เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 กันยายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน หมู่ที่ ๓ ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่เวลาตี ๕ เศษ เพื่อไปนำครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประธานที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน ออกจากการเข้านิโรธกรรมจำนวน ๙ วัน ๙ คืน ซึ่งกระผม/อาตมภาพรับหน้าที่เป็นประธานในงานให้ทุกปี

    ท่านทั้งหลายถ้าสังเกตจะเห็นว่า ในงานออกนิโรธกรรม ไม่ว่าจะเป็นครูบาเหนือชัย โฆสิโตก็ดี ครูบาวิฑูรย์ ชินวโรก็ตาม มักจะให้กระผม/อาตมภาพเป็นประธานในการนำท่านออกจากงานเสมอ

    ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า นิโรธกรรมนั้นไม่ใช่นิโรธสมาบัติอย่างที่หลายท่านเข้าใจกัน นิโรธกรรมเป็นการปฏิบัติกรรมฐานแนวหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายอยู่ในดินแดนล้านนาของเรา บางท่านก็บอกว่ามีต้นกำเนิดมาจากหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ก็คือพระสงฆ์ที่จะเข้านิโรธกรรมนั้น จะเก็บตัวเข้าสมาธิอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีการกั้นเขตเป็นการส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็จะล้อมรั้ว ๙ ชั้น เข้าสมาธิอยู่ในสถานที่นั้น โดยมีน้ำเพียงบาตรเดียวที่ใช้ดำรงชีวิตอยู่ในระหว่าง ๗ วัน หรือว่า ๙ วัน

    การเข้าสมาธิในลักษณะอย่างนั้นเป็นการซักซ้อมเรื่องของฌานสมาบัติ ตลอดจนกระทั่งความอดกลั้นอดทนต่าง ๆ ซึ่งทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็งขึ้น มีความคล่องตัวในการเข้าฌานสมาบัติได้มากขึ้น เนื่องเพราะว่าต้องซักซ้อมต่อเนื่องกันอยู่ตลอด ๗ หรือ ๙ วัน การที่ทำเช่นนั้น สิ่งที่ได้รับอันดับแรกเลยก็คือ มีความคล่องตัวในฌานสมาบัติมากขึ้น

    อันดับที่สองก็คือสามารถที่จะปล่อยวางกายสังขารนี้ได้มากขึ้น ถ้าไม่สามารถที่จะปล่อยวางถึงขนาดมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยงแบบนั้น

    และประการสุดท้าย เมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้ว อย่างน้อย ๆ ญาติโยมที่ร่วมบุญร่วมกุศลก็จะได้อานิสงส์มากเป็นพิเศษ เพราะว่าได้ทำบุญกับพระที่ออกจากสมาบัติ ในการที่เข้าฌานสมาบัติอย่างน้อยถึง ๗ วันหรือว่า ๙ วันด้วยกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้ามีบุคคลที่ท่านได้มรรคผลถึงระดับอนาคามีขึ้นไป และทนงสมาบัติ ๘ ได้ ถ้าปฏิบัติตามแนวทางนี้ ท่านก็จะเข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งนิโรธสมาบัตินั้นเป็นการดับซึ่งสัญญาและเวทนาทั้งปวง โดยปกติแล้วก็จะเข้ากันอยู่ในอิริยาบถเดียว ก็คือนั่งหรือว่านอนเป็นส่วนใหญ่ อิริยาบถยืนนั้นมีน้อยมาก

    เท่าที่ทราบมา บุคคลที่เข้าอิริยาบถยืนก็คือหลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ซึ่งหลวงปู่คำคะนิง จุลมณีนั้น ท่านเข้านิโรธสมาบัติจนกระทั่งปลวกทำรังขึ้นมาถึงหัวเข่า เพราะว่าท่านยืนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ปลวกน่าจะคิดว่าเป็นตอไม้ จึงได้ทำการสร้างรังล้อมบริเวณนั้นเอาไว้เลย..!

    ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านยังมีเรื่องของเวรกรรมสัมพันธ์อยู่กับโลกมนุษย์ ทำให้มีบุคคลไปพบเห็นเข้า แล้วไปขุดเอารังปลวกออก นำท่านมาช่วยพยาบาล จนกระทั่งท่านต้องคลายออกจากสมาธิ น่าจะเกิดจากรำคาญที่ญาติโยมไปรบกวนไม่แล้วไม่เลิก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงต้องออกมาผจญกรรมในโลกมนุษย์ต่อไป หาไม่แล้วก็คงจะเข้านิโรธสมาบัติไปจนกระทั่งมรณภาพไปเลย..!

