เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงบ่ายกระผม/อาตมภาพเข้าร่วมประชุมพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ แล้วมีปัญหาที่น่าสนใจที่พวกเราควรจะได้ทราบเอาไว้

    ก็คือว่าพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน วัดไผ่ล้อม หัวหน้าพระวินยาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ท่านไปจับบุคคลซึ่งได้รับแจ้งว่า อาจจะเป็นผู้ที่ปลอมตัวเป็นพระภิกษุ แล้วปรากฏว่าบุคคลนั้นมีแค่ฉายาบัตรใบเดียว เมื่อติดต่อไปทางต้นสังกัด เจ้าอาวาสท่านก็ยืนยันว่า ออกจากวัดไปสองปีแล้ว ไม่ยอมกลับวัด

    คำว่า ฉายาบัตรนั้น เป็นเอกสารที่พระอุปัชฌาย์ออกให้ เพื่อยืนยันว่าได้บวชบุคคลนี้ไปจริง ถ้าอย่างของวัดท่าขนุนก็คือ หนังสือรับรองการบรรพชาอุปสมบทนั่นเอง เพียงแต่ว่าใช้กับพระที่ท่านมีกิจธุระจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเดินทางโดยที่ยังไม่มีหนังสือสุทธิ เพราะว่าหนังสือสุทธิของวัดท่าขนุน จะออกให้ต่อเมื่อท่านจำพรรษาอยู่อย่างน้อย ๑ พรรษาแล้ว

    คราวนี้หลวงพี่น้ำฝนท่านถามว่า ประการแรกเลย จะลงโทษบุคคลนี้อย่างไร ? เพราะว่าโดยปกติแล้วการลงโทษผู้ที่ละเมิดความผิดลักษณะนี้ พระวินยาธิการหรือว่าตำรวจพระลงโทษเองโดยตรงไม่ได้ เนื่องจากว่าไม่ใช่ "ปาปมุตบุคคล" แบบหลวงปู่ชุ้น ถ้าเป็นหลวงปู่พระธรรมเสนานี (ชุณณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านมีแค่ ๒ มาตรา ก็คือมาตรา ๕ บนกับ ๕ ล่างเท่านั้น..! ซึ่งคนอื่นใช้แบบนั้นไม่ได้

    ประการที่สองก็คือหนังสือฉายาบัตรนั้น ถือว่าเป็นเอกสารในการยืนยันตัวตนว่าเป็นพระภิกษุที่แท้จริงได้หรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    คราวนี้เรามาว่ากันทีละประเด็น ประเด็นแรกก็คือ ท่านไม่ทราบว่าจะลงโทษอย่างไร ? แจ้งข้อหาไม่ถูก ความจริง สามารถนำไปให้เจ้าคณะปกครองในพื้นที่ ก็คือเจ้าคณะตำบลที่เกิดเหตุนั้นทำการสึกหาลาเพศให้ได้

    แต่ว่าจะแจ้งข้อหาไหน ? ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ ว่าด้วยเรื่องนิคหกรรม ก็คือการให้สละสมณเพศ ท่านระบุบุคคลเอาไว้ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ

    ประเภทที่ ๑ ก็คือบุคคลผู้ต้องนิคหกรรม ก็คือโดนคำสั่งลงโทษ ไม่ถึงขนาดให้ลาสิกขา แต่ไม่ยอมรับโทษนั้น ๆ ในเมื่อดื้อมา ไม่ยอมรับโทษเบา ก็เอาโทษหนักไปเลย ก็คือสึก..!

    ประเภทที่ ๒ ผู้ที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ เจ้าอาวาสหรือว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์มีการตักเตือนแล้ว แต่ไม่ประพฤติตนให้ดีขึ้น ปัจจุบันนี้มีเยอะทีเดียว เพียงแต่ว่าเจ้าอาวาสหลายท่านก็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เพราะว่าไม่อยาก "เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ" เนื่องเพราะว่าคนชั่วเขาไม่กลัวที่จะทำความชั่วเพิ่มขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าคนดีต้องเกรงใจคนชั่วไป แต่ไม่ใช่ที่วัดท่าขนุนนี้ เพราะว่าที่วัดท่าขนุนนี้ กระผม/อาตมภาพถือว่า "กูชั่วกว่า เพราะฉะนั้น..มึงไม่ต้องมาซ่าตรงนี้..!"

    ประเภทที่ ๓ ก็คือบุคคลที่ไม่ได้สังกัดวัด หรือว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์สามารถยืนยันได้

    ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้ให้สละสมณเพศ คือสึกได้เลย ก็แปลว่าเราสามารถลงโทษท่านในฐานะบุคคลที่ไม่มีสังกัดวัด หรือว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

    แต่ก็อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านบอกนั่นแหละ "ลงโทษไอ้พวกนี้ขาดทุนทุกที เพราะว่าต้องซื้อเสื้อผ้าให้มันด้วย" กระผม/อาตมภาพก็เจอมาเองแล้ว ในเมื่อเขายอมสึก แต่ไม่มีผ้าใส่ ก็ต้องให้คนวิ่งไปซื้อให้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    ก็แปลว่าประการที่ ๑ เราจะลงโทษเขาอย่างไร ? เนื่องเพราะว่าไม่สามารถที่จะติดต่อเจ้าอาวาสหรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ให้ลงโทษแทนได้ ก็ลงโทษในฐานะผู้เร่ร่อน ไม่มีสังกัด ซึ่งโทษก็คือจับสึกสถานเดียว ไม่มีเบากว่านั้น..!

