ไฟล์แรก อานาปานสติ,ภาพระ,กายคตาฯ

ในห้อง 'กรรมฐาน ๔๐' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 22 กันยายน 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    [MUSIC]http://www.palungjit.org/buddhism/audio/attachment.php?attachmentid=2013[/MUSIC]
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    นั่งตัวตรงแต่ไม่ต้องเกร็งตัว
    นั่งตัวตรงสบายๆ ไม่ต้องเกร็งตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งหมด
    หุบปากสนิท ลิ้นแตะเพดานไว้นิดหนึ่ง หลับตาเบาๆเหมือนกับเรามองย้อนเข้าไปในตัวเอง คือมองขึ้นไปศรีษะจนกระทั่งมันโค้งลงไปในอก ลงไปอยู่ในท้อง

    หายใจเข้านึกว่าพุทธ หายใจออกนึกว่าโธ
     
  3. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    --ต่อจากด้านบนค่ะ--

    หายใจเข้าผ่านจมูกผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ตามลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าเข้า พร้อมกับคำภาวนา หายใจออกรู้อยู่ว่าออก พร้อมกับคำภาวนา จะใช้คำภาวนาว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เราชอบ ให้ความรู้สึกคือจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก มันคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากลมหายใจเข้า-ออก นอกเหนือจากคำภาวนาเมื่อไร ดึงมันกลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อยู่กับคำภาวนาเมื่อนั้น รู้ตัวเมื่อไรดึงมันกลับมา ๆ ทำให้เคยชินไว้ นานไปมันก็จะทรงตัวได้เอง


    คราวนี้กำหนดภาพพระอย่างที่บอกเอาไว้ นึกถึงภาพ พระพุทธรูปที่เรารักเราชอบ จะเป็นแบบพระสงฆ์ แบบพระพุทธ เป็นแบบพระวิสุทธิเทพ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่เราชอบ อยู่ตรงที่สุดของลมหายใจ คือแถว ๆ สะดือ หายใจลงไปสุดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ เป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ใสสว่างอยู่ในนั้น หายใจเข้า พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจออก พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจเข้า ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก ภาพพระสว่างขึ้น จนกระทั้งความสว่างของพระนั้นกลบกลืนเราไปด้วยตัวเราสว่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระ หายใจเข้า พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น เมื่อกำหนดใจให้นิ่งอยู่ได้ครู่นึงดังนี้แล้ว คราวนี้เมื่อหายใจเข้าพระสว่างขึ้น หายใจออกนี้พระไหลตามลมหายใจของเราออกมา แต่ไม่ได้มาที่ปลายจมูก ท่านจะเลยขึ้นไปอยู่บนศีรษะของเราเลย ภาพพระจะขยายใหญ่ขึ้นอยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้าภาพพระเล็กลง ๆ ไปอยู่ที่ท้อง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ ไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้าภาพพระเล็กลงแต่ยังคงสว่างไสวเป็นปกติลงไปอยู่ในท้องหายใจออกภาพพระขยายใหญ่ขึ้น ไปสว่างสดใสอยู่บนศีรษะของเรา กำหนดความรู้สึกเท่านั้นเป็นความรู้สึกไม่ใช่ตาเห็น ขอให้เรามั่นใจว่ามีพระอยู่กับเรา จะเห็นชัดเจนรึไม่ชัดเจนก็ตามเอาแค่ความมั่นใจที่สัมผัสได้เท่านั้นหายใจเข้าภาพพระไหลลงไปอยู่ที่ท้อง หายใจออก ภาพพระลอยขึ้นไปอยู่บนศีรษะ
    หายใจเข้าภาพพระเล็กลง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น


    คราวนี้ให้ทุกคนกำหนดภาพพระให้นิ่งอยู่บนเหนือศีรษะ น้อมจิตน้อมใจกราบลงตรงนั้น ตั้งใจว่านั่นคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กำลังมาโปรดเราอยู่ เราต้องมีความดีพอเพียง พระองค์ท่านถึงจะมาโปรดเรา มาสงเคราะห์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน


    คราวนี้กำหนดใจคิดไปต่อจากที่เคยสอนวันก่อน วันก่อนนั้นเราดูว่าร่างกายนี้มันไม่เที่ยงอย่างไร เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลางและสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์
    ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ปรารถนา ไม่สมหวังเป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ วันก่อนเราพิจารณาแล้วว่ามันไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนชราในที่สุดก็ตายไป อาจจะตายตั้งแต่ตอนเด็กก็ได้ ตอนหนุ่มตอนสาวก็ได้ ตอนชราก็ได้ มันมีแต่ความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อย ๆ ก็ เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ร่างกายสกปรกต้องคอยดูแลมันอยู่ ต้องทำหน้าที่การงานบริหารตัวเอง บริหารหมู่คณะ ต้องกระทบกระทั่งกับการงานและผู้ร่วมงานทั้งหมด มีแต่ความทุกข์

