ไฟล์ที่สี่ ท่านเทศน์สอนพระ ว่า ศีลสำคัญอย่างไร ภาวนาสำคัญแค่ไหน

ในห้อง 'กรรมฐาน ๔๐' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 27 กันยายน 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    [music]http://www.palungjit.org/buddhism/audio/attachment.php?attachmentid=2016[/music]
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วันนี้ก็เป็นวันพระ วันพระขึ้น 8 ค่ำแล้ว ปีนี้เดือนยี่มาเร็วมาก เพราะว่าปีหน้ามี 8 สองหนก็ในเมื่อเป็นวันพระ ก็ขอพูดเรื่องของพระ คือเรื่องของพวกเรากันเอง ก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าขณะนี้พวกเราอยู่ในสภาพใหม่ สำหรับผู้ที่บวชใหม่ สำหรับผู้ที่บวชเก่าแล้ว ก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่าตัวเราเป็นผู้ใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะประมาทในการปฏิบัติ อย่าลืมหลวงพ่อตอกย้ำเราอยู่เสมอ ๆ ว่า นิพานกะ สติกริยายะ เอตังกาสาวัง คเหตวา เรารับผ้ากาสาวพัตร์นี้มา เพื่อแจ้งในพระนิพพาน อย่าได้ลืมตรงจุดนี้เป็นอันขาดว่าเราบาชเพราะนิพพาน ส่วนใหญ่พวกเราพอบวชไปนาน ๆ แล้ว ด้วยการชักจูงของกิเลสตัณหา อุปปาทานและอกุศลกรรมทั้งหมด เราก็จะเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายของตัว ลืมไปว่าวันแรกที่บวชจะบวชเพื่ออะไร ไปติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไปคลุกคลีกกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ

    อันนั้นลืมตัว การที่เราฝึกในศีล ในสมาธิ ในปัญญา จุดที่สำคัญที่สุดคือการสร้างสติ สัมปชัญญะ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไร การที่เราจะเป็นพระ หรือไม่เป็นพระ อยู่ที่การปฏิบัติของเราเอง สมัยก่อนบวชเราไหว้พ่อ ไหว้แม่ ไหว้ผู้ใหญ่ พอบวชเข้ามาปุ๊บ พ่อแม่ก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี กราบเราไหว้เรา เรามีอะไรดีท่านถึงมากราบมาไหว้เรา เลี้ยงท่านก็เลี้ยงเรามา อบรมสั่งสอนเรามา ไม่ว่าวัยวุฒิ คืออายุ คุณวุฒิ คือความรู้ความสามารถ เราสู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าท่านไม่เลี้ยงดูเรามา เราก็ไม่รอดเป็นคน จนเติบโตมา กระทั่งบวชอยู่จนทุกวันนี้ มีจุดเดียวที่เราจะดีกว่าก็คือศีล จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ขั้นต้นอยู่ที่ศีลนี่เอง ดังนั้นให้ทุกคนทบทวนอยู่เสมอในแต่ละวัน ๆ ว่าศีลทุสิขาบทของเรา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หรือไม่ ถ้ามันบกพร่องให้แสดงคืนอาบัติเสีย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ขนาดไหนก็ตาม อาบัติใหญ่คือปราชิก 4 ข้อ สังคาภิเษก 13 ข้อ อย่าให้ต้องเป็นอันขาด เพราะมันแก้ไม่ได้ก็มี แก้ได้ยากก็มี เปิดทวนไว้อยู่เสมอ ๆ ว่า 17 ข้อนี้ห้ามโดนเป็นอันขาด ส่วนที่เหลือ สติสัมปชัญญะเรายังไม่สมบูรณ์ โอกาสพร่องมันมี ให้รีบแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน จะได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าคืนนั้นเรานอนอยู่แล้วตายไป บาปกรรมความชั่วจะได้ ไม่ติดตัวเราไป การที่เราบาชเข้ามา ชีวิต ต้องรับกฏรับกติกาใหม่ ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ต้องมีความประพฤติ ปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อให้อยู่ในกรอบของภิกษุ เพื่อให้อยู่ในกรอบที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ ซึ่งมีทั้งข้อที่ห้าม ข้อที่อนุญาต ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดีไม่ว่าจะบวชน้อยหรือบวชมากอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเคยสอนไว้ว่าการบวชน้อยถ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็มีคุณค่าเหมือนกับเพชรแม้จะเม็ดเล็ก แต่ก็มีราคาสูง การบวชมาก

    ถ้าหากว่าทำความชั่ว ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ ยิ่งเหม็นมาก คราวนี้ไอ้ความเหม็นความน่ารังเกียจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินอกรีดนอกรอยนั้น มันไม่ได้มีโทษแต่ปัจจุบันคือญาติโยมไม่สงเคราะห์ แต่มันจะมีโทษในอนาคตด้วย คือตายเมื่อไรจะมีอเวจีเป็นที่ไปแห่งเดียวหนักเบาตามโทสานุโทษ อาจจะอยู่เป็นกัปป์ตามอายุของอเวจี หรืออยู่น้อยกว่านั้น แต่ว่าท่านก็ต้องผ่านอุสุธนรก ผ่านยมโลกีย์นรก ผ่านมหานรกขุมต่าง ๆ อีก กว่าที่จะหลุดพ้นมาได้นี่มันเนิ่นนานเหลือเกิน แม้จะได้เห็นปลายได้ว่ามันนานแค่ไหน แต่คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานนั้น แม้ระยะเวลา1 นาที 2 นาทีมันก็นานเหมือนกับเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว ผมเองมาบวชเอาอายุตอนจะ 30เพราะผมกลัวนรก ผมเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 และเห็นด้วยว่าทุกขุม มีแต่นักบวชลงไปอยู่กันแน่นขนัด ครั้งแรกที่เห็นผมตกใจคือเค้าแสดงภาพเป็นนักบวชให้เห็นชัดเจน มันแน่นเหมือนเราเปิดกล่องไม้ขีดแล้ว เห็นไม้ขีดยังไงยังงั้นเลย

    ผมจึงสรุปได้ว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าสักแต่ว่าบวชไม่รอดแน่นอน ในเมื่อเราบวชมาแล้วเราจำเป็นต้องรู้ตัวว่าเราเป็นนักบวช เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หน้าที่ของความเป็นนักภิกษุ ภิกษุ รากศัพท์เดิมคือ ภิกขุ แปลได้ 2 อย่างคือ ผู้ขอ อย่างหนึ่ง กับผู้เห็นในวัฏสงสารอย่างหนึ่ง

    การที่เราเป็นผู้ขอ เดี๋ยวอีกสักครู่เราก็จะไปทำหน้าที่ของการเป็นผู้ขอ การที่เราขอเขาอย่าขอเฉย ๆ ต้องให้มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ผู้รับด้วย คือการชำระศีลของเราให้สิกขาบทให้บริสุทธิ์ ทรงสมาธิตั้งมั่นให้สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้ สร้างปัญญาให้เกิด ให้เห็นว่าร่างกายนี้โลกนี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ ถ้าเราชำระใจของเราให้ผ่องใสได้ ชำระศีลของเราให้ผ่องใสได้ ญาติโยมที่ใส่บาตรก็จะมีอานิสงฆ์สูงมาก ผมอยู่ที่นี่มา 6 เดือนกับอีกนิดหน่อย ผมสังเกตุอยู่เสมอว่า โยมใส่บาตรมากขึ้นทุกที ๆ บ้านที่เคยใส่ก็ใส่ประจำไม่งดเว้น บ้านที่ไม่เคยใส่ก็ใส่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ แสดงว่าบุคคลที่เคยใส่บาตรทำบุญกับพวกเรา ที่เป็นนักปฏิบัติซึ่งจะได้อานิสงฆ์สูงกว่าปุถุชนทั่ว ๆ ไปเป็นแสน ๆ เท่า เขาจะได้ผลดีในการทำบุญใส่บาตรของเขา มันต้องมีผลตอบแทนที่เห็นได้ชัด แล้วเขาพูดกันต่อๆ ไป ดังนั้นเขาจึงใส่บาตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าเราคือภิกษุ คือผู้ขอ จะไปขอเขาเราต้องนอบน้อมถ่อมตน จะไปขอเขาก็อย่าสักแต่ว่าขออย่างเดียว ให้เรามีสิ่งที่ดีที่สุดไป เพื่อให้ผู้รับได้รับผลตอบแทนที่ดีด้วย ต้องพยายามทำตัวเป็นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุดที่เราจะพึงทำได้ อย่าไปโดยความหยิ่งผยอง อย่าไปโดยมานะว่าเราเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ เรามีสมาธิตั้งมั่น เราปัญญา ถ้าไปในลักษณะนั้นวางกำลังใจผิดสมเด็จพ่อของเรา คือองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางรูปแบบไว้ ให้พระต้องขอเขากิน เพื่อลดทิฐิมานะของตน หลายท่าน ฐานะทางบ้านดีมาก พูดง่าย ๆ ว่ามีเหลือกินเหลือใช้ ในชีวิตฆราวาสต้องการกินดีอยู่ดีขนาดไหนก็ได้ แต่ในขณะนี้ท่านสละมันมา กลับขอเขากิน เราเป็นขอทาน อย่าลืมฐานะของตัว ในเมื่อเราเป็นขอทานสิ่งที่เขาให้คือความเมตตาปราณีของญาติโยมเขา ถ้าเราทำตัวไม่ดี ญาติโยมที่ไหนเขาจะสงเคราะห์ คุณก็เห็นอยู่วัดใกล้ ๆ นี้เองเป็นอย่างไรเราต้องทำตัวให้สมกับที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์ ทันทีที่คุณกินข้าวกินน้ำของเขาใช้เครื่องอุปโภค บริโภค ที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์มา ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของคุณแล้ว

    พ่อแม่อาจจะไห้เลือดเนื้อร่างกายนี้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ ขัดเกลาจิตใจนี้ให้คุณ คุณเกิดทางร่างกายมาอายุ เกิน 20 คุณเกิดในทางธรรมมาตามจำนวนระยะเวลาที่คุณตั้งหน้าตั้งตาทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าคุณเกิดใหม่อีกวาระหนึ่งแล้ว วาระที่คุณกินข้าวกินน้ำ ใช้เครื่องอุปโภค บริโภคของญาติโยมเขา เลือดเนื้อร่างกายทุกส่วนไม่ใช่ของเราอย่างแน่นอนแล้ว เป็นสมบัติของญาติโยมเขา เราอยู่ได้ด้วยการที่คนอื่นเลื้อง อย่าลืมฐานะของตัวเรา เอง ต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอ ก้มมองเห็นเราน่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ คลำดูศรีษะ ศรีษะของเราโล้น มันเป็นเครื่องบังคับเครื่องบ่งชี้ให้เรารู้ว่าเราอยู่ในฐานะของนักบวช ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ทำให้สมเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส คือเป็นลูกของพระพุทธเจ้าที่ท่านรักยิ่ง พ่อแม่จะรักลูกก็ต่อเมื่อลูกทำดี ประพฤติดี เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างเดียวยังไม่พอ เรายังเป็นธรรมเสนา เป็นทหารแห่งกองทัพธรรม เป็นทหารในพุทธอาณาจักร กำลังใจที่เราจะต่อสู้ฟันฝ่ากับกิเลส มีอยู่สักเท่าไหร่ สมควรกับการเป็นทหารกล้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือไม่ ลำบากนิดหน่อยก็จะไม่ยอมทนเสียแล้ว นั่นใช้ไม่ได้ เราบวชเข้ามาคนอื่นเขาสงเคราะห์เรา อยากได้เย็นอาจจะได้ร้อน อยากได้อ่อนอาจจะได้แข็ง จำกัดด้วยปัจจัย 4 ต้องทนลำบากทางกายต้องทนความอึดอัดใกฏระเบียบซึ่งเป็นความลำบากทางใจ ต้องทนต่อสู้กับกิเลสที่กระหน่ำตีเราอยู่ทุกวัน ในชีวิตฆราวาส

    ถ้ากิเลสมันเป็นเสือ ปล่อยเสืออยู่ในป่า เราเดินทั้งปี อาจจะไม่เจอเสือตัวนั้น แต่ในชีวิตนักบวช เขาเอาเสือตัวนั้น ใส่กรงแล้วจับเรายัดเข้าไปด้วย เสือมันจะขบกัดเราอยู่ทุกวัน ถ้าเราไม่ใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ต่อสู้กับมัน กดคอมันเอาไว้ มันก็จะเป็นอันตราย ขบกัดกับเรา ถึงกดคอเอาไว้ได้ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ไม่รู้เราจะหมดแรงเมื่อไหร่ ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่ มันกัดเราอีกทันที ดังนั้นต้องหาทางฆ่าเสือให้ตายให้ได้

    วิธีฆ่าเสือคือกิเลสของเราให้ตาย คือต้องหาเหตุให้เจอ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร

    กิเลสตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรมต่าง ๆ ที่มันสร้างความลำบากให้กับเราในทุกวันนี้ เพราะเรามีร่างกายนี้ เพราะเราเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดอีก ไม่มีร่างกายนี้อีก เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยากลำบากด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรม เหล่านี้ ดังนั้นเราจะยังปรารถนาการเกิดอีกหรือไม่ ตอนนี้ทุกท่านอยู่ในกรอบชีวิตของนักบวช ทุกท่านอยู่ในเขตที่จำกัดด้วยปัจจัย 4 อยู่ในสนามรบ ที่เราต้องต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง คือต่อสู้กับกิเลส เพื่อจะให้ต้วเราไม่ต้องตกนรก และพยายามทำอย่างไร จะให้ภูมิจิตภูมิธรรมของเราก้าวหน้าขึ้น สู่ภพภูมิที่สูง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดเข้าสู่พระนิพพาน เราต้องใช้ความพยายามของเราอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อที่เราจะได้มาปฏิบัติกัน บางท่านก็สงสัย ผมจะตื่นตี2 ประจำ ยกเว้นเจ็บไข้ได้ป่วย สัญญาเข้าไป ผมจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่งั้นโดนยามันน๊อคผมจะลุกไม่ไหว ไม่อย่างนั้นแล้วตี 2 ผมต้องลุกขึ้นมาแล้ว อันดับแรกยังไม่ทันขยับต้ว ก็ต้องนึกถึงพระก่อน ควบคุมลมหายใจเข้าออกของต้วเองก่อน จนกระทั่งภาพพระตั้งมั่น สติตั้งมั่น แล้วก็ภาวนาอย่างที่เคยว่าจะภาวนาอย่างไร ยกจิตขึ้นสู่ระดับไหน ทำจนกระทั่งครบชุด มันก็จะได้เวลาที่จะออกมาล้างหน้า สรงน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง เตรียมจะทำวัดเช้าต่อไป เราทำวัดสวดมนต์ ออกเสียงตามสายญาติโยมได้ประโยชน์ด้วย ต่อให้ฟังไม่เข้าใจเขาก็รู้ว่าพระสวดมนต์ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เราลุกขึ้นมาสู้กับกิเลส ญาติโยมหลายท่านเขาทึ่ง เคยบ่นให้ได้ยิน บอกว่าพระเจ้าเขาทำได้อย่างไรนะ เวลาใกล้รุ่งเป็นเวลาที่น่านอนที่สุด นี่ต้องแหวกกองกิเลสออกมานั่งทำวัดสวดมนต์กันเลยหรือ คุณทำแค่นี้ญาติโยมเขาเห็นเขาก็ชื่นชมแล้ว ยิ่งทำดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้นเพราะมันไม่เสียที่ ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงมา ไม่เสียทีที่เขาเองต้องลำบากด้วยความเป็นอยู่แต่แบ่งปันปัจจัย 4 ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์แก่เรา อันนี้เป็นความกรุณาของโยมเขาแล้วเราทำดี พอเหมาะพอสมที่จะใช้สอยในปัจจัย 4 ที่โยมเขาสละมาให้แล้วหรือยัง

    ในชีวิตของความเป็นพระ เราทำกรรม คือบาป กรรมชั่ว ผลของมันก็คูณด้วย แสน สมมติว่าเราเป็นฆราวาส เกิดมาปุ๊บก็เริ่มฆ่าสัตว์เลย ฆ่าปลาก็แล้วกัน วันละหนึ่งตัว ๆ ฆ่าไปเรื่อย จนครบ 100 ปีแล้วเราตาย เราจะลงอเวจีมหานรก เพราะเราทำอาจิณตกรรม คือกระทำกรรมที่ต่อเนื่อง ที่สม่ำเสมอ ที่ยาวนาน แต่ในชีวิตของความเป็นพระ พวกท่านฆ่าปลาตัวเดียว ลงอเวจีมหานรก โทษมันมากกว่ากันมหาศาลขณะนี้ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็มากกว่ามหาศาล คุณปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนา ผลของมันก็คูณด้วยแสนเช่นกัน สมัยเป็นฆราวาสผมทุ่มเทให้กับปฏิบัติ 10กว่าปี ฝึกกรรมฐานตามแบบที่หลวงพ่อสอน กองไหนชอบใจผมฝึกกองนั้น ผมพยายามเอากรรมฐานให้ได้ครบ 40 กอง ปล้ำเป็นปล้ำตายอยู่11 ปีเต็ม ๆ โดยตั้งใจว่า ถ้าเราเป็นบวช ถ้าเราเข้ามาบวช ถ้าเราเป็นนักบวช เราควรจะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ฆราวาส เพื่อที่บาชปุ๊บ ญาติโยมจะได้ไหว้เราได้เต็ม ทำบุญกับเราแล้วได้บุญเต็มที่ 11 ปีที่ผม ผมทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ทำแบบที่คนรอบข้างว่าผมบ้า แต่ว่าจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการมันไม่ได้ กรรมฐานหลายกองที่ปลุกปล้ำกันแทบเป็นแทบตายมันไม่ทรงตัว พอผมตัดสินใจบวชเข้ามา ปรากฏสิ่งที่ผมต้องการในชีวิตฆราวาส มันไหลมาเทมา ไม่วาคุณจะปฏิบัติอย่างไรมันก็รู้สึกคล่องแคล่วชำนาญ ไม่ว่าคุณจะภาวนา จะพิจารณาอย่างไรมันง่ายดายไปหมด กรรมฐานที่เคยทำไม่ได้ มันก็ทำได้มันง่าย มันก็คล่องตัว ผมมีความสงสัยมาก จึงไปกราบเรียนถามมหาอำพัน ตอนที่ไปดูแลท่านที่ป่วยอยู่ ท่านบอกว่า ต้นทุนของผมไม่พอ แต่พอบวชเข้ามาอานิสงฆ์ใหญ่มันเกิด คือกุศลของการที่เราบวช รวมกับความตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีผลมากกว่าชีวิตฆราวาส เป็นแสนแสนเท่า ทำให้ต้นทุนที่ผมไขว่คว้ามา 10 กว่าปี มันเพียงพอ มันถึงได้ในสิ่งที่ผมต้องการ

    ดังนั้น ตอนนี้พวกท่านทุกคน อยู่ในจุดที่ ดีที่สุด ที่จะสร้างบุญ สร้างกุศลแล้ว พยายามทบทวนศีลทุกสิขาบท พยายามสร้างสมาธิให้เกิดทุกวัน ๆ วางกำลังใจให้สูงสุด คือเกาะพระนิพพานให้ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใด ๆ ในหน้าที่ของสงฆ์ก็ดี หรือว่าทำในกันตะธุระ ช่วยในการก่อสร้าง ช่วยทำความสะอาดวัดวาอารามอะไรก็ดี ให้มีสติตอบรับอยู่เสมอ ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในกองทุกข์ ในเมื่อชีวิตมันมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เราเองยังอยากเกิดมาทุกข์ไหม ตอนนี้เราวางชีวิตของครอบครัวอยู่ข้างหลัง ย้อนกลับไปเมื่อไหร่ความทุกข์ใหญ่จะเกิดกับเรา เราไม่ได้รับผิดชอบชีวิตของตัวเราคนเดียว เราต้องรับผิดชอบชีวิตของอีกหลาย ๆ คน ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก ความเครียด รอเราอยู่แล้ว ดังนั้น ตอนนี้เรากอบโกยความดีให้มากที่สุด เพื่อที่ถึงวาระถึงเวลาจะได้มีต้นทุนไว้ต่อสู้กับมัน เราจะใช้โอกาสที่ดีที่สุดนี้ในการฝึกปฏิบัติตน สร้างกำลังกาย กำลังใจของเราให้ ดีที่สุด เข้มแข็งที่สุด เพื่อถึงวาระ ถึงเวลาต้นทุนของเราเพียงพอ ถ้าเราไปเป็นฆราวาสเราก็จะดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องทุกข์ยากมากนัก เพราะเราทำใจได้เสียแล้ว หรือในชีวิตของความเป็นพระต่อไปข้างหน้าของเรา ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราดี เราก็จะมีแต่ความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

    พวกท่านทุกคนก็ดี ตัวผมเองก็ดีตอนนี้แบกภาระที่ใหญ่หลวงมาก สิ่งที่เราแบกอยู่บนบ่านี้ นอกจากภาระธุระในพระพุทธศาสนา เพื่อเราทำอย่างไร จะสร้างตนเองให้เป็นพระให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะทำอย่างไร จะนำพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแพร่ขจรขจายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย และจะทำอย่างไรจะกอบกู้ชื่อเสียงของบรรดานักบวชที่ทำให้ศาสนาของเราตกต่ำอยู่ให้กลับมาดีดังเดิมได้ ภาระใหญ่หลวงนี้อยู่บนบ่าของพวกเราทุกคน และทั้งพวกเราทั้งตัวผมเอง ยังมีภาระใหญ่ คือแบกป้ายยี่ห้อของหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง ไปถึงก็บอกกับเขาว่าผมบวชกับอาจารย์เล็กครับ ผมปฏิบัติตามแนวของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ครับ เราพูดได้เต็มปากเต็มคำมั้ย ครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดไหน ตอนนี้เราทำตัวสมกับเป็นศิษย์ของท่านหรือยัง หลวงพ่อเคยบอกกับผมตามปกติว่าไปไหนพวกแกก็บอกว่ามาจากวัดท่าซุง แกเอา ซุงดีดี หรือว่าซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าเอาซุงดีดี ไปอวดเขามันก็ยังเป็นซุงอยู่ เราสามารถจะกลึง จะเกลา จะเหลา จะถากมันขึ้นมาเพื่อให้เป็นวัสดุที่พอใช้งานได้นั้น เราทำมันได้หรือยัง ไม่ต้องวิเศษเลิศลอยถึงขนาดแกะเป็นเรือสุพรรณหงส์หรอก เอาแค่เป็นภาชนะต่าง ๆที่มันพอดูได้ พองาม เหมาะสมกับฐานะของตน เราทำได้ดีเท่าไหร่ ทั้งภาระของศาสนา ทั้งชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อยู่กับของเราแล้ว เราต้องทำให้ดี ไม่เสี่ยงแต่ส่วนนอกเขามามองเรา นักบวชด้วยก็มองเรา ทำอย่างไรเราจะทำกาย ทำใจ ทำวาจาของเราให้ดีกว่านี้ ต้องระลึกอยู่เสมอว่าวันเวลาล่วงไป ๆ เราจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ ต้องเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา ต้องดูอยู่เสมอว่าตัวเราติเราโดยศีลได้หรือไม่ ต้องดูอยู่เสมอว่าผู้อื่นติเราโดยศีลได้หรือไม่

    ต้องพิจารณาอยู่เสมอว่าคุณวิเศษ ต่าง ๆ ในพระศาสนาของเรามีอยู่หรือไม่ เพื่อถึงเวลาจะได้ไม่เก้อไม่เขินเมื่อเพื่อนปัจจมิตรใต่ถาม ต้องระลึกอยู่เสมอว่าผู้อื่นเลี้ยงเรา เราต้องเป็นผู้เลี้ยงง่าย ต้องระลึกอยู่เสมอว่าตอนนี้เราเป็นพระแล้ว กิริยาอาการใด ๆที่เป็นของพระ เราต้องทำกิริยาอาการเหล่านั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้คิดอยู่เสมอ คิดอยู่ในขณะที่ภาพพระอยู่กับเรา คิดอยู่ปฏิบัติอยู่ในขณะที่กำลังใจเราเกาะนิพพานเอาไว้ วันพระ ก็เลยขอพูดเรื่องของพระ ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่เพียงพอ ไม่สามารถจะพูดทั้งหมดได้ แต่ก็คิดว่าสิ่งที่บอกกล่าวพวกเราไป คงจะนำไปปฏิบัติตรวจสอบตัวเอง สร้างกำลังใจให้ดีขึ้นทำการปฏิบัติของเราให้ดีขึ้นให้มากกว่านี้


    ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้ ขอบคุณมากสำหรับทุก ๆ คน

    ***จบ ไฟล์เสียงที่ 4***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2007
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ~♥ลองเทสต์จ๊ะ♥~

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #f58105 3px dashed; BORDER-TOP: #f58105 3px dashed; BORDER-LEFT: #f58105 3px dashed; BORDER-BOTTOM: #f58105 3px dashed" cellSpacing=5 cellPadding=5 bgColor=#cfbaa3><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: #8a643c 3px dashed; BORDER-TOP: #8a643c 3px dashed; BORDER-LEFT: #8a643c 3px dashed; BORDER-BOTTOM: #8a643c 3px dashed" bgColor=#f6dabc>

