ได้ เขียนเป็นรายการไว้ ออเดอร์อาหารไว้ล่วงหน้า (อาบัติมั้ยเนี่ย) วันแรก เป็นราดหน้า ก็ใส่หมูสับมา อาตมาก็เขี่ยออก มันเขี่ยยากนะ หลุดเข้าปากอาตมาก็คายออก (ปากอาตมามีคุณสมบัติพิเศษในการคัดแยก ผัก เส้น เนื้อสัตว์ออกจากกันโดยอัตโนมัติ) วันที่สอง ผัดซีอิ้วใส่หมูสับอีกแล้ว คราวนี้มันยากหน่อย ตรงที่ ไข่กับหมู เวลามันโดนซีอิ้ว มันจะคล้ายกัน อาตมาก็ต้องใช้ช้อนสับๆดู ไข่ก็นิ่มหน่อย หมูก็เหนียวหน่อย ก็เขี่ยมันออกซะ ถ้าหลุดเข้าปากก็คายมันออก เป็นอย่างนี้อยู่ 4-5 ครั้ง จนอาตมาเริ่มสงสัยว่าโยมป้าจะเข้าใจที่บอกมั้ยเนี่ย เลยเรียกถามดู โยมป้าก็บอกว่า “สั่งตามที่อาตมาออเดอร์ ไม่ให้เค้าใส่เนื้อสัตว์เลย” โยมป้าก็กลับไปถามกับร้านอาหารตามสั่งว่ายังไงกัน กลับกลายเป็นว่าเค้ากลัวว่าอาตมาจะฉันไม่อร่อย เลยใส่เนื้อสัตว์ให้ตามปกติ อืมม ขอบใจนะโยม ...จบ

    ว่ากันต่อ เหตุผลสุดฮิตเลยที่ทำให้คนเราไม่หยุดกินเนื้อสัตว์ เพราะว่า คนเราถือว่าสัตว์เป็นอาหาร แทบทุกคนยอมรับในสภาพที่เป็นจริงของโลกนี้ว่า ต้องมีการกิน อยู่ หลับนอน สืบพันธุ์ สัตว์ก็คือ อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบเอาไว้ให้เค้ากินนี่หว่า เค้าก็กินมันน่ะซิ ถ้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์จะไม่มีแรงทำงาน หิวง่าย ต้องกินข้าวบ่อยๆ กลัวจะเป็นลม สารพัด แต่ประเด็นหลักๆ เลยก็คือ “กลัว” กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวที่จะเป็นคนดี กลัวที่จะทำความดี กลัวที่จะยืนอยู่บนความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ กลัวที่จะถูกสภาวธรรมจริงแท้เข้าปกครอง กลัวการสำนึกในสิ่งที่ทำผิด ที่ผ่านมา อาตมาไม่อยากจะว่านะ แม้แต่สัตว์ต่างๆ ยังรู้จักที่จะทำตามสภาวธรรมของตัวเองเลย ทำตามกรอบตามขอบเขตของมัน มันรู้ว่ามันควรจะกินอะไร หรือไม่ควรกินอะไร ไม่ต้องให้มีใครคอยบอกคอยสอน โยมสังเกตบ้างหรือไม่ เอ้า!! จะยกตัวอย่าง ลูกเหยี่ยว ของใกล้ตัวเลย โยมเค้ายิงพ่อมัน แล้วพระขอมาเลี้ยง 1 ตัว พระก็ต้องหาอ[​IMG]า หารให้มัน มันกินแต่เนื้อสัตว์เท่านั้น สดๆ ยิ่งชอบ คาวๆ ยิ่งชอบ แต่ถ้าเนื้อสัตว์มีกลิ่นเครื่องปรุง มันจะคายอาหารทิ้งเลย ถ้าเป็นผักไม่กิน เป็นข้าวไม่กิน มันรู้จักเลือกนะตัวแค่เนี้ย แบบนี้แหละที่เรียกว่าสัญชาติญาณ ใครเคยเห็นเหยี่ยวกินข้าวสาร กินผักบ้างมั้ย?? ..ไม่มี (ถามเองตอบเอง) วัวควายก็เหมือนกัน กินแต่หญ้า ใครเคยเห็นมันไล่จับ ไก่ จับกิ้งก่า กินเป็นอาหารบ้างมั้ย?? ..ไม่มี เอ้าลิงมั่ง ลิงกินอะไร กินหมู กินปลา มั้ย?? ..ไม่กิน ลิงกินกล้วย และผลไม้ ช้างมั่ง ช้างกินอะไร?? ..ช้างก็กินแต่ยอดไม้ ผลไม้ แตงกวา อ้อย สับปะรด แตงโมฯลฯ เท่าที่เคยเห็นนะ ไม่เห็นมันจะไล่กินวัว กินเสือ กินหมูเลย สัตว์เดรัจฉานแท้ๆ มันยังรู้ว่ามันควรที่จะกินอะไรเลย แต่มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด รู้มาก หัวสูง ผู้มีปัญญาเยอะ ผู้มีความรู้ ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ สูงส่งกว่าสัตว์ทั้งปวง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องกินอะไรมันน่าอายแทนสัตว์เดรัจฉานนะโยม อาตมาจะผสานหลักธรรมของพุทธองค์ กับ วิทยาศาสตร์ให้โยมดู ตั้งใจอ่านให้ดีนะ เข้าใจบ่ เออ เออ

