"ไตรภูมิ" หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุวรรณา รัตนกิจเกษม, 19 พฤศจิกายน 2005.

  1. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    [b-wai] ไตรภูมิ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ[b-wai]
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=5361
    1. กรรมที่นำไปสู่นรก
    2. ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม
    3. การพิจารณาโทษของพระยายม
    4. นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 003.jpg
      003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.3 KB
      เปิดดู:
      105
    • 31.jpg
      31.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      725
    • 22.gif
      22.gif
      ขนาดไฟล์:
      18.1 KB
      เปิดดู:
      246
  2. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    ไม่พูดถึงเรื่องนรกแล้วดีก่า
    เรื่องอื่นเลยละกานนน
    อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องไตรภูมิตามเดิม ในตอนก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปนอนพักอยู่ในแดนเปรตมาสิ้นเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คงจะเห็นเปรตได้ชัดว่าดินแดนของเปรตเป็นดินแดนนี่น่าอยู่เพียงใด หรือว่าใครจะไม่อยากอยู่ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ออกเดินทางต่อไป ลาเปรตเสีย บรรดาเปรตทั้งหลายถ้าหากว่าเราจะพูดกัน เรื่องพูดมีมาก แต่ทว่าเกรงบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็เรื่องของเปรต เป็นอันว่าบรรดาเปรตทั้งหลายเป็นสภาวะที่เราไม่น่าอยู่ เราไม่น่าพิสมัย


    ทั้งนี้ ดินแดนที่เราจะเดินทางต่อไป ตอนนี้เราเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์กันก่อนดีกว่า ออกจากดินแดนของเปรต หันหน้ามาทางทิศนะวันตก เป็นทางขาวใหญ่ เดินต่อมาเรียงแถวกันให้ดีนะ ดีไม่ดีตอนระหว่างสุดทางของนรก แล้วก็สุดทางของมนุษย์ สุดแดนของสวรรค์ ด้านขวามือนั้นมีนรกสำคัญอยู่ขุมหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโลกันตนรก เดินไปอีกหน่อยสมมุติว่าเดินผ่านมา เข้าถึงจุด ๓ จุดที่เข้ามาชนกัน คือเรียกว่าแดน ๓ แดนชนกันที่สุดของนรก ที่สุดของมนุษย์ และที่สุดของสวรรค์ มองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ปากช่องโต ภายในมีถ้ำ ในนั้นมีความเยือกเย็นมาก ในถ้ำนั่นแหละ เราเรียกกันว่าโลกันตนรก มันไม่เป็นเรื่อง พูดมาแล้วนี่ ไม่ต้องแวะเข้าไปดู ตานี้มาเดินกันต่อไป จะเสียเวลา พอเดินมาถึงทาง ๔ แพร่ง ก็พบว่าท่านเทวดาอินยืนยิ้มอยู่ พวกเราก็ยกมือไหว้ท่านเสียหน่อยซี ท่านเป็นเทวดา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะยังไงๆ ก็ตามเขาก็เป็นเทวดา ขึ้นชื่อว่าเทวดาย่อมมีความดี ๒ ประการ คือ มีหิริ และโอตตัปปะ หิริแปลว่าความอายบาปอายความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว นี่ใครจะถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าเป็นนักบุญ นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะไหว้เทวดา นั่นไม่จริง เทวดานี่ควรไหว้ เพราะเขามีความดี ถ้าหากว่าเขาไม่ดีละเขาก็เป็นเทวดากันไม่ได้ ไหว้เทวดาเถอะ ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุดเทวดาก็มีความดีกว่ามนุษย์อยู่มาก ลาท่านเทวดาอินเสีย เดินเข้ามาดูบนดินแดนของมนุษย์ ภาพข้างหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยผี บรรดาผีทั้งหลายนี่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง สภาพของอสุรกาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรามองดูแล้วจะมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือ แบบที่ ๑ พวกที่ ๑ เป็นพวกอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียว เรียกว่าไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด ไม่ใช่น่ากลัว เรียกว่าเป็นการน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่ง คือหากินได้ แต่ทว่าจะต้องหากินประเภทของที่เขาทิ้งแล้ว บูดเน่าแล้วอย่างซากศพ คนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ พวกนี้กินได้ เวลาที่เราเห็นเขากิน ก็เหมือนกับเห็นว่าเรากินธรรมดามีการเคี้ยว มีการกลืนเหมือนกัน มีสภาพเหมือนว่ากินเนื้อสัตว์เข้าไป กินอาหารเข้าไปหมด แต่ทว่าน่าแปลกที่ซากยังเหลืออยู่ พวกนี้กินอะไร? กินอาหารที่เป็นนามธรรม คือว่ากินอาหารที่ไม่ใช่รูปธรรม พวกอสุรกายพวกนี้ต้องลำบากแบบนี้ แต่ว่าดีกว่าเปรต ยังกินได้ ที่เรียกว่าอสุรกายเพราะมีรูปร่างหน้าตาไม่สวย คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ มีความไม่กล้าเป็นปกติ ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย


    ตานี้ อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมาก ใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือว่าโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โต แต่ทว่าผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน แล้วก็ปลอมแปลงตัวเป็นเจ้าเข้าทรง บางทีก็ไปหลอกพระ พระที่มีความเข้าใจไม่ถึง ก็คิดว่าบรรดาอสุรกายพวกนี้แหละเป็นผู้วิเศษ ถ้าใครนิยมพระศรีอาริย์ เขาก็จะเข้าไปสอดแทรกแล้วก็บอกว่าเขาเป็นพระศรีอาริย์ หรือว่าใครนิยมจ้าวองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม พวกนี้นิยมเข้าไปแทรก บอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลาย ถูกพวกนี้ปลอมมาก เคยพบมาหลายราย พวกนี้มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงใหญ่โตทะมัดทะแมง ผู้พูดเองก็เคยถูกอสุรกายพวกนี้ปลอมเล่นงานอยู่หลายครั้ง แต่ก็จับตัวได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะบุคคลที่เขาอ้างถึง รู้จักหมด เป็นอันว่าโกหกกันไม่ได้ นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มองไปซี โลกนี้บรรดาอสุรกายทั้ง ๒ ประเภทและก็สัมภเวสีเกลื่อนกลาดไปหมด นี่หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายสามารถเห็นอสุรกายหรือสัมภเวสีได้ทุกคน หรือเปรตได้ทุกตน เปรตก็เหมือนกัน ลอยอยู่บนดินแดนของมนุษย์เกลื่อนไปหมด ถ้าเราเห็นได้เราก็เดินตรงทางไม่ได้ ต้องหลีกกันย่ำแย่เรียกว่าเดชะบุญนะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะเห็นอสุรกายและเห็นพวกผีทั้งหลายได้ จึงไม่ต้องหลีกใคร เป็นอันว่าเรื่องราวของอสุรกายนี้เป็นเศษกรรมอันหนึ่ง แต่ว่าดีกว่าเปรตที่ว่ายังหากินได้ แต่ผีระวังนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ระวังอสุรกายปลอมผู้ที่เข้าทรง นับถือจ้าว นับถือเทวดา ระวังให้มาก พวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน ถ้าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน เขาสามารถจะบอกได้ ใครบนบานศาลกล่าวอะไรใครไว้เขาก็รู้เหมือนกัน แล้วเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควร แต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา พวกนี้จะต้องสังเกตได้ว่าจะแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา นี่มีในที่แห่งหนึ่งเขานิยม เขาบอกว่าในก๊กของเขา หรือในกลุ่มของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็กลุ่มนี้อยู่ในถ้ำๆ หนึ่งอาตมาเองไปพบ วันนั้นก็ไปคุยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาถวายทาน พระองค์นั้นท่านบอกว่าท่านเองน่ะ เข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ ตานี้เวลาถวายทาน ท่านก็ว่าอะไรของท่านพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เวลาที่ลูกน้องเจริญกรรมฐานทำสมาธิ เขากล่าวคำให้ทานกันแล้วให้ลูกน้องทำสมาธิ เมื่อลูกน้องทำสมาธิก็ปรากฏว่าพระองค์นี้สวด นั่งสวดแทนที่จะสงบ เป็นแบบสวดมนต์ แล้วก็ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้ อาตมากับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น เห็นตัวดำมะเมื่อม ผลที่สุดก็ทราบว่าอสุรกาย ก็เลยเฉยไว้ เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว ถามว่าสวดทำไม เวลานี้ลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม เขาก็บอกว่า พระศรีอาริย์มายืนอยู่ข้างหลัง บอกให้สวด ก็เลยบอกว่าพระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านนี่ ไอ้ดำตัวนี้มันเป็นอสุรกาย มันปลอมเข้ามาในพิธี การสวด มันก็ไม่ถูกแบบแผน แบบแผนของพระพุทธเจ้าน่ะ เวลาที่ลูกน้องทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด แต่ไอ้การทำแบบนี้มันไม่ถูกนี่ขอรับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจ เพราะว่าไปพูดไปว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขานี่ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่หากจะถามว่าพูดทำไม ก็เพราะว่าเป็นการผิดแนว ถ้าเราจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่ะเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงบอกว่า ทางที่ดีละก็ ท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้ ให้รู้ว่าใครมันไปใครมันมา เวลานี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสมณโคดมน่ะยังไม่หมด ยังอยู่ในระหว่างเขตศาสนาของท่าน แล้วการที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ บอกว่าเวลานี้เป็นยุคใหม่แล้วไม่ใช่ยุคเก่า เป็นยุคของพระศรีอาริย์ แบบนี้ ดูท่ามันจะไม่เหมาะ ถ้ากระไรก็ดี เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย นี่ว่ากันเท่านี้นะพูดให้ฟังว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ละก็ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว


    ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้วก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี


    เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี คือว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน บรรดาคนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป ก็แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกัน เมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้วสำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดรอนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ แต่ทว่าการต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้าไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอ หมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นเหละมันก็ได้ทั้งหมด


    เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้าริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและสัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว พระพุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดู ที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนพึ่งคลานได้แบบนี้ นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้ ทราบข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย สงสัย ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้ นี่คนโบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ ถ้าใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก


    ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสแนะว่าพราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตาย ไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗ คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล เพราะพรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน ทราบไว้ว่ากรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรมเสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน


    สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส


    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์


    เอาละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->
     
  3. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    <TABLE class=tborder id=post5375 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_5375>สัตว์เดียรัจฉาน


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรานอนพักกันในดินแดนของมนุษย์ แล้วก็อยู่ในระหว่างพวกสัมภเวสี อสุรกาย แล้วก็เปรตมาเจ็ดวัน ท่านทั้งหลายมีความสุข มีความทุกข์เป็นประการใด อันนี้ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่มีโอกาสมาทัศนาจรและชมสภาวะของคนที่ตายไปแล้ว ทีนี้ ต่อจากนี้ไป เราก็มาพูดกันถึงเรื่องของสัตว์เดียรัจฉานบ้างยังเป็นอบายภูมิอยู่


    สัตว์เดียรัจฉานที่เราเห็นอยู่ที่นี้ทั้งหมดไม่ใช่ใคร เป็นคน ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กๆ ตั้งแต่เล็นไรขึ้นมาถึงช้าง สภาวะของสัตว์ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน มีความต้องการเท่าคน แต่ว่าบรรดาคนทั้งหลายนี่แหละอุปโลกให้บรรดาสัตว์เหล่านั้น ที่ว่าสัตว์เหล่านี้มีสมองเล็กบ้าง มีสมองใหญ่บ้าง อะไรต่ออะไรตามเรื่องของท่าน สมมติว่าสัตว์มีความต้องการไม่เท่าคน เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท? เพราะว่าสัตว์เหล่านี้อกุศลกรรมความชั่วยังสนองอยู่ จึงได้มีความลำบาก แต่ความจริงถ้าจะว่ากันไปก็ยังดีกว่าเปรต อสุรกาย นี่กรรมมันเบาขึ้นมาแล้ว เมื่อสัตว์ประเภทนี้ตายไปแล้วจากคนไปเกิดในนรก เป็นเปรต อสุรกาย แล้วก็มาสัตว์เดียรัจฉานเป็นประเภทนี้ก็มี แล้วบางประเภทตายจากคนไปเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี ตายจากพระไปเป็นเดียรัจฉานก็มี นี่เรื่องของเพศเรื่องของเครื่องแบบไม่แน่นัก อันนี้จะว่าถึงสัตว์ที่มาจากนรก


    สัตว์ประเภทนี้ต้องเสวยกฎของกรรม ตั้งแต่เป็นสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ ต้องใช้หนี้ชีวิตสัตว์ หมายความว่าเราฆ่าสัตว์ประเภทใด ๑ ตัว เราก็ต้องให้หนี้ชีวิตเขา ๑ ชีวิต สมมติว่าเราฆ่าปลาสักพันตัว นี่เราก็ต้องเกิดเป็นปลาสักพันครั้งให้เขาฆ่าพันครั้ง อันนี้ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่ทราบนะ บางทีท่านบอกว่าใช้หนี้ชีวิตมากกว่า ๑ ชีวิตก็มี เป็นว่าสัตว์ประเภทนี้มีความลำบาก ความต้องการเท่าคน เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นคนนั่นเอง ความรู้สึกเป็นคน แต่ว่ามาอยู่ในร่างกายของสัตว์ เป็นเหตุให้คนด้วยกันมีความปรานีน้อย บางทีก็เห็นว่าสัตว์ประเภทนี้เป็นอาหารเอาไปยิงกินเสียบ้าง ยิงเล่นเสียบ้าง จนกระทั่งมีเรื่องราวกันต่างๆ นี่เพราะอะไร เพราะกรรมของสัตว์นั้น เคยฆ่าเขามาก่อน แม้จะอยู่ในป่าลึกสักเพียงใดก็ตามที มีคนเมตตาปรานีให้อภัยแก่สัตว์นี้ว่าไม่ควรฆ่า เลี้ยงไว้เพื่อเป็นสวนสัตว์ รักษาพันธุ์เข้าไว้ แต่มีคนใจร้ายเข้าไปยิง เขาว่าอย่างนั้นนะเขาบอกมีคนใจร้ายเข้าไปเข่นฆ่า แต่ว่าความรู้สึกของอาตมาไม่ใช่ยังงั้น ถือว่าคนที่เข้าไปฆ่านั้น เคยมีกรรมต่อกันมา คือสัตว์ประเภทนี้เคยฆ่าเขาถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้วเขาให้อภัยแล้วก็ยังต้องถูกฆ่า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ที่ติดตามกันมาทัศนาจรดูฝูงสัตว์พึงเข้าใจ แล้วสัตว์ก็มีความลำบาก เพราะมีความต้องการอย่างคน แต่ความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องการกินเนื้อเขาให้ผัก ต้องการกินเนื้อเขาให้น้ำ ต้องการอย่างโน้นเขาให้อย่างนี้ ต้องการความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ให้อยู่อย่างเป็นทุกข์ นี่แหละการเกิดเป็นสัตว์มันก็ยังไม่ดี แต่ว่าดีกว่าเป็นเปรตกับอสุรกายมาก ยังพอหาอาหารกินเองได้ แล้วอาหารที่ได้กินก็เป็นเนื้อจริงๆ