    คราวนี้เรามาดูจุดสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ต้องพยายามทบทวนจุดนี้บ่อย ๆ ให้มากไว้ เพื่อสภาพจิตจะได้ยอมรับว่ามัน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราจริง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ร่างกายเรานี้ประกอบขึ้นจากธาตุ 4 คือมหาปูตรูป ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนที่แข็ง เป็นแท่งเป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอัน จับได้ต้องได้เรียกว่า ธาตุดิน นึกตามไป ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก อวัยวะภายในทั้งหลาย อย่างปอด ตับ ม้าม หัวใจ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก เหล่านี้เป็นต้น พวกนี้เป็นธาตุดินแยกมันไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่ไหลไปมาในร่างกายของเราได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ มี เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี ปัสสาวะ เหงื่อ ไขมันเหลว แยกมันไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายของเราเรียกว่า ธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องในไส้ในกระเพาะเรียกว่า แก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ เรียกว่า ความดันโลหิต เหล่านี้แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง ความอบอุ่นในร่างกาย คือธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ที่สันดาปช่วยย่อยอาหาร ที่ส่งความอบอุ่นไปทั่วร่างกายของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนแรกเป็นธาตุดิน กองมันไว้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกทั้งหลายทั้งปวง ส่วนที่สอง คือธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะไขมันเหลว แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่เป็นธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมที่พัดไปเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายคือ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหารของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง นี่คือ ดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ แล้วตัวเราของเราอยู่ที่ไหน เมื่อเอาดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้มาประกอบกันเข้า มีปัญจสาขา คือ หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา จิตคือตัวเรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา เราก็ไปยึดไว้ นี่ตัวกู นี่ของกู แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นแค่เปลือก เหมือนกับเปลือกหอย เหมือนกับกระดองเต่า เหมือนกับรถยนต์ เปลือกหอยกับกระดองเต่านั้นเป็นคนละเรื่องกับตัวหอยหรือตัวเต่า รถยนต์นั้นคนละเรื่องกับคนขับรถ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะเป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนเป็นสัตว์ ล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ 4 นี้ทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยปัญจสาขา หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา ประกอบไปด้วยทวารทั้ง 9 มีแต่ความสกปรกหลั่งไหลออกมาเป็นปรกติ ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งรวนมันก็เจ็บมันก็ป่วย ถ้าหากว่าขาดไปเลยมันก็ตาย ถ้าธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ เมื่อไม่มีธาตุไฟคอยควบคุม คอยเผาพลาญไว้ ธาตุน้ำก็ล้นเกิน ดันธาตุดินที่เป็นส่วนใหญ่ของร่างกายอืดพองขึ้นมา ผ่านกาลเวลานานเข้า ธาตุน้ำยิ่งล้นเกินมากเข้าร่างกายก็ปริก็แตก มีแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหล โทรมไปทั้งกาย สัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนกแร้ง นกตะกุ่ม สุนัข หรือเหี้ย ตะกวดทั้งหลาย ก็มาฉีกมาทึ้งมาดึงมาลากเอาไปกินเป็นอาหาร ตับไต ไส้ ปอด เนื้อหนังมังสา โดนทึ้งกระจัดกระจาย ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปไกล ๆ หลาย ๆ ร้อยเมตร นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของเรา นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของคนที่เรารัก นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดูมันไว้ให้ชัดเจน พอถูกฉีกถูกทึ้งถูกดึงถูกลาก เนื้อหนังมังสา หมดไปแล้ว โครงกระดูกอาจจะยัง ควบกันอยู่เพราะเส้นเอ็นยังมี เมื่อผ่านการชะของฝน ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม เส้นเอ็นก็ค่อย ๆ เปื่อย สลายไป โครงกระดูกก็หลุดลุ่ย กระจัดกระจาย กะโหลกศีรษะกระเด็นไปทางนึง กระดูกฟันไปทางนึง กระดูกกรามล่างไปทางนึง กระดูกคอที่เป็นข้อ ๆ ไปทางนึง กระดูกไหปลาร้าที่เหมือนกับสามเหลี่ยม อันมาชนกันไปทางนึง กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ ตลอดจนเล็บมือกระจัดกระจายไปทางนึง กระดูกสันหลังที่เป็นข้อ ๆ มีกระดูกซี่โครงยึดโยงอยู่กับกระดูกหน้าอก ก็หลุดเป็นข้อ ๆ หลุดเป็นวง ๆ กลิ้งเกลื่อนไป กระดูกบั้นเอวที่เป็นข้อสำหรับก้มได้ เงยได้ มีทั้งข้อต่อกระดูก และหมอนรองกระดูกก็หลุดลุ่ยไปเป็นชิ้น ๆ กระดูกเชิงกราน หรือส่วนใหญ่ที่เราใช้นั่งโค้ง ๆ เว้า ๆ มีช่องว่างอยู่ตรงกลางกระเด็นไปทางนึง กระดูกก้นกบที่เป็นปลายแหลม ๆ เป็นชิ้น ๆ กระเด็นไปทางนึง กระดูกต้นขา กระดูกท่อนขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกนิ้วเท้า ตลอดจนเล็บเท้าทั้งปวงหลุดลุ่ย กระจัดกระจาย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ลองดูย้อนกลับออกมาอีกทีหนึ่งจากเล็บเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า ข้อเท้า ส้นเท้า หน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา โคนขา เชิงกราน ก้นกบ บั้นเอว สันหลัง หน้าอก ซี่โครง ไหปลาร้า หัวไหล่ ต้นแขน ข้อศอก ปลายแขน ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ เล็บมือ ต้นคอ กรามล่าง ฟัน กะโหลกศีรษะ ประกอบขึ้นมาเป็นตัว แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไป สลายลงไปแล้ว ประกอบขึ้นมาเป็นตัวใหม่ แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไปอีก ดูมันอย่างนี้ ให้เห็นจริงว่า นี่คือสภาพแท้จริงของร่างกายของเรา สภาพแท้จริงของความเป็นหญิงความเป็นชาย ความเป็นคน ความเป็นสัตว์ เหมือน ๆ กันทั้งสิ้น คือธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ยืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังคืนให้แก่โลกไป ระหว่างที่อาศัยมันอยู่ก็มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็เสื่อมสลายตายพังแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว จากกระดูกใหม่ ๆ สีขาว ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม ผ่านการชะของผน ก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ ในที่สุดก็เปื่อยสลาย กลายเป็นพรุน จมลงดินไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยนึงก็ไม่มี ตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ บ้านเรือนโรง ภูเขา ป่าไม้อะไร ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี สลายทั้งหมด ตายทั้งหมด พังทั้งหมด คงอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นอย่างนี้ ไม่เที่ยงอย่างนี้ ทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นอย่างนี้ได้ ดังนั้นเราควรจะไปอยู่ที่ไหน ถึงจะพ้นจากความทุกข์นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านค้นพบว่ามีสถานที่ ที่เป็นเอกกัณตบรมสุข เป็นสถานที่ ที่หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องทุกข์อีก นั่นคือ พระนิพพาน ให้ทุกคนเอากำลังใจเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนนั้น ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเราตายขอมาอยู่ที่นี่แห่งเดียว เอาใจจดจ่ออยู่เบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันยังหายใจอยู่ กำหนดรู้ว่ามันหายใจอยู่ ถ้ามันไม่หายใจ กำหนดรู้ว่ามันไม่หายใจ ถ้ามันภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันภาวนาอยู่ ถ้ามันไม่ภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันไม่ภาวนา เอาจิตจดจ่อมั่งคงอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนั้น ตั้งใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งสิ้น เราปรารถนาความสุขอย่างไร เขาทั้งหลายก็ปรารถนาความสุขอย่างนั้น เราปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างไร เขาก็ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างนั้น ตั้งใจกำหนดภาพพระพุทธเจ้าให้สว่างไสวแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่านั่นก็คือ เมตตาพรหมวิหาร จากเราที่ส่งไปสู่สรรพสัตว์โดยทั่วหน้า กำหนดใจสบาย ๆ คิดง่าย ๆ ว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลาย ได้ตกร่วงไปแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปเสวยสุขในสุขติภพโดยทั่วกันเถิด กำหนดความสว่างแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ เต็มทั้งสถานที่นี้ วัดนี้ บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้ จังหวัดนี้ กว้างออกไปเรื่อย ๆ ทุกที ๆ กำหนดใจคิดว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมอง เดือดร้อน ลำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด กำหนดใจแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ครอบคลุมไปทั้งประเทศ ครอบคลุมไปทั้งโลก ครอบคลุมไปทั้งจักรวาล ตอนนี้โลกเราเหมือนเนื่องกับอะไรเล็ก ๆ นิดเดียว ที่อยู่ใต้ร่างกายของเรา ตัวเราที่เป็นเครื่องส่งผ่านของมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้ตัวเราใหญ่โตเต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด กำหนดใจกว้างออก ๆ ไปทุกจักรวาล ไปทุกดวงดาว ไปทุกภพทุกภูมิตั้งแต่สัตว์นรก เปรต อุสรกาย สัตว์เดรัดฉาน มนุษย์ เทวดา มาร ลม จนกระทั่งพระทั้งหลายบนพระนิพพาน พระเมตตาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแผ่ไปถึงเขาเหล่านั้น ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านทั้งหลายเหล่านั้นพึงเสียสละให้กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่ความสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด ตัวเราตอนนี้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระนิพพาน ตั้งใจว่า วันนี้ถ้าถึงอายุขัยตายไป เราก็ขออยู่ ณ สถานที่นี้ อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ คือ พระนิพพาน ตั้งใจว่า ถ้าเราประกอบกิจการงานอะไรก็ตาม เกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตลง เราก็ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นี่ คือ พระนิพพาน กำหนดใจสบาย ๆ เอาไว้ตรงจุดนี้ แล้วค่อย ๆ คลายสมาธิออกมาโดยกำหนดสติรู้อยู่ตลอดเวลา แบ่งความรู้สึกส่วนนึงสัก ยี่สิบ สามสิบ เปอร์เซ็นต์ นึกถึงภาพพระ นึกถึงพระนิพพานไว้ดังนี้ อีก เจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เราจะทำหน้าที่ของเราคือ สวดมนต์ ทำวัตร ต่อไป ตั้งใจว่า พลานิสงค์ ที่ได้ จาการเจริญกรรมฐานก็ดี จากการสวดมนต์ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาสังฆบูชา ก็ดี ลูกตั้งความปรารถนาไว้หนึ่งเดียวคือ พระนิพพานนี้ อย่าลืมแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะไว้ตลอดเวลา แม้จะทำอะไรก็ตามอย่าทิ้งความรู้สึกจากพระ อย่าทิ้งความรู้สึกจากพระนิพพาน<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2005
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ผมทำเน้นและเว้นวรรค ที่น้องผึ้งพิมพ์ไว้
    ผมคิดว่ายังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
    ผมคิดว่าการเว้นประโยคและย่อหน้า ผมอาจจะทำผิด