    วันนี้ก็เป็นวันพระ


    วันพระขึ้น ๘ ค่ำแล้ว ปีนี้เดือนยี่มาเร็วมาก เพราะว่าปีหน้ามี ๘ สองหน
    ก็ในเมื่อเป็นวันพระ ก็ขอพูด "เรื่องของพระ"
    คือเรื่องของพวกเรากันเอง ก็อยากจะบอกกับทุกคนว่า
    ขณะนี้พวกเราอยู่ในสภาพใหม่ สำหรับผู้ที่บวชใหม่
    สำหรับผู้ที่บวชเก่าแล้ว ก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่า ตัวเราเป็นผู้ใหม่
    ไม่อย่างนั้นแล้ว ท่านจะประมาทในการปฏิบัติ
    อย่าลืม หลวงพ่อตอกย้ำเราอยู่เสมอ ๆ ว่า
    "นิพานกะ สติกริยายะ เอตังกาสาวัง คเหตวา "
    เรารับผ้ากาสาวพัตร์นี้มา เพื่อแจ้งในพระนิพพาน
    อย่าได้ลืมตรงจุดนี้เป็นอันขาดว่า เราบวชเพราะนิพพาน
    ส่วนใหญ่พวกเรา พอบวชไปนาน ๆ แล้ว ด้วยการชักจูงของกิเลสตัณหา
    อุปปาทานและอกุศลกรรมทั้งหมด เราก็จะเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายของตัว
    ลืมไปว่าวันแรกที่บวช จะบวชเพื่ออะไร
    ไปติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไปคลุกคลีกกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ
    อันนั้นลืมตัว การที่เราฝึกในศีล ในสมาธิ ในปัญญา จุดที่สำคัญที่สุด คือ
    "การสร้างสติ สัมปชัญญะ"
    สติ ความระลึกได้
    สัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไร
    การที่เราจะเป็นพระ หรือไม่เป็นพระ อยู่ที่การปฏิบัติของเราเอง
    สมัยก่อนบวชเราไหว้พ่อ ไหว้แม่ ไหว้ผู้ใหญ่
    พอบวชเข้ามาปุ๊บ พ่อแม่ก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี กราบเรา ไหว้เรา
    เรามีอะไรดีท่านถึงมากราบมาไหว้เรา เลี้ยงท่านก็เลี้ยงเรามา อบรมสั่งสอนเรามา
    ไม่ว่าวัยวุฒิ คืออายุ คุณวุฒิ คือความรู้ความสามารถ เราสู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว
    ถ้าท่านไม่เลี้ยงดูเรามา เราก็ไม่รอดเป็นคน จนเติบโตมา กระทั่งบวชอยู่จนทุกวันนี้
    มีจุดเดียวที่เราจะดีกว่าก็คือ ศีล จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ขั้นต้น อยู่ที่ ศีล นี่เอง
    ดังนั้นให้ทุกคนทบทวนอยู่เสมอในแต่ละวัน ๆ ว่า
    ศีลทุสิขาบทของเรา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หรือไม่
    ถ้ามันบกพร่อง ให้แสดงคืนอาบัติเสีย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ขนาดไหนก็ตาม
    อาบัติใหญ่คือปราชิก ๔ ข้อ สังคาภิเษก ๑๓ ข้อ อย่าให้ต้องเป็นอันขาด
    เพราะมันแก้ไม่ได้ก็มี แก้ได้ยากก็มี
    เปิดทวนไว้อยู่เสมอ ๆ ว่า ๑๗ ข้อนี้ห้ามโดนเป็นอันขาด
    ส่วนที่เหลือ สติสัมปชัญญะเรายังไม่สมบูรณ์ โอกาสพร่องมันมี
    ให้รีบแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน จะได้เป็นผู้บริสุทธิ์
    ถ้าคืนนั้นเรานอนอยู่แล้วตายไป บาปกรรมความชั่วจะได้ ไม่ติดตัวเราไป
    การที่เราบวชเข้ามา ชีวิต ต้องรับกฏรับกติกาใหม่
    ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ต้องมีความประพฤติ ปฏิบัติเสียใหม่
    เพื่อให้อยู่ในกรอบของภิกษุ
    เพื่อให้อยู่ในกรอบที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ ซึ่งมีทั้งข้อที่ห้าม ข้อที่อนุญาต
    ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดี ไม่ว่าจะบวชน้อยหรือบวชมาก
    อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเคยสอนไว้ว่า การบวชน้อย ถ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    ก็มีคุณค่า เหมือนกับเพชรแม้จะเม็ดเล็ก แต่ก็มีราคาสูง
    การบวชมาก ถ้าหากว่าทำความชั่ว ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ ยิ่งเหม็นมาก
    คราวนี้ไอ้ความเหม็นความน่ารังเกียจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินอกรีดนอกรอยนั้น
    มันไม่ได้มีโทษแต่ปัจจุบัน คือ ญาติโยมไม่สงเคราะห์ แต่มันจะมีโทษในอนาคตด้วย
    คือตายเมื่อไร จะมี อเวจี เป็นที่ไปแห่งเดียวหนักเบาตามโทสานุโทษ
    อาจจะอยู่เป็นกัปป์ ตามอายุของอเวจี หรืออยู่น้อยกว่านั้น
    แต่ว่าท่านก็ต้องผ่านอุสุธนรก ผ่านยมโลกีย์นรก ผ่านมหานรกขุมต่าง ๆ อีก
    กว่าที่จะหลุดพ้นมาได้นี่มันเนิ่นนานเหลือเกิน แม้จะได้เห็นปลายได้ว่ามันนานแค่ไหน
    แต่คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานนั้น แม้ระยะเวลา ๑ นาที ๒ นาที
    มันก็นานเหมือนกับเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว
    ผมเองมาบวชเอาอายุตอนจะ ๓๐ เพราะผมกลัวนรก ผมเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ครบ ๒๐
    และเห็นด้วยว่าทุกขุม มีแต่นักบวชลงไปอยู่กันแน่นขนัด ครั้งแรกที่เห็นผมตกใจ
    คือเค้าแสดงภาพ เป็นนักบวชให้เห็นชัดเจน มันแน่นเหมือนเราเปิดกล่องไม้ขีดแล้ว
    เห็นไม้ขีดยังไงยังงั้นเลย
    ผมจึงสรุปได้ว่า ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากว่า สักแต่ว่าบวช ไม่รอดแน่นอน
    ในเมื่อเราบวชมาแล้ว เราจำเป็นต้องรู้ตัวว่า เราเป็นนักบวช
    เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หน้าที่ของความเป็นนักภิกษุ
    ภิกษุ รากศัพท์เดิมคือ ภิกขุ แปลได้ ๒ อย่างคือ ผู้ขอ อย่างหนึ่ง
    กับ ผู้เห็นในวัฏฏสงสาร อย่างหนึ่ง
    การที่เราเป็นผู้ขอ เดี๋ยวอีกสักครู่ เราก็จะไปทำหน้าที่ของการเป็นผู้ขอ
    การที่เราขอเขา อย่าขอเฉย ๆ ต้องให้มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ผู้รับด้วย
    คือ การชำระศีลของเรา ให้สิกขาบท ให้บริสุทธิ์ ทรงสมาธิตั้งมั่นให้สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้
    สร้างปัญญาให้เกิด ให้เห็นว่าร่างกายนี้ โลกนี้ มีแต่ความทุกข์จริง ๆ
    ถ้าเราชำระใจของเราให้ผ่องใสได้ ชำระศีลของเราให้ผ่องใสได้
    ญาติโยมที่ใส่บาตร ก็จะมีอานิสงค์สูงมาก ผมอยู่ที่นี่มา ๖ เดือนกับอีกนิดหน่อย
    ผมสังเกตุอยู่เสมอว่า โยมใส่บาตรมากขึ้นทุกที ๆ บ้านที่เคยใส่ก็ใส่ประจำไม่งดเว้น
    บ้านที่ไม่เคยใส่ ก็ใส่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ แสดงว่า บุคคลที่เคยใส่บาตรทำบุญกับพวกเรา
    ที่เป็นนักปฏิบัติ ซึ่งจะได้อานิสงค์สูงกว่าปุถุชนทั่ว ๆ ไปเป็นแสน ๆ เท่า
    เขาจะได้ผลดี ในการทำบุญใส่บาตรของเขา มันต้องมีผลตอบแทนที่เห็นได้ชัด
    แล้วเขาพูดกันต่อๆ ไป ดังนั้นเขาจึงใส่บาตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
    แต่อย่าลืมว่า เราคือภิกษุ คือ ผู้ขอ จะไปขอเขา เราต้องนอบน้อมถ่อมตน
    จะไปขอเขา ก็อย่าสักแต่ว่าขออย่างเดียว ให้เรามีสิ่งที่ดีที่สุดไป
    เพื่อให้ผู้รับได้รับผลตอบแทนที่ดีด้วย ต้องพยายามทำตัวเป็น"เนื้อนาบุญ"ที่ดีที่สุด
    ที่เราจะพึงทำได้ อย่าไปโดยความหยิ่งผยอง อย่าไปโดยมานะว่าเราเป็นพระ
    เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ เรามีสมาธิตั้งมั่น เรามีปัญญา
    ถ้าไปในลักษณะนั้น วางกำลังใจผิด
    สมเด็จพ่อของเรา คือองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางรูปแบบไว้
    ให้พระต้องขอเขากิน เพื่อลดทิฐิมานะของตน หลายท่าน ฐานะทางบ้านดีมาก
    พูดง่าย ๆ ว่ามีเหลือกินเหลือใช้ ในชีวิตฆราวาสต้องการกินดีอยู่ดีขนาดไหนก็ได้
    แต่ในขณะนี้ ท่านสละมันมา กลับขอเขากิน เราเป็นขอทาน อย่าลืมฐานะของตัว
    ในเมื่อเราเป็นขอทาน สิ่งที่เขาให้ คือความเมตตาปราณีของญาติโยมเขา
    ถ้าเราทำตัวไม่ดี ญาติโยมที่ไหนเขาจะสงเคราะห์ คุณก็เห็นอยู่วัดใกล้ ๆ นี้เอง
    เป็นอย่างไร เราต้องทำตัว ให้สมกับที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์
    ทันทีที่คุณกินข้าวกินน้ำของเขา ใช้เครื่องอุปโภค บริโภค
    ที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์มา ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของคุณแล้ว
    พ่อแม่อาจจะให้ เลือดเนื้อร่างกายนี้มา
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ ขัดเกลาจิตใจนี้ให้คุณ
    คุณเกิดทาง ร่างกาย มาอายุ เกิน ๒๐ คุณเกิดในทาง ธรรม มาตามจำนวน
    ระยะเวลา ที่คุณตั้งหน้าตั้งตา ทำตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า
    แต่ว่าคุณ เกิดใหม่ อีกวาระหนึ่ง แล้ว วาระที่คุณกินข้าวกินน้ำ ใช้เครื่องอุปโภค
    บริโภคของญาติโยมเขา เลือดเนื้อร่างกายทุกส่วน ไม่ใช่ของเราอย่างแน่นอน
    แล้ว เป็นสมบัติของญาติโยมเขา เราอยู่ได้ด้วยการที่คนอื่นเลื้ยง
    อย่าลืมฐานะ ของตัวเราเอง ต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอ
    ก้มมองเห็นเราน่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ คลำดูศรีษะ ศรีษะของเราโล้น
    มันเป็นเครื่องบังคับ เครื่องบ่งชี้ ให้เรารู้ว่าเราอยู่ในฐานะของนักบวช
    ต้องทำให้ดีที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ ทำให้สมเป็น "ศากยบุตรพุทธชิโนรส"
    คือ เป็นลูกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านรักยิ่ง พ่อแม่จะรักลูก ก็ต่อเมื่อลูกทำดี
    ประพฤติดี เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างเดียวยังไม่พอ เรายังเป็นธรรมเสนา
    เป็นทหารแห่งกองทัพธรรม เป็นทหารในพุทธอาณาจักร
    กำลังใจที่เราจะต่อสู้ ฟันฝ่ากับกิเลส มีอยู่สักเท่าไหร่
    สมควรกับการเป็นทหารกล้า ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือไม่
    ลำบากนิดหน่อยก็จะไม่ยอมทนเสียแล้ว นั่นใช้ไม่ได้
    เราบวชเข้ามา คนอื่นเขาสงเคราะห์เรา อยากได้เย็น อาจจะได้ร้อน
    อยากได้อ่อน อาจจะได้แข็ง จำกัดด้วยปัจจัย ๔ ต้องทนลำบากทางกาย
    ต้องทนความอึดอัด ในกฏระเบียบ ซึ่งเป็นความลำบากทางใจ
    ต้องทนต่อสู้กับกิเลส ที่กระหน่ำตีเราอยู่ทุกวัน ในชีวิตฆราวาส
    ถ้า "กิเลส" มันเป็น เสือ ปล่อยเสืออยู่ในป่า เราเดินทั้งปี อาจจะไม่เจอเสือตัวนั้น
    แต่ในชีวิตนักบวช เขาเอาเสือตัวนั้น ใส่กรงแล้ว จับเรายัดเข้าไปด้วย
    เสือมันจะขบกัดเราอยู่ทุกวัน ถ้าเราไม่ใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ต่อสู้กับมัน
    กดคอมันเอาไว้ มันก็จะเป็นอันตราย ขบกัดกับเรา ถึงกดคอเอาไว้ได้
    ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ ไม่รู้เราจะหมดแรงเมื่อไหร่ ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่
    มันกัดเราอีกทันที ดังนั้น ต้องหาทางฆ่าเสือให้ตายให้ได้
    วิธีฆ่าเสือ คือ กิเลสของเราให้ตาย คือต้องหาเหตุให้เจอ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
    กิเลสตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรมต่าง ๆ ที่มันสร้างความลำบากให้กับเราในทุกวันนี้
    เพราะเรามีร่างกายนี้ เพราะเราเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดอีก ไม่มีร่างกายนี้อีก
    เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยากลำบากด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรม เหล่านี้
    ดังนั้น เราจะยังปรารถนาการเกิดอีกหรือไม่
    ตอนนี้ทุกท่านอยู่ในกรอบชีวิตของนักบวช ทุกท่านอยู่ในเขตที่จำกัดด้วยปัจจัย ๔
    อยู่ในสนามรบ ที่เราต้องต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง คือต่อสู้กับกิเลส
    เพื่อจะให้ต้วเราไม่ต้องตกนรก และพยายามทำอย่างไร
    จะให้ภูมิจิตภูมิธรรมของเราก้าวหน้าขึ้น สู่ภพภูมิที่สูง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดเข้าสู่พระนิพพาน
    เราต้องใช้ความพยายามของเราอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
    เราต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อที่เราจะได้มาปฏิบัติกัน บางท่านก็สงสัย ผมจะตื่นตี ๒ ประจำ
    ยกเว้นเจ็บไข้ได้ป่วย สัญญาเข้าไป ผมจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่งั้นโดนยามันน๊อค
    ผมจะลุกไม่ไหว ไม่อย่างนั้นแล้วตี ๒ ผมต้องลุกขึ้นมาแล้ว
    อันดับแรก ยังไม่ทันขยับต้ว ก็ต้อง นึกถึงพระ ก่อน
    ควบคุม ลมหายใจเข้าออก ของต้วเองก่อน จนกระทั่งภาพพระตั้งมั่น สติตั้งมั่น
    แล้วก็ ภาวนาอย่างที่เคย ว่าจะภาวนาอย่างไร ยกจิตขึ้นสู่ระดับไหน ทำจนกระทั่งครบชุด
    มันก็จะได้เวลา ที่จะออกมาล้างหน้า สรงน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง เตรียมจะทำวัตรเช้าต่อไป
    เราทำวัตรสวดมนต์ ออกเสียงตามสาย ญาติโยมได้ประโยชน์ด้วย
    ต่อให้ฟังไม่เข้าใจ เขาก็รู้ว่าพระสวดมนต์ แต่ ที่แน่ ๆ ก็คือ เราลุกขึ้นมาสู้กับกิเลส
    ญาติโยมหลายท่านเขาทึ่ง เคยบ่นให้ได้ยิน บอกว่าพระเจ้าเขาทำได้อย่างไรนะ
    เวลาใกล้รุ่ง เป็นเวลาที่ น่านอนที่สุด
    นี่ต้องแหวกกองกิเลส ออกมานั่งทำวัตรสวดมนต์ กันเลยหรือ ??
    คุณทำแค่นี้ ญาติโยมเขาเห็นเขาก็ชื่นชมแล้ว ยิ่งทำดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้น
    เพราะมันไม่เสียที่ ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงมา ไม่เสียทีที่เขาเองต้องลำบากด้วยความเป็นอยู่
    แต่แบ่งปันปัจจัย ๔ ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์แก่เรา อันนี้เป็นความกรุณาของโยมเขา
    แล้วเราทำดี พอเหมาะพอสมที่จะใช้สอยในปัจจัย ๔ ที่โยมเขาสละมาให้แล้วหรือยัง
    ในชีวิต ของความเป็น"พระ" เราทำกรรม คือบาป กรรมชั่ว ผลของมันก็คูณด้วย แสน
    สมมติว่า เราเป็นฆราวาส เกิดมาปุ๊บก็เริ่มฆ่าสัตว์เลย ฆ่าปลาก็แล้วกัน วันละหนึ่งตัว ๆ
    ฆ่าไปเรื่อย จนครบ ๑๐๐ ปีแล้วเราตาย เราจะลงอเวจี มหานรก เพราะเราทำ อาจิณตกรรม
    คือ กระทำกรรมที่ต่อเนื่อง ที่สม่ำเสมอ ที่ยาวนาน
    แต่ ในชีวิตของความเป็น พระ พวกท่านฆ่าปลา ตัวเดียว ลงอเวจีมหานรก
    โทษ มันมากกว่ากันมหาศาล ขณะนี้ แต่ในขณะเดียวกัน "คุณ" ก็มากกว่ามหาศาล
    คุณปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนา ผลของมันก็ คูณด้วยแสน เช่นกัน
    สมัยเป็นฆราวาส ผมทุ่มเทให้กับปฏิบัติ ๑๐กว่าปี ฝึกกรรมฐานตามแบบที่หลวงพ่อสอน
    กองไหนชอบใจ ผมฝึกกองนั้น ผมพยายามเอากรรมฐานให้ได้ครบ ๔๐ กอง
    ปล้ำเป็นปล้ำตายอยู่ ๑๑ ปีเต็ม ๆ โดยตั้งใจว่า ถ้าเราเป็นบวช ถ้าเราเข้ามาบวช
    ถ้าเราเป็นนักบวช เราควรจะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ฆราวาส เพื่อที่บวชปุ๊บ
    ญาติโยมจะได้ไหว้เราได้เต็ม ทำบุญกับเราแล้ว ได้บุญเต็มที่
    ๑๑ ปีที่ผม ผมทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ทำแบบที่คนรอบข้างว่าผมบ้า
    แต่ว่าจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการมันไม่ได้ กรรมฐานหลายกองที่ปลุกปล้ำกันแทบเป็นแทบตาย
    มันไม่ทรงตัว พอผมตัดสินใจบวชเข้ามา ปรากฏสิ่งที่ผมต้องการในชีวิตฆราวาส
    มันไหลมาเทมา ไม่ว่าคุณจะปฏิบัติอย่างไร มันก็รู้สึกคล่องแคล่วชำนาญ
    ไม่ว่าคุณจะภาวนา จะพิจารณาอย่างไรมันง่ายดายไปหมด กรรมฐานที่เคยทำไม่ได้
    มันก็ทำได้มันง่าย มันก็คล่องตัว ผมมีความสงสัยมาก จึงไปกราบเรียนถามมหาอำพัน
    ตอนที่ไปดูแลท่านที่ป่วยอยู่ ท่านบอกว่า ต้นทุนของผมไม่พอ
    แต่ พอบวชเข้ามา อานิสงฆ์ใหญ่มันเกิด คือกุศลของการที่เราบวช
    รวมกับความตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่มีผลมากกว่าชีวิตฆราวาส เป็นแสนแสนเท่า
    ทำให้ ต้นทุน ที่ผมไขว่คว้ามา ๑๐ กว่าปี มันเพียงพอ มันถึงได้ในสิ่งที่ผม ต้องการ
    ดังนั้น ตอนนี้พวกท่านทุกคน อยู่ในจุดที่ ดีที่สุด ที่จะสร้างบุญ สร้างกุศลแล้ว
    พยายามทบทวนศีลทุกสิขาบท พยายามสร้างสมาธิให้เกิดทุกวัน ๆ วางกำลังใจให้สูงสุด
    คือเกาะพระนิพพานให้ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ
    ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใด ๆ ในหน้าที่ของสงฆ์ก็ดี หรือว่าทำในกันตะธุระ ช่วยในการก่อสร้าง
    ช่วยทำความสะอาดวัดวาอารามอะไรก็ดี ให้มีสติตอบรับอยู่เสมอ ให้มีสติรู้อยู่เสมอ
    ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ใน กองทุกข์ ในเมื่อชีวิตมันมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เราเองยังอยากเกิดมา
    ทุกข์ไหม ตอนนี้เราวางชีวิตของครอบครัวอยู่ข้างหลัง ย้อนกลับไป เมื่อไหร่ความทุกข์ใหญ่
    จะเกิดกับเรา เราไม่ได้รับผิดชอบชีวิตของตัวเราคนเดียว เราต้องรับผิดชอบชีวิตของอีกหลาย ๆ คน
    ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก ความเครียด รอเราอยู่แล้ว
    ดังนั้น ตอนนี้เรากอบโกยความดีให้มากที่สุด เพื่อที่ถึงวาระถึงเวลาจะได้มีต้นทุนไว้ต่อสู้กับมัน
    เราจะใช้โอกาสที่ดีที่สุดนี้ ในการฝึกปฏิบัติตน สร้างกำลังกาย กำลังใจของเราให้ ดีที่สุด
    เข้มแข็งที่สุด เพื่อถึงวาระ ถึงเวลาต้นทุนของเราเพียงพอ ถ้าเราไปเป็นฆราวาส
    เราก็จะดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องทุกข์ยากมากนัก เพราะเราทำใจได้เสียแล้ว
    หรือในชีวิต ของความเป็นพระต่อไปข้างหน้าของเรา ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราดี
    เราก็จะมีแต่ความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
    พวกท่านทุกคนก็ดี ตัวผมเองก็ดี ตอนนี้แบกภาระที่ใหญ่หลวงมาก
    สิ่งที่เราแบกอยู่บนบ่านี้ นอกจากภาระธุระในพระพุทธศาสนา เพื่อเราทำอย่างไร
    จะสร้างตนเองให้เป็นพระให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะทำอย่างไร จะนำพระธรรมคำสอน
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแพร่ขจรขจายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
    เพื่อเป็นประโยชน์ แก่มหาชนทั้งหลาย และจะทำอย่างไรจะกอบกู้ชื่อเสียงของบรรดานักบวช
    ที่ทำให้ศาสนาของเราตกต่ำ อยู่ให้กลับมาดีดังเดิมได้
    ภาระใหญ่หลวงนี้ อยู่บนบ่าของพวกเราทุกคน และทั้งพวกเราทั้งตัวผมเอง ยังมีภาระใหญ่
    คือแบกป้ายยี่ห้อของหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง ไปถึงก็บอกกับเขาว่าผมบวชกับอาจารย์เล็กครับ
    ผมปฏิบัติตามแนวของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ครับ เราพูดได้เต็มปากเต็มคำมั้ย
    ครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดไหน ตอนนี้เราทำตัวสมกับเป็นศิษย์ของท่านหรือยัง
    หลวงพ่อเคยบอกกับผมตามปกติว่าไปไหนพวกแกก็บอกว่ามาจากวัดท่าซุง แกเอา ซุงดีดี
    หรือว่าซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าเอาซุงดีดี ไปอวดเขามันก็ยังเป็นซุงอยู่
    เราสามารถจะกลึง จะเกลา จะเหลา จะถากมันขึ้นมา เพื่อให้เป็นวัสดุที่พอใช้งานได้นั้น
    เราทำมันได้หรือยัง ไม่ต้องวิเศษเลิศลอย ถึงขนาดแกะเป็นเรือสุพรรณหงส์หรอก
    เอาแค่เป็นภาชนะต่าง ๆที่มันพอดูได้ พองาม เหมาะสมกับฐานะของตน เราทำได้ดีเท่าไหร่
    ทั้งภาระของศาสนา ทั้งชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อยู่กับของเราแล้ว
    เราต้องทำให้ดี ไม่เสี่ยงแต่ส่วนนอกเขามามองเรา นักบวชด้วยก็มองเรา
    ทำอย่างไรเราจะ ทำกาย ทำใจ ทำวาจา ของเราให้ ดีกว่านี้ ต้องระลึกอยู่เสมอว่าวันเวลาล่วงไป ๆ
    เราจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ ต้องเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา ต้องดูอยู่ เสมอว่า
    ตัวเรา ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ต้องดูอยู่เสมอ ว่าผู้อื่น ติเราโดยศีลได้หรือไม่
    ต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า คุณวิเศษ ต่าง ๆ ในพระศาสนาของเรามีอยู่หรือไม่
    เพื่อถึงเวลาจะได้ไม่เก้อไม่เขิน เมื่อเพื่อนปัจจมิตรใต่ถาม ต้องระลึกอยู่เสมอว่า ผู้อื่นเลี้ยงเรา
    เราต้องเป็นผู้เลี้ยงง่าย ต้องระลึกอยู่เสมอว่าตอนนี้เราเป็นพระแล้ว กิริยาอาการใด ๆที่เป็นของพระ
    เราต้องทำกิริยาอาการเหล่านั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้คิดอยู่เสมอ
    คิดอยู่ในขณะที่ภาพพระอยู่กับเรา คิดอยู่ปฏิบัติอยู่ในขณะที่กำลังใจเราเกาะนิพพานเอาไว้
    วันพระ ก็เลยขอพูดเรื่องของ พระ ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่เพียงพอ ไม่สามารถจะพูดทั้งหมดได้
    แต่ก็คิดว่า สิ่งที่บอกกล่าว พวกเราไป คงจะนำไปปฏิบัติ ตรวจสอบตัวเอง
    สร้าง กำลังใจ ให้ดีขึ้น ทำการปฏิบัติของเราให้ดีขึ้น ให้มากกว่านี้
    ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้ ขอบคุณมากสำหรับทุก ๆ คน