    หรือถ้าหากว่าเข้าในอิริยาบถนั่งก็อย่างหลวงพ่อขี้ค้างคาว ที่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงออกธุดงค์แล้วไปพบเข้า ท่านนั่งเข้าสมาบัติอยู่ในถ้ำ จนกระทั่งค้างคาวซึ่งบินเข้าบินออกขี้ไว้วันละเล็กวันละน้อย จนกระทั่งขี้ค้างคาวท่วมมาถึงเอว หลวงพ่อฤๅษีฯ ไปสะกิด ท่านก็ "อือ..อือ" ให้รู้ว่าท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็อาจจะเข้าไป จนกระทั่งค้างคาวขี้ท่วมหัวมองไม่เห็นองค์ท่านไปเลย แล้วก็มรณภาพไปอย่างนั้น..!

    ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติลักษณะแบบนั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ท่านไม่มีบุญกรรมสัมพันธ์กับทางโลกมากไปกว่านั้น เมื่อถึงเวลาก็ใช้วิธีเข้าสมาบัติ เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องความทุกข์ทางโลกอีก รอจนกระทั่งหมดบุญสัมพันธ์ หมดกรรมสัมพันธ์ หมดอายุขัยของร่างกายนั้น ท่านก็จะมรณภาพและไปตามหนทางของตน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ส่วนการเข้านิโรธสมาบัตินั้นไม่ขอกล่าวถึง เนื่องเพราะว่าในชีวิตนี้ กระผม/อาตมภาพก็ได้รับการบอกเล่าจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์เท่านั้น โดยเฉพาะพระเดชพระคุณครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย วัดเก่าที่ครูบาวิฑูรย์ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ที่นั่น หลวงปู่ชุ่มท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติในอิริยาบถทั้ง ๔ ได้ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปรารภว่า "ในชีวิตของข้าก็พบเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็อาจจะสงสัยว่า การเข้านิโรธสมาบัติคือการดับสัญญา ได้แก่ ความรู้ได้หมายจำ และเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ หรือว่าไม่สุขไม่ทุกข์เสียทั้งหมด แล้วท่านจะไปบังคับร่างกายให้เข้านิโรธสมาบัติในลักษณะการเดินได้อย่างไร ? แรก ๆ กระผม/อาตมภาพก็งมหาคำตอบอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ได้คำตอบว่า ท่านอธิษฐานจิตบังคับร่างกายให้เดินในลักษณะแบบนั้นก่อน แล้วค่อยถอดจิตทิ้งขันธ์ไป

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการเข้านิโรธสมาบัติมีอยู่ ๒ อาการ อาการหนึ่งก็คือการที่จิตดำรงอยู่ภายในร่างกาย แต่ว่าไม่เกาะเกี่ยวกับร่างกายเลย อาจจะนอนนิ่ง ๆ หรือว่านั่งนิ่ง ๆ ไปอย่างเดียว ตลอดจนกระทั่งยืนนิ่งแบบหลวงปู่คำคะนิง หรือว่าเดินได้แบบหลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย

    อาการที่สองก็คือการที่บังคับจิตให้ทำสิ่งหนึ่งประการใด แต่ว่าสภาพจิตก็ไม่ได้เกาะเกี่ยวกับร่างกายเช่นกัน จิตของท่านอาจจะไปพักผ่อนอยู่บนพระนิพพาน หรือว่าไปกราบพระ ไปสนทนาธรรมกับบรรดาพระอรหันต์ ตลอดจนกระทั่งผู้ที่มีความข้องเกี่ยวซึ่งเข้ามาในช่วงนั้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่เกินกำลังที่พวกเราทั้งหลายจะรู้ได้ แต่ขอให้ทราบว่า ต้องเป็นบุคคลที่ทรงความเป็นพระอนาคามีและได้สมาบัติ ๘ ขึ้นไปเท่านั้น ท่านจึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกได้ ส่วนใหญ่ที่เข้าอยู่ในปัจจุบันก็คือนิโรธกรรม ตามแนวปฏิบัติสายล้านนาเท่านั้น

    ในส่วนที่จะต้องโดนอย่างแน่นอนก็คือ ในช่วงที่เข้านิโรธกรรมอยู่นั้นก็มักจะโดน "ลองของ" อยู่เสมอ จากบรรดาบุคคลที่เรียนในไสยศาสตร์ แล้วต้องการทดสอบวิชาของตนเองบ้าง กระทำไปโดยอิจฉาริษยาบ้าง ก็จะส่งบรรดาวัตถุอาถรรพ์ต่าง ๆ แม้กระทั่งพวกผีมารบกวนอยู่เสมอ

    ผู้ที่จะเข้านิโรธกรรมหรือนิโรธสมาบัติ จึงต้องไปขอร้องพระเถระที่ท่านมั่นใจว่าจะสามารถปกป้องคุ้มครองท่านได้ ตลอดระยะเวลาที่เข้านิโรธกรรมหรือนิโรธสมาบัติอยู่ ให้คอยดูแลรักษา และรับท่านออกจากการเข้านิโรธกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะในวันสุดท้ายที่ท่านออกมา ร่างกายจะอ่อนเพลียมาก เนื่องเพราะว่าร่างกายขาดธาตุอาหารมาตลอด ๗ หรือว่า ๙ วัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเผลอขาดสติก็อาจจะโดนเล่นกันซึ่ง ๆ หน้าในช่วงนั้นได้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ปีแรก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไปช่วยดูแลรับครูบาเหนือชัย โฆสิโก นักบุญแห่งขุนเขา หรือว่า "พระขี่ม้า" ออกจากนิโรธกรรมก็ดี รับครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ออกจากนิโรธกรรมก็ตาม เจอการเล่นงานกันซึ่ง ๆ หน้าเลย..!