    ที่พยายามจะทำคือ เน้นคำสำคัญ เพื่อความเข้าใจ และง่ายต่อการอ่าน

    เพื่อจะได้พัฒนาต่อไป ผมขอความคิดเห็นหน่อยครับ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่อง ภาษา

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    นั่งตัวตรงแต่ไม่ต้องเกร็งตัว นั่งตัวตรงสบายๆ ไม่ต้องเกร็งตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งหมด
    หุบปากสนิท ลิ้นแตะเพดานไว้นิดหนึ่ง หลับตาเบาๆเหมือนกับเรามองย้อนเข้าไปในตัวเอง คือมองขึ้นไปศรีษะจนกระทั่งมันโค้งลงไปในอก ลงไปอยู่ในท้อง

    หายใจเข้านึกว่าพุทธ หายใจออกนึกว่าโธ หายใจเข้าผ่านจมูกผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ตามลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าเข้า พร้อมกับคำภาวนา หายใจออกรู้อยู่ว่าออก พร้อมกับคำภาวนา จะใช้คำภาวนาว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เราชอบ ให้ความรู้สึกคือจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก มันคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากลมหายใจเข้า-ออก นอกเหนือจากคำภาวนาเมื่อไร ดึงมันกลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อยู่กับคำภาวนาเมื่อนั้น รู้ตัวเมื่อไรดึงมันกลับมา ๆ ทำให้เคยชินไว้ นานไปมันก็จะทรงตัวได้เอง

    คราวนี้กำหนดภาพพระอย่างที่บอกเอาไว้ นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบ จะเป็นแบบพระสงฆ์ แบบพระพุทธ เป็นแบบพระวิสุทธิเทพ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่เราชอบ อยู่ตรงที่สุดของลมหายใจ คือแถว ๆ สะดือ หายใจลงไปสุดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ เป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ใสสว่างอยู่ในนั้น
    หายใจเข้า พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจออก พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น
    หายใจเข้า ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก ภาพพระสว่างขึ้น
    จนกระทั้งความสว่างของพระนั้นกลบกลืนเราไปด้วยตัวเราสว่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระ หายใจเข้า พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น เมื่อกำหนดใจให้นิ่งอยู่ได้ครู่นึงดังนี้แล้ว คราวนี้เมื่อหายใจเข้าพระสว่างขึ้น หายใจออกนี้พระไหลตามลมหายใจของเราออกมา แต่ไม่ได้มาที่ปลายจมูก ท่านจะเลยขึ้นไปอยู่บนศีรษะของเราเลย ภาพพระจะขยายใหญ่ขึ้นอยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้าภาพพระเล็กลง ๆ ไปอยู่ที่ท้อง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ ไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้าภาพพระเล็กลงแต่ยังคงสว่างไสวเป็นปกติลงไปอยู่ในท้อง
    หายใจออกภาพพระขยายใหญ่ขึ้น ไปสว่างสดใสอยู่บนศีรษะของเรา กำหนดความรู้สึกเท่านั้นเป็นความรู้สึกไม่ใช่ตาเห็น ขอให้เรามั่นใจว่ามีพระอยู่กับเรา จะเห็นชัดเจนรึไม่ชัดเจนก็ตามเอาแค่ความมั่นใจที่สัมผัสได้เท่านั้นหายใจเข้าภาพพระไหลลงไปอยู่ที่ท้อง หายใจออก ภาพพระลอยขึ้นไปอยู่บนศีรษะ
    หายใจเข้าภาพพระเล็กลง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น