    ทีนี้ เรามานั่งมองดูสัตว์กัน มองดูสัตว์ที่มีสภาวะไม่เสมอกัน สัตว์บางพวกมีคนเมตตาปรานีมาก สัตว์บางพวกไม่มีใครสนใจ นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสัตว์พวกนั้นแสวงหาเลี้ยงชีพเอง ดีไม่ดีเข้าไปในเขตของบ้านใครเขาก็ตีบ้างไล่ขว้างเอาบ้างอย่างไม่มีความปรานี ถ้ามองไปดูสัตว์อีกประเภทหนึ่ง แหมช่างดีเหลือเกิน เจ้าของกินน้ำพริกปลาร้า แต่ว่าสัตว์ประเภทนี้กินเนื้อมีคนเมตตาปรานีมาก แต่อย่าเข้าใจผิดนะว่ามันดีถึงที่สุด ยังก่อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความต้องการของสัตว์ประเภทนี้อาจจะต้องการอย่างอื่นบ้าง แต่ว่าเจ้าของคิดว่าสัตว์มีความต้องการอย่างนี้ นี่ก็มีความทุกข์ใจอยู่เหมือนกัน ถ้าจะถามว่าทำไมมันถึงจะเป็นอย่างงั้น ก็ตอบไม่ยาก ตอบว่าเพราะผลความชั่วน้อยลงไป อำนาจทานบารมีกับเมตตาบารมีของสัตว์นี้ที่เคยบำเพ็ญมาสมัยเป็นคนเริ่มให้ผล เริ่มมีความดีขึ้นแล้วจึงมีคนเมตตาปรานี แล้วก็สัตว์ประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นสัตว์คราวนี้ก็ไปใหม่ จะไปเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นเทวดาก็ตามใจ ด้วยอำนาจผลบุญที่สร้างไว้ นี่เรียกว่าสัตว์ที่ตายเป็นลำดับ คือรับผลตั้งแต่นรกขึ้นมา


    ตานี้ มีสัตว์พิเศษอีกพวกหนึ่ง สัตว์ประเภทนี้ เวลาตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน อันนี้เพราะเราสังเกตได้ง่าย สัตว์ประเภทนี้มีการรู้ภาษาคนมาก เราพูดอะไรเธอจะรับฟังรู้เรื่อง สำคัญเราเท่านั้นเหละที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องของสัตว์ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็ขอตอบว่าเพราะใจเราอยากจะเป็นอย่างงั้น ใจมันเป็นอย่างไงล่ะ? เวลาจะตายใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางกรรมที่ทำไว้เกินกว่าความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีความชั่วควรจะลงนรก แต่เวลาตาย ใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉานเสีย ก็เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานไป ยังไม่ลงนรกก่อน ตานี้กรรมที่จะต้องทำให้ลงนรกมันยังติดตามอยู่ คอยให้ผลในชาติต่อๆไป ถ้ามีโอกาสเมื่อไรเป็นเล่นงานเมื่อนั้น เป็นอันว่าจะต้องตกนรกกันเมื่อนั้น นี่ เป็นอย่างนี้ ทำไมคนจึงอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน? ก็จะพูดให้ฟัง เอาตัวอย่างมาพูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าจิตน่ะมีความสำคัญ ท่านพุทธบริษัทจิตมีความสำคัญมาก เวลาเราจะตาย ถ้าจิตมีความต้องการอะไร มันจะไปตามความต้องการ ถ้าเราทำความชั่วไว้มาก แต่ถ้าเวลาจะตายจิตมันเกิดมีความรู้สึกดีขึ้นมานึกถึงความดี เช่น นึกถึงคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา นึกถึงผลของทาน การให้ มีความเลื่อมใสในความดี อารมณ์เกิดผ่องใสขึ้นมา ตอนนี้บาปยังให้ผลไม่ได้ จิตไปตามกำลังของความดี ที่ตัวนึกถึงอยู่ก่อน ตานี้สมมติว่า ถ้าเราทำความดีไว้มาก เวลาจะตายจิตกับไปเกาะความชั่วเข้านิดหนึ่ง แล้วก็เกาะไม่ปล่อย เวลาตายต้องไปรับผลของความชั่วก่อน มีตัวอย่างคนที่จะเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าสร้างความชั่วไว้แยะ ควรจะลงนรก แต่ว่าไม่ลงนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน


    ตัวอย่างก็มีว่าในสมัยก่อนนั้น สมัยก่อนที่พูดนี่น่ะ เวลานั้นมีคนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่านายโกตุหริกะกับภรรยาคนหนึ่ง แล้วก็ลูกเล็กๆ ที่ยังเดินไม่ได้อีกคนหนึ่ง เขาอยู่เมืองๆหนึ่ง แต่ทว่าเมืองนั้นเกิดโรคระบาดที่เขาเรียกกันว่าห่าลงเมือง คือว่าโรคอหิวาต์หรือกาฬโรคนี่เอง หมอสมัยนั้นยังมีสมรรถภาพไม่ดีนัก เวลาเป็นกันขึ้นมาก็ตายกันเป็นตับ แล้วเขาก็มีประเพณีอยู่ว่า เวลาเกิดโรคนี้ขึ้นเมื่อใด ถ้าใครจะหนีโรคนี้ก็จะต้องพังฝาเรือนออก ลงทางบันไดไม่ได้โรคมันจะเห็น เรียกว่าพวกห่ามันเห็น มันจะตามมากิน สองคนตายายก็รวบรวมทรัพย์สินกับอาหารพอที่จะกินไปในตามทางเท่าที่จะพึงมีแล้วก็เดินไปในป่า ลัดเลาะตัดไปอีกเมืองหนึ่ง ในระหว่างทางก็ปรากฎว่าอาหารหมด คราวนี้ชักยุ่ง มันก็เกิดความหิว กำลังก็น้อยลงมา ไอ้ผัวก็เลยบอกเมียว่า ไอ้ลูกของเรานี่มันสร้างความลำบากต้องมานั่งผลัดกันอุ้ม ปล่อยให้มันตายเสียดีกว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วพี่จะทำให้ใหม่สักคนหรือจะเอาอีกหลายๆคนก็ได้ จะช่วยทำให้ แต่ว่าเมียนี่ ขึ้นชื่อว่าแม่มีความรักลูกมาก เพราะว่าเลือดในอก จึงได้ห้ามปรามบอกว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้ทำ จะฆ่าลูกไม่ได้ อีตาผัวก็ตั้งใจว่าเมื่อเผลอเมื่อไรจะจัดการกับลูกคนนี้ เพราะมันเป็นมารขวางคอไอ้เราหิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย อาหารก็ไม่มีกิน มันก็ต้องให้เราอุ้มอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลาใกล้ค่ำ เขาก็หานโยบายรับลูกมาจากเมียให้เมียเอาหาบไปหาบแทน แล้วตัวเขาเองก็เอาลูกมาอุ้ม ทำเป็นเดินช้าๆ เวลามันใกล้ค่ำ เวลามันมัวตาลงแล้ว เขาก็บอกกับภรรยาว่าปวดปัสสาวะ ประเดี๋ยวจะนั่งปัสสาวะ สักหน่อยหนึ่ง ให้ภรรยาล่วงหน้าไปก่อน ภรรยาก็เชื่อ พอเดินล่วงหน้าไปเขาก็นั่งข้างพุ่มไม้ เอาเจ้าเด็กคนนี้ซุกเข้าไปโคนต้นไม้แล้วก็เอาใบไม้ใบหญ้าคลุมเสีย ก็เด็กกำลังมันอ่อนเท่านั้น ประเดี๋ยวมันก็ตาย เขาก็แกล้งนั่งปัสสาวะเสียนาน แล้วเวลาเดินตามภรรยาไปก็เดินช้าๆ ไม่ยอมให้ทันเร็วนัก เพราะเกรงภรรยาจะถามความเป็นจริง ในเมื่อไปพบภรรยาเข้าก็ปรากฎว่ามันค่ำมากแล้ว ภรรยาก็ถามว่าลูก ไปไหน เขาเลยบอกว่าพี่เอาซุกเสียโคนต้นไม้โน่นแล้ว เมียก็บอกว่าไปตามกับคืนมาเขาก็บอกว่าจำทางไม่ได้แล้วมันมืด ป่านนี้มันก็คงจะตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน้องรัก เอาเถิดถ้าเจ้าต้องการลูกละก้อ? ถ้าอาหารมีกินสมบูรณ์เมื่อไร พี่จะจัดการสร้างลูกให้ใหม่ ตามความประสงค์ของเธอ เมียก็จนใจเพราะกลับไปเอาคืนไม่ได้ ก็เป็นอันว่าเลิกกัน เดินทางต่อไปรอนแรมไปในป่าสิ้นเวลาประมาณ ๗ วัน เพราะอดอาหาร เข้ามาถึงเมืองโกสัมพี ตอนนี้ก็เห็นบ้านท่านมหาเศรษฐีหรูหราใหญ่โตมีคนมาก ก็ปรึกษากัน ๒ คน ตายายว่าเรานี่อดอาหารเป็นคนจนจะเข้าไปหาบ้านคนจนก็คงไม่มีประโยชน์นัก ไปบ้านมหาเศรษฐีนี่แหละไปรับจ้างท่าน จะได้ยังอัตภาพให้เป็นไปพอมีชีวิตอยู่ พอเรี่ยวแรงดีมีกำลังดีที่จะได้เร่งรัดสร้างลูกทดแทนลูกที่ตายไป เขาว่ายังงั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คงจะพูดแบบนั้นไอ้ที่พูดตรงนี้น่ะมันเลยตำราไปนิด เดี๋ยวจะหาว่าเอ๊ะนี่ตำราเขาไม่ได้พูดไว้นี่ เอามาพูดทำไมมันอยากพูดก็เลยพูดแบบนี้แหละเพราะคนเขาชอบยังงั้น เขาชอบสร้างลูกกัน แต่ความจริงตัวเองคนเดียวก็หนักอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก แต่ว่าคนเราไม่ชอบ มีขันธ์ ๕ หนักพอแล้ว มีขันธ์ ๕ เข้ามาอีก ๕ ขันธ์ รวมสามีหรือภรรยามันก็เป็น ๑๐ ขันธ์ หนักเข้าไปอีก ต้องการลูกอีกคน ห้าขันธ์ ขันธ์มันก็หนักกันใหญ่ เมื่อหนักมาก หนักเกินไป ดีไม่ดีไอ้ความหนักมันก็ถ่วงลงนรกไป อ้าว นี่มันเรื่องของชาวบ้าน พระไม่เกี่ยว ว่ากันต่อไป