    มองในแง่ของบุญบาปกันก่อนนะ เ[​IMG]มื่อ เราได้ลงมือฆ่าถือว่าเราเป็นผู้ทำบาปอย่างแน่นอนถูกต้องมั้ย?? สิ่งนี้ทุกคนยอมรับ พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญไว้เป็นอันดับ1เลย ทั้งนี้ก็ด้วยความเมตตาอย่างหาประมาณมิได้ และด้วยพระปัญญาที่เฉียบคมแยบคาย ทรงกำหนดศีลขั้นน้อยสุดแค่ 5 ข้อ แต่ครอบคลุมได้ทั้งจักรวาลเลย คิดตามให้ดีๆนะ ถ้าโลกนี้ทั้งโลกนับถือศาสนาพุทธ ทุกคนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แค่ข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เมื่อไม่มีซึ่งการฆ่าสัตว์ มนุษย์จะได้มีโอกาสกินสัตว์มั้ย?? เอ้า!! ตอบดังๆ ในใจ แล้วที่โยมกินกันอยู่ทุกวันนี้มันถูกหรือมันผิด ตอบ... แล้วเรายอมรับด้วยใช่หรือไม่ว่าทำบาปกรรมไปแล้วจะต้องตกนรก ไปเกิดเป็นโน่นนี่ ไปเกิดเป็นสัตว์ก็เยอะ แล้วเรารู้มั้ยว่า พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เราที่ตายไปแล้ว จะไปเกิดเป็นอะไร มีใครสามารถรับประกันได้มั้ยว่าเค้าเหล่านั้นทำบุญมาเพียงพอ ไม่ต้องมาเกิดอีก ด้วยแรงกรรมผลักดันจิตไปเกิดเป็นสิ่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน สัตว์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วโยมคิดว่าในชีวิตนี้ ที่เกิดมาไม่รู้จักกี่ปี กินไปรู้จักกี่ตัวเข้าไปแล้ว คิดคิดหรือว่าโยมจะไม่เคยกิน พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เป็นบาปหนักหรือไม่ แล้วเค้าจะเสียใจมั้ย..??

    ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ เทวดาเทพารักษ์ที่ปกครองรักษาโยม แต่ละองค์จะจดบุญบาปไว้อย่างละเอียดถี่ยิบเชียว ไอ้นี่ฆ่าหมา ไอ้นี่แอบไปกินแมว ไอ้นี่แอบไปได้เสียกับเมียคนอื่น ไอ้นี่ตบพ่อแตะแม่ ไอ้นี้ขโมยของที่เซเว่น ฯลฯ เพื่อเตรียมส่งรายงานให้เทวดาชั้นสูงต่อไป มันก็คล้ายๆ กับผู้ใหญ่บ้านดูแลลูกบ้าน เมื่อจะขอเงินพัฒนาหมู่บ้านก็ทำเรื่องส่งรายงานให้กำนัน กำนันก็จะส่งรายงานต่อกันไปเป็นทอดๆ นี่แหละ และเมื่อโยมหมดบุญจะได้รับการพิจารณาทันทีตามรายงานบุญบาปที่ได้รับไว้ ก่อนหน้านี้แล้วทุกคน นรกจึงทำงานได้อย่างไม่ผิดพลาดไง แต่ถ้าโยมยังจะเถียงท่านยมฯ ข้าไม่ได้ทำ โยมก็จะถูกกระจกส่องกรรมแสดงให้เห็นจะๆ ตรงนั้นเลย คราวนี้โยมก็หมดทางเถียงเพราะภาพมันฟ้อง โยมบางคนบอกว่า “ฉันไม่เคยฆ่าสัตว์เลยนะครูบา ฉันจะบาปได้ยังไง ไก่ เป็ด ฉันก็ไม่ได้เลี้ยง ฉันไม่ได้ฆ่ามันนี่ ฉันไปตลาด ฉันเสียเงินซื้อมันมากิน ฉันหาความผิดบ่ได้ คนอื่นฆ่า มันตายด้วยน้ำมือคนอื่น ยืนยันว่าข้าน้อยบ่ผิด บ่บาป!!” ตอบแบบนี้มันก็จริงของโยม แต่อาตมาจะยกตัวอย่างให้โยมดูซัก 1 ตัวอย่าง [​IMG]" โยมเกลียดไอ้ชาติลิงนั้นมาก ไม่ถูกชะตาซะเหลือเกิน เกลียดเข้าไส้กันเลย แถมมันยังโกงเงินเราไปล้านนึงหน้าตาเฉย ทวงเท่าไหร่ก็หน้าด้านไม่คืนซักที วันนี้เราจะต้องฆ่ามันให้ได้ โยมก็ไปจ้างมือปืนชั้นเยี่ยมชื่อว่าไอ้ชาติแมว บอกที่อยู่เรียบร้อย ไอ้ชาติแมวก็ไปดักรอยิงไอ้ชาติลิง ในขณะที่ไอ้ชาติลิงกำลังจะขับรถออกจากบ้าน ไอ้ชาติแมวก็ยิงทะลุกระจก ตัดขั้วหัวใจไอ้ชาติลิงอย่างแม่นยำ ผ่านไป 2 ชั่วโมง เมื่องานสำเร็จ มือปืนไอ้ชาติแมวโทรบอกโยม เรียบร้อยแล้วครับเจ้านาย ..