    คราวนี้ให้ทุกคนกำหนดภาพพระให้นิ่งอยู่บนเหนือศีรษะ น้อมจิตน้อมใจกราบลงตรงนั้น ตั้งใจว่านั่นคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กำลังมาโปรดเราอยู่ เราต้องมีความดีพอเพียง พระองค์ท่านถึงจะมาโปรดเรา มาสงเคราะห์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

    คราวนี้กำหนดใจคิดไปต่อจากที่เคยสอนวันก่อน วันก่อนนั้นเราดูว่าร่างกายนี้มันไม่เที่ยงอย่างไร เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลางและสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์
    ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ปรารถนา ไม่สมหวังเป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ วันก่อนเราพิจารณาแล้วว่ามันไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนชราในที่สุดก็ตายไป อาจจะตายตั้งแต่ตอนเด็กก็ได้ ตอนหนุ่มตอนสาวก็ได้ ตอนชราก็ได้ มันมีแต่ความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อย ๆ ก็ เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ร่างกายสกปรกต้องคอยดูแลมันอยู่ ต้องทำหน้าที่การงานบริหารตัวเอง บริหารหมู่คณะ ต้องกระทบกระทั่งกับการงานและผู้ร่วมงานทั้งหมด มีแต่ความทุกข์

    คราวนี้เรามาดูจุดสุดท้าย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" ต้องพยายามทบทวนจุดนี้บ่อย ๆ ให้มากไว้ เพื่อสภาพจิตจะได้ยอมรับว่ามัน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราจริง ๆ

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ร่างกายเรานี้ประกอบขึ้นจากธาตุ 4 คือมหาปูตรูป ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ส่วนที่แข็ง เป็นแท่งเป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอัน จับได้ต้องได้เรียกว่า ธาตุดิน นึกตามไป ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก อวัยวะภายในทั้งหลาย อย่างปอด ตับ ม้าม หัวใจ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก เหล่านี้เป็นต้น พวกนี้เป็นธาตุดินแยกมันไว้ส่วนหนึ่ง
    ส่วนที่ไหลไปมาในร่างกายของเราได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ มี เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี ปัสสาวะ เหงื่อ ไขมันเหลว แยกมันไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายของเราเรียกว่า ธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องในไส้ในกระเพาะเรียกว่า แก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ เรียกว่า ความดันโลหิต เหล่านี้แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ความอบอุ่นในร่างกาย คือ ธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ที่สันดาปช่วยย่อยอาหาร ที่ส่งความอบอุ่นไปทั่วร่างกายของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนแรกเป็นธาตุดิน กองมันไว้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกทั้งหลายทั้งปวง
    ส่วนที่สอง คือธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะไขมันเหลว แยกไว้อีกกองหนึ่ง
    ส่วนที่เป็นธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมที่พัดไปเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายคือ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหารของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง


    นี่คือ ดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ แล้วตัวเราของเราอยู่ที่ไหน เมื่อเอาดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้มาประกอบกันเข้า มีปัญจสาขา คือ หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา จิตคือตัวเรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา เราก็ไปยึดไว้ นี่ตัวกู นี่ของกู แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นแค่เปลือก เหมือนกับเปลือกหอย เหมือนกับกระดองเต่า เหมือนกับรถยนต์ เปลือกหอยกับกระดองเต่านั้นเป็นคนละเรื่องกับตัวหอยหรือตัวเต่า รถยนต์นั้นคนละเรื่องกับคนขับรถ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
    จะเป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนเป็นสัตว์ ล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ 4 นี้ทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยปัญจสาขา หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา ประกอบไปด้วยทวารทั้ง 9 มีแต่ความสกปรกหลั่งไหลออกมาเป็นปรกติ

    ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งรวนมันก็เจ็บมันก็ป่วย ถ้าหากว่าขาดไปเลยมันก็ตาย ถ้าธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ เมื่อไม่มีธาตุไฟคอยควบคุม คอยเผาพลาญไว้ ธาตุน้ำก็ล้นเกิน ดันธาตุดินที่เป็นส่วนใหญ่ของร่างกายอืดพองขึ้นมา ผ่านกาลเวลานานเข้า ธาตุน้ำยิ่งล้นเกินมากเข้าร่างกายก็ปริก็แตก มีแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหล โทรมไปทั้งกาย


    สัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนกแร้ง นกตะกุ่ม สุนัข หรือเหี้ย ตะกวดทั้งหลาย ก็มาฉีกมาทึ้งมาดึงมาลากเอาไปกินเป็นอาหาร ตับไต ไส้ ปอด เนื้อหนังมังสา โดนทึ้งกระจัดกระจาย ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปไกล ๆ หลาย ๆ ร้อยเมตร นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของเรา นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของคนที่เรารัก นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดูมันไว้ให้ชัดเจน พอถูกฉีกถูกทึ้งถูกดึงถูกลาก เนื้อหนังมังสา หมดไปแล้ว โครงกระดูกอาจจะยัง ควบกันอยู่เพราะเส้นเอ็นยังมี เมื่อผ่านการชะของฝน ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม เส้นเอ็นก็ค่อย ๆ เปื่อย สลายไป โครงกระดูกก็หลุดลุ่ย กระจัดกระจาย กะโหลกศีรษะกระเด็นไปทางนึง กระดูกฟันไปทางนึง กระดูกกรามล่างไปทางนึง กระดูกคอที่เป็นข้อ ๆ ไปทางนึง กระดูกไหปลาร้าที่เหมือนกับสามเหลี่ยม อันมาชนกันไปทางนึง กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ ตลอดจนเล็บมือกระจัดกระจายไปทางนึง กระดูกสันหลังที่เป็นข้อ ๆ มีกระดูกซี่โครงยึดโยงอยู่กับกระดูกหน้าอก ก็หลุดเป็นข้อ ๆ หลุดเป็นวง ๆ กลิ้งเกลื่อนไป กระดูกบั้นเอวที่เป็นข้อสำหรับก้มได้ เงยได้ มีทั้งข้อต่อกระดูก และหมอนรองกระดูกก็หลุดลุ่ยไปเป็นชิ้น ๆ กระดูกเชิงกราน หรือส่วนใหญ่ที่เราใช้นั่งโค้ง ๆ เว้า ๆ มีช่องว่างอยู่ตรงกลางกระเด็นไปทางนึง กระดูกก้นกบที่เป็นปลายแหลม ๆ เป็นชิ้น ๆ กระเด็นไปทางนึง กระดูกต้นขา กระดูกท่อนขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกนิ้วเท้า ตลอดจนเล็บเท้าทั้งปวงหลุดลุ่ย กระจัดกระจาย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ลองดูย้อนกลับออกมาอีกทีหนึ่งจากเล็บเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า ข้อเท้า ส้นเท้า หน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา โคนขา เชิงกราน ก้นกบ บั้นเอว สันหลัง หน้าอก ซี่โครง ไหปลาร้า หัวไหล่ ต้นแขน ข้อศอก ปลายแขน ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ เล็บมือ ต้นคอ กรามล่าง ฟัน กะโหลกศีรษะ ประกอบขึ้นมาเป็นตัว แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไป สลายลงไปแล้ว ประกอบขึ้นมาเป็นตัวใหม่ แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไปอีก ดูมันอย่างนี้ ให้เห็นจริงว่า นี่คือสภาพแท้จริงของร่างกายของเรา สภาพแท้จริงของความเป็นหญิงความเป็นชาย ความเป็นคน ความเป็นสัตว์ เหมือน ๆ กันทั้งสิ้น คือธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ยืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังคืนให้แก่โลกไป ระหว่างที่อาศัยมันอยู่ก็มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็เสื่อมสลายตายพังแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว จากกระดูกใหม่ ๆ สีขาว ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม ผ่านการชะของผน ก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ ในที่สุดก็เปื่อยสลาย กลายเป็นพรุน จมลงดินไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยนึงก็ไม่มี ตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ บ้านเรือนโรง ภูเขา ป่าไม้อะไร ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี สลายทั้งหมด ตายทั้งหมด พังทั้งหมด คงอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นอย่างนี้ ไม่เที่ยงอย่างนี้ ทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นอย่างนี้ได้

    ดังนั้นเราควรจะไปอยู่ที่ไหน ถึงจะพ้นจากความทุกข์นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านค้นพบว่ามีสถานที่ ที่เป็นเอกกัณตบรมสุข เป็นสถานที่ ที่หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องทุกข์อีก นั่นคือ พระนิพพาน

    ให้ทุกคนเอากำลังใจเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนนั้น ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเราตายขอมาอยู่ที่นี่แห่งเดียว เอาใจจดจ่ออยู่เบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันยังหายใจอยู่ กำหนดรู้ว่ามันหายใจอยู่ ถ้ามันไม่หายใจ กำหนดรู้ว่ามันไม่หายใจ ถ้ามันภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันภาวนาอยู่ ถ้ามันไม่ภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันไม่ภาวนา เอาจิตจดจ่อมั่งคงอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนั้น

    ตั้งใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งสิ้น เราปรารถนาความสุขอย่างไร เขาทั้งหลายก็ปรารถนาความสุขอย่างนั้น เราปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างไร เขาก็ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างนั้น ตั้งใจกำหนดภาพพระพุทธเจ้าให้สว่างไสวแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่านั่นก็คือ เมตตาพรหมวิหาร จากเราที่ส่งไปสู่สรรพสัตว์โดยทั่วหน้า กำหนดใจสบาย ๆ คิดง่าย ๆ ว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลาย ได้ตกร่วงไปแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปเสวยสุขในสุขติภพโดยทั่วกันเถิด กำหนดความสว่างแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ เต็มทั้งสถานที่นี้ วัดนี้ บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้ จังหวัดนี้ กว้างออกไปเรื่อย ๆ ทุกที ๆ กำหนดใจคิดว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมอง เดือดร้อน ลำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด

    กำหนดใจแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ครอบคลุมไปทั้งประเทศ ครอบคลุมไปทั้งโลก ครอบคลุมไปทั้งจักรวาล ตอนนี้โลกเราเหมือนเนื่องกับอะไรเล็ก ๆ นิดเดียว ที่อยู่ใต้ร่างกายของเรา ตัวเราที่เป็นเครื่องส่งผ่านของมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้ตัวเราใหญ่โตเต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด กำหนดใจกว้างออก ๆ ไปทุกจักรวาล ไปทุกดวงดาว ไปทุกภพทุกภูมิตั้งแต่สัตว์นรก เปรต อุสรกาย สัตว์เดรัดฉาน มนุษย์ เทวดา มาร ลม จนกระทั่งพระทั้งหลายบนพระนิพพาน พระเมตตาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแผ่ไปถึงเขาเหล่านั้น ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านทั้งหลายเหล่านั้นพึงเสียสละให้กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่ความสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด

    ตัวเราตอนนี้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระนิพพาน ตั้งใจว่า วันนี้ถ้าถึงอายุขัยตายไป เราก็ขออยู่ ณ สถานที่นี้ อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ คือ พระนิพพาน ตั้งใจว่า ถ้าเราประกอบกิจการงานอะไรก็ตาม เกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตลง เราก็ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นี่ คือ พระนิพพาน