    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ~♥ลองเทสต์จ๊ะ♥~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2005
  4. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    ไฟล์ที่สี่ ท่านเทศน์สอนพระ ว่า ศีลสำคัญอย่างไร ภาวนาสำคัญแค่ไหน


    วันนี้ก็เป็นวันพระ วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือนยี่แล้ว ปีนี้เดือนยี่มาเร็วมาก เพราะว่าปีหน้ามี 8 สองหนก็ในเมื่อเป็นวันพระ ก็ขอพูดเรื่องของพระ คือเรื่องของพวกเรากันเอง ก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าขณะนี้พวกเราอยู่ในสถานภาพใหม่ สำหรับผู้บวชใหม่ สำหรับผู้ที่บวชเก่าแล้ว ก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่าตัวเราเป็นผู้ใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะประมาทในการปฏิบัติ อย่าลืมหลวงพ่อตอกย้ำเราอยู่เสมอ ๆ ว่า “นิพานะสะ สถิกริยายะ เทตัง กาสาวัง คเหตวา” เรารับผ้ากาสาวพัตร์นี้มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อย่าได้ลืมตรงจุดนี้เป็นอันขาดว่าเราบวชเพื่อพระนิพพาน

    ส่วนใหญ่พวกเราพอบวชไปนาน ๆ แล้ว ด้วยการชักจูงของกิเลสตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมทั้งหมด เราก็จะเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายของตัว ลืมไปว่าวันแรกที่บวชจะบวชเพื่ออะไร? ไปติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไปคลุกคลีกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติอันนั้นลืมตัว

    การที่เราฝึกในศีล ในสมาธิ ในปัญญา <O:p</O:p
    จุดที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างสติ สัมปชัญญะ <O:p</O:p

    สติ.. ความระลึกได้ <O:p</O:p
    สัมปชัญญะ.. รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไร


    <O:p</O:pการที่เราจะเป็นพระ หรือไม่เป็นพระ อยู่ที่การปฏิบัติของเราเอง สมัยก่อนบวชเราไหว้พ่อ ไหว้แม่ ไหว้ผู้ใหญ่ พอบวชเข้ามาปุ๊บ พ่อแม่ก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี กราบเราไหว้เรา เรามีอะไรดี ท่านถึงมากราบมาไหว้เรา เลี้ยงท่านก็เลี้ยงเรามา อบรมสั่งสอนเรามา ไม่ว่าวัยวุฒิ คืออายุ คุณวุฒิ คือความรู้ความสามารถ เราสู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว <O:p</O:p

    ถ้าท่านไม่เลี้ยงดูเรามา เราก็ไม่รอดจนเป็นคน จนเติบโตมา จกระทั่งบวชอยู่ทุกวันนี้ มีจุดเดียวเท่านั้นที่เราจะดีกว่าก็คือศีล จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ขั้นต้นอยู่ที่ศีลนี่เอง ดังนั้นให้ทุกคนทบทวนอยู่เสมอในแต่ละวัน ๆ <O:p</O:p

    ว่า..ศีลทุสิขาบทของเรา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หรือไม่ ถ้ามันบกพร่องให้แสดงคืนอาบัติเสีย ไม่ว่าศีลนั้นจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม อาบัติใหญ่ คือ ปราชิก 4 ข้อ สังคาภิเษก 13 ข้อ อย่าให้ต้องเป็นอันขาด เพราะมันแก้ไม่ได้ก็มี <O:p</O:pแก้ได้ยากก็มี เปิดทวนไว้อยู่เสมอ ๆ ว่า 17 ข้อนี้ห้ามโดนเด็ดขาด ส่วนที่เหลือ สติสัมปชัญญะเรายังไม่สมบูรณ์ โอกาสพร่องมันมี ให้รีบแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน จะได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าในคืนนั้นเรานอนอยู่แล้วตายไป บาปกรรมความชั่วจะได้ ไม่ติดตัวเราไป


    การที่เราบวชเข้ามา ชีวิตต้องรับกฎ รับกติกาใหม่ ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ต้องมีความประพฤติ ปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อให้อยู่ในกรอบของภิกษุ เพื่อให้อยู่ในกรอบที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ ซึ่งมีทั้งข้อที่ห้าม ข้อที่อนุญาต ขอให้ทุกคนตั้งใจทำให้ดี ไม่ว่าจะบวชมากบวชน้อยอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเคยสอนไว้ว่าการบวชน้อยถ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็มีคุณค่าเหมือนกับเพชรแม้จะเม็ดเล็ก แต่ราคาสูง

    การบวชมาก ถ้าหากว่าทำแต่ความชั่ว ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ ยิ่งเหม็นมาก คราวนี้ไอ้ความเหม็นความน่ารังเกียจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินอกลู่นอกรอยนั้น มันไม่ได้มีโทษ แต่ปัจจุบันคือญาติโยมไม่สงเคราะห์ แต่มันจะมีโทษในอนาคตด้วย คือตายเมื่อไรจะมีอเวจีเป็นที่ไปแห่งเดียวหนักเบาตามโทสานุโทษ อาจจะอยู่เป็นกัปป์ตามอายุของอเวจี หรืออยู่น้อยกว่านั้น แต่ว่าท่านก็ต้องผ่านอุสุธนรก ผ่านยมโลกีย์นรก ผ่านมหานรกขุมต่าง ๆ อีก กว่าที่จะหลุดพ้นมาได้นั้นมันเนิ่นนานเหลือเกิน แม้จะได้เห็นปลายได้ว่ามันนานแค่ไหน แต่คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ความทรมานนั้น แม้ระยะเวลา นาที 2 นาทีมันก็นานเหมือนเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว

    <O:p</O:p

    ผมเองมาบวชเอาอายุตอนจวนจะ 30 เพราะผมกลัวนรก ผมเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 และเห็นด้วยว่าทุกขุม มีแต่บรรดานักบวชลงไปอยู่กันแน่นขนัด ครั้งแรกที่เห็นผมตกใจ คือเค้าแสดงภาพเป็นนักบวชให้เห็นชัดเจน <O:p</O:p
    มันแน่นเหมือนอย่างกับเราเปิดกล่องไม้ขีดแล้ว เห็นหัวไม้ขีดยังไงยังงั้นเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผมจึงสรุปได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากว่าสักแต่ว่าบวชไม่รอดแน่นอน ในเมื่อเราบวชมาแล้วเราจำเป็นต้องรู้ตัว<O:p</O:p
    ว่าเราเป็นนักบวช เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หน้าที่ของความเป็นภิกษุ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ภิกษุ รากศัพท์เดิมคือ ภิกขุ แปลได้ 2 อย่างคือ ผู้ขอ อย่างหนึ่ง กับผู้เห็นภัยวัฏสงสารอย่างหนึ่ง

    การที่เราเป็นผู้ขอ เดี๋ยวอีกสักครู่เราก็จะไปทำหน้าที่ของการเป็นผู้ขอ การที่เราจะขอเขาอย่าขอเฉย ๆ ต้องให้มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ผู้รับด้วย คือ
    การชำระศีลของเราทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ทรงสมาธิตั้งมั่นให้สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้ สร้างปัญญาให้เกิด ให้เห็นว่าร่างกายนี้โลกนี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ ถ้าเราชำระใจของเราให้ผ่องใสได้ ชำระศีลของเราให้ผ่องใสได้ ญาติโยมที่ใส่บาตรก็จะมีอานิสงค์สูงมาก <O:p</O:p


    ผมอยู่ที่นี่มา 6 เดือนกับอีกนิดหน่อย ผมสังเกตอยู่เสมอว่า โยมใส่บาตรมากขึ้นทุกที ๆ บ้านที่เคยใส่ก็ใส่ประจำไม่งดเว้น บ้านที่ไม่เคยใส่ก็ใส่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ แสดงว่าบุคคลที่เคยใส่บาตรทำบุญกับพวกเรา ที่เป็นนักปฏิบัติซึ่งจะได้อานิสงค์สูงกว่า ปุถุชนทั่ว ๆ ไปเป็นแสน ๆ เท่า เขาจะต้องได้ผลดีในการทำบุญใส่บาตรของเขา มันจะต้องมีผลตอบแทนอะไรที่เห็นได้ชัด แล้วเขาพูดกันต่อ ๆ ไป ดังนั้นเขาถึงใส่บาตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าเราคือ”ภิกษุ” คือผู้ขอ จะไปขอเขาเราต้องนอบน้อมถ่อมตน จะไปขอเขาก็อย่าสักแต่ว่าขออย่างเดียว ให้เรามีสิ่งที่ดีที่สุดไป เพื่อให้ผู้รับได้รับผลตอบแทนที่ดีด้วย ต้องพยายามทำตนเป็นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุด เท่าที่เราจะพึงทำได้ อย่าไปโดยความหยิ่งผยอง อย่าไปโดยมานะว่าเราเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ เรามีสมาธิตั้งมั่น เรามีปัญญา ถ้าไปในลักษณะนั้นวางกำลังใจผิดสมเด็จพ่อของเรา คือองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางรูปแบบไว้ ให้พระต้องขอเขากิน เพื่อลดทิฐิมานะของตน

    หลายท่าน ฐานะทางบ้านดีมาก พูดง่าย ๆ ว่ามีเหลือกินเหลือใช้ ในชีวิตฆราวาสต้องการกินดีอยู่ดีขนาดไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ท่านสละมันมา กลับขอเขากิน เราเป็นขอทาน อย่าลืมฐานะของตัว ในเมื่อเราเป็นขอทานสิ่งที่เขาให้คือความเมตตาปราณีของญาติโยมเขา ถ้าเราทำตัวไม่ดี ไม่มีญาติโยมที่ไหนเขาจะสงเคราะห์ คุณก็เห็นอยู่ว่าใกล้ ๆ ของเรานี้เองว่าเป็นอย่างไร? เราต้องทำตัวให้สมกับที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์

    ทันทีที่คุณกินข้าวกินน้ำของเขา ใช้เครื่องอุปโภค บริโภค ที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์มา ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของคุณแล้ว พ่อแม่อาจจะให้เลือดเนื้อร่างกายนี้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ ขัดเกลาจิตใจนี้ให้คุณ คุณเกิดทางร่างกายมาอายุ เกิน 20 คุณเกิดในทางธรรมมาตามจำนวนระยะเวลาที่คุณตั้งหน้า ตั้งตาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    แต่ว่าคุณเกิดใหม่อีกวาระหนึ่งแล้ว คือ วาระที่เรากินข้าวกินน้ำ ใช้เครื่องอุปโภค บริโภคของญาติโยมเขา เลือดเนื้อร่างกายของเราทุกส่วนไม่ใช่เราอย่างแน่นอนแล้ว เป็นสมบัติของญาติโยมเขาไปแล้ว เราอยู่ได้ด้วยการที่คนอื่นเลี้ยง อย่าลืมฐานะของตัวเรา เอง ต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอ ก้มมองเห็นเรานุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ คลำดูศีรษะ ศีรษะของเราโล้น มันเป็นเครื่องบังคับเครื่องบ่งชี้ให้เรารู้ว่าเราอยู่ในฐานะของนักบวช ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ <O:p</O:p

    ทำให้สมเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส คือเป็นลูกของพระพุทธเจ้าที่ท่านรักยิ่ง พ่อแม่จะรักลูกก็ต่อเมื่อลูกทำดี ประพฤติดี เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างเดียวยังไม่พอ เรายังเป็นธรรมเสนา เป็นทหารแห่งกองทัพธรรม เป็นทหารในพุทธอาณาจักร กำลังใจของเราที่ต่อสู้ฟันฝ่ากับกิเลส มีอยู่สักเท่าไหร่ สมควรกับการเป็นทหารกล้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือไม่ ลำบากนิดหน่อยก็จะไม่ยอมทนเสียแล้ว นั่นใช้ไม่ได้ เราบวชเข้ามาคนอื่นเขาสงเคราะห์เรา อยากได้เย็นมันอาจจะได้ร้อน อยากได้อ่อนมันอาจจะได้แข็ง จำกัดด้วยปัจจัย 4


    ต้องทนลำบากทางกายต้องทนความอึดอัดในกฎระเบียบซึ่งเป็นความลำบากทางใจ ต้องทนต่อสู้กับกิเลสที่กระหน่ำตีเราอยู่ทุกวัน ในชีวิตฆราวาส ถ้ากิเลสมันเป็นเสือ ปล่อยเสือนัวนั้นอยู่ในป่า เราเดินทั้งปี อาจจะไม่เจอเสือตัวนั้น แต่ในชีวิตนักบวช เขาเอาเสือตัวนั้น ใส่กรงแล้วจับเรายัดเข้าไปด้วย เสือมันจะขบกัดเราอยู่ทุกวัน <O:p</O:p

    ถ้าเราไม่ใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ต่อสู้กับมัน กดคอมันเอาไว้ มันก็จะเป็นอันตราย ขบกัดกับเรา ถึงกดคอมันไว้ได้ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ ไม่รู้เราจะหมดแรงเมื่อไหร่ ถ้าหมดแรง มันกัดเราอีกทันที ดังนั้นต้องหาทางฆ่าเสือให้ตายให้ได้


    วิธีฆ่าเสือคือกิเลสของเราให้ตาย คือต้องหาเหตุให้เจอ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร?