จบ.” พิจารณาดูซิ ใครจะได้รับบาป?? ....ให้เวลาคิด 2 นาที เฉลย โยมบาปตั้งแต่คิดที่จะสั่งฆ่าเค้าแล้ว และยังสั่งให้มือปืนลงมือกระทำอีกบาปก็เป็นรูปธรรมชัดเจน ได้รับบาปเท่ากันทั้งคนฆ่าและคนสั่งฆ่า งานนี้ก็รับไปคนละ 50/50 นะโยม ไม่ใช่ว่าเป็นคนสั่งให้ฆ่าจะไม่มีความผิดนะ ถ้าโยมไม่สั่งไอ้คนฆ่าจะรู้มั้ยว่าให้ฆ่าใคร
    แล้ว ถ้าเป็นเรื่องจริง โยมคิดว่าตำรวจจะจับใคร จับแค่คนยิง หรือจับแต่คนจ้างวาน เอาตามจริงนะ ตำรวจจับเข้าคุกทั้งคู่ ฉะนั้นคนละครึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น โยมซื้อเนื้อสัตว์จากพ่อค้ามากินก็บาป แต่โยมยังจะเถียงอีก “ฮ่วย!! ครูบาพูดบ่เข้าใจ๋ บ่บาปแน่นอนข้าน้อย ฉันไม่ได้ไปสั่งให้ฆ่าไก่นะครูบา มันตายรอให้คนมาซื้ออยู่แล้ว มันจะบาปยังไง ตังก็ต้องเสียยังจะบาปอีกหรอ ไม่ได้ไปขโมยไก่เค้ามากินนะ ก็ต้องปลอดภัยจากบาป ไม่บาปแน่ๆ ยืนยันฟันธง!!เลยข้าน้อยบ่ผิด บ่บาป!!” แต่อาตมาก็ยังว่าบาปอยู่ดี บาปเพราะโยมเป็นตัวการทำให้เกิดการฆ่า เข้าใจบ่ (ยังทำหน้างงอยู่อีก) ถ้ายังไม่เข้าใจอีกจะอธิบายเพิ่ม อาตมาจะโยง ให้เห็นถึงวัฎจักรและสาเหตุที่สัตว์มันต้องถูกฆ่าให้ดู ในหลักการของพ่อค้าเมื่อจะหาสินค้าซักอย่างนึงมาขาย ต้องทำยังไงบ้างโยมคิดซิ ....ให้เวลาคิด 1 นาที ไม่รอหรอก เฉลย
    1. ต้องดูความต้องการของตลาด
    2. ดูแหล่งวัตถุดิบ
    3. ดูความคุ้มค่าในการผลิต
    ถ้าเค้าผลิตออกมาแล้วไม่มีคนกิน ก็แย่นะ เจ้งแน่ ยกตัวอย่างไก่ย่าง 5 ดาว ขายดีเชียวในเมืองหลวง ตอนนี้ล่าสุดทำไก่จ้อออกมาอีก เป็นเพราะเค้าทำการตลาดถูกทาง คือมีการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ มีการวางจุดขาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ รูปแบบร้านและสินค้า ดูแล้วน่าสนใจ น่ากิน มีความอร่อยด้วย คนถึงได้กินอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 20 ปีนะ นี่แหละคือวัฎจักร เมื่อมีคนกินไก่ มันก็มีการฆ่าไก่ ยิ่งกินไก่กันมาก ไก่ก็จะถูกฆ่ามาก เมื่อต้องฆ่าไก่มากๆ ก็ต้องทำเป็นระบบ ก็ต้องทำเป็นโรงเลี้ยงไก่เอง ทำเป็นโรงงานฆ่าไก่ และแปรรูปไก่เอง ทำเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คราวนี้ก็กระจายจุดขาย สินค้าให้ทั่วถึง ทั่วทั้งประเทศ และยังผลิตเผื่อออกไปทั่วโลกอีก ถ้ายังผลิตไม่ทันขายอีกต้องใช้สารเร่งให้ไก่โตเร็วๆ จะได้ขายได้ทัน เมื่อไก่ถูกเร่งให้โตเร็วๆ ซึ่งเป็นการโตแบบผิดปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ภูมิต้านทานในตัวไก่ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไก่เป็นโรคต่างๆ มากมาย มีไข้หวัดนกเป็นต้น ทีนี้ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไก่สารพัดมากมาย คราวนี้คนที่กินเข้าไปได้รับผลโดยตรงเป็น 3 เท่าเลย คือ 1. สารเร่งให้สัตว์โตเร็วๆ 2. วัคซีนตกค้างต่างๆ 3. และสารพิษที่สัตว์หลั่งไว้ก่อนตาย มองเห็นภาพมั้ย