    เมื่อเข้าไปถึงบ้านท่านมหาเศรษฐีกำลังกินข้างมธุปายาส แล้วมีสุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง เป็นหมาตัวโปรดของท่านมหาเศรษฐี กำลังนอนอยู่ใกล้ๆ ท่านมหาเศรษฐี กินข้าวมธุปายาสไปพลางก็ส่งให้หมากินบ้างท่านกินบ้าง น่ากลัวจะมีจริยาคล้ายๆ กับคนพูด คนพูดนี่ก็เหมือนกัน ถ้าลงกินข้าวหรือกินขนมใกล้หมาใกล้แมวแล้วอดแบ่งไม่ได้ เพราะถือว่าเรามันเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เพื่อนมีความทุกข์ คือว่าหมากับแมวหรือสัตว์เดียรัจฉานทุกประเภทมีสภาวะเหมือนกับผู้พูด เสมอกัน ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่ากัน สุนัขถ่ายอุจจาระมาเหม็น ไอ้เราขี้มาก็เหม็นเหมือนกัน มันก็เท่ากัน สุนัขแก่ได้ เราก็แก่ได้ สุนัขตายได้ เราก็ตายได้ สุนัขป่วยไข้ไม่สบายฉันใด เราก็ป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกัน เพราะว่ากรงน่ะเขาไม่ได้สร้างให้สัตว์เดียรัจฉานอยู่ กฎหมายเขามีไว้เขาไม่ได้ลงโทษสัตว์เดียรัจฉาน พวกนี้ได้รับความปลอดภัย แต่คนพูดหรือคนฟังนี่แหละสำคัญ หรือท่านทั้งหลายที่ติดตามมาเที่ยวนี่ก็เหมือนกัน ระวังนะ กฎหมายเขามีไว้ลงโทษพวกท่าน ต่างกับสัตว์เดียรัจฉาน ไม่มีกฎหมายฉบับไหนสั่งให้สัตว์เข้าคุกเข้าตารางกี่ปีกี่วันกี่เดือน แต่ว่าคนนี่มีกฎหมายลงโทษ เป็นอันว่ากฎหมายนี่ให้สิทธิ์พิเศษแก้สัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าอย่าไปอยากเป็นเลย มาพูดถึงว่าคนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ในเมื่อสองตายายเข้าไปหาท่านมหาเศรษฐีและสมัครทำงานกับท่าน เล่าความเป็นจริงว่าเดินมาในป่าอดอาหารมาหลายวันเพราะความยากจน เพราะโรคระบาดมันเกิด ท่านมหาเศรษฐีก็มีความเมตตา บอกว่าจะไปจัดข้าวมธุปายาสสำหรับที่ฉันกินนี่แหละเอามาให้กับสองตายายนี่ เขาจะได้กิน แม่ครัวก็จัดมาเป็น ๒ ส่วน มาส่งให้ ๒ คน ภรรยามีความรักสามีมาก หรือว่าจะมีความปรารถนาให้สามีสร้างลูกชดใช้ก็ไม่ทราบ ส่วนของตัวเลยไม่กิน ยั้งไว้ก่อน สามี แหมไอ้ตัวนี่ลำบากนะ ท่าจะรักเมียน้อย ผู้ชายนี่ถ้าจะรักผู้หญิงน้อยกว่าผู้หญิงรักผู้ชาย จะเหมือนกันทุกคนหรือไม่เหมือนก็ไม่ทราบ นี่เป็นข้อสังเกต เพราะว่าเจ้าผัวพอเขาส่งให้ก็หม่ำไม่รอ กินไม่รอ มีเท่าไหร่กินหมด เมียยังไม่กิน พอเห็นผัวกินหมดแล้วก็ส่งส่วนของตัวให้ บอกว่าขอให้ท่านจงบริโภคให้อิ่ม ถ้าหากว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุข ถ้าหากว่าท่านไม่มีชีวิตอยู่ฉันจะหาความสุขไม่ได้ อีตรงนี่สงสัยว่าทำไมความสุขของผู้หญิงจึงต้องอาศัยผู้ชาย แปลก บางทีพ่อเจ้าประคุณ กินเหล้าเมายา ก็เตะตุ๊บ เตะตั้บ ด่าเมียบ้าง ซ้อมเมียบ้าง แล้วบางทีก็ปล่อยให้เมียนั่งคอยจนดึกจนดื่นแต่ว่าทำไมหนอ สงสัยเหลือเกิน ทำไมเขากล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุขทั้งๆ ที่ผัวก็ใจร้าย เอาลูกไปฆ่า ไปทิ้งให้ตายในป่า อีตรงนี้คนพูดไม่เข้าใจนะ ท่านที่ติดตามมาทัศนาจร ท่านเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ท่านเข้าใจละก็ไม่ต้องบอกหรอก ไม่รับฟัง เพราะไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะเกิดมันอีกแล้ว เข็ดเต็มที เป็นอันว่าเจ้าผัวตะกละคนนี้เลยล่อเสีย ๒ ส่วน ของเมียก็กินหมด ของตัวเองก็กินหมด แต้ระหว่างที่เขานั่งอยู่เขากินอยู่ เขาเห็นแต่หมาตัวเมียของเศรษฐี นึกว่าหมาตัวนี้นี่มันดีกว่าเรานะ มันอยู่กับท่านมหาเศรษฐี ไม่ต้องทำงานทำการ กินข้าวมธุปายาส ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน แหมดีกว่าเรามาก เราเป็นคนเสียอีกข้าวมธุปายาสพึ่งได้กินครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าหมาตัวนี้กินเป็นปกติ งานก็ไม่ต้องทำ จิตใจก็สนอยู่กับสุนัขตัวเมียเท่านั้น ล่อข้าวเข้าไป ๒ จานหมด ทีนี้ร่างกายมันเพลียอยู่แล้ว ในบาลีท่านบอกว่าไฟธาตุไม่สามารถจะย่อยอาหารได้หมด เพราะเพลียมาก กำลังไฟน่ากลัวจะน้อยไป อาหารไม่ย่อยแกก็ท้องอืดตายเสียเวลานั้นเอง เวลาที่แกจะตาย อาศัยที่ใจแกจับอยู่ที่สัตว์เดียรัจฉานตัวนั้น หมาตัวนั้น ไอ้จิตที่ออกจากร่างที่เรียกว่าอทิสมานกาย กายภายในทีมันออกจากร่างนั้น ก็ปาเข้าไปอยู่ในท้องหมานี่ เลยกลายเป็นลูกหมาไป เมื่อครบกำหนดแล้วก็ออกมาเป็นหมา ไม่ยักเป็นคน เห็นไหมล่ะ นี่ คนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เป็นไม่ยาก พระพุทธเจ้า จึงกล่าวว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ไอ้กรรม คือการกระทำหรือความดีนี่น่ะ เป็นคนแท้ๆ แต่ไปสนใจกับหมา เวลาตายก็เลยเข้าท้องหมาไป เมื่อครบกำหนดหมาคลอด เจ้าลูกหมาตัวนี้มีความรู้ภาษาคนมาก ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน เรียกว่าชอบใจมันมาก ชอบใช้ชอบเรียก จะพูดอะไรมันรู้ภาษาคนมาก


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนเรานี่นะ ถ้าหากว่ามีเจตนาชั่วเสียอย่างเดียวเวลาตายแล้วมันเกิดเป็นคนใหม่ได้ยาก นี่ความจริงเจ้าโกตุหลิกะนี่เขาจะต้องตกนรกเพราะฆ่าลูก แต่ทว่าผลของกรรม คือจิตก่อนที่จะตายไปสนใจกับสุนัข ไปสนใจหมา (พูดว่าหมามานานแล้วนี่ จะมาว่าสุนัขกันยังไง) เมื่อตายแล้วเข้าไปอยู่ในท้องหมา ออกมาแล้วตัวก็เป็นหมา ตานี้เมื่อตัวเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ความรู้สึกก็เป็นมนุษย์ทุกอย่าง มีความต้องการอย่างมนุษย์ นี่ท่านจะเห็นความลำบากไหม มนุษย์เราต้องการกินอะไรบ้างล่ะ ต้องการเสื้อผ้านุ่งห่ม ต้องการทีนอนดีๆ ต้องการหมอนมุ้ง ต้องการอาหารรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม แต่ทว่า มันไม่ได้สมความปรารถนา ถึงแม้ว่าจะมีความสุขเพราะเขาเลี้ยง แต่ก็สุขไม่พอ


    นี่ละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จำให้ดีนะ แล้วก็หมาตัวนี้ เวลานั้น ท่านมหาเศรษฐีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่องค์หนึ่ง เวลาที่ท่านนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เอาหมาตัวนี้ไปด้วย ถ้าวันไหนท่านไม่ได้ไป ก็ใช้เจ้าหมาตัวนี้ไปแทน หมาตัวนี้ก็ไป ที่ตรงไหนที่ท่านมหาเศรษฐีเคยส่งเสียงดังๆ เป็นต้นไม้ที่เป็นพุ่มใหญ่ๆ ท่านเกรงว่าสัตว์ร้ายในจะสิงอยู่ ก็ตีพุ่มไม้ส่งเสียงดังให้มันตกใจ มันจะได้หนีไป เกรงว่ามันจะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาที่ใช้เจ้าหมาตัวนี้เป็นอิสระ ไปตามโดยเฉพาะไปตามพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปถึงพุ่มไม้นั้น มันก็เห่ากระโชก เป็นการไล่สัตว์ที่นั่น พอไปถึงหน้ากุฏิพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็เห่าบ้างหอนบ้าง เป็นการนิมนต์ นี่เขาใช้หมาไปนิมนต์พระกันนะ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่าเจ้าสุนัขหมาตัวนี้มานิมนต์ ท่านก็ออกจากกุฏิเดินตามมันไป มันก็เดินนำหน้า บางวันท่านก็ลองใจหมา ลองใจดูซิว่ามันจะรู้จริงหรือไม่จริง พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านท่านไม่เลี้ยวแกล้งเดินตรงไป เจ้าหมาตัวนี้ก็เจ้าขวางหน้าเห็นท่านไม่หยุดก็เข้าดึงจีวร เอาปากคาบสบงบ้าง จีวรบ้าง ดึงให้เข้าทาง ได้เจ้าหมาตัวนี้มีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะว่าไปจากคน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับสู่ภูเขาคันธมาทน์ เวลาเข้าพรรษา ลาท่านมหาเศรษฐี ถ้าเวลาออกพรรษาแล้วจะมาใหม่ เจ้าสุนัขตัวนี้ มันมองพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไปในอากาศ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลับตามันไปแล้ว มันก็เลยขาดใจตาย


    อีตรงนี้ซิ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เขาขาดใจตายเพราะจิตใจจับอยู่ที่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ จับอยู่ในความดี อาศัยที่มีอารมณ์ความดีมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ากระทั่งถึงตัวตาย ผลบุญที่สนอง ผลบุญที่ทำความดี คือนึกถึงความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้าบันดาลให้เขาไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีนามว่าโฆษกเทพบุตรเห็นไหมละ นี่หมาก็ไปสวรรค์ได้นะ ตายจากคนเป็นหมา ตายจากหมาเป็นเทวดา เป็นอันว่าหมาดีกว่าคน เอ๊ะแปลกนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่มันก็ไม่แปลก เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวกรรม เวลาที่เราจะตายอาศัยใจเท่านั้น ที่ชักชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทเจริญมหาสติปัฏฐานสูตรมาในพรรษาก่อน ก็เพื่อจะให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำใจให้หยั่งอยู่ในกุศลจิต คือจิตจับในส่วนที่เป็นกุศลไว้โดยเฉพาะ ทำให้มีอารมณ์เคยชิน เมื่ออารมณ์มันชินดีแล้ว เวลาจะตายจริงๆ จิตก็จับอยู่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นกุศล หรืออารมณ์ที่เป็นกุศล เมื่อตายจากคนแล้ว เราจะเป็นเทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ หรือว่าไปนิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังของจิต หากว่าเราจะกลับมาเกิดเป็นคน ก็เป็นคนชั้นดี เป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีบุญญามาก จึงได้ชวนให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน และมหาสติปัฏฐานสูตร (ความจริงก็มีอรรถเสมอกัน)


    นี่แหละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกท่าน และบรรดาท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจร เมื่อท่านเห็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ขอได้โปรดให้ความเมตตาปรานี ถ้าเราจะให้ขนมสักนิด อาหารสักหน่อย เศษอาหารสักนิดก็ตาม ก็ให้ด้วยความปรานี อย่าให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าการให้ทานแกสัตว์เดียรัจฉานย่อมมีผลประโยชน์เป็นความดีแก่ท่านพุทธบริษัทมาก เพราะว่าจะได้เป็นเกราะป้องกันนรกด่านแรกของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะทาน การบริจาคเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภของจิต แล้วคนที่จะให้ทานได้ก็ต้องประกอบไปด้วยความเมตตาและกรุณา ตกอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนใดจิตจับอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ วันหนึ่งสักชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “เรากล่าวว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ไม่ว่าจากฌาน” แล้วคนใดที่มีเมตตาจิตอยู่แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า เขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภัยทาน มีอานิสงค์มาก ตกนรกไม่เป็น


    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ชมวันนี้ก็ได้แค่นี้เท่านั้น เพราะอะไร เพราะเวลามันหมด นี่เราพักกันในดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานสัก ๗ วันนะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พอครบวันพุธหน้า เรามาคุยกันใหม่ ตานี้ จะได้เดินไปในดินแดนของมนุษย์ มีเรื่องอะไรควรจะเล่าให้ฟังในดินแดนของมนุษย์ ก็จะเล่าให้ฟังตามสมควรแก่เวลาและตามความรู้ที่จะพึงมีมา สำหรับวันนี้ต้องลาท่านก่อน


    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig --></TD></TR><TR><TD class=alt2>[​IMG] </TD><TD class=alt1 align=right><!-- controls --><!-- Start Post Anumotana Hack --><!-- End Post Anumotana Hack --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    <TABLE class=tborder id=post5375 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_5375>สัตว์เดียรัจฉาน


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรานอนพักกันในดินแดนของมนุษย์ แล้วก็อยู่ในระหว่างพวกสัมภเวสี อสุรกาย แล้วก็เปรตมาเจ็ดวัน ท่านทั้งหลายมีความสุข มีความทุกข์เป็นประการใด อันนี้ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่มีโอกาสมาทัศนาจรและชมสภาวะของคนที่ตายไปแล้ว ทีนี้ ต่อจากนี้ไป เราก็มาพูดกันถึงเรื่องของสัตว์เดียรัจฉานบ้างยังเป็นอบายภูมิอยู่


    สัตว์เดียรัจฉานที่เราเห็นอยู่ที่นี้ทั้งหมดไม่ใช่ใคร เป็นคน ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กๆ ตั้งแต่เล็นไรขึ้นมาถึงช้าง สภาวะของสัตว์ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน มีความต้องการเท่าคน แต่ว่าบรรดาคนทั้งหลายนี่แหละอุปโลกให้บรรดาสัตว์เหล่านั้น ที่ว่าสัตว์เหล่านี้มีสมองเล็กบ้าง มีสมองใหญ่บ้าง อะไรต่ออะไรตามเรื่องของท่าน สมมติว่าสัตว์มีความต้องการไม่เท่าคน เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท? เพราะว่าสัตว์เหล่านี้อกุศลกรรมความชั่วยังสนองอยู่ จึงได้มีความลำบาก แต่ความจริงถ้าจะว่ากันไปก็ยังดีกว่าเปรต อสุรกาย นี่กรรมมันเบาขึ้นมาแล้ว เมื่อสัตว์ประเภทนี้ตายไปแล้วจากคนไปเกิดในนรก เป็นเปรต อสุรกาย แล้วก็มาสัตว์เดียรัจฉานเป็นประเภทนี้ก็มี แล้วบางประเภทตายจากคนไปเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี ตายจากพระไปเป็นเดียรัจฉานก็มี นี่เรื่องของเพศเรื่องของเครื่องแบบไม่แน่นัก อันนี้จะว่าถึงสัตว์ที่มาจากนรก


    สัตว์ประเภทนี้ต้องเสวยกฎของกรรม ตั้งแต่เป็นสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ ต้องใช้หนี้ชีวิตสัตว์ หมายความว่าเราฆ่าสัตว์ประเภทใด ๑ ตัว เราก็ต้องให้หนี้ชีวิตเขา ๑ ชีวิต สมมติว่าเราฆ่าปลาสักพันตัว นี่เราก็ต้องเกิดเป็นปลาสักพันครั้งให้เขาฆ่าพันครั้ง อันนี้ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่ทราบนะ บางทีท่านบอกว่าใช้หนี้ชีวิตมากกว่า ๑ ชีวิตก็มี เป็นว่าสัตว์ประเภทนี้มีความลำบาก ความต้องการเท่าคน เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นคนนั่นเอง ความรู้สึกเป็นคน แต่ว่ามาอยู่ในร่างกายของสัตว์ เป็นเหตุให้คนด้วยกันมีความปรานีน้อย บางทีก็เห็นว่าสัตว์ประเภทนี้เป็นอาหารเอาไปยิงกินเสียบ้าง ยิงเล่นเสียบ้าง จนกระทั่งมีเรื่องราวกันต่างๆ นี่เพราะอะไร เพราะกรรมของสัตว์นั้น เคยฆ่าเขามาก่อน แม้จะอยู่ในป่าลึกสักเพียงใดก็ตามที มีคนเมตตาปรานีให้อภัยแก่สัตว์นี้ว่าไม่ควรฆ่า เลี้ยงไว้เพื่อเป็นสวนสัตว์ รักษาพันธุ์เข้าไว้ แต่มีคนใจร้ายเข้าไปยิง เขาว่าอย่างนั้นนะเขาบอกมีคนใจร้ายเข้าไปเข่นฆ่า แต่ว่าความรู้สึกของอาตมาไม่ใช่ยังงั้น ถือว่าคนที่เข้าไปฆ่านั้น เคยมีกรรมต่อกันมา คือสัตว์ประเภทนี้เคยฆ่าเขาถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้วเขาให้อภัยแล้วก็ยังต้องถูกฆ่า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ที่ติดตามกันมาทัศนาจรดูฝูงสัตว์พึงเข้าใจ แล้วสัตว์ก็มีความลำบาก เพราะมีความต้องการอย่างคน แต่ความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องการกินเนื้อเขาให้ผัก ต้องการกินเนื้อเขาให้น้ำ ต้องการอย่างโน้นเขาให้อย่างนี้ ต้องการความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ให้อยู่อย่างเป็นทุกข์ นี่แหละการเกิดเป็นสัตว์มันก็ยังไม่ดี แต่ว่าดีกว่าเป็นเปรตกับอสุรกายมาก ยังพอหาอาหารกินเองได้ แล้วอาหารที่ได้กินก็เป็นเนื้อจริงๆ