    กิเลสตัณหา อุปาทาน อกุศลกรมต่าง ๆ ที่มันสร้างความลำบากให้กับเราในทุกวันนี้ เพราะเรามีร่างกายนี้ เพราะเราเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดอีก ไม่มีร่างกายนี้อีก เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยากลำบากด้วยอำนาจของพวกกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรม เหล่านี้

    ดังนั้นเราจะพึงปรารถนาการเกิดอีกหรือไม่ ตอนนี้ทุกท่านอยู่ในกรอบชีวิตของนักบวช ทุกท่านอยู่ในเขตที่จำกัดด้วยปัจจัย 4 อยู่ในสนามรบ ที่เราต้องต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง คือต่อสู้กับกิเลส เพื่อไม่ให้ตัวเราตกนรก และพยายามทำอย่างไร? จะให้ภูมิจิตภูมิธรรมของเราก้าวหน้าขึ้น สู่ภพภูมิที่สูง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เราต้องใช้ความพยายามของเราอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง <O:p</O:p

    เราต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อที่เราจะได้มาปฏิบัติกัน บางท่านก็สงสัย ผมจะตื่นตี 2 ประจำ ยกเว้นเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันยาเข้าไป ผมจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่อย่างนั้นโดนยามันน็อค ผมจะลุกไม่ไหว ไม่อย่างนั้นแล้วตี 2 ผมต้องลุกขึ้นมาแล้ว อันดับแรกยังไม่ทันขยับตัว ก็ต้องนึกถึงพระก่อน ควบคุมลมหายใจเข้าออกของตัวเองก่อน จนกระทั่งภาพพระตั้งมั่น สติตั้งมั่น แล้วก็ภาวนาตามที่เคยทำมา ว่าจะภาวนาอย่างไร ยกจิตขึ้นสู่ระดับไหน ทำจนกระทั่งครบชุด มันก็จะได้เวลาที่จะออกมาล้างหน้า สรงน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง เตรียมจะทำวัตรเช้าต่อแล้ว เราทำวัตรสวดมนต์ ออกเสียงตามสายญาติโยมได้ประโยชน์ด้วย ต่อให้ฟังไม่เข้าใจเขาก็รู้ว่านั่น พระสวดมนต์ <O:p</O:p

    แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เราลุกขึ้นมาสู้กับกิเลส ญาติโยมหลายท่านเขาทึ่ง เคยบ่นให้ได้ยิน บอกว่าพระเจ้าเขาทำได้อย่างไรนะ เวลาใกล้รุ่งเป็นเวลาที่น่านอนที่สุด นี่ต้องแหวกกองกิเลสออกมานั่งทำวัตรสวดมนต์กันเลยหรือ?<O:p</O:p


    คุณทำแค่นี้ญาติโยมเขาเห็นเขาก็ชื่นชมแล้ว ยิ่งทำดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้นเพราะมันไม่เสียที่ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงมา ไม่เสียทีที่เขาเองต้องลำบากด้วยความเป็นอยู่ แต่แบ่งปันปัจจัย 4 ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์แก่เรา อันนี้เป็นความกรุณาของโยมเขา แล้วเราทำดี พอเหมาะพอสมที่จะใช้สอยบริโภคในปัจจัย 4 ที่โยมเขาสละมาให้แล้วหรือยัง?

    ในชีวิตของความเป็นพระ เราทำกรรม คือบาป กรรมชั่ว ผลของมันก็คูณด้วย แสน สมมติว่าเราเป็นฆราวาส เกิดมาปุ๊บก็เริ่มฆ่าสัตว์เลย ฆ่าปลาแล้วกัน วันละหนึ่งตัว ๆ ฆ่าไปเรื่อย จนอายุครบ 100 ปีแล้วเราตาย เราจะตกอเวจีมหานรก เพราะเราทำ “อาจิณตกรรม” คือกระทำกรรมที่ต่อเนื่อง ที่สม่ำเสมอ ที่ยาวนาน <O:p</O:p


    แต่ในชีวิตของความเป็นพระ พวกท่านฆ่าปลาตัวเดียว ลงอเวจีมหานรก โทษมันมากกว่ากันมหาศาลขณะนี้ <O:p</O:p

    แต่ในขณะเดียวกันคุณก็มากกว่ามหาศาล คุณปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนา ผลมันก็คูณด้วยแสนเช่นกัน

    สมัยเป็นฆราวาสผมทุ่มเทให้แก่ปฏิบัติ 10 กว่าปี ฝึกกรรมฐานตามแบบของหลวงพ่อสอน กองไหนชอบใจผมฝึกกองนั้น ผมพยายามเอากรรมฐานให้ได้ครบ 40 กอง ปล้ำเป็นปล้ำตายอยู่ 11 ปีเต็ม ๆ โดยความตั้งใจว่า ถ้าเราเป็นบวช ถ้าเราเข้ามาบวช ถ้าเราเป็นนักบวช เราควรจะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ฆราวาส เพื่อที่บวชปุ๊บ ญาติโยมจะได้ <O:p</O:p
    ไหว้เราได้เต็มมือ ทำบุญกับเราแล้วจะได้บุญเต็มที่ 11 ปีผ่านไป ผมทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ทำแบบที่คนรอบข้างว่าผมบ้า แต่ว่าจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการมันไม่ได้ กรรมฐานหลายกองที่ปลุกปล้ำกันแทบเป็นแทบตาย <O:p</O:p
    มันไม่ทรงตัว พอผมตัดสินใจบวชเข้ามา ปรากฏว่าสิ่งที่ผมต้องการในชีวิตฆราวาส มันไหลมาเทมา <O:p</O:p

    ไม่วาคุณจะปฏิบัติอย่างไรมัน มันก็รู้สึกคล่องแคล่วชำนาญ ไม่ว่าคุณจะภาวนา พิจารณาอย่างไร? มันสะดวกมันง่ายดายไปหมด กรรมฐานที่เคยทำไม่ได้ มันก็ทำได้ทำง่าย ทำก็คล่องตัว ผมมีความสงสัยมาก จึงไปกราบเรียนถามหลวงปู่มหาอำพัน ตอนช่วงที่ผมไปดูแลท่านที่ป่วยอยู่ ท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ ...........ต้นทุนของผมไม่พอ <O:p</O:p

    แต่พอบวชเข้ามาอานิสงค์ใหญ่มันเกิด คือกุศลของการที่เราบวช รวมกับความตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีผลมากกว่าชีวิตฆราวาส เป็นแสนแสนเท่า ทำให้ต้นทุนที่ผมไขว่คว้ามา 10 กว่าปี มันเพียงพอ มันถึงได้ในสิ่งที่ต้องการ

    ดังนั้น ตอนนี้พวกท่านทุกคน อยู่ในจุด ที่ดีที่สุด ที่จะสร้างบุญ สร้างกุศลแล้ว พยายามทบทวนศีลทุกสิขาบทของเราให้ดี พยายามสร้างสมาธิให้เกิดทุกวัน ๆ วางกำลังใจให้สูงสุด คือเกาะพระนิพพานให้ได้ <O:p</O:p

    แล้วใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใด ๆ ในหน้าที่ของสงฆ์ก็ดี <O:p</O:pหรือว่าทำในกันทะธุระ ช่วยในการก่อสร้าง ช่วยทำความสะอาดวัดวาอารามอะไรก็ดี ให้มีสติเกาะพระอยู่เสมอ ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในกองทุกข์ ในเมื่อชีวิตมันมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ <O:p</O:p
    เราเองยังอยากเกิดมาทุกข์ไหม ตอนนี้เราวางชีวิตครอบครัวอยู่ข้างหลัง ย้อนกลับไปเมื่อไรความทุกข์ใหญ่จะเกิดแก่เรา เราไม่ได้รับผิดชอบชีวิตของตัวเราคนเดียว แต่ต้องรับผิดชอบชีวิตของอีกหลาย ๆ คน ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก ความเครียด รอเราอยู่แล้ว <O:p</O:p

    ดังนั้น ตอนนี้เรากอบโกยความดีให้มากที่สุด เพื่อถึงวาระ ถึงเวลาจะได้มีต้นทุนไว้ต่อสู้กับมัน <O:p</O:p

    เราจะใช้โอกาสที่ดีที่สุดนี้ ในการฝึกปฏิบัติตน สร้างกำลังกาย กำลังใจของเราให้ ดีที่สุด เข้มแข็งที่สุด <O:p</O:p
    เพื่อถึงวาระ ถึงเวลา ต้นทุนของเราเพียงพอ ถ้าเราไปเป็นฆราวาส เราก็จะดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องทุกข์ยากมากนัก เพราะทำใจได้เสียแล้ว หรือในชีวิตของความเป็นพระต่อไปข้างหน้าของเรา ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราดี เราก็จะมีแต่ความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป


    พวกท่านทุกคนก็ดี ตัวผมเองก็ดี ตอนนี้แบกภาระที่ใหญ่หลวงมาก สิ่งที่เราแบกอยู่บนบ่านี้ นอกจาก ภารธุระ<O:p</O:p


    ในพระพุทธศาสนา ที่เราทำอย่างไร? จะสร้างตนเองให้เป็นพระ ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ จะทำอย่างไร จะนำพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแพร่ขจรขจายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย

    และจะทำอย่างไร? จะกอบกู้ชื่อเสียงของบรรดานักบวชที่ทำให้ศาสนาของเราตกต่ำอยู่ให้กลับคืนมาดีดังเดิมได้ ภาระใหญ่หลวงนี้อยู่บนบ่าของพวกเราทุกคน และทั้งพวกเรา ทั้งตัวผมเอง ยังมีภาระใหญ่ คือ แบกป้ายยี่ห้อของหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุงอยู่บนบ่า ไปถึงก็บอกกับเขาว่า ผมบวชกับอาจารย์เล็กครับ ผมปฏิบัติตามแนวของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ เราพูดได้เต็มปากเต็มคำมั้ย ครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดไหน

    ตอนนี้เราทำตัวสมกับเป็นศิษย์ของท่านหรือยัง? หลวงพ่อเคยบอกกับผมเป็นปกติว่า ไปไหนพวกแกก็บอกว่ามาจากวัดท่าซุง แกเอา ซุงดี ๆ หรือว่าซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าเอาซุงดี ๆ ไปอวดเขามันก็ยังเป็นซุงอยู่ เราสามารถจะกลึง จะเกลา จะเหลา จะถากมันขึ้นมา เพื่อให้เป็นวัสดุที่พอใช้งานได้นั้น เราทำมันได้หรือยัง? <O:p</O:p

    ไม่ต้องวิเศษเลิศลอยถึงขนาดแกะเป็นเรือสุพรรณหงส์หรอก เอาแค่เป็นภาชนะต่าง ๆ ที่มันพอดูได้ พองาม เหมาะสมกับฐานะของตน เราทำได้ดีเท่าไหร่? ทั้งภาระของพระศาสนา ทั้งชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อยู่กับเราแล้ว เราต้องทำให้ดี ไม่เพียงแต่คนนอกที่มองเรา นักบวชด้วยกันก็มองเรา ทำอย่างไร? เราจะทำกาย <O:p</O:p

    ทำวาจา ทำใจของเราให้ดีกว่านี้ ต้องระลึกอยู่เสมอว่า วันเวลาล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ ต้องเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา ต้องดูตัวเองอยู่เสมอว่า ตัวเราติเราโดยศีลได้หรือไม่? ต้องดูอยู่เสมอว่าผู้อื่นติเราโดยศีลได้หรือไม่?