    กำหนดใจสบาย ๆ เอาไว้ตรงจุดนี้ แล้วค่อย ๆ คลายสมาธิออกมาโดยกำหนดสติรู้อยู่ตลอดเวลา แบ่งความรู้สึกส่วนนึงสัก ยี่สิบ สามสิบ เปอร์เซ็นต์ นึกถึงภาพพระ นึกถึงพระนิพพานไว้ดังนี้ อีก เจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เราจะทำหน้าที่ของเราคือ สวดมนต์ ทำวัตร ต่อไป ตั้งใจว่า พลานิสงค์ ที่ได้ จาการเจริญกรรมฐานก็ดี จากการสวดมนต์ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ดี ลูกตั้งความปรารถนาไว้หนึ่งเดียวคือ พระนิพพานนี้ อย่าลืมแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะไว้ตลอดเวลา แม้จะทำอะไรก็ตามอย่าทิ้งความรู้สึกจากพระ อย่าทิ้งความรู้สึกจากพระนิพพาน<O[​IMG]
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ผมทำเน้นและเว้นวรรค ที่น้องผึ้งพิมพ์ไว้
    ผมคิดว่ายังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
    ผมคิดว่าการเว้นประโยคและย่อหน้า ผมอาจจะทำผิด

    ที่พยายามจะทำคือ เน้นคำสำคัญ เพื่อความเข้าใจ และง่ายต่อการอ่าน

    เพื่อจะได้พัฒนาต่อไป ผมขอความคิดเห็นหน่อยครับ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่อง ภาษา
     
  7. littleweb

    littleweb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,355
    เน้นคำ

    นั่งตัวตรงแต่ไม่ต้องเกร็งตัว นั่งตัวตรงสบายๆ ไม่ต้องเกร็งตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งหมดหุบปากสนิท ลิ้นแตะเพดานไว้นิดหนึ่ง หลับตาเบาๆเหมือนกับเรามองย้อนเข้าไปในตัวเอง คือมองขึ้นไปศีรษะจนกระทั่งมันโค้งลงไปในอก ลงไปอยู่ในท้อง
    หายใจเข้านึกว่าพุทธ หายใจออกนึกว่าโธ หายใจเข้าผ่านจมูกผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ตามลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าเข้า พร้อมกับคำภาวนา หายใจออกรู้อยู่ว่าออก พร้อมกับคำภาวนา จะใช้คำภาวนาว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เราชอบ ให้ความรู้สึกคือจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก มันคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากลมหายใจเข้า-ออก นอกเหนือจากคำภาวนาเมื่อไร ดึงมันกลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อยู่กับคำภาวนาเมื่อนั้น รู้ตัวเมื่อไรดึงมันกลับมา ๆ ทำให้เคยชินไว้ นานไปมันก็จะทรงตัวได้เอง

    คราวนี้กำหนดภาพพระอย่างที่บอกเอาไว้ นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบ จะเป็นแบบพระสงฆ์ แบบพระพุทธ เป็นแบบพระวิสุทธิเทพ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่เราชอบ อยู่ตรงที่สุดของลมหายใจ คือแถว ๆ สะดือ หายใจลงไปสุดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ เป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ใสสว่างอยู่ในนั้น หายใจเข้า พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจออก พระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจเข้า ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก ภาพพระสว่างขึ้น จนกระทั้งความสว่างของพระนั้นกลบกลืนเราไปด้วยตัวเราสว่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระ หายใจเข้า พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก พระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น เมื่อกำหนดใจให้นิ่งอยู่ได้ครู่นึงดังนี้แล้ว คราวนี้เมื่อหายใจเข้าพระสว่างขึ้น หายใจออกนี้พระไหลตามลมหายใจของเราออกมา แต่ไม่ได้มาที่ปลายจมูก ท่านจะเลยขึ้นไปอยู่บนศีรษะของเราเลย ภาพพระจะขยายใหญ่ขึ้นอยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้าภาพพระเล็กลง ๆ ไปอยู่ที่ท้อง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ ไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้าภาพพระเล็กลงแต่ยังคงสว่างไสวเป็นปกติลงไปอยู่ในท้องหายใจออกภาพพระขยายใหญ่ขึ้น ไปสว่างสดใสอยู่บนศีรษะของเรา กำหนดความรู้สึกเท่านั้นเป็นความรู้สึกไม่ใช่ตาเห็น ขอให้เรามั่นใจว่ามีพระอยู่กับเรา จะเห็นชัดเจนรึไม่ชัดเจนก็ตามเอาแค่ความมั่นใจที่สัมผัสได้เท่านั้นหายใจเข้าภาพพระไหลลงไปอยู่ที่ท้อง หายใจออก ภาพพระลอยขึ้นไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้าภาพพระเล็กลง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น

    คราวนี้ให้ทุกคนกำหนดภาพพระให้นิ่งอยู่บนเหนือศีรษะ น้อมจิตน้อมใจกราบลงตรงนั้น ตั้งใจว่านั่นคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กำลังมาโปรดเราอยู่ เราต้องมีความดีพอเพียง พระองค์ท่านถึงจะมาโปรดเรา มาสงเคราะห์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บน
    พระนิพพาน

    คราวนี้กำหนดใจคิดไปต่อจากที่เคยสอนวันก่อน วันก่อนนั้นเราดูว่าร่างกายนี้มันไม่เที่ยงอย่างไร เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลางและสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ปรารถนา ไม่สมหวังเป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ วันก่อนเราพิจารณาแล้วว่ามันไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนชราในที่สุดก็ตายไป อาจจะตายตั้งแต่ตอนเด็กก็ได้ ตอนหนุ่มตอนสาวก็ได้ ตอนชราก็ได้ มันมีแต่ความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อย ๆ ก็ เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ร่างกายสกปรกต้องคอยดูแลมันอยู่ ต้องทำหน้าที่การงานบริหารตัวเอง บริหารหมู่คณะ ต้องกระทบกระทั่งกับการงานและผู้ร่วมงานทั้งหมด มีแต่ความทุกข์