    ทีนี้ เรามานั่งมองดูสัตว์กัน มองดูสัตว์ที่มีสภาวะไม่เสมอกัน สัตว์บางพวกมีคนเมตตาปรานีมาก สัตว์บางพวกไม่มีใครสนใจ นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสัตว์พวกนั้นแสวงหาเลี้ยงชีพเอง ดีไม่ดีเข้าไปในเขตของบ้านใครเขาก็ตีบ้างไล่ขว้างเอาบ้างอย่างไม่มีความปรานี ถ้ามองไปดูสัตว์อีกประเภทหนึ่ง แหมช่างดีเหลือเกิน เจ้าของกินน้ำพริกปลาร้า แต่ว่าสัตว์ประเภทนี้กินเนื้อมีคนเมตตาปรานีมาก แต่อย่าเข้าใจผิดนะว่ามันดีถึงที่สุด ยังก่อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความต้องการของสัตว์ประเภทนี้อาจจะต้องการอย่างอื่นบ้าง แต่ว่าเจ้าของคิดว่าสัตว์มีความต้องการอย่างนี้ นี่ก็มีความทุกข์ใจอยู่เหมือนกัน ถ้าจะถามว่าทำไมมันถึงจะเป็นอย่างงั้น ก็ตอบไม่ยาก ตอบว่าเพราะผลความชั่วน้อยลงไป อำนาจทานบารมีกับเมตตาบารมีของสัตว์นี้ที่เคยบำเพ็ญมาสมัยเป็นคนเริ่มให้ผล เริ่มมีความดีขึ้นแล้วจึงมีคนเมตตาปรานี แล้วก็สัตว์ประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นสัตว์คราวนี้ก็ไปใหม่ จะไปเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นเทวดาก็ตามใจ ด้วยอำนาจผลบุญที่สร้างไว้ นี่เรียกว่าสัตว์ที่ตายเป็นลำดับ คือรับผลตั้งแต่นรกขึ้นมา


    ตานี้ มีสัตว์พิเศษอีกพวกหนึ่ง สัตว์ประเภทนี้ เวลาตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน อันนี้เพราะเราสังเกตได้ง่าย สัตว์ประเภทนี้มีการรู้ภาษาคนมาก เราพูดอะไรเธอจะรับฟังรู้เรื่อง สำคัญเราเท่านั้นเหละที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องของสัตว์ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็ขอตอบว่าเพราะใจเราอยากจะเป็นอย่างงั้น ใจมันเป็นอย่างไงล่ะ? เวลาจะตายใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางกรรมที่ทำไว้เกินกว่าความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีความชั่วควรจะลงนรก แต่เวลาตาย ใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉานเสีย ก็เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานไป ยังไม่ลงนรกก่อน ตานี้กรรมที่จะต้องทำให้ลงนรกมันยังติดตามอยู่ คอยให้ผลในชาติต่อๆไป ถ้ามีโอกาสเมื่อไรเป็นเล่นงานเมื่อนั้น เป็นอันว่าจะต้องตกนรกกันเมื่อนั้น นี่ เป็นอย่างนี้ ทำไมคนจึงอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน? ก็จะพูดให้ฟัง เอาตัวอย่างมาพูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าจิตน่ะมีความสำคัญ ท่านพุทธบริษัทจิตมีความสำคัญมาก เวลาเราจะตาย ถ้าจิตมีความต้องการอะไร มันจะไปตามความต้องการ ถ้าเราทำความชั่วไว้มาก แต่ถ้าเวลาจะตายจิตมันเกิดมีความรู้สึกดีขึ้นมานึกถึงความดี เช่น นึกถึงคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา นึกถึงผลของทาน การให้ มีความเลื่อมใสในความดี อารมณ์เกิดผ่องใสขึ้นมา ตอนนี้บาปยังให้ผลไม่ได้ จิตไปตามกำลังของความดี ที่ตัวนึกถึงอยู่ก่อน ตานี้สมมติว่า ถ้าเราทำความดีไว้มาก เวลาจะตายจิตกับไปเกาะความชั่วเข้านิดหนึ่ง แล้วก็เกาะไม่ปล่อย เวลาตายต้องไปรับผลของความชั่วก่อน มีตัวอย่างคนที่จะเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าสร้างความชั่วไว้แยะ ควรจะลงนรก แต่ว่าไม่ลงนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน


    ตัวอย่างก็มีว่าในสมัยก่อนนั้น สมัยก่อนที่พูดนี่น่ะ เวลานั้นมีคนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่านายโกตุหริกะกับภรรยาคนหนึ่ง แล้วก็ลูกเล็กๆ ที่ยังเดินไม่ได้อีกคนหนึ่ง เขาอยู่เมืองๆหนึ่ง แต่ทว่าเมืองนั้นเกิดโรคระบาดที่เขาเรียกกันว่าห่าลงเมือง คือว่าโรคอหิวาต์หรือกาฬโรคนี่เอง หมอสมัยนั้นยังมีสมรรถภาพไม่ดีนัก เวลาเป็นกันขึ้นมาก็ตายกันเป็นตับ แล้วเขาก็มีประเพณีอยู่ว่า เวลาเกิดโรคนี้ขึ้นเมื่อใด ถ้าใครจะหนีโรคนี้ก็จะต้องพังฝาเรือนออก ลงทางบันไดไม่ได้โรคมันจะเห็น เรียกว่าพวกห่ามันเห็น มันจะตามมากิน สองคนตายายก็รวบรวมทรัพย์สินกับอาหารพอที่จะกินไปในตามทางเท่าที่จะพึงมีแล้วก็เดินไปในป่า ลัดเลาะตัดไปอีกเมืองหนึ่ง ในระหว่างทางก็ปรากฎว่าอาหารหมด คราวนี้ชักยุ่ง มันก็เกิดความหิว กำลังก็น้อยลงมา ไอ้ผัวก็เลยบอกเมียว่า ไอ้ลูกของเรานี่มันสร้างความลำบากต้องมานั่งผลัดกันอุ้ม ปล่อยให้มันตายเสียดีกว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วพี่จะทำให้ใหม่สักคนหรือจะเอาอีกหลายๆคนก็ได้ จะช่วยทำให้ แต่ว่าเมียนี่ ขึ้นชื่อว่าแม่มีความรักลูกมาก เพราะว่าเลือดในอก จึงได้ห้ามปรามบอกว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้ทำ จะฆ่าลูกไม่ได้ อีตาผัวก็ตั้งใจว่าเมื่อเผลอเมื่อไรจะจัดการกับลูกคนนี้ เพราะมันเป็นมารขวางคอไอ้เราหิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย อาหารก็ไม่มีกิน มันก็ต้องให้เราอุ้มอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลาใกล้ค่ำ เขาก็หานโยบายรับลูกมาจากเมียให้เมียเอาหาบไปหาบแทน แล้วตัวเขาเองก็เอาลูกมาอุ้ม ทำเป็นเดินช้าๆ เวลามันใกล้ค่ำ เวลามันมัวตาลงแล้ว เขาก็บอกกับภรรยาว่าปวดปัสสาวะ ประเดี๋ยวจะนั่งปัสสาวะ สักหน่อยหนึ่ง ให้ภรรยาล่วงหน้าไปก่อน ภรรยาก็เชื่อ พอเดินล่วงหน้าไปเขาก็นั่งข้างพุ่มไม้ เอาเจ้าเด็กคนนี้ซุกเข้าไปโคนต้นไม้แล้วก็เอาใบไม้ใบหญ้าคลุมเสีย ก็เด็กกำลังมันอ่อนเท่านั้น ประเดี๋ยวมันก็ตาย เขาก็แกล้งนั่งปัสสาวะเสียนาน แล้วเวลาเดินตามภรรยาไปก็เดินช้าๆ ไม่ยอมให้ทันเร็วนัก เพราะเกรงภรรยาจะถามความเป็นจริง ในเมื่อไปพบภรรยาเข้าก็ปรากฎว่ามันค่ำมากแล้ว ภรรยาก็ถามว่าลูก ไปไหน เขาเลยบอกว่าพี่เอาซุกเสียโคนต้นไม้โน่นแล้ว เมียก็บอกว่าไปตามกับคืนมาเขาก็บอกว่าจำทางไม่ได้แล้วมันมืด ป่านนี้มันก็คงจะตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน้องรัก เอาเถิดถ้าเจ้าต้องการลูกละก้อ? ถ้าอาหารมีกินสมบูรณ์เมื่อไร พี่จะจัดการสร้างลูกให้ใหม่ ตามความประสงค์ของเธอ เมียก็จนใจเพราะกลับไปเอาคืนไม่ได้ ก็เป็นอันว่าเลิกกัน เดินทางต่อไปรอนแรมไปในป่าสิ้นเวลาประมาณ ๗ วัน เพราะอดอาหาร เข้ามาถึงเมืองโกสัมพี ตอนนี้ก็เห็นบ้านท่านมหาเศรษฐีหรูหราใหญ่โตมีคนมาก ก็ปรึกษากัน ๒ คน ตายายว่าเรานี่อดอาหารเป็นคนจนจะเข้าไปหาบ้านคนจนก็คงไม่มีประโยชน์นัก ไปบ้านมหาเศรษฐีนี่แหละไปรับจ้างท่าน จะได้ยังอัตภาพให้เป็นไปพอมีชีวิตอยู่ พอเรี่ยวแรงดีมีกำลังดีที่จะได้เร่งรัดสร้างลูกทดแทนลูกที่ตายไป เขาว่ายังงั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คงจะพูดแบบนั้นไอ้ที่พูดตรงนี้น่ะมันเลยตำราไปนิด เดี๋ยวจะหาว่าเอ๊ะนี่ตำราเขาไม่ได้พูดไว้นี่ เอามาพูดทำไมมันอยากพูดก็เลยพูดแบบนี้แหละเพราะคนเขาชอบยังงั้น เขาชอบสร้างลูกกัน แต่ความจริงตัวเองคนเดียวก็หนักอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก แต่ว่าคนเราไม่ชอบ มีขันธ์ ๕ หนักพอแล้ว มีขันธ์ ๕ เข้ามาอีก ๕ ขันธ์ รวมสามีหรือภรรยามันก็เป็น ๑๐ ขันธ์ หนักเข้าไปอีก ต้องการลูกอีกคน ห้าขันธ์ ขันธ์มันก็หนักกันใหญ่ เมื่อหนักมาก หนักเกินไป ดีไม่ดีไอ้ความหนักมันก็ถ่วงลงนรกไป อ้าว นี่มันเรื่องของชาวบ้าน พระไม่เกี่ยว ว่ากันต่อไป