    แต่ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งที่รักษาศีลของพุทธองค์ไ[​IMG]ด้อย่างเยี่ ยมยอด เชื่อในคำสอนของพุทธองค์และพยายามที่จะสร้างบุญ โดยพยายามหยุด วัฎจักรการฆ่า ด้วยการที่ไม่กิน ไม่สนับสนุนสินค้าที่ทำจากหนังสัตว์ฯลฯ สัตว์เหล่านั้นก็จะตายน้อยลง ที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพ่อค้าทำสินค้าออกมา แล้วขายไม่ได้ มันก็เหลือ ของสดเก็บไว้นานก็บูดเสีย เค้าก็จะต้องลดปริมาณการผลิตลง ยิ่งมีคนแบบนี้มากขึ้นๆ จนไม่มีคนบริโภคไก่ เค้าก็ต้องหยุดการผลิตไก่ หยุดการฆ่าไก่ นั่นเอง เข้าใจแล้วบ่ เออ เออ เข้าใจง่ายๆโตไวๆ

    โยมอาจจะสงสัยว่า สารพิษ?? อะไรคือสารพิษ?? ไก่มีสารพิษด้วยหรอ ไม่ใช่งู จะมีพิษได้ไง?? ..ตอบ ไม่ว่าสัตว์หรือคน เมื่อเวลาเครียด วิตกกังวล กลัว หรือตกใจมากๆ จะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา เรียกว่า อะดรีนาลิน adrenalin สารนี้เป็นสารที่มีตามธรรมชาติอยู่ในคน อยู่ในสัตว์ อยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นสารที่หลั่งออกจากต่อมหมวกไต หรืออาจจะเรียกว่า epinephrine มันเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่กระตุ้นการเต้นของหัวใจ ให้สูบฉีดโลหิตมากขึ้น เป็นกลไกใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงโคเจนเป็นกลูโคส ซึ่งทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ทันที ทำให้มีเรี่ยวแรงมหาศาลขึ้นมาในทันทีนั้นเอง สารตัวนี้เมื่อหลั่งมากๆ ในเวลาที่เราตกใจ จะทำให้คนเรากระโดดข้ามกำแพงสูง 5 เมตรได้สบายๆ หรือแบกโอ่งมังกรที่มีน้ำอยู่เต็มได้อย่างสบายๆ ถ้าอยู่ในประเทศจีน การกระโดด เหาะบนยอดไม้ วิชาตัวเบาฯลฯ คือการเรียนรู้วิธีการดึงสารอะดรีนาลิน ผสานกับพลังจิต เค้าสามารถดึงพลังแบบนี้มาใช้เรียกว่า “กำลังภายใน” มาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์นั่นเอง ทีนี้สารเหล่านี้มีประโยชน์เมื่อใช้ในร่างกายเมื่อใช้แล้วหมดไป แต่มันจะมีโทษถ้าหลั่งมาแล้วไม่ได้ใช้ มันจะกลายเป็นสารพิษ สะสมตามกล้ามเนื้อระบบเลือดอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย สารนี้จะมีน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับขนาดความใหญ่ของตัว สัตว์ตัวใหญ่ๆ จะมีสารอะดรีนาลิน มากกว่าสัตว์ตัวเล็กๆ อาตมาขอรับรองว่า สัตว์ทุกชนิดมีสารอะดรีนาลิน รวมทั้งคนด้วย ฉะนั้นเมื่อสัตว์ต่างๆ เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกฆ่า มันจะต้องตายแน่ๆ มันเครียด มันกังวล มันกลัว มันตกใจ มันเสียใจ จนแสดงออกให้เห็นได้ทางน้ำตา เมื่อสัตว์ตัวไหนจะถูกฆ่าแล้วเห็นน้ำตา แสดงว่าได้ผ่านกระบวนการ เครียด กังวล กลัว ตกใจ เสียใจ มาเรียบร้อยแล้ว สารอะดรีนาลิน ก็ได้ถูกฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายผ่านทางระบบโลหิตเรียบร้อย แล้วเช่นกัน เมื่อเราบริโภคเลือดเนื้อของสัตว์ตัวนั้นจะอร่อยเ[​IMG]ป็นพิเศษ เพราะสารอะดรีนาลินเป็นสารที่ทำให้เนื้อมีรสชาติอร่อยขึ้น สังเกตได้จาก เวลาที่เสือมันจะกินเหยื่อ มันจะไม่กัดให้ตายในคราวเดียวมันจะล่าไปเรื่อยๆ มันจะปล่อยให้เหยื่อกลัวจนลนลาน ให้หนี ให้วิ่ง เพื่อให้สารอะดรีนาลินหลั่งให้หมดจนทั่วทั้งร่างกาย มันจะได้อร่อยกับสัตว์ตัวนั้นอย่างเต็มที่นั่นเอง และเมื่อคนบริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้ อะไรจะเกิดอะไรขึ้น โยมรู้มั้ย?? โยมจะกลายเป็นผู้รับสารก่อมะเร็งโดยตรง จะค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ทำลายร่ายกายของโยมไปทีละน้อยๆ และยิ่งถ้าโยม เป็นคนขี้โกรธ ขี้กังวล เครียด ขี้ริษยา โยมก็จะเป็นมะเร็ง และโรคร้ายแรงอย่างอื่น เร็วเข้าไปอีก งานนี้โยมรับ 2 ทางเลยคือจากการกิน และจากตัวเอง พุทธองค์ ทรงรู้ในข้อนี้ จึงให้ใช้จิตในการบำบัดรักษา จำไว้ว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว พุทธองค์ทรงพยายามสอนให้เราเป็นคนมีเมตตานะ กรุณานะ มุทิตานะ อุเบกขานะ ทั้งหมดนี้จะทำให้เราเป็นคนใจเย็นนะ วางเฉยนะ ไม่ยินดียินร้ายนะ แล้วไอ้เจ้าสารอะดรีนาลีนมันจะหลั่งมาทำร้ายโยมได้ยังไงนะ ใช่หรือไม่

    [​IMG] อาตมายอมรับในส่วนนึงว่าเนื้อสัตว์มีประโยชน์ แต่มันก็มีโทษแฝงอยู่เช่นกัน มันเป็นคำสาปที่สัตว์ตัวที่ตายได้สาปแช่งไว้ และเมื่อกรรมของโยมมาบรรจบกันพอดี (กรรมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอกันนานเห็นได้ในชาตินี้แหละ) โยมก็หนีไปไม่พ้นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มะเร็ง โรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ความดันโลหิต ฯลฯ สารพัดมากมาย จริงมั้ยโยม หลักฐานคือผล ผลคือตัวอย่าง มันมีให้เห็นมาตั้งนานแล้ว อยากให้โยมลองมองย้อนไปถึงสาเหตุของคนเสียไปส่วนใหญ่ อาตมาไม่ต้องการขุดคุ้ยความเสียใจของญาติโยมถึงผู้ที่จากไปนะ แต่ต้องพูดเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นประจักษ์หลักฐานของจริงที่เห็นได้ ไม่ต้องมองไกลถึงไหน ให้มองในหมู่บ้านเรานี่แหละ ให้สังเกตดังนี้
    1. ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียไป จากไปด้วยอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไหนมีมากกว่ากัน และเป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไร เกิดขึ้นที่ส่วนใดของร่างกาย
    2. พฤติกรรมการกินของคนนั้น ชอบกินอะไร เหล้า บุหรี่ กัญชา ยาเสพติด เนื้อวัว เนื้อสัตว์ชนิดไหน ชอบอะไรเป็นพิเศษ
    3. การนอนหลับพักผ่อน การดูแลรักษาร่างกาย ออกกำลังกายบ้างมั้ย หรือเอาแต่กินกับนอน