    ต้องพิจารณาอยู่เสมอว่าคุณวิเศษ ต่าง ๆ ในพระศาสนาของเรามีหรือไม่? เพื่อถึงเวลาจะได้ไม่เก้อ ไม่เขินเมื่อเพื่อนสัทธัมมิตรไต่ถาม ต้องระลึกอยู่เสมอว่าผู้อื่นเลี้ยงเรา เราต้องเป็นผู้เลี้ยงง่าย ต้องระลึกอยู่เสมอว่า.. <O:p</O:p

    ตอนนี้เราเป็นพระแล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของพระ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้คิดอยู่เสมอ คิดอยู่ในขณะที่ภาพพระอยู่กับเรา คิดอยู่ปฏิบัติอยู่ในขณะที่กำลังใจเราเกาะนิพพานเอาไว้<O:p</O:p

    วันพระ ก็เลยขอพูดเรื่องของพระ ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่เพียงพอ ไม่สามารถพูดทั้งหมดได้ แต่ก็คิดว่าสิ่งที่บอกกล่าวพวกเราไป คงจะนำไปปฏิบัติตรวจสอบตัวเอง สร้างกำลังใจให้ดีขึ้น ทำการปฏิบัติของเราให้ดีขึ้นให้มากกว่านี้ <O:p</O:p
    ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้ ขอบคุณมากสำหรับทุก ๆ คน


    ***จบ ไฟล์เสียงที่ 4***<O:p></O:p>


    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2005
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ตรงนี้น้องน้ำใสทำได้ดีมากเลย ตรงการเว้นเน้นประโยคสำคัญ คือจุดเด่นของน้องน้ำใสทำได้ดี

    และการเว้นต่างๆ ทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น
     
  6. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    ไฟล์ที่สี่ ท่านเทศน์สอนพระ ว่า ศีลสำคัญอย่างไร ภาวนาสำคัญแค่ไหนPaang

    วันนี้ก็เป็นวันพระ วันพระขึ้น 8 ค่ำแล้ว ปีนี้เดือนยี่มาเร็วมาก เพราะว่าปีหน้ามี 8 สองหนก็ในเมื่อเป็นวันพระ ก็ขอพูด "เรื่องของพระ" คือเรื่องของพวกเรากันเอง ก็อยากจะบอกกับทุกคนว่า ขณะนี้พวกเราอยู่ในสภาพใหม่ สำหรับผู้ที่บวชใหม่ สำหรับผู้ที่บวชเก่าแล้ว ก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่าตัวเราเป็นผู้ใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะประมาทในการปฏิบัติ อย่าลืมหลวงพ่อตอกย้ำเราอยู่เสมอ ๆ ว่า...

    "นิพานกะ สติกริยายะ
    เอตังกาสาวัง คเหตวา" เรารับผ้ากาสาวพัตร์นี้มา เพื่อแจ้งในพระนิพพาน อย่าได้ลืมตรงจุดนี้เป็นอันขาดว่าเราบวชเพราะนิพพาน ส่วนใหญ่พวกเราพอบวชไปนาน ๆ แล้ว ด้วยการชักจูงของกิเลสตัณหา อุปปาทานและอกุศลกรรมทั้งหมด เราก็จะเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายของตัว ลืมไปว่าวันแรกที่บวชจะบวชเพื่ออะไร ไปติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไปคลุกคลีกกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ
    อันนั้นลืมตัว

    การที่เราฝึกในศีล ในสมาธิ ในปัญญา จุดที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างสติ สัมปชัญญะ
    *สติ.. ความระลึกได้
    *สัมปชัญญะ..
    รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไร การที่เราจะเป็นพระ หรือไม่เป็นพระ อยู่ที่การปฏิบัติของเราเอง สมัยก่อนบวชเราไหว้พ่อ ไหว้แม่ ไหว้ผู้ใหญ่ พอบวชเข้ามาปุ๊บ พ่อแม่ก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี กราบเราไหว้เรา เรามีอะไรดีท่านถึงมากราบมาไหว้เรา เลี้ยงท่านก็เลี้ยงเรามา อบรมสั่งสอนเรามา ไม่ว่าวัยวุฒิคืออายุ คุณวุฒิ คือความรู้ความสามารถ เราสู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าท่านไม่เลี้ยงดูเรามา เราก็ไม่รอดเป็นคน จนเติบโตมา กระทั่งบวชอยู่จนทุกวันนี้ มีจุดเดียวที่เราจะดีกว่าก็คือ ศีล จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ขั้นต้นอยู่ที่ศีลนี่เอง ดังนั้นให้ทุกคนทบทวนอยู่เสมอในแต่ละวัน ๆ ว่าศีลทุสิขาบทของเรา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หรือไม่ ถ้ามันบกพร่องให้แสดงคืนอาบัติเสีย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ขนาดไหนก็ตาม อาบัติใหญ่คือปราชิก 4 ข้อ สังคาภิเษก 13 ข้อ อย่าให้ต้องเป็นอันขาด เพราะมันแก้ไม่ได้ก็มี แก้ได้ยากก็มี เปิดทวนไว้อยู่เสมอ ๆ ว่า 17 ข้อนี้ห้ามโดนเป็นอันขาด ส่วนที่เหลือ สติสัมปชัญญะเรายังไม่สมบูรณ์ โอกาสพร่องมันมี ให้รีบแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน จะได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าคืนนั้นเรานอนอยู่แล้วตายไป บาปกรรมความชั่วจะได้ ไม่ติดตัวเราไป การที่เราบวชเข้ามา ชีวิต ต้องรับกฏ รับกติกาใหม่ ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ ต้องมีความประพฤติ ปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อให้อยู่ในกรอบของภิกษุ เพื่อให้อยู่ในกรอบที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ ซึ่งมีทั้งข้อที่ห้าม ข้อที่อนุญาต

    ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดีไม่ว่าจะบวชน้อยหรือบวชมากอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเคยสอนไว้ว่า
    การบวชน้อย ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็มีคุณค่าเหมือนกับเพชรแม้จะเม็ดเล็ก แต่ก็มีราคาสูง
    การบวชมาก
    ถ้าหากว่าทำความชั่ว ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ ยิ่งเหม็นมาก
    คราวนี้ไอ้ความเหม็นความน่ารังเกียจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินอกรีดนอกรอยนั้น มันไม่ได้มีโทษ แต่ปัจจุบันคือ ญาติโยมไม่สงเคราะห์ แต่มันจะมีโทษในอนาคตด้วยคือ ตายเมื่อไรจะมีอเวจีเป็นที่ไปแห่งเดียวหนักเบาตามโทสานุโทษ อาจจะอยู่เป็นกัปป์ตามอายุของอเวจี หรืออยู่น้อยกว่านั้น แต่ว่าท่านก็ต้องผ่านอุสุธนรก ผ่านยมโลกีย์นรก ผ่านมหานรกขุมต่าง ๆ อีก กว่าที่จะหลุดพ้นมาได้นี่มันเนิ่นนานเหลือเกิน แม้จะได้เห็นปลายได้ว่ามันนานแค่ไหน แต่คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานนั้น แม้ระยะเวลา 1 นาที 2 นาทีมันก็นานเหมือนกับเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว ผมเองมาบวชเอาอายุตอนจะ 30 เพราะผมกลัวนรก ผมเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 และเห็นด้วยว่าทุกขุม มีแต่นักบวชลงไปอยู่กันแน่นขนัด ครั้งแรกที่เห็นผมตกใจคือ เค้าแสดงภาพเป็นนักบวชให้เห็นชัดเจน มันแน่นเหมือนเราเปิดกล่องไม้ขีดแล้ว เห็นไม้ขีดยังไงยังงั้นเลย...

    ผมจึงสรุปได้ว่า ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าสักแต่ว่าบวชไม่รอดแน่นอน ในเมื่อเราบวชมาแล้วเราจำเป็นต้องรู้ตัวว่า...
    เราเป็นนักบวช เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หน้าที่ของความเป็นนักภิกษุ ภิกษุ รากศัพท์เดิมคือ ภิกขุ
    อย่างคือ ผู้ขออย่างหนึ่ง กับ ผู้เห็นในวัฒตะสงสารอย่างหนึ่ง

    การที่เราเป็นผู้ขอ เดี๋ยวอีกสักครู่เราก็จะไปทำหน้าที่ของการเป็นผู้ขอ การที่เราขอเขาอย่าขอเฉย ๆ ต้องให้มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ผู้รับด้วย คือการชำระศีลของเราให้สิกขาบทให้บริสุทธิ์ ทรงสมาธิตั้งมั่นให้สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้ สร้างปัญญาให้เกิด ให้เห็นว่าร่างกายนี้โลกนี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ
    ถ้าเราชำระใจของเราให้ผ่องใสได้ ชำระศีลของเราให้ผ่องใสได้ ญาติโยมที่ใส่บาตรก็จะมีอานิสงฆ์สูงมาก ผมอยู่ที่นี่มา 6 เดือนกับอีกนิดหน่อย ผมสังเกตุอยู่เสมอว่า โยมใส่บาตรมากขึ้นทุกที ๆ บ้านที่เคยใส่ก็ใส่ประจำไม่งดเว้น บ้านที่ไม่เคยใส่ก็ใส่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ แสดงว่าบุคคลที่เคยใส่บาตรทำบุญกับพวกเรา ที่เป็นนักปฏิบัติซึ่งจะได้อานิสงฆ์สูงกว่าปุถุชนทั่ว ๆ ไปเป็นแสน ๆ เท่า เขาจะได้ผลดีในการทำบุญใส่บาตรของเขา มันต้องมีผลตอบแทนที่เห็นได้ชัด แล้วเขาพูดกันต่อๆ ไป ดังนั้นเขาจึงใส่บาตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าเราคือ

    *ภิกษุ
    คือ ผู้ขอ จะไปขอเขาเราต้องนอบน้อมถ่อมตน จะไปขอเขาก็อย่าสักแต่ว่าขออย่างเดียว ให้เรามีสิ่งที่ดีที่สุดไป เพื่อให้ผู้รับได้รับผลตอบแทนที่ดีด้วย ต้องพยายามทำตัวเป็นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุดที่เราจะพึงทำได้ อย่าไปโดยความหยิ่งผยอง อย่าไปโดยมานะว่าเราเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ เรามีสมาธิตั้งมั่น เราปัญญา ถ้าไปในลักษณะนั้นวางกำลังใจผิดสมเด็จพ่อของเรา คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางรูปแบบไว้ ให้พระต้องขอเขากิน เพื่อลดทิฐิมานะของตน

    หลายท่าน ฐานะทางบ้านดีมาก พูดง่าย ๆ ว่ามีเหลือกินเหลือใช้ ในชีวิตฆราวาสต้องการกินดีอยู่ดีขนาดไหนก็ได้ แต่ในขณะนี้ท่านสละมันมา กลับขอเขากิน เราเป็นขอทาน อย่าลืมฐานะของตัว ในเมื่อเราเป็นขอทานสิ่งที่เขาให้คือความเมตตาปราณีของญาติโยมเขา ถ้าเราทำตัวไม่ดี ญาติโยมที่ไหนเขาจะสงเคราะห์ คุณก็เห็นอยู่วัดใกล้ ๆ นี้เองเป็นอย่างไรเราต้องทำตัวให้สมกับที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์ ทันทีที่คุณกินข้าวกินน้ำของเขาใช้เครื่องอุปโภค บริโภค ที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์มา ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของคุณแล้ว

    พ่อแม่อาจจะไห้เลือดเนื้อร่างกายนี้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ ขัดเกลาจิตใจนี้ให้คุณ คุณเกิดทางร่างกายมาอายุ เกิน 20 คุณเกิดในทางธรรมมาตามจำนวนระยะเวลาที่คุณตั้งหน้าตั้งตาทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าคุณเกิดใหม่อีกวาระหนึ่งแล้ว วาระที่คุณกินข้าวกินน้ำ ใช้เครื่องอุปโภค บริโภคของญาติโยมเขา เลือดเนื้อร่างกายทุกส่วนไม่ใช่ของเราอย่างแน่นอนแล้ว เป็นสมบัติของญาติโยมเขา เราอยู่ได้ด้วยการที่คนอื่นเลื้อง อย่าลืมฐานะของตัวเรา เอง ต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอ ก้มมองเห็นเราน่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ คลำดูศรีษะ ศรีษะของเราโล้น มันเป็นเครื่องบังคับเครื่องบ่งชี้ให้เรารู้ว่า เราอยู่ในฐานะของนักบวช ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ทำให้สมเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส คือ เป็นลูกของพระพุทธเจ้าที่ท่านรักยิ่ง พ่อแม่จะรักลูกก็ต่อเมื่อลูกทำดี ประพฤติดี เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างเดียวยังไม่พอ เรายังเป็นธรรมเสนา เป็นทหารแห่งกองทัพธรรม เป็นทหารในพุทธอาณาจักร กำลังใจที่เราจะต่อสู้ฟันฝ่ากับกิเลส มีอยู่สักเท่าไหร่ สมควรกับการเป็นทหารกล้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือไม่ ลำบากนิดหน่อยก็จะไม่ยอมทนเสียแล้ว นั่นใช้ไม่ได้ เราบวชเข้ามาคนอื่นเขาสงเคราะห์เรา อยากได้เย็นอาจจะได้ร้อน อยากได้อ่อนอาจจะได้แข็ง จำกัดด้วยปัจจัย 4 ต้องทนลำบากทางกายต้องทนความอึดอัดใกฏระเบียบซึ่งเป็นความลำบากทางใจ ต้องทนต่อสู้กับกิเลสที่กระหน่ำตีเราอยู่ทุกวัน ในชีวิตฆราวาส

    ถ้ากิเลสมันเป็นเสือ ปล่อยเสืออยู่ในป่า เราเดินทั้งปี อาจจะไม่เจอเสือตัวนั้น แต่ในชีวิตนักบวช เขาเอาเสือตัวนั้น ใส่กรงแล้วจับเรายัดเข้าไปด้วย เสือมันจะขบกัดเราอยู่ทุกวัน ถ้าเราไม่ใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ต่อสู้กับมัน กดคอมันเอาไว้ มันก็จะเป็นอันตราย ขบกัดกับเรา ถึงกดคอเอาไว้ได้ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ไม่รู้เราจะหมดแรงเมื่อไหร่ ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่ มันกัดเราอีกทันที ดังนั้นต้องหาทางฆ่าเสือให้ตายให้ได้

    วิธีฆ่าเสือคือกิเลสของเราให้ตาย คือต้องหาเหตุให้เจอ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร...
    กิเลสตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรมต่าง ๆ ที่มันสร้างความลำบากให้กับเราในทุกวันนี้ เพราะเรามีร่างกายนี้ เพราะเราเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดอีก ไม่มีร่างกายนี้อีก เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยากลำบากด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปปาทาน อกุศลกรรม เหล่านี้ ดังนั้นเราจะยังปรารถนาการเกิดอีกหรือไม่...