    เมื่อเข้าไปถึงบ้านท่านมหาเศรษฐีกำลังกินข้างมธุปายาส แล้วมีสุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง เป็นหมาตัวโปรดของท่านมหาเศรษฐี กำลังนอนอยู่ใกล้ๆ ท่านมหาเศรษฐี กินข้าวมธุปายาสไปพลางก็ส่งให้หมากินบ้างท่านกินบ้าง น่ากลัวจะมีจริยาคล้ายๆ กับคนพูด คนพูดนี่ก็เหมือนกัน ถ้าลงกินข้าวหรือกินขนมใกล้หมาใกล้แมวแล้วอดแบ่งไม่ได้ เพราะถือว่าเรามันเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เพื่อนมีความทุกข์ คือว่าหมากับแมวหรือสัตว์เดียรัจฉานทุกประเภทมีสภาวะเหมือนกับผู้พูด เสมอกัน ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่ากัน สุนัขถ่ายอุจจาระมาเหม็น ไอ้เราขี้มาก็เหม็นเหมือนกัน มันก็เท่ากัน สุนัขแก่ได้ เราก็แก่ได้ สุนัขตายได้ เราก็ตายได้ สุนัขป่วยไข้ไม่สบายฉันใด เราก็ป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกัน เพราะว่ากรงน่ะเขาไม่ได้สร้างให้สัตว์เดียรัจฉานอยู่ กฎหมายเขามีไว้เขาไม่ได้ลงโทษสัตว์เดียรัจฉาน พวกนี้ได้รับความปลอดภัย แต่คนพูดหรือคนฟังนี่แหละสำคัญ หรือท่านทั้งหลายที่ติดตามมาเที่ยวนี่ก็เหมือนกัน ระวังนะ กฎหมายเขามีไว้ลงโทษพวกท่าน ต่างกับสัตว์เดียรัจฉาน ไม่มีกฎหมายฉบับไหนสั่งให้สัตว์เข้าคุกเข้าตารางกี่ปีกี่วันกี่เดือน แต่ว่าคนนี่มีกฎหมายลงโทษ เป็นอันว่ากฎหมายนี่ให้สิทธิ์พิเศษแก้สัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าอย่าไปอยากเป็นเลย มาพูดถึงว่าคนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ในเมื่อสองตายายเข้าไปหาท่านมหาเศรษฐีและสมัครทำงานกับท่าน เล่าความเป็นจริงว่าเดินมาในป่าอดอาหารมาหลายวันเพราะความยากจน เพราะโรคระบาดมันเกิด ท่านมหาเศรษฐีก็มีความเมตตา บอกว่าจะไปจัดข้าวมธุปายาสสำหรับที่ฉันกินนี่แหละเอามาให้กับสองตายายนี่ เขาจะได้กิน แม่ครัวก็จัดมาเป็น ๒ ส่วน มาส่งให้ ๒ คน ภรรยามีความรักสามีมาก หรือว่าจะมีความปรารถนาให้สามีสร้างลูกชดใช้ก็ไม่ทราบ ส่วนของตัวเลยไม่กิน ยั้งไว้ก่อน สามี แหมไอ้ตัวนี่ลำบากนะ ท่าจะรักเมียน้อย ผู้ชายนี่ถ้าจะรักผู้หญิงน้อยกว่าผู้หญิงรักผู้ชาย จะเหมือนกันทุกคนหรือไม่เหมือนก็ไม่ทราบ นี่เป็นข้อสังเกต เพราะว่าเจ้าผัวพอเขาส่งให้ก็หม่ำไม่รอ กินไม่รอ มีเท่าไหร่กินหมด เมียยังไม่กิน พอเห็นผัวกินหมดแล้วก็ส่งส่วนของตัวให้ บอกว่าขอให้ท่านจงบริโภคให้อิ่ม ถ้าหากว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุข ถ้าหากว่าท่านไม่มีชีวิตอยู่ฉันจะหาความสุขไม่ได้ อีตรงนี่สงสัยว่าทำไมความสุขของผู้หญิงจึงต้องอาศัยผู้ชาย แปลก บางทีพ่อเจ้าประคุณ กินเหล้าเมายา ก็เตะตุ๊บ เตะตั้บ ด่าเมียบ้าง ซ้อมเมียบ้าง แล้วบางทีก็ปล่อยให้เมียนั่งคอยจนดึกจนดื่นแต่ว่าทำไมหนอ สงสัยเหลือเกิน ทำไมเขากล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุขทั้งๆ ที่ผัวก็ใจร้าย เอาลูกไปฆ่า ไปทิ้งให้ตายในป่า อีตรงนี้คนพูดไม่เข้าใจนะ ท่านที่ติดตามมาทัศนาจร ท่านเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ท่านเข้าใจละก็ไม่ต้องบอกหรอก ไม่รับฟัง เพราะไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะเกิดมันอีกแล้ว เข็ดเต็มที เป็นอันว่าเจ้าผัวตะกละคนนี้เลยล่อเสีย ๒ ส่วน ของเมียก็กินหมด ของตัวเองก็กินหมด แต้ระหว่างที่เขานั่งอยู่เขากินอยู่ เขาเห็นแต่หมาตัวเมียของเศรษฐี นึกว่าหมาตัวนี้นี่มันดีกว่าเรานะ มันอยู่กับท่านมหาเศรษฐี ไม่ต้องทำงานทำการ กินข้าวมธุปายาส ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน แหมดีกว่าเรามาก เราเป็นคนเสียอีกข้าวมธุปายาสพึ่งได้กินครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าหมาตัวนี้กินเป็นปกติ งานก็ไม่ต้องทำ จิตใจก็สนอยู่กับสุนัขตัวเมียเท่านั้น ล่อข้าวเข้าไป ๒ จานหมด ทีนี้ร่างกายมันเพลียอยู่แล้ว ในบาลีท่านบอกว่าไฟธาตุไม่สามารถจะย่อยอาหารได้หมด เพราะเพลียมาก กำลังไฟน่ากลัวจะน้อยไป อาหารไม่ย่อยแกก็ท้องอืดตายเสียเวลานั้นเอง เวลาที่แกจะตาย อาศัยที่ใจแกจับอยู่ที่สัตว์เดียรัจฉานตัวนั้น หมาตัวนั้น ไอ้จิตที่ออกจากร่างที่เรียกว่าอทิสมานกาย กายภายในทีมันออกจากร่างนั้น ก็ปาเข้าไปอยู่ในท้องหมานี่ เลยกลายเป็นลูกหมาไป เมื่อครบกำหนดแล้วก็ออกมาเป็นหมา ไม่ยักเป็นคน เห็นไหมล่ะ นี่ คนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เป็นไม่ยาก พระพุทธเจ้า จึงกล่าวว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ไอ้กรรม คือการกระทำหรือความดีนี่น่ะ เป็นคนแท้ๆ แต่ไปสนใจกับหมา เวลาตายก็เลยเข้าท้องหมาไป เมื่อครบกำหนดหมาคลอด เจ้าลูกหมาตัวนี้มีความรู้ภาษาคนมาก ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน เรียกว่าชอบใจมันมาก ชอบใช้ชอบเรียก จะพูดอะไรมันรู้ภาษาคนมาก


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนเรานี่นะ ถ้าหากว่ามีเจตนาชั่วเสียอย่างเดียวเวลาตายแล้วมันเกิดเป็นคนใหม่ได้ยาก นี่ความจริงเจ้าโกตุหลิกะนี่เขาจะต้องตกนรกเพราะฆ่าลูก แต่ทว่าผลของกรรม คือจิตก่อนที่จะตายไปสนใจกับสุนัข ไปสนใจหมา (พูดว่าหมามานานแล้วนี่ จะมาว่าสุนัขกันยังไง) เมื่อตายแล้วเข้าไปอยู่ในท้องหมา ออกมาแล้วตัวก็เป็นหมา ตานี้เมื่อตัวเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ความรู้สึกก็เป็นมนุษย์ทุกอย่าง มีความต้องการอย่างมนุษย์ นี่ท่านจะเห็นความลำบากไหม มนุษย์เราต้องการกินอะไรบ้างล่ะ ต้องการเสื้อผ้านุ่งห่ม ต้องการทีนอนดีๆ ต้องการหมอนมุ้ง ต้องการอาหารรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม แต่ทว่า มันไม่ได้สมความปรารถนา ถึงแม้ว่าจะมีความสุขเพราะเขาเลี้ยง แต่ก็สุขไม่พอ


    นี่ละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จำให้ดีนะ แล้วก็หมาตัวนี้ เวลานั้น ท่านมหาเศรษฐีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่องค์หนึ่ง เวลาที่ท่านนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เอาหมาตัวนี้ไปด้วย ถ้าวันไหนท่านไม่ได้ไป ก็ใช้เจ้าหมาตัวนี้ไปแทน หมาตัวนี้ก็ไป ที่ตรงไหนที่ท่านมหาเศรษฐีเคยส่งเสียงดังๆ เป็นต้นไม้ที่เป็นพุ่มใหญ่ๆ ท่านเกรงว่าสัตว์ร้ายในจะสิงอยู่ ก็ตีพุ่มไม้ส่งเสียงดังให้มันตกใจ มันจะได้หนีไป เกรงว่ามันจะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาที่ใช้เจ้าหมาตัวนี้เป็นอิสระ ไปตามโดยเฉพาะไปตามพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปถึงพุ่มไม้นั้น มันก็เห่ากระโชก เป็นการไล่สัตว์ที่นั่น พอไปถึงหน้ากุฏิพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็เห่าบ้างหอนบ้าง เป็นการนิมนต์ นี่เขาใช้หมาไปนิมนต์พระกันนะ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่าเจ้าสุนัขหมาตัวนี้มานิมนต์ ท่านก็ออกจากกุฏิเดินตามมันไป มันก็เดินนำหน้า บางวันท่านก็ลองใจหมา ลองใจดูซิว่ามันจะรู้จริงหรือไม่จริง พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านท่านไม่เลี้ยวแกล้งเดินตรงไป เจ้าหมาตัวนี้ก็เจ้าขวางหน้าเห็นท่านไม่หยุดก็เข้าดึงจีวร เอาปากคาบสบงบ้าง จีวรบ้าง ดึงให้เข้าทาง ได้เจ้าหมาตัวนี้มีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะว่าไปจากคน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับสู่ภูเขาคันธมาทน์ เวลาเข้าพรรษา ลาท่านมหาเศรษฐี ถ้าเวลาออกพรรษาแล้วจะมาใหม่ เจ้าสุนัขตัวนี้ มันมองพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไปในอากาศ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลับตามันไปแล้ว มันก็เลยขาดใจตาย


    อีตรงนี้ซิ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เขาขาดใจตายเพราะจิตใจจับอยู่ที่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ จับอยู่ในความดี อาศัยที่มีอารมณ์ความดีมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ากระทั่งถึงตัวตาย ผลบุญที่สนอง ผลบุญที่ทำความดี คือนึกถึงความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้าบันดาลให้เขาไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีนามว่าโฆษกเทพบุตรเห็นไหมละ นี่หมาก็ไปสวรรค์ได้นะ ตายจากคนเป็นหมา ตายจากหมาเป็นเทวดา เป็นอันว่าหมาดีกว่าคน เอ๊ะแปลกนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่มันก็ไม่แปลก เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวกรรม เวลาที่เราจะตายอาศัยใจเท่านั้น ที่ชักชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทเจริญมหาสติปัฏฐานสูตรมาในพรรษาก่อน ก็เพื่อจะให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำใจให้หยั่งอยู่ในกุศลจิต คือจิตจับในส่วนที่เป็นกุศลไว้โดยเฉพาะ ทำให้มีอารมณ์เคยชิน เมื่ออารมณ์มันชินดีแล้ว เวลาจะตายจริงๆ จิตก็จับอยู่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นกุศล หรืออารมณ์ที่เป็นกุศล เมื่อตายจากคนแล้ว เราจะเป็นเทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ หรือว่าไปนิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังของจิต หากว่าเราจะกลับมาเกิดเป็นคน ก็เป็นคนชั้นดี เป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีบุญญามาก จึงได้ชวนให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน และมหาสติปัฏฐานสูตร (ความจริงก็มีอรรถเสมอกัน)


    นี่แหละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกท่าน และบรรดาท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจร เมื่อท่านเห็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ขอได้โปรดให้ความเมตตาปรานี ถ้าเราจะให้ขนมสักนิด อาหารสักหน่อย เศษอาหารสักนิดก็ตาม ก็ให้ด้วยความปรานี อย่าให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าการให้ทานแกสัตว์เดียรัจฉานย่อมมีผลประโยชน์เป็นความดีแก่ท่านพุทธบริษัทมาก เพราะว่าจะได้เป็นเกราะป้องกันนรกด่านแรกของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะทาน การบริจาคเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภของจิต แล้วคนที่จะให้ทานได้ก็ต้องประกอบไปด้วยความเมตตาและกรุณา ตกอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนใดจิตจับอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ วันหนึ่งสักชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
     
  5. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    มนุษย์ กับคน


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ มาพบกันถึงเรื่องไตรภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านบรรดาพุทธบริษัทนอนพักอยู่ในดินแดนของอสุรกาย และสัมภเวสีสิ้นเวลาถึง ๗ วัน หวังว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกท่านคงจะได้มีโอกาสสังสรรค์กับบรรดาสัมภเวสีและอสุรกายมาพอสมควร ท่านมองดูแล้วน่าอยู่ไหม? สัมภเวสีก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดียรัจฉานก็ดี พวกนี้ไม่ใช่ใคร เป็นมนุษย์ สำหรับวันนี้จะพาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปทัศนาจรดูมนุษย์กัน


    พวกเราก็เป็นมนุษย์ เขาก็เป็นมนุษย์ ทุกคนเราเรียกกันว่ามนุษย์ คนว่า มนุษย์แปลว่าเป็น ผู้มีใจสูง แต่ความจริงคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาเป็นมนุษย์นี่ หามนุษย์ได้ยากเต็มที ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนไปเสียหมด คำว่า คนกับมนุษย์ไม่เหมือนกัน เพราะคนนี่แปลว่ายุ่ง มนุษย์แปลว่าใจสูง ผู้ที่มีใจสูงคือผู้ที่ทรงอยู่ในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ หรือว่าทรงศีล ๕ ประการ เรียกว่ารักษากรรมบถ ๑๐ หรือว่ารักษาศีล ๕ เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์ ใครที่ไม่มีกรรมบถ ๑๐ หรือว่าไม่มีศีล ๕ หรือว่ามีแต่มีไม่ครบ อย่างนี้ท่านเรียกว่าคน ถ้าหากว่ามีกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๕ ขาดทั้งหมดอย่างนี้ เรียกว่าคนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่ามีกรรมบถ ๑๐ หรือ หรือศีล ๕ บางอย่างที่รักษาไว้ได้บ้าง อย่างนี้เรียกว่าคนไม่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือเป็นมนุษย์บ้าง เป็นคนบ้าง ท่านที่เป็นมนุษย์จริงๆ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและบุคคลอื่น เพราะเกรงว่าศีลจะขาด เกรงว่าสิกขาบทในกรรมบถ ๑๐ จะบกพร่อง สำหรับพวกคนนั้นเลวมาก เพราะว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ


    เอาละเรื่องมนุษย์กับคนนี่ขอเว้นไปเสีย พูดไปก็รำคาญหูบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้เรามานั่งดูมนุษย์กัน หรือมานั่งดูคนกัน ไม่ต้องเดิน ถ้าจะมองไปดูฝ่ายสูง จะเห็นว่ามีปราสาทราชวังมาก มีความสวยสดงดงาม มีความเป็นอยู่บริบูรณ์ สมบูรณ์ไปด้วยวัตถุที่เต็มไปด้วยโลกาวิสัย แล้วบางท่านหย่อนลงมาก็เป็นอำมาตย์ข้าราชบริพาร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี เป็นองคมนตรี แล้วเป็นรัฐมนตรี เป็นปลัดกระทรวง เป็นอะไรต่ออะไร จนกระทั่งถึงเป็นเสมียน เป็นพ่อค้าคหบดี เศรษฐีมหาเศรษฐี คนยากจนเข็ญใจ จนกระทั่งถึงขอทาน และคนทุพพลภาพ ความจริงการเกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์เหมือนกันแล้ว ทำไมจึงมีสภาวะไม่เหมือนกัน นี่ซิมันน่าสงสัย อันนี้ ก็อยากจะพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า ทำไมหนอ คนเราเกิดมาแล้วจึงมีสภาวะไม่เหมือนกัน บางคนสวย บางคนจน บางคนที่มีอำนาจวาสนาดี บางคนอำนาจวาสนาน้อย บางคนบริบูรณ์สมบูรณ์ บางคนบกพร่อง บางคนร่างกายอาการ ๓๒ ครบ บางคนขาขาดวิ่นไปไม่ครบถ้วน เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นยังงี้ ทีนี้ ถ้าหากเราเห็นสภาวะของคนไม่เสมอกันแบบนี้ ก็ต้องหันไปดูคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ แปลว่ากรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ กรรมอะไรเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท กำหมัดหรือว่ากำมือ จะเรียกว่ากำหมัดหรือว่ากำมือไปทุบไปต่อยใครน่ะไม่ใช่ กรรมตัวนี้แปลว่าการกระทำ การกระทำของเราแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ ทำด้วยกาย ทำด้วยวาจา แล้วก็ทำด้วยใจ คือใจคิด ท่านเรียกว่ามโนกรรม ปากพูดเรียกว่าวจีกรรม กายทำเรียกว่ากายกรรม นี่ กรรมมี ๓ อย่าง จำไว้ให้ดี ว่ากรรม คือการกระทำ ใจทำ ก็หมายความว่าใจคิดอยากจะทำโน่น จะทำนี่ จะทำนั่น วจีกรรมก็หมายความว่าปากพูดอย่างนั้นปากพูดอย่างนี้ แล้วกายทำก็เอามือเอาเท้าไปทำ นี่เรียกกันว่ากรรมเหมือนกัน กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ หมายความว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้มีความดีความชั่วไม่เสมอกัน กรรมแบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ กุศลกรรมอย่างหนึ่ง และ อกุศลกรรมอย่างหนึ่ง กุศลกรรมแปลว่า การกระทำด้วยความฉลาด ทำเพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัว และแสวงหาความสุขให้แก่สังคมของโลก อกุศลกรรมได้แก่กระทำฝ่ายโง่ ทำเพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัวและเบียดเบียนชาวบ้านเขา ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย บางทีไปไหนคนเดียวไม่ได้ ต้องมีบริวารแวดล้อมเพราะเกรงอันตราย ตัวเองเป็นคนมีอำนาจวาสนา แต่เกรงอันตรายมาก หวาดหวั่นต่อความตายอยู่เสมอ และมีความมั่งมีศรีสุข มีทรัพย์มาก มีอำนาจวาสนดี แต่ก็ต้องเกรงกลัวต่อความตาย เกรงกลัวต่ออันตรายที่จะมาถึงตน ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการกระทำแบบนั้นเป็นการกระทำเกี่ยวกับความโง่เป็นสำคัญ โง่ที่เห็นแก่ตัวเกินไป ไม่ยอมให้ความสุขแก่บุคคลอื่น แสวงหาความสุขเพื่อตัวหาความร่ำรวยเพื่อตัว หาอำนาจวาสนาเพื่อตัว ทีนี้ชาวบ้านเขาก็เกลียด เมื่อชาวบ้านเกลียดก็มีศัตรูมาก นี่เป็นฝ่ายอกุศลกรรม ตานี้ กรรมประเภทนี้ที่ทำให้คนร่ำรวยเขารวยมายังไง บางคนเราเห็นว่าเขามีความเลวมาก คนเกลียดทั้งเมือง แต่ว่าเขามีอำนาจวาสนาอยู่ได้ แล้วก็มีความร่ำรวยมาก อาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ? เรื่องของความร่ำรวยนี่ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มาก กล่าวย่อๆ ก็คือมาจากทาน การให้ คนที่เคยให้ทานมาแล้วในกาลก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสังฆทาน อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่าคนประเภทนั้นเขาจะเกิดไปสักกี่ชาติก็ตาม เขาจะมีแต่ความร่ำรวยตลอดกาล จะหาความยากจนเข็ญใจไม่ได้จนกว่าจะเข้านิพพาน นี่คนให้ทานครั้งเดียวนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังฆทานและให้ด้วยความเลื่อมใส ตัวอย่างคือนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในสมัยชาติก่อนโน้น คือในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสีทศพล วิสาขามหาอุบาสิกาคนนี้เป็นคนจน ไม่ใช่คนรวย แต่ก็ไม่จนมาก พอทำมาหากินได้ สมัยนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรมีบริวารเป็นแสน แล้วก็มีเพื่อนหญิงของเธอคนหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นคนร่ำรวยมาก เลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงสงฆ์ สร้างวิหารจัดของถวายตามที่เธอประสงค์ ถ้าพระสงฆ์มาในเขตนั้น ความบกพร่องทุกอย่างไม่ยอมให้มีเธอรวยขนาดนี้ นางวิสาขาในสมัยนั้นก็มีความตั้งใจอยากจะรวยแบบนั้นบ้าง อยากจะเลี้ยงพระในพระพุทธศาสนาบ้าง อยากจะมีทรัพย์สินที่นับไม่ได้ หมายความว่าใช้เท่าไรก็ไม่หมดบ้าง วันหนึ่ง เธอจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบทูลอาราธนาพระองค์พร้อมไปด้วยพระสงฆ์อีก ๔ รูป ให้ไปรับสังฆทานที่บ้าน จะถวายมากก็ถวายไม่ได้ เพราะเป็นคนจน ทรัพย์สินไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงรับ เมื่อรับนิมนต์แล้วนางก็กลับบ้าน จัดภัตตาหารเสร็จตามที่จะหาได้ สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงเสด็จพร้อมไปด้วยพระอีก ๔ รูป เธอถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงโมทนาแล้วนางก็เข้าไปกราบแทบบาทมูล คือใกล้เท้าของพระพุทธเจ้า กล่าวคำตั้งมโนปณิธานปรารถนาว่า ด้วยอำนาจบุญบารมีที่หม่อมฉันได้ถวายสังฆทานครั้งนี้ ขอปัจจัยที่ทำแล้วในคราวนี้จงเป็นผลให้หม่อมฉันได้มีโอกาสเป็นคนบำรุงพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทุกรูปอย่างชนิดไม่มีสิ่งใดมีโอกาสที่จะบกพร่องได้เลย เมื่อเธอตั้งมโนปณิธานปรารถนาอย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้ทรงตรวจดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ก็ทราบชัดว่าอีกไม่นาน ประมาณแสนกัปข้างหน้า จะมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก หญิงคนนี้ เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วจะท่องเที่ยวอยู่บนสวรรค์ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมองค์นั้นเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เธอก็จะมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในสมัยนั้น และจะมีโอกาสอังคาสเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีทรัพย์นับไม่ได้ มีบิดามีนามว่าธนัญชัยเศรษฐี มีปู่มีนามว่าสุเมธเศรษฐี เมณฑกะเศรษฐี ไม่ใช่สุเมธนะ ชื่อว่าเมณฑกะเศรษฐี มีทรัพย์มากนับไม่ได้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์พระพิชิตมารจึงได้ทรงพยากรณ์ตามนั้น แล้วมาในชาตินี้ เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงตรัสและประกาศพระศาสนาไปถึงกรุงราชคฤห์ แล้วก็เมืองเวสาลี นางวิสาขาคนนี้อายุได้ ๗ ขวบ เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าคราวเดียวได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วต่อมาเธอเองก็บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างที่คนอื่นบำรุงได้ยาก เพราะว่าตระกูลนี้มีทรัพย์นับไม่ถ้วน เวลาที่นางวิสาขาแต่งงานพ่อแม่ให้ของไปใช้ชั่วคราว ไม่พอขอใหม่ได้ ตัวอย่างเช่นให้เงินไป ๕๐๐ เล่มเกวียน ทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองคำสำหรับใช้ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน อย่างนี้เป็นต้น นี่เขาไม่ได้ให้เป็นบาทเป็นสลึงกัน เขานับเป็นเล่มๆ เกวียนกัน แล้วบอกว่าถ้าไม่พอใช้จ่ายละก็มาเอาใหม่นะลูกละ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนที่เราเห็นเขาร่ำรวยอยู่เวลานี้ ที่เขาเดินผ่านเราไปเดินผ่านเรามา นั่งรถยนต์คันสวยๆ มีบ้านสวยๆ มีทรัพย์สินมากๆ ก็เพราะอำนาจการถวายทานเป็นสำคัญ แล้วการถวายทานนี้จำเป็นจะต้องถวายด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทนัก การถวายสังฆทานเป็นการทำง่าย ถ้าเรามีทรัพย์น้อยก็แกงถ้วยหนึ่งมีกับถ้วยหนึ่ง มีขนมถ้วยหนึ่ง มีข้าวถ้วยหนึ่ง ไม่ต้องมาก ไปขอพระมาจากวัด บอกเจ้าอาวาส บอกว่าขอพระมารับสังฆทาน ๑ องค์ ท่านจะมาเองก็ตาม ให้พระแก่พระหนุ่มมาก็ตาม ให้เด็กมาก็ตาม ผู้ที่มารับถือว่าเป็นตัวแทนของสงฆ์ เราก็ตั้งใจถวายด้วยความเคารพ แล้วเวลาถวายไปแล้ว ก่อนจะหลับนึกถึงทานการให้ ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นึกถึงทานกองนั้นไว้ อันนี้แหละจะเป็นปัจจัยให้ไปเกิดข้างหน้า มีทรัพย์สินมากอย่างกับคนร่ำรวยที่เราเห็นอยู่นี่ เห็นหรือยังบรรดาท่านพุทธบริษัท กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ คนที่เขารวยมาก เพราะว่าเขาให้ทานด้วยเจตนาสูงมาก อาตมาไม่พูดด้วยว่าวัตถุมากนะ ถ้าวัตถุมากด้วย เจตนาเป็นกุศลมากด้วยก็รวยใหญ่ ถ้าวัตถุมากแต่เจตนาเป็นโลกเกินไป ทำเพื่ออวดชาวบ้าน ว่าบุญเล็กฉันไม่ทำจะทำแต่บุญใหญ่ น้อยๆ ไม่ทำ ต้องทำให้มันมากเต็มที่ ให้สมกับฐานะของฉันแบบนี้ ให้สมกับศักดิ์ศรีที่มี นี่ทำบุญแบบนี้เป็นการปรารภโลกเกินไป อานิสงส์น้อยไม่ดี เรียกว่าทำบุญแล้วมีผลไม่คุ้มค่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะมีทรัพย์มากก็ตาม ทรัพย์น้อยก็ตาม ทำด้วยกุศลเจตนา จริงๆ ไม่ปรารภโลกเป็นสำคัญ อย่างนี้ทุกท่านไปเกิดใหม่กี่ชาติก็ตามที จะหาความยากจนไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่าง ตานี้เมื่อรวยแล้วนะ มีทรัพย์สินแล้ว แล้วอยากเป็นคนสวยอีก คนที่จะเป็นคนสวยได้ มีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน คือคนที่มีเมตตา หน้ายิ้มอยู่เสมอ มีจิตคิดอยู่เสมอ ว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี เป็นมิตรของเรา จิตใจของเราสบาย ใจให้อภัยแก่คนผิด อย่างนี้เรียกว่าทรงศีลข้อที่ ๑ คือ ปาณาติบาต คือ ไม่ทำศีล ๕ ข้อที่ ๑ ให้ขาดด้วยอำนาจของการเจตนา คนประเภทนี้จะเกิดในชาติใดก็ตาม รูปร่างหน้าตาสะสวย แล้วก็มีอายุยืนนาน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน ซึ่งตรงกันข้ามกับคนละเมิดศีลข้อ ๑ ที่เรียกกันว่าปาณาติบาต ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น คนประเภทนี้เกิดมาแล้วรูปร่างหน้าตาไม่สวย แถมมีอายุไม่ยืนนัก อายุไม่มากนัก มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่เสมอเป็นปกติ อย่างกับคนพูดนี่แหละ ดูตัวอย่างอาตมา นี่ความจริงถ้าเทศน์เขาห้ามปรารภตัวเองนะ แต่นี่ชี้ให้ดูว่าคนพูดนี่เลวมามาก เกิดมาชาตินี้ทั้งชาติหาความสุขกายไม่ได้เลย โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา ใครจะหาเทศน์ปรารภตัวเองเป็นสำคัญก็ตามใจ เวลาพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ทำไมท่านปรารภตัวท่านได้ล่ะ เมื่อท่านเทศน์แล้วท่านก็บอกว่าคนนั้นเกิดมาเป็นตถาคต คนนี้เกิดมาเป็นตถาคต เป็นตัวท่านเอง ท่านคุยเรื่องความดีของตัวท่านได้ อาตมาผู้พูดก็คุยเรื่องความชั่วได้ มันจะเป็นอะไรไป ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่เมื่อยปากก็ตามใจ


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นั่งดูแล้วก็เลือกเอานะ อยากจะเป็นคนรวยก็ให้ทานด้วยเจตนาดี ถ้าเรามีโอกาสถวายสังฆทาน ถ้าหากว่าจะให้ทานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนก็ได้ เป็นทานเหมือนกัน เป็นความดีเหมือนกัน แต่ค่าต่างไปนิดหนึ่ง แต่ความจริงก็ควรจะทำทั้งสองฝ่าย อย่างถวายทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เป็นอานิสงส์สูง อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรจะทิ้ง คือสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจ สงเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานที่มีความลำบาก สร้างโรงพยาบาล สร้างถนน สร้างศาลาบ่อน้ำเป็นสาธารณะ อันนี้เป็นการผดุงความสุข เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ อันนี้ไม่ควรจะเว้นเสีย


    ไปดูต่อไปอีกนิด ดูคนบางคนที่ถูกลักถูกขโมยถูกปล้นถูกโกงอยู่ตลอดเวลา แต่บางคนเขาเกิดมาแล้วบ้านไม่เคยต้องใส่กุญแจ ไปไหนก็ได้ ของไม่เคยหาย ไม่ต้องมียามนี้มีอะไรเป็นอานิสงส์ จะพูดให้ฟัง พูดแล้วเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ชอบใจก็เป็นเรื่องของท่าน คนพูดมีหน้าที่พูด ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ แล้วก็ไม่ได้พูดบังคับให้ใครฟัง เอาละจะพูดให้ฟัง คนที่ต้องถูกลักถูกขโมยมาก ในชาตินี้ถูกโกงมาก จำไว้ให้ดีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเราเองผู้ถูกกระทำได้ทำไม่ดีไว้ในกาลก่อน คือไม่รักษาศีลข้อที่ ๒ ที่เรียกว่า อทินนาทาน เราชอบลักชอบขโมยเขา ชอบคดโกงชอบยื้อแย่งเขา ตานี้เราเกิดไปกี่ชาติๆ กรรมนั้นมันก็ตามสนอง เพราะเป็นเศษกรรม นี่เราพูดกันถึงแค่มนุษย์นะ เรื่องนี้ผ่านนรกมาแล้ว ตานี้บางคนที่ทรัพย์สินวัวควายข้าวของทั้งหลายมีอยู่ บ้านไม่ต้องใส่กุญแจ ประตูไม่ต้องปิด มีควายไม่ต้องมีใครดู มีทรัพย์สินไม่ต้องมียาม แต่ของเขาก็ไม่รูจักหาย เป็นเพราะอะไรเป็นสำคัญ เรื่องนี้องค์สมเด็จพระทรงธรรมกล่าวว่า อาศัยที่ในชาติก่อนเขาไม่เคยลักเคยขโมยใคร รักษาศีลข้อที่ ๒ อย่างเคร่งครัด นี่องค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์จึงกล่าวว่า เกิดมากี่ชาติก็ตาม ทรัพย์สมบัติเขามีสภาพเยือกเย็น ไม่ต้องสลายไปเพราะอำนาจโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย และอุทกภัย โจรภัย คือมีคนลัก คนขโมย คนยื้อแย่ง อัคคีภัยไปไหม้ วาตะภัยลมพัดให้พัง อุทกภัยน้ำท่วมให้เสียหาย ภัยประเภทนี้ไม่มีเพราะคนที่รักษาศีลข้อที่ ๒ คือไม่ลักไม่ขโมยใคร