    คราวนี้เรามาดูจุดสุดท้าย ที่
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" ต้องพยายามทบทวนจุดนี้บ่อย ๆ ให้มากไว้ เพื่อสภาพจิตจะได้ยอมรับว่ามัน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราจริง ๆพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ร่างกายเรานี้ประกอบขึ้นจากธาตุ 4 คือ มหาปูตรูป ได้แก่ ดิน , น้ำ ,ลม , ไฟ
    ส่วนที่แข็ง เป็นแท่งเป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอัน จับได้ต้องได้เรียกว่า
    ธาตุดิน นึกตามไป ได้แก่ ผม,ขน, เล็บ, ฟัน,หนัง เนื้อ, เส้นเอ็น, กระดูก อวัยวะภายในทั้งหลาย อย่างปอด ,ตับ, ม้าม, หัวใจ, กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ใหญ่ , ลำไส้เล็ก , เหล่านี้เป็นต้น พวกนี้เป็นธาตุดินแยกมันไว้ส่วนหนึ่ง <O:p
    ส่วนที่ไหลไปมาในร่างกายของเราได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ มี เลือด, น้ำเหลือง , น้ำหนอง ,น้ำตา, น้ำลาย, น้ำดี, ปัสสาวะ, เหงื่อ,ไขมันเหลว แยกมันไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายของเราเรียกว่า
    ธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า , ลมหายใจออก , ลมที่ค้างในท้องในไส้ในกระเพาะเรียกว่า แก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ เรียกว่า ความดันโลหิต เหล่านี้แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ความอบอุ่นในร่างกาย คือ
    ธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ที่สันดาปช่วยย่อยอาหาร ที่ส่งความอบอุ่นไปทั่วร่างกายของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนแรกเป็นธาตุดิน กองมันไว้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกทั้งหลายทั้งปวง
    ส่วนที่สอง คือธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะไขมันเหลว แยกไว้อีกกองหนึ่ง
    ส่วนที่เป็นธาตุลม คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมที่พัดไปเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง
    ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายคือ ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาพลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหารของเรา แยกไว้อีกส่วนหนึ่ง

    นี่คือ ดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ แล้วตัวเราของเราอยู่ที่ไหน เมื่อเอาดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้มาประกอบกันเข้า มี
    ปัญจสาขา คือ หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา จิตคือตัวเรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา เราก็ไปยึดไว้ นี่ตัวกู นี่ของกู แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นแค่เปลือก เหมือนกับเปลือกหอย เหมือนกับกระดองเต่า เหมือนกับรถยนต์ เปลือกหอยกับกระดองเต่านั้นเป็นคนละเรื่องกับตัวหอยหรือตัวเต่า รถยนต์นั้นคนละเรื่องกับคนขับรถ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะเป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนเป็นสัตว์ ล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ 4 นี้ทั้งสิ้น ประกอบไปด้วย ปัญจสาขา หนึ่งศีรษะ สองแขน สองขา ประกอบไปด้วยทวารทั้ง 9 มีแต่ความสกปรกหลั่งไหลออกมาเป็นปรกติ
    ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งรวนมันก็เจ็บมันก็ป่วย ถ้าหากว่าขาดไปเลยมันก็ตาย ถ้าธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ เมื่อไม่มีธาตุไฟคอยควบคุม คอยเผาพลาญไว้ ธาตุน้ำก็ล้นเกิน ดันธาตุดินที่เป็นส่วนใหญ่ของร่างกายอืดพองขึ้นมา ผ่านกาลเวลานานเข้า ธาตุน้ำยิ่งล้นเกินมากเข้าร่างกายก็ปริก็แตก มีแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหล โทรมไปทั้งกาย

    สัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนกแร้ง นกตะกุ่ม สุนัข หรือเหี้ย ตะกวดทั้งหลาย ก็มาฉีกมาทึ้งมาดึงมาลากเอาไปกินเป็นอาหาร ตับไต ไส้ ปอด เนื้อหนังมังสา โดนทึ้งกระจัดกระจาย ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปไกล ๆ หลาย ๆ ร้อยเมตร นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของเรา นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของคนที่เรารัก นี่คือสภาพร่างกายที่แท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดูมันไว้ให้ชัดเจน พอถูกฉีกถูกทึ้งถูกดึงถูกลาก เนื้อหนังมังสา หมดไปแล้ว โครงกระดูกอาจจะยัง ควบกันอยู่เพราะเส้นเอ็นยังมี เมื่อผ่านการชะของฝน ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม เส้นเอ็นก็ค่อย ๆ เปื่อย สลายไป โครงกระดูกก็หลุดลุ่ย กระจัดกระจาย กะโหลกศีรษะกระเด็นไปทางนึง กระดูกฟันไปทางนึง กระดูกกรามล่างไปทางนึง กระดูกคอที่เป็นข้อ ๆ ไปทางนึง กระดูกไหปลาร้าที่เหมือนกับสามเหลี่ยม อันมาชนกันไปทางนึง กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ ตลอดจนเล็บมือกระจัดกระจายไปทางนึง กระดูกสันหลังที่เป็นข้อ ๆ มีกระดูกซี่โครงยึดโยงอยู่กับกระดูกหน้าอก ก็หลุดเป็นข้อ ๆ หลุดเป็นวง ๆ กลิ้งเกลื่อนไป กระดูกบั้นเอวที่เป็นข้อสำหรับก้มได้ เงยได้ มีทั้งข้อต่อกระดูก และหมอนรองกระดูกก็หลุดลุ่ยไปเป็นชิ้น ๆ กระดูกเชิงกราน หรือส่วนใหญ่ที่เราใช้นั่งโค้ง ๆ เว้า ๆ มีช่องว่างอยู่ตรงกลางกระเด็นไปทางนึง กระดูกก้นกบที่เป็นปลายแหลม ๆ เป็นชิ้น ๆ กระเด็นไปทางนึง กระดูกต้นขา กระดูกท่อนขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกนิ้วเท้า ตลอดจนเล็บเท้าทั้งปวงหลุดลุ่ย กระจัดกระจาย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ลองดูย้อนกลับออกมาอีกทีหนึ่งจากเล็บเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า ข้อเท้า ส้นเท้า หน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา โคนขา เชิงกราน ก้นกบ บั้นเอว สันหลัง หน้าอก ซี่โครง ไหปลาร้า หัวไหล่ ต้นแขน ข้อศอก ปลายแขน ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ เล็บมือ ต้นคอ กรามล่าง ฟัน กะโหลกศีรษะ ประกอบขึ้นมาเป็นตัว แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไป สลายลงไปแล้ว ประกอบขึ้นมาเป็นตัวใหม่ แล้วก็ปล่อยมันสลายลงไปอีก ดูมันอย่างนี้ ให้เห็นจริงว่า นี่คือสภาพแท้จริงของร่างกายของเรา สภาพแท้จริงของความเป็นหญิงความเป็นชาย ความเป็นคน ความเป็นสัตว์ เหมือน ๆ กันทั้งสิ้น คือธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ยืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังคืนให้แก่โลกไป ระหว่างที่อาศัยมันอยู่ก็มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็เสื่อมสลายตายพังแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว จากกระดูกใหม่ ๆ สีขาว ผ่านการเผาของแดด ผ่านการพัดโกรกของลม ผ่านการชะของผน ก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ ในที่สุดก็เปื่อยสลาย กลายเป็นพรุน จมลงดินไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยนึงก็ไม่มี ตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ บ้านเรือนโรง ภูเขา ป่าไม้อะไร ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี สลายทั้งหมด ตายทั้งหมด พังทั้งหมด คงอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นอย่างนี้ ไม่เที่ยงอย่างนี้ ทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นอย่างนี้ได้