    เมื่อ โยมพิจารณาวิเคราะห์ให้ดีๆ อย่างลึกซึ้งและไม่โอนเอียง ตัดรายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุออกไป คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง เรื้อรัง รักษาไม่หาย ส่วนน้อยมากที่จะเป็นผู้ไปด้วยดี คือนอนหลับยาวไปเฉยๆ โรคส่วนใหญ่ที่เป็นคือ มะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิต เบาหวาน เจ็บอ่อดๆแอดๆ ภูมิแพ้ อัมพฤต อัมพาตฯลฯ ซึ่งผลวิจัยส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการกินอาหารที่ผิดวิธี กินไม่ตรงกับที่ร่างกายต้องการ ยกตัวอย่างในต่างประเทศ เป็นโรคอ้วนกันมาก เพราะส่วนใหญ่อาหารของฝรั่งจะหนีไม่พ้น ชีสต์ ขนมปัง เนย ไขมันสัตว์ เบียร์ฯลฯ ที่ต้องกินเช่นนี้เพราะเค้าเป็นเมืองหนาวจะทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่อาหารเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนทั้งสิ้น โรคอ้วนนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายอ้วนแค่นั้น มันยังทำให้ระบบร่างกายผิดปกติตั้งแต่ภายในแทบทุกส่วน ไขมันที่อยู่ในเลือดมากเกินไปเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบ[​IMG]ลง ทางเดินเลือดไม่สะดวก ให้โยมนึกถึงท่อประปา เวลาที่โยมปั้มน้ำใส่ท่อที่ใหญ่ เครื่องปั้มจะทำงานไม่หนัก แต่พอเปลี่ยนท่อให้เป็นท่อที่เล็กๆ เครื่องจะทำงานหนักทันที ไม่นานเครื่องปั้มก็ต้องพังไป ต้องเปลี่ยนอะไหล่ตัวใหม่ แต่พอกลายเป็นหัวใจที่ต้องทำหน้าที่ปั้มเลือด พอเจอกับเส้นเลือดที่มันเล็กลง มันก็ต้องปั้มแรงขึ้น ทำงานหนักขึ้น แต่ที่แย่คือหัวใจไม่มีอะไหล่เปลี่ยน พังแล้วก็ตายอย่างเดียว ยิ่งเวลาที่เราออกแรงด้วยแล้ว จะทำให้เราเหนื่อยง่าย ลองเริ่มสังเกตตัวเองนะ โยมออกจากบ้านเดินยังไม่ทันพ้นปากซอยเลย ก็เหนื่อยแล้ว เดินถือตะกร้าอาหารจากบ้านมาวัดก็เหนื่อยแล้ว แบบนี้แสดงว่าร่างกายของเราเริ่มผิดปกติ ให้เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมเงินไว้บ้างจะเป็นการดี โรคอ้วนยังเป็นสาเหตุของไขข้อต่างๆ ในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติอีก ทำให้เราปวดแข่งปวดขา ปวดตามข้อต่างๆ จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร นั่นแหละ โรค อ้วนอาจเป็นสาเหตุของอัมพาตซึ่งเกิดจากการขยายตัว การพอกของไขมันตามส่วนต่างๆ ในร่างกายและไปกดทับเส้นประสาทต่างๆ สาเหตุใหญ่ๆ มาจากการ บริโภคเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์ที่ร่างกายย่อยสลายไม่ได้ มันจะอุดตันและขวางทางเดินเลือดสะสมตามส่วนต่างๆ ที่เค้าเรียกว่า คอเรสเตอร[​IMG]อล นั่นแหละ ซึ่งทำให้เกิดโทษมากมาย ซึ่งในขณะนี้ทั่วโลกเริ่มที่จะนิยมหันมากินอาหารมังสวิรัติ vegetarian food กันมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเป็นที่ประจักษ์ในวงการแพทย์แล้วว่า ผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติ ชีวจิต แม็คโคไบโอติก อย่างถูกหลัก และออกกำลังกายร่วมด้วย จะไม่เป็นโรคเจ็บป่วย ร้ายแรง เช่น มะเร็ง ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไขข้อกระดูกเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ ส่วนโรคกระจิ๊บ กระจ้อย ไม่ต้องพูดถึง บางรายหายขาดจากการเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเลือด และโรคเรื้อรังต่างๆ ก็หายเพราะการกินอาหารที่ถูกหลัก ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคเบาหวาน มีแผลเน่าเต็มเท้าและขา และเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็นอาหารชีวจิต แผลที่เรื้อรังต่างๆ ก็ลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ ภายใน 3 เดือนเท่านั้น ยาหมอไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ต้องกินเลย ความดันก็เข้าสู่ระดับปกติเหมือนคนเป็นปกติทุกอย่าง ทั้งนี้ก็ต้องควบคุมน้ำตาลด้วย เจ้าน้ำตาลนี่ตัวร้ายเลยโยม มันเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทำให้แผลเรื้อรังต่างๆ ไม่หายซักที ก็เพราะเรากินน้ำตาลเข้าไปเลี้ยงไว้ เชื้อโรคต่างๆ ในร่างกาย แบคทีเรียจึงมีอาหารที่ใช้สำหรับการเจริญเติบโต ถ้าโยมกินอาหารที่ไม่ใส่น้ำตาลได้ยิ่งดีและเป็นผลดีกับตัวโยม พูดถึงอาหารแม็คโคไบโตติก จะคล้ายกับมังสวิรัติ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ มีการคัดเลือกวัตถุดิบในการทำอาหาร คือจะต้องจับคู่วัตถุดิบในการปรุงอาหารที่เข้ากัน เช่น ในอาหาร 1 จาน วัตถุดิบตัวนี้อยู่ในหมวดร้อนต้องคู่กับวัตถุดิบหมวดเย็น เลือกให้เข้ากับหลักสมดุลหยินหยางนั้นเอง เพราะถือว่า ถ้าเราจะปรับสมดุลร่างกาย เราก็ต้องปรับสมดุลตั้งแต่อาหารที่จะกินเข้าไปซะก่อน นั่นเอง สอดคล้องกับที่พุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น” คือกินอะไร ก็จะได้อย่างนั้นเช่นกัน อาหารเจ มังสวิรัติ ชีวจิต แม็คโคไบโอติก คือการใช้อาหารเป็นยาอายุวัฒนะ นั้นเอง เข้าใจแล้วบ่ เออ เออ เข้าใจง่ายๆ โตไวไว