    ทีนี้ไปนั่งดูคนอีกประเภทหนึ่ง คนบางประเภทนะ แบ่งเป็น ๒ พวกด้วยกัน พวกหนึ่งมีบริวารดีเหลือเกิน มีผัวก็ดี เมียก็ดี มีลูก มีหลาน มีเหลน ข้าทาสหญิงชาย มีญาติผู้น้อยผู้ใหญ่เป็นคนดีหมด เรียกว่าซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน คนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ยังงั้น มีผัว ผัวก็นอกใจ มีเมีย เมียก็นอกใจผัว มีลูกก็ว่าไม่ได้ ไม่มีใครซื่อสัตย์สุจริต คนสองประเภทนี้ มีอะไรเป็นปัจจัยจะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือคนประเภทแรกที่มีผัวก็ดี เมียก็ดีซื่อสัตย์ต่อกัน มีลูกก็ว่านอนสอนง่าย ข้าทาสหญิงชายญาติพี่น้องพวกพ้องก็รู้สึกว่าสุจริต ไม่ทุจริตต่อกัน ท่านประเภทแรกนี้นั้น ท่านกล่าวว่าในชาติก่อนเป็นคนซื่อตรงต่อสามีและภรรยา ไม่นอกใจกัน มีความรักรักเดียวเป็นสำคัญไม่มีความรักเป็นรักที่สอง จำไว้ให้ดีนะสำหรับคนประเภทที่ ๒ นั้น ที่เรียกว่ามีใครก็ปกครองไม่ไหว เพราะในชาติก่อน ตัวเองนั่นแหละมีความไม่ดีเข้าไว้ ไม่ซื่อครองต่อคู่ครอง ไม่ซื่อตรงต่อคนรัก มีสามีแล้วก็ย่องไปหาความสุขภายนอก มีภรรยาแล้ว ก็ย่องไปหาความสุขภายนอก ความสุขในด้านกามารมณ์ เรียกว่านอกใจผัว นอกใจเมีย นี่เกิดมาในชาตินี้ จะปกครองใครไม่ไหว ไม่ว่าใครก็เป็นคนดื้อไปหมด ไม่เหมือนกับคนที่เขาซื่อตรงต่อกัน จะว่าหรือไม่ว่า จะเตือนหรือไม่เตือนคนของเขาก็เป็นคนดีหมด อยู่ในโอวาท สิ่งใดที่เป็นเครื่องหนักใจเขาไม่ทำกัน นี่เพราะอานิสงส์ในการรักษาศีลข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า กาเม


    ทีนี้ คนอีกประเภทหนึ่ง พูดแล้วไม่ว่าพูดอะไร ใครเชื่อทุกคน วาจาของเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่บุคคลอีกประเภทหนึ่ง จะพูดเท่าไรก็ตาม ไม่มีใครเชื่อ ทั้งๆ ที่พูดตามความเป็นจริงก็หาคนเชื่อหาคนเคารพในวาจาได้ยาก อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า คนที่พูดแล้วใครชอบฟัง ชอบเคารพ ชอบเชื่อ เพราะในชาติก่อนเขาไม่เคยโกหกใคร สำหรับคนที่พูดอะไรใครไม่ยอมรับฟัง คนประเภทนี้ ในชาติก่อนชอบโกหกมดเท็จชาวบ้านไม่กล่าวตามความเป็นจริง


    ตานี้ มาคนอีกพวกหนึ่ง ชอบบ้าเป็นปกติ สติสัมปชัญญะไม่ค่อยสมบูรณ์ป้ำๆ เป๋อๆ บ้าง บางทีถึงคลั่งไม่ได้สติไปเลย บางคราวก็ขี้หลงขี้ลืม คนประเภทนี้มาจากอำนาจของการดื่มสุราเมรัย ดื่มมากก็เป็นคนมีสติน้อย ขอโทษ ถ้าดื่มพอสมควรเป็นคนมีสติน้อย ถ้าดื่มมากกลายเป็นคนบ้าไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคนบางประเภทที่เขามีสติสัมปชัญญะดี มีความสมบูรณ์ไปด้วยสติปัญญา ความทรงจำดี คนประเภทนี้ ในชาติก่อนเขาไม่ดื่มสุราและเมรัย เกิดมาในชาตินี้จึงเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีกำลังใจมั่นคงทรงสมาธิได้อย่างง่ายๆ


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ จำแนกคนให้ฟังว่าทำไมคนจึงมีภาวะไม่เสมอกัน ที่กล่าวนี้กล่าวตามกระแสพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ชมแล้วจำเข้าไว้ด้วยจะเอาแบบไหนก็เลือกเอาแบบหนึ่ง จะเอาแบบดีก็ได้ จะเลือกเอาแบบที่ไม่ดีก็ได้ ตามใจท่านที่ต้องการ จะให้อาตมาไปกะเกณฑ์พุทธบริษัททุกท่านว่าเอาอย่างนั้นก็ดีอย่างนี้ก็ดี อย่างนี้ไม่บอก เพราะประเดี๋ยวจะไม่ถูกใจ


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ชมกันมาชมกันไปก็หมดเวลาที่จะชมแล้ว สำหรับวันนี้ ก็ต้องลาท่านพุทธบริษัทกลับก่อน ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอย่าเพิ่งกลับบ้าน นอนอยู่กลางลานนี่แหละ วันพรุ่งนี้มาชมความดีขอคนต่อไป เอาเวลาฟังหมดแล้วนี่ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->
     
  6. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    เมืองมนุษย์


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาปล่อยให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนอนอยู่กลางลานเมืองมนุษย์มา ๗ วัน นั่งดูคนพอใจหรือยัง ความจริงท่านอยู่บ้าน ท่านก็เห็นคนอยู่แล้ว แต่ท่านอาจจะไม่ได้ถึงกฎของความเป็นจริงว่าทำไมคนถึงได้มีความสุข ทำไมคนถึงได้มีความทุกข์ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คงจะพอใจหรือว่าเข้าใจบ้าง เรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจนี่อีกเหมือนกัน วันนี้มาดูผลของคนกัน สิ้นเวลาเพียง ๒๕ นาทีเศษๆ จะว่ากันถึง ๓๐ นาทีก็ดูเหมือนว่าจะเกินเวลาไปนิด เพราะเคยล่วงเวลาเขามาบ่อยๆ มานั่งดูคนกันว่าคนที่เขาสวยจริงๆ นั้นเขาทำกันยังไง คนสวยชั้นยอดนะ มีคนชอบเรียกว่าสวยชั้นยอด เรื่องความไม่สวยไม่มี นี่เอากันแค่ร่างกายนะ (อย่าล้วงเข้าไปถึงในกระเพาะตับไตไส้ปอดไม่เอากัน) ร่างที่มีรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง หมายความว่าถ้าคลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็ยังเป็นสาวขนาดนั้น เราจะสวยต่อไปจนกระทั่งถึงวันตายไม่มีการแก่ ตัวอย่างก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา

    นางวิสาขานี้ทำงานเป็นตัวอย่างไว้มากคือเรียกว่าเธอสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่เขากล่าวเป็นคำพังเพยไว้อย่างนี้ ว่าหนึ่งงามผมสมพักตร์ลักขณา งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ผิวทัดกณิการ์งามราศี คลอดบุตรสักเท่าใดวัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย นี่เจ้าคุณราชเมธี วัดประยุรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ คำว่างามผมสมพักตร์ลักขณา ก็เพราะว่าผมนี่น่ะ จะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น แล้วก็เรียบสนิท ไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง แล้วก็จะยาวไม่มาก ถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้น ไม่ลากดิน แล้วผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง ไม่ต้องฟอก ดีไหม? เรียกว่าช่วยค่าครองชีพได้มาก สองโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา ริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่แดงมากนัก แล้วเรียบ ไม่มีริ้ว ไม่รอย ปากสวย ข้อสามงามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ฟันนี่ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องตัดไม่ต้องแต่ง เรียบแล้วแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชมน่ารัก ผิวทัดกณิการ์งามราศี ขึ้นชื่อว่าผิวนี่ไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวลๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ ข้อที่ห้าว่าคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร นางวิสาขาคลอดบุตรคนแรกอายุ ๑๖ ปี แล้วนางก็เลยเป็นสาวแค่ ๑๖ อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่ง ๑๒๐ ปี ระหว่างนั้นนางวิสาขามีบุตรหญิง ๑๒๐ คน แล้วก็มีบุตรหญิงของนางวิสาขาคลอดบุตรมาอีกคนละ ๒๐ คน

    ระหว่างที่บรรดาหลานๆ เป็นสาวคราว ๑๕–๑๖ นางวิสาขานั่งอยู่ในระหว่างท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจ เรียกว่าเธอสาวเท่าอายุ ๑๖ ตลอดกาล นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท นางวิสาขาทำบุญอะไรไว้จึงได้สวยขนาดนี้ สาวขนาดนี้ แล้วความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ไว้ว่า ในชาติก่อนนางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม ที่มีเนื้อแตกหนังแตก คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว นางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริงๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย แล้วนางวิสาขามีเครื่องประดับ ประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง ๒๐ ทะนาน แล้วมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิลอะไรต่อมิอะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่เขาทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ทั้งนี้ เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ชมกันเสียให้ดี ดูกันเสียให้ดีว่า นี่เขาทำความดีประเภทไหน ทำไมเขาถึงสวยอย่างนี้ ต้องการไหม?

    ถ้าต้องการก็ทำตามเขา ตานี้ จะพาไปดูคนอีก ๒ ประเภท ถ้าเวลาพอ หรือว่ามากกว่านั้นก็ได้ ชมกันแค่ ๒๐ นาทีเศษๆ ไม่เต็ม ๓๐ นาทีนัก ไปดูคนอีกประเภทหนึ่ง คนประเภทนี้ บรรลุอรหัตผลได้ง่ายดายเหลือเกิน เพียงฟังเทศน์ครั้งแรก ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้า เทศน์ให้ฟังสั้นๆ เรียกว่า อนุปุพพิกถา ฟังง่ายๆ สั้นๆ ให้เวลาเพียง ๑๐ นาที เขาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พอฟังเทศน์เดียวกันอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอรหันต์เลย ง่ายจริงๆ เขาทำยังไง จะเล่าให้ฟังท่านผู้นี้ มีนามว่าพระยส ภาษาบาลีเรียกว่า ยะสะ อ่านเป็นภาษาไทยเรียกว่าพระยส เกิดมาในชาตินี้มีบ้าน ๓ หลัง หลังละ ๗ ชั้น เป็นลูกมหาเศรษฐีหลังหนึ่งอยู่ในฤดูร้อน อีกหลังหนึ่งสำหรับอยู่ในฤดูฝน อีกหลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว แล้วก็ในบ้านที่อยู่นั้นบริบูรณ์สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินทุกอย่างมีหญิงสไหรับบำเรอเพื่อความสุขเยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับมา ความจริงถ้าจะนับก็นับถ้วนแต่มองไม่เห็น เลยไม่ได้นับ เรียกว่านับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับนี่ แล้วก็ทุกวันมีสตรีขับประโคมเครื่องดนตรีตลอดเวลา นี่เรียกว่าได้ความสุขในด้านกามารมณ์ ท่านพระยสนี่มีความสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าอาศัยอานิสงส์เก่าเข้าบันดาลใจ

    วันหนึ่งท่านกลับเห็นบรรดาสตรีสาวสวยทั้งหลายเป็นซากศพไป จึงได้ออกจากบ้าน คิดว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เราไม่เอาแล้ว เปิดดีกว่า ออกจากบ้านสวมรองเท้าได้ก็เดินเข้าป่าไป ไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรเดินจงกรมดักหน้าอยู่ เสียงแกประกาศเรื่อยไปว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวายองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเรียกว่า เธอจงมาที่นี่ยส เธอจงมาที่นี่ ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ท่านเข้าไปใกล้ ถอดรองเท้าแล้วก็ถวายนมัสการ องค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงทรงเทศน์อนุปุพพิกถาง่ายๆ ๕ ข้อ พอฟังจบก็เป็นพระโสดาบัน ตอนเช้าพ่อออกไปตาม ไปพบพระพุทธเจ้าเข้า ก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่าเห็นลูกชายเดินมาทางนี้ไหม พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เรื่องลูกชายไม่สำคัญ ฟังเทศน์ก่อนซิ แหม พระพุทธเจ้า นี่ท่านเทศน์ง่ายนะ ไม่ต้องรอเครื่องกัณฑ์ ไม่เหมือนอาตมาเทศน์ อาตมาเทศน์ ญาติโยมต้องหาเครื่องกัณฑ์มาติด แต่ความจริงก็ไม่ได้ติด เขาติดเครื่องกัณฑ์หรือไม่ติดน่ะ ไม่ใช่เรื่องของพระ ไม่ใช่ไปนับเครื่องกัณฑ์ว่า บ้านนี้รวย เขาถวายเครื่องกัณฑ์มาก จะไปเทศน์ บ้านนี้จน ไม่ยอมไปเทศน์ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่เคยคิดอย่างงั้น หรือว่าพระองค์ไหน ท่านจะคิดบ้าง ก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของอาตมาจะไปคิดด้วย พระพุทธเจ้า เทศน์กัณฑ์เดียวกันคืออนุปุพพิกถา
    ท่านพ่อของพระยสก็เป็นโสดาปัตติผล พระยสนั่งอยู่ข้างหลังฟังอีกทีเดียวเป็นอรหัตผล ง่ายจัง ตานี้ เรามาดูประวัติเดิมว่าเขาทำบุญอะไรมา ถอยหลังลงไปอีกชาติหนึ่ง พระยสนี่มาจากสวรรค์ ถอยจากสวรรค์ลงไปหามนุษย์ พระยสนี่ทำบุญไม่มาก คือว่าสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านเป็นสัปเหร่อสาธารณะ หมายความว่าใครเขาตายกัน ถ้าไม่มีสัปเหร่อ หรือไม่มีเงินจ้างสัปเหร่อก็เป็นให้