    ดังนั้นเราควรจะไปอยู่ที่ไหน ถึงจะพ้นจากความทุกข์นี้
    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านค้นพบว่ามีสถานที่ ที่เป็นเอกกัณตบรมสุข เป็นสถานที่ ที่หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องทุกข์อีก นั่นคือ พระนิพพาน
    ให้ทุกคนเอากำลังใจเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนนั้น ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเราตายขอมาอยู่ที่นี่แห่งเดียว เอาใจจดจ่ออยู่เบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันยังหายใจอยู่ กำหนดรู้ว่ามันหายใจอยู่ ถ้ามันไม่หายใจ กำหนดรู้ว่ามันไม่หายใจ ถ้ามันภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันภาวนาอยู่ ถ้ามันไม่ภาวนาอยู่ กำหนดรู้ว่ามันไม่ภาวนา เอาจิตจดจ่อมั่งคงอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนั้น

    ตั้งใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งสิ้น เราปรารถนาความสุขอย่างไร เขาทั้งหลายก็ปรารถนาความสุขอย่างนั้น เราปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างไร เขาก็ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างนั้น ตั้งใจกำหนดภาพพระพุทธเจ้าให้สว่างไสวแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่านั่นก็คือ
    เมตตาพรหมวิหาร จากเราที่ส่งไปสู่สรรพสัตว์โดยทั่วหน้า กำหนดใจสบาย ๆ คิดง่าย ๆ ว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลาย ได้ตกร่วงไปแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปเสวยสุขในสุขติภพโดยทั่วกันเถิด กำหนดความสว่างแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ เต็มทั้งสถานที่นี้ วัดนี้ บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้ จังหวัดนี้ กว้างออกไปเรื่อย ๆ ทุกที ๆ กำหนดใจคิดว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมอง เดือดร้อน ลำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด

    กำหนดใจแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ครอบคลุมไปทั้งประเทศ ครอบคลุมไปทั้งโลก ครอบคลุมไปทั้งจักรวาล ตอนนี้โลกเราเหมือนเนื่องกับอะไรเล็ก ๆ นิดเดียว ที่อยู่ใต้ร่างกายของเรา ตัวเราที่เป็นเครื่องส่งผ่านของมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้ตัวเราใหญ่โตเต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด กำหนดใจกว้างออก ๆ ไปทุกจักรวาล ไปทุกดวงดาว ไปทุกภพทุกภูมิตั้งแต่สัตว์นรก เปรต อุสรกาย สัตว์เดรัดฉาน มนุษย์ เทวดา มาร ลม จนกระทั่งพระทั้งหลายบนพระนิพพาน พระเมตตาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ทรงแผ่ไปถึงเขาเหล่านั้น ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านทั้งหลายเหล่านั้นพึงเสียสละให้กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่ความสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด


    ตัวเราตอนนี้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระนิพพาน ตั้งใจว่า วันนี้ถ้าถึงอายุขัยตายไป เราก็ขออยู่ ณ สถานที่นี้ อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ คือ
    พระนิพพาน ตั้งใจว่า ถ้าเราประกอบกิจการงานอะไรก็ตาม เกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตลง เราก็ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นี่ คือ พระนิพพาน

    กำหนดใจสบาย ๆ เอาไว้ตรงจุดนี้ แล้วค่อย ๆ คลายสมาธิออกมาโดยกำหนดสติรู้อยู่ตลอดเวลา แบ่งความรู้สึกส่วนนึงสัก ยี่สิบ สามสิบ เปอร์เซ็นต์ นึกถึงภาพพระ นึกถึงพระนิพพานไว้ดังนี้ อีก เจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เราจะทำหน้าที่ของเราคือ สวดมนต์ ทำวัตร ต่อไป ตั้งใจว่า
    พลานิสงค์ ที่ได้ จากการเจริญกรรมฐานก็ดี จากการสวดมนต์ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ดี ลูกตั้งความปรารถนาไว้หนึ่งเดียวคือ พระนิพพานนี้ อย่าลืมแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะไว้ตลอดเวลา แม้จะทำอะไรก็ตามอย่าทิ้งความรู้สึกจากพระ อย่าทิ้งความรู้สึกจากพระนิพพาน


    +++เน้นคำ ทำตามที่ตัวเองเข้าใจ ไม่รู้ใช้ได้รึป่าว ขอคำชี้แนะด้วยจ๊ะ+++++<O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2005
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    littleweb ทำได้ดี ตัวอักษรและสี อ่านง่ายขึ้น
     
  9. ฝั่งแห่งภพ

    ฝั่งแห่งภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +606
    ขอขอบคุณคุณ websnow และ littleweb ครับ ความดีใดที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจะมีประโยชน์แห่งความสุขกับข้าพเจ้าเพียดใด ขอท่านผู้แสดงธรรม ผู้พิมพ์และท่านผู้อ่านทุกท่านได้โปรดโมทนาบุญให้ได้รับประโยชน์แห่งความสุขมากเท่าข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
  10. bankamo

    bankamo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +86
    คือว่าเสียงธรรมนี้ไม่สามารถ Doenload ได้หรือครับ คือว่าผมอยากเก็บไว้ฟังเวลาว่างๆน่ะครับ จะได้ไม่ต้องต่อ Internet

    อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอบคุณคณะผู้จัดทำนะครับ ที่นำธรรมะอันประเสริฐมาเผยแพร่อย่างมากมาย นับเป็นธรรมทานที่ใหญ่หลวงครับ ผมขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆท่านด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...