    ตอนนี้ทุกท่านอยู่ในกรอบชีวิตของนักบวช ทุกท่านอยู่ในเขตที่จำกัดด้วยปัจจัย 4 อยู่ในสนามรบ ที่เราต้องต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง คือ ต่อสู้กับกิเลส
    เพื่อจะให้ต้วเราไม่ต้องตกนรก และพยายามทำอย่างไร จะให้ภูมิจิตภูมิธรรมของเราก้าวหน้าขึ้น สู่ภพภูมิที่สูง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดเข้าสู่พระนิพพาน

    เราต้องใช้ความพยายามของเราอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อที่เราจะได้มาปฏิบัติกัน บางท่านก็สงสัย ผมจะตื่นตี 2 ประจำ ยกเว้นเจ็บไข้ได้ป่วย สัญญาเข้าไป ผมจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่งั้นโดนยามันน๊อคผมจะลุกไม่ไหว ไม่อย่างนั้นแล้วตี 2 ผมต้องลุกขึ้นมาแล้ว อันดับแรกยังไม่ทันขยับต้ว ก็ต้องนึกถึงพระก่อน ควบคุมลมหายใจเข้าออกของต้วเองก่อน จนกระทั่งภาพพระตั้งมั่น สติตั้งมั่น แล้วก็ภาวนาอย่างที่เคยว่าจะภาวนาอย่างไร ยกจิตขึ้นสู่ระดับไหน ทำจนกระทั่งครบชุด มันก็จะได้เวลาที่จะออกมาล้างหน้า สรงน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง เตรียมจะทำวัดเช้าต่อไป เราทำวัดสวดมนต์ ออกเสียงตามสายญาติโยมได้ประโยชน์ด้วย ต่อให้ฟังไม่เข้าใจเขาก็รู้ว่าพระสวดมนต์ แต่ที่แน่ๆก็คือ เราลุกขึ้นมาสู้กับกิเลส ญาติโยมหลายท่านเขาทึ่ง เคยบ่นให้ได้ยิน บอกว่าพระเจ้าเขาทำได้อย่างไรนะ เวลาใกล้รุ่งเป็นเวลาที่น่านอนที่สุด นี่ต้องแหวกกองกิเลสออกมานั่งทำวัดสวดมนต์กันเลยหรือ คุณทำแค่นี้ญาติโยมเขาเห็นเขาก็ชื่นชมแล้ว ยิ่งทำดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้นเพราะมันไม่เสียที่ ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงมา ไม่เสียทีที่เขาเองต้องลำบากด้วยความเป็นอยู่แต่แบ่งปันปัจจัย 4 ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์แก่เรา อันนี้เป็นความกรุณาของโยมเขาแล้วเราทำดี พอเหมาะพอสมที่จะใช้สอยในปัจจัย 4 ที่โยมเขาสละมาให้แล้วหรือยัง

    ในชีวิตของความเป็นพระ เราทำกรรม คือบาป กรรมชั่ว ผลของมันก็คูณด้วย แสน สมมติว่าเราเป็นฆราวาส เกิดมาปุ๊บก็เริ่มฆ่าสัตว์เลย ฆ่าปลาก็แล้วกัน วันละหนึ่งตัว ๆ ฆ่าไปเรื่อย จนครบ 100 ปีแล้วเราตาย เราจะลงอเวจีมหานรก เพราะเราทำ "อาจิณตกรรม คือกระทำกรรมที่ต่อเนื่อง ที่สม่ำเสมอ ที่ยาวนาน" แต่ในชีวิตของความเป็นพระ พวกท่านฆ่าปลาตัวเดียว ลงอเวจีมหานรก โทษมันมากกว่ากันมหาศาลขณะนี้ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็มากกว่ามหาศาล คุณปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนา ผลของมันก็คูณด้วยแสนเช่นกัน สมัยเป็นฆราวาสผมทุ่มเทให้กับปฏิบัติ 10 กว่าปี ฝึกกรรมฐานตามแบบที่หลวงพ่อสอน กองไหนชอบใจผมฝึกกองนั้น ผมพยายามเอากรรมฐานให้ได้ครบ 40 กอง ปล้ำเป็นปล้ำตายอยู่ 11 ปีเต็ม ๆ โดยตั้งใจว่า ถ้าเราเป็นบวช ถ้าเราเข้ามาบวช ถ้าเราเป็นนักบวช เราควรจะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ฆราวาส เพื่อที่บวชปุ๊บ ญาติโยมจะได้ไหว้เราได้เต็ม ทำบุญกับเราแล้วได้บุญเต็มที่ 11 ปีที่ผม ผมทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ทำแบบที่คนรอบข้างว่าผมบ้า แต่ว่าจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการมันไม่ได้ กรรมฐานหลายกองที่ปลุกปล้ำกันแทบเป็นแทบตายมันไม่ทรงตัว พอผมตัดสินใจบวชเข้ามา ปรากฏสิ่งที่ผมต้องการในชีวิตฆราวาส มันไหลมาเทมา ไม่วาคุณจะปฏิบัติอย่างไรมันก็รู้สึกคล่องแคล่วชำนาญ ไม่ว่าคุณจะภาวนา จะพิจารณาอย่างไรมันง่ายดายไปหมด กรรมฐานที่เคยทำไม่ได้ มันก็ทำได้มันง่าย มันก็คล่องตัว ผมมีความสงสัยมาก จึงไปกราบเรียนถามมหาอำพัน ตอนที่ไปดูแลท่านที่ป่วยอยู่ ท่านบอกว่า ต้นทุนของผมไม่พอ แต่พอบวชเข้ามาอานิสงฆ์ใหญ่มันเกิดคือ กุศลของการที่เราบวช รวมกับความตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีผลมากกว่าชีวิตฆราวาส เป็นแสนแสนเท่า ทำให้ต้นทุนที่ผมไขว่คว้ามา 10 กว่าปี มันเพียงพอ มันถึงได้ในสิ่งที่ผมต้องการ

    ดังนั้น ตอนนี้พวกท่านทุกคน อยู่ในจุดที่ ดีที่สุด ที่จะสร้างบุญ สร้างกุศลแล้ว พยายามทบทวนศีลทุกสิขาบท พยายามสร้างสมาธิให้เกิดทุกวัน ๆ วางกำลังใจให้สูงสุด คือ *เกาะพระนิพพาน* ให้ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใด ๆ ในหน้าที่ของสงฆ์ก็ดี หรือว่าทำในกันตะธุระ ช่วยในการก่อสร้าง ช่วยทำความสะอาดวัดวาอารามอะไรก็ดี ให้มีสติตอบรับอยู่เสมอ ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในกองทุกข์ ในเมื่อชีวิตมันมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เราเองยังอยากเกิดมาทุกข์ไหม ตอนนี้เราวางชีวิตของครอบครัวอยู่ข้างหลัง ย้อนกลับไปเมื่อไหร่ความทุกข์ใหญ่จะเกิดกับเรา เราไม่ได้รับผิดชอบชีวิตของตัวเราคนเดียว เราต้องรับผิดชอบชีวิตของอีกหลาย ๆ คน ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก ความเครียด รอเราอยู่แล้ว ดังนั้น ตอนนี้เรากอบโกยความดีให้มากที่สุด เพื่อที่ถึงวาระถึงเวลาจะได้มีต้นทุนไว้ต่อสู้กับมัน เราจะใช้โอกาสที่ดีที่สุดนี้ในการฝึกปฏิบัติตน สร้างกำลังกาย กำลังใจของเราให้ ดีที่สุด เข้มแข็งที่สุด เพื่อถึงวาระ ถึงเวลาต้นทุนของเราเพียงพอ ถ้าเราไปเป็นฆราวาสเราก็จะดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องทุกข์ยากมากนัก เพราะเราทำใจได้เสียแล้ว หรือในชีวิตของความเป็นพระต่อไปข้างหน้าของเรา ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราดี เราก็จะมีแต่ความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

    พวกท่านทุกคนก็ดี ตัวผมเองก็ดีตอนนี้แบกภาระที่ใหญ่หลวงมาก สิ่งที่เราแบกอยู่บนบ่านี้ นอกจากภาระธุระในพระพุทธศาสนา เพื่อเราทำอย่างไร จะสร้างตนเองให้เป็นพระให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะทำอย่างไร จะนำพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแพร่ขจรขจายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย และจะทำอย่างไรจะกอบกู้ชื่อเสียงของบรรดานักบวชที่ทำให้ศาสนาของเราตกต่ำอยู่ให้กลับมาดีดังเดิมได้ ภาระใหญ่หลวงนี้อยู่บนบ่าของพวกเราทุกคน และทั้งพวกเราทั้งตัวผมเอง ยังมีภาระใหญ่ คือแบกป้ายยี่ห้อของหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง ไปถึงก็บอกกับเขาว่าผมบวชกับอาจารย์เล็กครับ ผมปฏิบัติตามแนวของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ครับ เราพูดได้เต็มปากเต็มคำมั้ย ครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดไหน ตอนนี้เราทำตัวสมกับเป็นศิษย์ของท่านหรือยัง หลวงพ่อเคยบอกกับผมตามปกติว่าไปไหนพวกแกก็บอกว่ามาจากวัดท่าซุง แกเอา ซุงดีดี หรือว่าซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าเอาซุงดีดี ไปอวดเขามันก็ยังเป็นซุงอยู่ เราสามารถจะกลึง จะเกลา จะเหลา จะถากมันขึ้นมาเพื่อให้เป็นวัสดุที่พอใช้งานได้นั้น เราทำมันได้หรือยัง ไม่ต้องวิเศษเลิศลอยถึงขนาดแกะเป็นเรือสุพรรณหงส์หรอก เอาแค่เป็นภาชนะต่าง ๆที่มันพอดูได้ พองาม เหมาะสมกับฐานะของตน เราทำได้ดีเท่าไหร่ ทั้งภาระของศาสนา ทั้งชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อยู่กับของเราแล้ว เราต้องทำให้ดี ไม่เสี่ยงแต่ส่วนนอกเขามามองเรา นักบวชด้วยก็มองเรา
    ทำอย่างไรเราจะทำกาย.. ทำใจ.. ทำวาจาของเราให้ดีกว่านี้ ต้องระลึกอยู่เสมอว่าวันเวลาล่วงไป ๆ เราจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ต้องเป็น ผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา...
    ต้องดูอยู่เสมอว่าตัวเราติเราโดยศีลได้หรือไม่ ต้องดูอยู่เสมอว่าผู้อื่นติเราโดยศีลได้หรือไม่
    ต้องพิจารณาอยู่เสมอว่าคุณวิเศษ ต่าง ๆ ในพระศาสนาของเรามีอยู่หรือไม่ เพื่อถึงเวลาจะได้ไม่เก้อไม่เขินเมื่อเพื่อนปัจจมิตรใต่ถาม ต้องระลึกอยู่เสมอว่าผู้อื่นเลี้ยงเรา เราต้องเป็นผู้เลี้ยงง่าย ต้องระลึกอยู่เสมอว่าตอนนี้เราเป็นพระแล้ว กิริยาอาการใด ๆที่เป็นของพระ เราต้องทำกิริยาอาการเหล่านั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้คิดอยู่เสมอ คิดอยู่ในขณะที่ภาพพระอยู่กับเรา คิดอยู่ปฏิบัติอยู่ในขณะที่กำลังใจเราเกาะนิพพานเอาไว้ วันพระ ก็เลยขอพูดเรื่องของพระ ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่เพียงพอ ไม่สามารถจะพูดทั้งหมดได้ แต่ก็คิดว่าสิ่งที่บอกกล่าวพวกเราไป คงจะนำไปปฏิบัติตรวจสอบตัวเอง สร้างกำลังใจให้ดีขึ้นทำการปฏิบัติของเราให้ดีขึ้นให้มากกว่านี้ ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้ ขอบคุณมากสำหรับทุก ๆ คน

    ***จบ ไฟล์เสียงที่ 4***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2006
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ชอบจริงๆ แล้วเมื่อถึงเวลา......
     

แชร์หน้านี้

Loading...