    มาวันหนึ่งท่านกับเพื่อนและบรรดามารดาบิดาทั้งหลายอยู่ที่บ้าน วันนั้นมีคนเขามาส่งข่าวบอกว่ามีหญิงมีท้อง ตั้งครรภ์นะไอ้ท้องน่ะมีด้วยกันทุกคน เขาตั้งครรภ์มีบุตรในท้องตายลอยน้ำมา มาพักอยู่ที่ตลิ่งใกล้ๆ
    บ้าน ขอให้พระยสกับเพื่อนของท่านพากันเป็นสัปเหร่อนำไปเผา ท่านทั้งหลายเหล่านี้รวมกัน ๕๕ คน เป็นสัปเหร่อสาธารณะได้ทราบข่าวก็ไม่รังเกียจ รีบไปจัดการเอาศพไปวางบนเชิงตะกอน เอาฟืนเข้ามาใส่แล้วก็เผา แต่อีตอนเผานั่นเขาจะนิมนต์พระมามาติกาบังสุกุลหรือเปล่าไม่ทราบ เกิดไม่ทัน ตอนนี้ไม่รู้ รู้แต่ว่าท่านทำด้วยจิตเมตตาด้วยความสงเคราะห์จริงๆ ไม่หวังค่าจ้างรางวัล เวลาใส่เชิงตะกอนใส่ไฟลุกแล้วก็กลับมาบ้าน ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ตามที่ต้องการ มีคนเขามาแจ้งบอกว่าศพนี้เผาไม่ไหม้ ท่านกับเพื่อนก็ไปใหม่ เอาไม้แหลมแทงลงไปให้น้ำในร่างกายของสตรีที่ตายนั้นตกลงมา ไอ้เยื่อมันทั้งหลายสิ่งโสโครกก็ไหลออกมา เกิดนิพพิทาญาณ พิจารณาเห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราเห็นว่าสวยสดงดงาม ความจริงภายในเต็มไปด้วยของโสโครก มีอุจจาระ มีปัสสาวะ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไขมันต่างๆ ที่เรารังเกียจ มันมีอยู่ในร่างกายของคน ทุกคนพิจารณาเห็นสภาพเป็นอย่างนั้นแล้วมานึกอยู่เสมอ เออ ร่างกายของคนมันมีอยู่แค่นี้นะ มันดีอยู่แค่หนังกำพร้าภายนอกเท่านั้น ส่วนข้างในนี่ซีดูไม่ได้เลย นี่เรามานั่งรักซากศพกันแท้ๆ เรามานั่งรักสิ่งโสโครกกันแท้ๆ เรามานั่งรักสิ่งโสโครกกันแท้ๆ ความจริงสมัยนั้นท่านก็คิดเป็นบางขณะ ไม่ใช่ละภรรยาเสียเลย ยังอยู่เป็นคู่ครองกันต่อไป แต่อานิสงส์ที่มีนิพพิทาญาณชั่วขณะเดียวเท่านั้นไซร้ นะ (นี่จะว่าเป็นทำนองนักเทศน์ไปเสียแล้ว) เพราะอาศัยที่ท่านมีนิพพิทาญาณชั่วขณะ มีจิตน้อมไปในกุศล มีจิตเมตตาเป็นสาธารณะ คือหมายความว่าไม่จำกัดบุคคล ฉะนั้นเมื่อตายจากชาตินั้นแล้ว
    อานิสงส์เมตตาที่เป็นสัปเหร่อสาธารณะบันดาลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาพร้อมด้วยพวก คือ บิดา มารดา ภรรยา แล้วก็เพื่อนอีก ๕๕ คน ที่ร่วมมือกัน ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    เมื่อเวลากาลที่พระพุทธเจ้าลงมาเกิดจากชั้นดุสิต ท่านก็มาบ้าง เมื่อมาแล้วปรากฏว่ามีทรัพย์สมบัติมากเป็นลูกมหาเศรษฐี เพราะอำนาจความดีที่มีเมตตาเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์ครั้งเดียว เป็นพระโสดาบัน แล้วก็อีกครั้งหนึ่งเป็นอรหัตผล นี่แหละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเป็นพระอรหันต์เห็นของไม่ยาก ถ้าเราฉลาด นี่เวลานี้ ถ้าเราฉลาดเองไม่พอ พระพุทธเจ้า ก็บอกแนวของความฉลาดไว้แล้ว ถ้าเราพอใจธรรมปฏิบัติที่เป็นกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าไว้ เรารับผลของความดีส่วนนั้นบนสวรรค์ แล้วอีกชาติเดียว เราไปพบพระพุทธเจ้าเข้า คืออีกไม่นานพระศรีอาริย์ก็ทรงตรัสเราฟังเทศน์แบบนั้น พระพุทธเจ้า ท่านรู้อัธยาศัยของคนว่า เรามีอัธยาศัยเป็นแบบไหนท่านก็เทศน์ตามอัธยาศัย ไม่ช้าไม่นานเท่าไหร่ก็ได้อรหัตผลไปนิพพาน นี่เรื่องของการเป็นพระอรหันต์เป็นไม่ยาก ถ้ารู้จักเหตุนะ ทีนี้ จะพูดให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง หรือปรากฏว่ามีค้างคาว ๕๐๐ ตัว เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ฟังมามากแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้เขาจะบันทึกไว้เป็นตัวหนังสือ จะนำไว้เป็นตัวอย่างว่าวิธีเข้านิพพานแบบลัดๆ ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยกันกี่ชาติกี่กัป เพราะเราไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิเอากันแบบลัดๆ สบายๆ หากันกันแบบสบายๆ ค้างคาว ๕๐๐ ตัวนี่อยู่ในถ้ำ ในสมัยพระพุทธกัสสป เวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายท่องปกรณ์ ๗ ประการ คือพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์

    เมื่อท่องแล้วก็ไปซ้อมเพื่อความคล่องแคล่วสำหรับไว้เจริญไม่ใช่ว่าสำหรับสวดผี สำหรับไว้พิจารณาและสำหรับไว้ปฏิบัติ บรรดาค้างคาวทั้งหลายเหล่านั้นเวลากลางวันนอน เอาเท้าจับหัวห้อยไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมอะไร (อย่าไปถามเข้านะ ถามเข้านะ ถามแล้วก็ตอบไม่ได้) เมื่อฟังเสียงพระท่านสวดพระอภิธรรม เสียงท่านว่าพร้อมๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันฟังแล้วก็เพลิน ไม่รู้หรอกว่าเขาสวดเพราะเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพลินในเสียง ชอบใจในเสียง เพลินไปเพลินมาขาก็เลยหล่น หล่นจากที่เกาะ ลงมาตายพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ ตัว อาศัยที่จิตเป็นกุศล ฟังเสียงพระอภิธรรมชอบใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนที่เขาว่านั้นเป็นพระหรือเป็นใคร เสียงนั้นจะเป็นเสียงพระอภิธรรมหรืออะไรไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพอใจในธรรม เมื่อหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกหมดด้วยกันเป็นเทพบุตร สมัยที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัส บรรดาเทวดาพวกนั้นก็จุติ คือตายจากเทวดามาเกิดในตระกูลของชาวประมง หากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชาวประมงนี่ก็รู้อยู่แล้ว อาชีพของพวกเขาก็คือการหาสัตว์น้ำ เรียกว่าทำบาปกันตลอดเวลา ต่อมาเมื่อพบพระสารีบุตรเข้า เขาทั้ง ๕๐๐ คนมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร อยู่กับพระสารีบุตรมาตลอดพรรษาไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ยังไม่ได้ เรียกว่าอยู่ด้วยความดี ปฏิบัติตามโอวาทด้วยดี วันหนึ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์พบพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี จึงเรียกพระสารีบุตรเข้ามาหาบอกว่า สารีบุตร ดูก่อน สารีบุตร บริวารของเธอทั้ง ๕๐๐ รูปนี่นะในชาติก่อนเขาเป็นค้างคาวเคยฟังเสียอภิธรรม พอใจในเสียงนั้นแล้วก็พากันหล่นลงมาตายพร้อมกัน แล้วไปเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น สารีบุตรจงเรียนอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไปจากตถาคต เมื่อกลับไปจากบิณฑบาตแล้วฉันข้าวเสร็จ ก็เรียกพระทั้ง ๕๐๐ องค์เข้ามาประชุมกันแล้วก็เทศน์อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไห้ฟัง

    พอเทศน์จบ บรรดาท่านพุทธบริษัทเพราะอาศัยปัจจัยเดิมขอบเขาเคยฟังอภิธรรมมา ทั้ง ๕๐๐ รูปปรากฏว่าเป็นพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาขั้นสูงทั้งหมด นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวอย่างนี้ยังมีอีกมาก อาตมานำมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังตามสมควรแก่เวลา เพื่อให้เป็นตัวอย่าง จะได้ทราบว่าคนที่จะเข้าถึงพระนิพพานน่ะ เข้าไม่ยาก พระนิพพานอยู่ที่ไหน สูญหรือไม่สูญอย่าเพิ่งพูดกันนะ อย่าเพิ่งเถียงกันเรื่องนิพพานสูญนี่ อาตมาเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักธรรมโท เจอะตำราบอกว่านิพพานสูญ แล้วก็ไปอีกหน่อยหนึ่ง ถ้าเราไปอ่านเรื่องราวของพระนิพพานจริงๆ คิดว่า น่าจะไม่สูญ แต่พระนิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี พรหมโลกก็ดี หรือว่าเรื่องเปรตเรื่องอสุรกายทั้งหลายก็ดี ท่านพุทธบริษัท ถ้าเรายังเห็นเองไม่ได้ละก็อย่าเถียงกัน อย่าตีความหมายเอาเองมันจะผิด สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่บ้านของท่านแล้วท่านลองคิดดูทีซิว่า เวลานี้ที่กุฏิอาตมามีอะไรอยู่บ้าง มีคนอยู่กี่คน มีพระกี่องค์ มีเครื่องใช้ไม้สอย มีอะไรบ้าง ในเมื่อท่านทั้งหลายไม่เคยมากุฏิของอาตมาเลย แล้วท่านจะบอกถูกไหม ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ในที่นี้ว่ากันแต่เมืองมนุษย์นะ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งเห็นกันได้โดยง่าย ท่านจะลองเขียนมาได้ไหมว่าอาตมามีอะไรกี่ชิ้น แล้วมีสภาวะความเป็นอยู่เป็นประการใด แล้วคนในวัดนี้ที่อาตมาปกครองมีกี่คน เป็นพระเท่าไร เป็นฆราวาสเท่าไร เป็นเด็กเท่าไร ทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของส่วนตัวและเป็นของสงฆ์ที่อยู่ในปกครองมีเท่าไหร่ ท่านทั้งหลายจะบอกได้ไหม ถ้าไม่กล้าจะบอกเพราะบอกไม่ได้ เพราะไม่รู้ความเป็นจริง

    แค่เมืองมนุษย์นี่ยังบอกไม่ได้ทั้งที่เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าละก็ เราก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องผี เรื่องเปรต เรื่องอสุรกาย เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม เรื่องนิพพาน เพราะอะไร เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกินวิสัยที่ตาคนจะมองเห็น แม้แต่เพียงกล้องจุลทรรศน์ที่ขยายออกจากภาพเดิมได้หลายๆ แสนเท่าก็ไม่สามารถจะขยายไห้เห็นผีเห็นเทวดาได้จึงเป็นการเกินวิสัยที่เราจะพึงเดา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถจะมีทิพยจักขุญาณ ไม่มีทิพยจักขุญาณอยู่ในใจของตนแล้ว ท่านพูดเรื่องผีเท่าไรก็ตาม ผิดหมดไม่มีถูก ทั้งนี้เพราะอะไร ทั้งนี้เพราะว่าท่านไม่ได้เห็นจริงๆ ผีก็ดี เปรตก็ดี มีสภาพหยาบมาก หยาบกว่าเทวดา เมื่อพูดผีผิด พูดเรื่องเทวดาก็ผิดใหญ่ เพราะเทวดามีสภาพละเอียดกว่าผี เห็นยากกว่า เมื่อพูดเรื่องเทวดาผิด พูดเรื่องพรหมก็ผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพรหมมีสภาพละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพูดเรื่องพรหมผิด ไปพูดเรื่องนิพพานก็ยิ่งผิดเป็นการใหญ่ ทำไมล่ะ เพราะว่านิพพานมีสภาพละเอียดกว่าพรหมมาก ตามแนวที่พระคณาจารย์ทั้งหลายพูดไว้ ท่านกล่าวว่าพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้ว มีกายละเอียดมากท่านไม่ให้พรหมเห็น พรหมก็จะเห็นไม่ได้ พรหมมีกายละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้ เทวดามีกายละเอียดกว่าเปรต ถ้าท่านไม่ต้องการให้ผีหรือเปรตเห็น ผีหรือเปรตก็ไม่สามารถจะเห็นเทวดาได้ ตานี้ผีและเปรตมีกายหยาบมาก ไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็ไม่สามารถเห็นผีหรือเปรตได้ฉันนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องพรหม เรื่องพระนิพพาน หากว่าท่านไม่ได้ทิพยจักขุญาณท่านพูดไม่ถูก ก็แม้แต่ในกุฏิของอาตมาเองซึ่งเป็นคนธรรมดา มีเนื้อมีหนังมีวัตถุ ข้าวของทั้งหลายมีอะไรเป็นวัตถุที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ท่านทั้งหลายก็ยังไม่สามารถจะทายได้ว่ามีอะไรอยู่บ้างตั้งอยู่ที่ไหน แล้วท่านจะไปเดาเรื่องผีเรื่องเปรตกันได้ยังไง แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรื่องพระนิพพานแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ทิพยจักขุญาณ ถ้าเป็นฌานโลกีย์ท่านก็ยังไม่สามารถจะรู้เรื่องราวของพระนิพพานได้อีก ถ้าเป็นฌานโลกีย์ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ท่านจะรู้เรื่องของพรหมได้ ทั้งรูปพรหม และอรูปพรหม คือพรหมที่มีรูป และพรหมที่ไม่มีรูป แต่ว่าท่านก็จะรู้เรื่องราวของพระนิพพานไม่ได้ ต่อว่าเมื่อไรท่านปฏิบัติวิปัสสนาญาณ อารมณ์ของท่านสามารถตัดสังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส สามข้อนี้ละเอียดลงไป เข้าถึงโคตรภูญาณเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ

    ท่านจะใช้ทิพยจักขุญาณของท่านเห็นพระนิพพานได้อย่างชัดเจนแล้วก็ไม่มีการสงสัย จะพูดอย่างไรก็ไม่ผิด เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่ากันถึงเรื่องของมนุษย์มา ๒ วันพุธแล้ว วันนี้ก็ต้องขอเอวังกันเสียที นี่เวลามันก็หมดแล้วนี่ ขอให้ท่านบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายนอนพักอยู่ในลานเมืองมนุษย์นี่ก่อนอีก ๗ วัน วันพุธหน้าอาตมาจะพาท่านพุทธบริษัททุกท่านไปชม ภุมเทวดา รุกขเทวดา และอากาศเทวดา ตามจังหวะเวลาที่จะอำนวยให้สำหรับวันนี้เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามและรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .



    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...