เอาร่างกายเป็นทางเดินของปัญญา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 20 สิงหาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ศาสดาเอกของเราสอนไว้อย่างนั้น ผู้ปฏิบัติที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราท่านก็สอนแบบนั้นเหมือนกัน ท่านไม่สอนแบบอรหันต์ดิบ อรหันต์ด้นเดา อรหันต์ตาบอด อรหันต์ไม่เคยสนใจกับการภาวนา แล้วมาสอนโลกให้เฉลียวฉลาด สอนได้ยังไง เจ้าของโง่ยิ่งกว่าหมาตาย อย่างงั้นมันใช้ไม่ได้นะ นี่ละแบบฉบับของธรรมที่จะทำโลกทำจิตใจของเราให้มีความสงบร่มเย็น ให้ปฏิบัติตามฐานของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง การพิจารณาทางด้านปัญญานี้เป็นของสำคัญมากนะ นักบวชเราสำคัญที่กายคตาสติ พิจารณาให้เน้นหนัก ทบทวนแล้วทบทวนเล่า พิจารณา เอาร่างกายนี้แหละเป็นทางเดินของปัญญา วกไปเวียนมา ตลบทบทวนกี่ครั้งกี่หนจนเกิดมีความชำนิชำนาญภายในใจ แล้วจะรวดเร็วคล่องแคล่วว่องไวขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ

    ปัญญาส่วนร่างกายนี้เป็นปัญญาขั้นหยาบหนักมาก ต้องใช้กำลังหนักในปัญญาขั้นนี้ เอาจนกระทั่งปัญญาขั้นร่างกายนี้ละเอียดลออ ผ่านขั้นกายนี้ไปแล้วจิตใจเบาหวิว นั่น เป็นขั้นเป็นตอนนะ ปัญญาขั้นร่างกายนี้ตั้งแต่ต้นลงไปจนกระทั่งถึงขั้นละเอียดของการพิจารณาร่างกายเป็นขั้นชุลมุนวุ่นวายของปัญญา จะเรียกว่าปัญญาประเภทไหนก็เรียกไม่ได้ จะต้องเป็นปัญญาชุลมุน เพราะความรอบคอบเพราะความว่องไวของปัญญากับร่างกายที่พิจารณากันแยบคายๆ ทันทีทันใด พอผ่านอันนี้ไปได้ปล่อยวางโดยประการทั้งปวงแล้วในด้านวัตถุนี้จิตจะก้าวเป็นอัตโนมัติเลย สติปัญญาของจิตที่ผ่านเรื่องกายคตาสติ กามกิเลสนี้ไปได้แล้ว จะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตัวไปเองๆ เพื่อหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว นี่ท่านว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ภาวนามยปัญญา ของผู้ปฏิบัติให้มันเป็นในจิตในใจนั้นซิ

    เราทำไม่เป็นแล้วไปสอนคนอื่น จะสอนได้ยังไง ต้องทำตัวของเราให้เป็น นี่ละให้พระลูกพระหลานทั้งหลายนำไปพิจารณา ปัญญามี ๒ ประเภท ปัญญาขั้นหยาบเรียกว่าปัญญาที่เกี่ยวกับร่างกาย ต้องใช้อย่างหนักปัญญา ทบทวนเอาเสียจนแหลกจนเหลว จนกระทั่งเหมือนฟ้าแลบ ๆ ด้วยอำนาจของปัญญาพิจารณาร่างกายพังทลายลงไป ประหนึ่งว่าชั่วฟ้าแลบ ๆ ถึงขั้นตอนที่รวดเร็ว จากนั้นก็ผ่านได้เลย พอผ่านไปได้แล้วก็มีแต่นามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปัญญาตามเข้าไปในเรื่องเหล่านี้ เกิดดับ ๆ เกิดมาจากไหน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดมาจากใจ พิจารณาเข้าไปก็ไปถึงใจๆ

    เมื่อเข้าถึงใจแล้ว มันก็ไปยุติที่นั่น ๆ ยุติหลายครั้งหลายหนมันก็เข้าโค่นรากแก้ว รากอันสำคัญของกิเลสได้ คืออวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา ก็เป็นที่รวมของขันธ์ ๔ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทีแรกรวมเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ห้าผ่านไปได้แล้ว ยังเหลือขันธ์ ๔ หมุนเข้าไปตามขันธ์ ๔ เข้าไปถึงอวิชชา พอถึงอวิชชาแล้วหลายครั้งหลายหน โค่นรากแก้วอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นั้นแลเรียกว่า ท่านบรรลุธรรม นี่ละเกิดขึ้นจากการภาวนาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานพุทโธ ธัมโม สังโฆ บริกรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถูไถกันไปมา หลายครั้งหลายหนค่อยคล่องตัวไป ๆ จนกระทั่งถึงขั้นแกล้วกล้าสามารถ

    ร่างกายนี้เป็นยังไงเท่าภูเขาก็เท่าเถอะ ปัญญาเฉียบขาด ขาดสะบั้นไปหมด พุ่งที่ตรงไหน ไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่าปัญญา โลกธาตุนี้ทะลุไปได้หมด ปัญญาเมื่อถึงขั้น เฉลียวฉลาดแหลมคมแล้ว ว่องไวแล้วเป็นอย่างนั้น ทะลุเข้าไป ๆ อวิชชาอยู่ที่ใจมันจะไปไหนได้ พังเข้าไปหาอวิชชาขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าก็ตาม เราอยากเห็นพระพุทธเจ้าขนาดไหนก็ตาม พออวิชชาขาดสะบั้นลงไปแล้วได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วอย่างประจักษ์ใจ เข้าเฝ้าสาวกทั้งหลายแล้วอย่างประจักษ์ใจ

    พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์รวมอยู่กับธรรมแท่งเดียว คือความบริสุทธิ์ของผู้หลุดพ้นแล้วโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีที่จะแปลกต่างกัน อันพระรูปพระโฉม พระสรีระนั้นมีต่างกัน อย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพานๆ นั้นหมายถึงร่างกายแตกดับ ส่วนธรรมชาติที่บริสุทธิ์พุทโธซึ่งเป็นธรรมทั้งแท่งนั้น คือพุทธะแท้ ผู้บรรลุธรรม บรรลุธรรมแท้นี้แล จึงไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นแบบเดียวกันหมดเลย เหมือนกันกับแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรเป็นที่รวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายสายต่าง ๆ ที่ไหลลงไปรวมในมหาสมุทรแห่งเดียว เวลาแม่น้ำทั้งหลายที่ไหลลงไปยังไม่ถึงมหาสมุทร เราก็เรียกได้ว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ เช่น แม่น้ำบางปะกงเป็นต้น พอเข้าถึงมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว เรียกได้คำเดียวว่า แม่น้ำมหาสมุทร จะเรียกว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ไม่ได้เลย เป็นอันเดียวกันหมดแล้ว

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระและฆราวาส
    ณ วัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง
    วันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
    (คัดลอกบางส่วน)
     
  2. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    อนุโมทนาครับ เนี่ยะเรากำลัวทำอะไรอยู่ หนทางพ้นทุข์ท่านชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ต้องมองที่อื่นเลย ไม่ต้องไปเพ่งใครเลย ลบแค่โมหะออกจากจิต วางจิตกลาง ๆ ก็สามารถรู้ในทางขององค์หลวงตาสอนไว้ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..ท่านเชน..ผมก็ไม่อยยากเถียงกับใครหรอกครับ..แต่วิบากมัน ผลัก-ดัน ทุกคนที่เข้ามาเถียงกับผมในเวปนี้ ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียวผมว่า..แน่นอนครับ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...