    ครั้งที่ 8 ทีนี้พูดถึงโรคที่เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่เสียไ[​IMG]ป ไม่ใช่เฉพาะที่หมู่บ้านนี่นะ ทั่วประเทศทั่วโลกก็เป็นกัน หนีไม่พ้นเรื่องการกินสัตว์ ยิ่งชอบกินสัตว์ใหญ่ก็ไม่พ้นมะเร็งขั้นรุนแรง เป็นในตำแหน่งที่ยากแก่การรักษา การบำบัดรักษาด้วยคีโม ฉายแสงก็ทำไปยังงั้นแหละ เอาเงินเข้ากระเป๋าหมอ ประวิงเวลาผลาญเงินตัวเองเล่นๆ เผาผลาญเงินลูกหลานเล่นๆ หายก็ไม่หาย ถึงหายแล้วก็เป็นอีก คราวนี้เปลี่ยนจุดไปอีกเรื่อยๆ อุตสาห์หาเก็บเงินมาตั้งนาน แก่งแย่งชิงดีกันแทบตาย เหนื่อยแทบตาย ก็เอาเงินมาใช้รักษาตัวเอง เอามาใช้งานศพตัวเอง ใช่มั้ย ผู้ที่ชอบกินขาหมู เนื้อตุ๋น กินมันทุกวัน แน่นอนเลย หนี้ไม่พ้นจะต้องเป็นโรคเส้นเลือดอุดตัน ความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเราไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของโรค คนเราจะมีอายุยืนนานมีสุขภาพดีก็อยู่ที่การกิน อยู่ที่ว่าเรานำอะไรใส่ปากนี่แหละ ไม่ต้องไปกินยาสมุนไพรวิเศษอะไรที่ไหนเลย กินให้ถูกวิธีกินอย่างที่มนุษย์ กินตามสภาวธรรมของมนุษย์ เพียงโยมต้องนำสภาวธรรม มาปกครองการกินเท่านั้น โยมจะพ้นจากคำสาปของสัตว์ และก็โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงได้อย่างแน่นอน

    [​IMG] อาตมาจะเปรียบเทียบโยมแต่ละคนตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ “สุสานคนเป็น” ขณะนี้โยมเป็นอย่างนี้จริงๆ ท้องของโยม ร่างกายโยม เป็นสุสานของสัตว์ต่างๆ ที่โยมกินเข้าไป ตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้เท่าไหร่ เทวดาที่ไหนจะปกปักษ์รักษาตัวโยมได้อย่างเต็มที่ จะพูดจะอธิฐานอะไรต่อเทวดา ก็เหม็นคละคลุ้งไปหมด เหม็นไปด้วยซากสัตว์ที่ตายไปแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัว ดวงจิตของสัตว์เหล่านี้แหละที่เป็นตัวเกาะพุทธจิตธรรมญาณ ให้มีความหมองหม่น มีผลให้เป็นคนโกรธง่าย โมโหง่าย เป็นคนขี้ริษยา ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล ยากแก่การควบคุม ยากแก่การเห็นธรรม ยากแก่การชำระให้ขาวสะอาด ยากแก่การไปสู่ภพภูมิที่ดี ยากแก่การหลุดพ้น ถึงตอนนี้โยมบางคนอาจจะแย้งในใจว่า “แล้วทำไมพระที่ฉันอาหารที่มีเนื้อสัตว์ยังหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ตั้ง เยอะแยะ จะกินหรือไม่กินก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” (หัวหมออีกแล้ว) อาตมาขอตอบแทนพระเหล่านั้นว่า พระย่อมฉันอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายเลือกไม่ได้ ที่พระต้องฉันเนื้อสัตว์ ก็เป็นการฉันเพื่อให้ร่างกายหรือขันธ์คงอยู่ ฉันเนื้อสัตว์ลงไปโดยไม่ได้ติดใจในรสอร่อย ไม่มีอุปทานว่ากำลังฉันเนื้อสัตว์ที่มีรสเลิศหรูโอชา หากแต่ถือเอาว่า อาหารเหล่านี้คือปฏิกูลสำหรับร่ายกายที่ต้องเน่าอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว เพื่อให้ดำรงอยู่ได้เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเท่านั่นเอง เข้าใจบ่ แต่ถ้าโยมอยากจะให้พระอายุยืนยาวอยู่แสดงธรรมให้โยมได้นานๆ ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน โยมก็ต้องทำอาหารมังสวิรัติถวายพระ ไม่ต้องกลัวว่าพระจะไม่ฉัน เพราะพระต้องฉันอาหารตามที่โยมนำมาถวาย เพราะพระไม่มีสิทธิ์เลือกฉัน จริงมั้ยพระ แต่อาตมาเลือกฉันเฉพาะที่พอจะฉันได้ ถึงตรงนี้พระบางรูปอาจจะโกรธอาตมา ฉันคนเดียวไม่พอ ยังจะมาบังคับให้ฉันแบบเดียวกันอีก เอ้า!! อาตมาไม่ได้ไปบังคับโยมนะ โยมเค้าคิดได้เอง โยมเค้ารักพระจริงเค้าถึงทำแบบนี้ เดี๋ยวนี้โยมเค้า คิดจริง ทำจริง ใช่หรือไม่