    แต่บังเอิญว่าเล่นผิดคน เนื่องเพราะว่าสายกรรมฐานที่กระผม/อาตมภาพศึกษามานั้น มีวิชายันต์เกราะเพชรซึ่งเอาไว้สะท้อนไสยศาสตร์โดยเฉพาะ จึงทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลำบากเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน เพราะว่าบุคคลที่มียันต์เกราะเพชรอยู่กับตัวเอง ใครทำไสยศาสตร์มาเท่าไรก็โดนสะท้อนคืนกลับไปเท่านั้น ปีหลัง ๆ จึงค่อนข้างสบาย ไม่มีใครมาวอแวแบบนั้นอีก

    แต่ขนาดนั้นก็ตาม ในช่วงงานเป่ายันต์เกราะเพชร ก่อนระยะเวลาเป่ายันต์ประมาณครึ่งเดือน และหลังการเป่ายันต์มาประมาณครึ่งเดือนก็ตาม ก็มีการทำไสยศาสตร์มาถึงกระผม/อาตมภาพอยู่เสมอ ในส่วนที่มีประโยชน์มากสำหรับกระผม/อาตมภาพก็คือ ทำให้บรรดาจิ้งจกตุ๊กแกรอบกุฏินั้นรับเละไปตาม ๆ กัน เพราะว่าในเมื่อเข้าคนไม่ได้ก็ไปเข้าสัตว์ ทำให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นล้มตายเป็นใบไม้ร่วง บรรดาจิ้งจกตุ๊กแกที่เคยมาขี้ มาทำความลำบากให้กับผู้ทำความสะอาดกุฏิ จึงหมดไปโดยปริยาย..!

    ส่วนกระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่แผ่เมตตาให้กับบรรดาจิ้งจกตุ๊กแกเหล่านั้น ที่ท่านมารับในสิ่งที่ไม่ควรรับ แต่ว่าทำให้ท่านทั้งหลายพ้นจากทุกข์ในชาติของการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ยังได้รับบุญกุศลที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจอุทิศให้ด้วย ชาติต่อไปก็คงไม่ต้องมาลำบากเกาะข้างฝาแบบนี้อีก..!

    ส่วนท่านที่ทำมานั้น ถ้าอยู่ ๆ ข้าวของที่ทำมาหายเงียบไปเฉย ๆ ก็ขอให้รู้ว่าหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนยังสบายดี แล้วถ้าหากว่าวันไหนไม่มีอะไรจะทำ สิ่งที่ท่านทั้งหลายส่งมาก็จะคืนไปให้ ถึงเวลานั้นก็โปรดรับให้ทันก็แล้วกัน..!

    สำหรับวันนี้ เมื่อรับครูบาวิฑูรย์ออกมาแล้ว ได้ทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย กราบขอบารมีพระท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ ไม่ให้มีสิ่งที่เป็นอันตรายแทรกเข้ามาในบริเวณนั้นได้ พระท่านได้มอบหมายให้ท้าวจาตุมหาราชช่วยดูแล กระผม/อาตมภาพเองมองเห็นพลังงานที่เทวดาทั้งหลายท่านช่วยเหลือสงเคราะห์ วิ่งลงมายังซุ้มสืบชะตาเหมือนอย่างกับสายฟ้า แล้วก็แผ่ลามไปทั่วบริเวณมณฑลพิธีตามสายสิญจน์ต่าง ๆ เหมือนอย่างมีเปลวไฟ หรือว่าสายฟ้า แลบแปลบปลาบอยู่ทั่วไปหมด ก็ได้แต่นั่งยิ้มว่า วันนี้ถ้าใครคิดจะทำอะไรเอ็งซวยแน่ ๆ..!

    หลังจากนั้นก็ได้ทำการร่วมเป็นเนื้อนาบุญให้ญาติโยมทั้งหลายได้ร่วมทำบุญ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพมอบปัจจัยทั้งหมดที่ได้รับมาให้กับครูบาวิฑูรย์ และแถมของส่วนตัวไปให้อีก เพื่อร่วมบุญร่วมกุศลในครั้งนี้ด้วยกัน เมื่อเสร็จพิธีสืบชะตาแล้ว ก็ได้ลาพระเถรานุเถระเดินทางกลับสู่ที่พักของตน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...