    เราลองมาดูในแง่ของศีล 5 กันบ้าง ที่โยมรับศีลไปทุกๆวันพระ โยมแน่ใจแล้วหรือว่าถือได้ครบทุกข้อบริบูรณ์ ตอบดังๆในใจ... ทบทวนกันซะหน่อย ศีล 5 มีอะไรบ้าง
    1. ห้ามฆ่าสัตว์
    2. ห้ามลักทรัพย์
    3. ห้ามประพฤติผิดในกาม
    4. ห้ามพูดโกหก
    5. ห้ามดื่มสุรา
    แต่บางคนท่องแบบนี้
    1. ห้ามฆ่าสัตว์ถ้ายุงกัดเราก็ตบ
    2. ห้ามลักทรัพย์ ถ้าเค้าเผลอเราก็หยิบ
    3. ห้ามบ้ากาม ถ้าเค้าตามเราก็เอา
    4. ห้ามพูดปด ถ้าเราตดบอกว่าเปล่า
    5. ห้ามดื่มเหล้า ถ้าจะเมา เอาให้เละ ใช่หรือไม่

    กับการที่โยมกินเนื้อสัตว์เพียงตัวเดียว โยมรักษาศีลได้ไม่ครบแล้วนะรู้ตัวมั้ย และไม่ได้ผิดธรรมดา ผิดรวดเดียว 4 ข้อเลย ทำหน้างงอีก เอ้า!!อธิบายให้ฟังต่อ เราถือเอาวิสาสะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นกินได้ เหล่านี้กินได้ เราแย่งชิงมาโดยที่เจ้าของเค้าไม่ได้ให้ เราไม่ได้เอาเปล่าเราเอาทั้งตัวเค้า เอาทั้งชีวิตของเค้ามาเลย แล้วเคยมีมั้ยที่สัตว์มันจะบอ[​IMG]กว่า “เอาไปเลยลูกพี่ เอาชีวิต เอาเนื้อผม เอาเลือดผม ไปทำอาหารให้อร่อยเหาะไปเล้ย!! เอ้าถ้ายังไม่พอกิน เอาลูกผม เมียผม ไปกินด้วยเลย เพื่อลูกพี่ผมเต็มใจถวายชีวิตนี้ให้ครับ” แบบนี้มีมั้ย?? หรือสัตว์มันเห็นโยมถือมีดกับเขียง มันก็รีบวิ่งเอาคอมานอนรอบนเขียงบอก “ลูกพี่รีบๆ สับคอผมเลยเร็วๆ ผมเมื่อยแล้วนะ” มีมั้ย?? มีแต่มันจะวิ่งหนี มันร้องขอชีวิตมันพูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ มันก็ร้องเป็นเสียงสัตว์แต่เราฟังไม่เข้าใจ แต่มีผู้รู้แปลออกมามีเนื้อหาใจความเดียวกันคือ “ไว้ชีวิตฉันเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันต้องมีภาระเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย/เลี้ยงผัว อย่ากินฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ” ถึงตรงนี้ โยมรู้ตัวรึยังว่าผิดศีลข้ออะไรบ้าง

    1. ขโมยชีวิต ฆ่าสัตว์ + ลักทรัพย์ เอาชีวิตเค้ามาโดยที่เค้าไม่ยินดีที่จะให้
    2. โยม ทำลายชีวิตครอบครัวเค้าให้พินาศแตกแยก อาจจะขาดพ่อ ขาดแม่ ขาดลูก ไม่ต่างอะไรกับ การประพฤติผิดในกาม ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกเช่นกัน
    3. โยม พูดโกหก ปากบอกว่าถือศีลๆ แต่จริงๆแล้วยังไม่ได้ถือแบบนี้เข้าข่าย “มือถือมีด ปากถือศีล”

    พอ ล่ะขี้เกียจจับผิด ปวดหัว โยมฆ่าสัตว์ตัวเดียวแต่ทำผิดศีลถึง 4 ข้อ รักษาศีลได้ข้อเดียว คือ เรื่องเหล้า แล้วแบบนี้จะได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยกันได้อย่างไร ใช่หรือไม่

    มา ดูในแง่ของวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องไปดูที่ไหน ดูที่ร่างกายโยมนั่นล่ะ เคยส่องกระจกดูตัวเองบ้างมั้ย พิจารณาตัวเองในกระจกทุกเช้าบ้างรึเปล่า ผิวหนังเหี่ยวย่น หน้าตา รูปร่าง เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ โยมมีเวลาที่จะต้องทำความดีมีน้อยลงไปทุกวันๆนะพูดถึงส่องกระจกต่อ จะส่องกระจกก็ได้แต่ภายนอก โยมต้องส่องลงไปให้ถึงใจด้วย พิจารณามันทุกเช้า ใจโยมเป็นพรหมเป็นพุทธะแล้วรึยัง หรือใจเรายังเป็นยักษ์เป็นมารอยู่ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลย ส่องกระจกทุกครั้งให้ส่องลงไปให้ลึก ถึงจิต ถึงใจ มองดูว่าเรามีความเมตตารักใคร่ผู้อื่นแล้วรึยัง ถ้าโยมยังไม่สามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนญาติสนิทเหมือนพี่น้องของเราเอง ยังรักพ่อแม่คนอื่น เหมือนพ่อแม่ของเราเอง ยังรักผู้ที่เราไม่รู้จัก เหมือนญาติสนิทของเรา ถ้ายังทำไม่ได้โยมต้องเริ่มฝึกนะ เพียงแค่ยิ้มให้หน่อย ทักทายนิดๆ ผู้ที่เห็นจิตใจก็ชุ่มฉ่ำแล้ว แต่ไม่ต้องไปรักแฟนคนอื่นเหมือนแฟนของเราเองนะ มันจะผิดศีลข้อ 3 ทันที ถ้าทำได้แบบนี้ เท่ากับโยมน้อมนำสภาวธรรมเข้ามาใส่ตัวนะ ผู้ที่หน้าตาไม่สวย ไม่หล่อ รูปร่างไม่ดี แต่แสดงออกโดยการยิ้มอย่างจริงใจ อ่อนน้อม สุภาพ คนนั้นเค้ากำลังปฏิบัติธรรมอยู่นะโยม และธรรมก็กำลังปกปักษ์รักษาเค้าอยู่เช่นกัน มีร้านขายข้าวแกงอยู่ 2 ร้านติดๆกัน ร้านแรกหรูหรา สะอาดสะอ้าน ถูกสุขลักษณะ แต่เจ้าของร้านหน้าหงิกหน้างอพูดจาก็ไม่ไพเพราะ “เอ้ย!! เอาอะไร!! นึกนานจัง เห็นมั้ยคนต่อคิวเป็นกิโลแล้ว เร็วๆหน่อย จะสั่งอะไรก็หัดนึกล่วงหน้าไว้ก่อนด้วยนะ” ส่วนอีกร้านนึง ร้านก็ไม่สวย ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ แต่คนขายสีหน้ายิ้มแย้ม อ่อนน้อม พูดจาก็ไพเราะน่าฟัง “เชิญค้าาา วันนี้ทานอะไรดีค้า เรามีอาหารพิเศษเป็นอาหารมังสะวีรัติรสเด็ดด้วยนะค้ะะะ จะรับสักที่มั้ยค้ะะะคุณ” แหมพูดเพราะแบบนี้ คนไม่เคยกินมังสวิรัติก็ยังอยากจะลองกินดูสักจาน ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นโยมจะเลือกเข้าร้านไหน ร้านที่มีธรรมะปกครอง กับร้านที่ไม่มีธรรมะปกครอง?? อ่ะต่อ เรื่องกระจกเมื่อโยมส่องกระจกมองเห็นแต่เพียงผิวหนังร่างกายภายนอกเท่านั้น แต่อาตมาจะส่องให้เห็นชิ้นส่วนภายในของโยมแต่ละคนเลยนะ เอาตั้งแต่ปากเลย ว่ามันต้องการอาหารอะไรและเหมาะสมกับอะไร ควรจะเอาอะไรใส่เข้าไปในปาก
    ฟัน ฟันของโยมถ้าอยู่ครบจะมีทั้งหมดกี่ซี่ ไปนับดู [​IMG]ไหน ยิงฟันดูหน่อยซิ มีใครมีเขี้ยวงอกออกมาเหมือนเสือบ้างมั้ย ถ้าตอบว่ามี อาตมาจะไปถ่ายรูปฟันโยม โพสต์รูปลงอินเตอร์เน็ตให้คนดูทั้งโลกเลยคอยดู ฟันของคนไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับฉีกกัดเนื้อสัตว์ ถึงจะมีเขี้ยวก็มีนิดเดียวเท่านั้นเอาไว้ใช้ด้านสวยงาม ใช้ประโยชน์อะไรจริงจังไม่ได้ ฉีกกัดเนื้อสดๆ ให้ขาดออกจากกันไม่ได้ส่วนใหญ่เราจะใช้ฟันกรามในการเคี้ยวบดอาหาร เราเคี้ยวอะไรละเอียดก่อน ข้าว/ผัก/หมู? ข้าวกับผัก ใช่มั้ย ส่วนหมูเนื้อสัตว์ก็ต้องเคี้ยวนานหน่อย ใช่หรือไม่ กระดูกเคี้ยวได้มั้ย จะ[​IMG]เคี้ยว กระดูกดังกรั๊วปๆ เหมือนหมาได้มั้ย จริงๆ แล้ว อาตมาไม่อยากจะเอาสัตว์มาเปรียบเทียบกับคนนะ เพราะมันต่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนกับสัตว์มีส่วนคล้ายกันมากๆ มันต่างกันที่ขนาดรูปร่างแค่นั้นเอง แต่องค์ประกอบภายในเหมือนกันแทบจะทุกส่วน ฟันมนุษย์ คล้ายกับสัตว์กินพืชแทบทุกชนิด หรือฟันสัตว์กินพืชแทบทุกชนิดคล้ายฟันมนุษย์ สัตว์ที่มีลักษณะฟันคล้ายมนุษย์ที่สุด คือ ลิง วัว ควาย แพะ แกะ ลา ม้า กวาง เลียงผา ย้อนไปกระทั่งไดโนเสาร์พันธุ์คอยาว มีสัตว์ตัวไหนบ้างไหมที่อุตริกินเนื้อสัตว์ด้วยกัน ฟันลักษณะแบบนี้ มันถูกออกแบบมาให้เหมาะที่จะบดเคี้ยวหญ้า ผลไม้ พืชผัก เท่านั้น เนื้อสัตว์กินไม่ได้ ขนาดน้ำลายที่ปล่อยออกมาย่อยอาหารด่านแรก ทั้งของคนและสัตว์เหล่านี้ มีฤทธิ์เป็นด่าง ย่อยได้แต่ผัก และแป้งได้ดีมาก สังเกตยิ่งเคี้ยวข้าวนานก็ยิ่งหวานอร่อย เพราะน้ำลายเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล น้ำลายมนุษย์ไม่ได้มีฤทธิ์เป็นกรดไม่เหมาะสมที่จะย่อยเนื้อสัตว์ เหมือนกับพวกสัตว์กินเนื้อเหล่านั้น


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่มา http://www.oknation.net/blog/tycill/2009/06/02/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...