    ประการที่ ๒ ฉายาบัตรสามารถใช้แทนหนังสือสุทธิได้หรือไม่ ? ข้อนี้ถ้าให้พระเถระท่านวินิจฉัยก็คือ ก็สามารถใช้ได้เฉพาะในช่วงต้นเท่านั้น เนื่องเพราะว่าหลังจากนั้นแล้ว เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ที่ต้องออกหนังสือสุทธิให้ แปลว่าถ้าเกิน ๑ พรรษาไปแล้ว ยังไม่มีหนังสือสุทธิ แต่ไปถือฉายาบัตร หรือว่าหนังสือรับรองการบรรพชาอุปสมบท ให้คิดไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นมีเจตนาที่ไม่ดีแน่นอน ใบฎีกาโม (พระใบฎีกาอมรชัย เมตฺติโก) ของเราน่าจะโดน ทำอีท่าไหน บวชมา ๕ พรรษาแล้วแล้วค่อยมาขอทำหนังสือสุทธิ สมควรโดนเหวี่ยง..!

    ก็แปลว่าฉายาบัตร หรือว่าหนังสือรับรองการบรรพชาอุปสมบท ใช้ยืนยันตัวตนได้เฉพาะช่วงก่อนที่ท่านจะผ่านพ้นพรรษาเท่านั้น โดยปกติแล้วหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ก็คือ เมื่อให้การอุปสมบทแล้ว ต้องออกหนังสือสุทธิยืนยันให้ แต่ว่าเกิดจากเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือหนังสือสุทธิปัจจุบันนี้ซื้อหายากมาก ใครที่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นี่ ไม่รู้หรอกว่าซื้อยากขนาดไหน..!?

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D.) ที่ปรึกษาคณะสงฆ์วัดสามพระยา วรวิหาร เคยบ่นกับกระผม/อาตมภาพตอนท่านเป็นพระธรรมคุณาภรณ์ นั่นเจ้าคุณชั้นธรรมแล้วนะ ไปซื้อหนังสือสุทธิ ปรากฏว่าทางโรงพิมพ์ขอเอกสารรับรองว่าคุณคือพระธรรมคุณาภรณ์ เพราะว่าตราตั้งพระอุปัชฌาย์ระบุไว้ว่าคือพระศรีปริยัติบดี ท่านได้เป็นพระอุปัชฌาย์ตั้งแต่เป็นเจ้าคุณสามัญ ท่านก็ต้องเอาสัญญาบัตรแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระศรีปริยัติบดี พระราชปริยัติบดี พระเทพสุธี มาจนถึงพระธรรมคุณาภรณ์ไป เขาถึงจะยอมขายหนังสือสุทธิให้..! แบบนี้ถ้าต้องไปซื้อบ่อย ๆ ไหวไหมครับ ?

    ประการที่ ๒ ก็คือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ส่วนใหญ่ต้องดูความประพฤติจนแน่ใจแล้ว ถึงจะออกหนังสือสุทธิให้ ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เจอไอ้พวกตัวแสบ..! พอได้หนังสือสุทธิปุ๊บ ชิ่งออกจากวัดทันทีเลย..! ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ไม่เคยกลับมา ไปก่อคดีไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ ? แต่ว่าทางวัดขึ้นบัญชีดำไว้หมดแล้ว ส่วนใหญ่เหตุผลที่ใส่เอาไว้โก้ ๆ ก็คือ "หนีออกจากวัดในขณะที่ยังเป็นพระใหม่" ก็คือยังไม่เกิน ๕ พรรษา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ เมื่อเจอแบบนี้เข้า ขนาดหัวหน้าพระวินยาธิการของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ยังไปไม่เป็น ต้องมาขอความรู้จากในที่ประชุม แล้วพวกเราทั่วไปจะไหวไหม ? เพราะฉะนั้น..เวลาเจอเหตุการณ์พวกนี้ บางทีก็ไปเจอพวก "หัวหมอ" ประเภท "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" เพราะเขารู้ว่าโทษเบามาก อย่างดีก็จับสึก สึกวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็บวชใหม่อีกแล้ว..! ถ้าขี้เกียจหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ก็แค่ไปซื้อผ้าไตรมาห่มใหม่ ถ้าถามว่า "ไม่รู้จักละอายใจบ้างหรือ ที่ปลอมบวชเอง ?" ถ้ารู้จักละอาย เขาก็คงไม่ทำชั่วแล้ว..!

    ถึงขนาดที่พระเถระท่านปรารภในที่ประชุมว่า "พวกเราก็ทนสู้กันต่อไป แล้วก็ตายไปทีละรุ่น ทีละรุ่น เพราะไอ้พวกนี้ไม่หมดไปหรอก..!" สรุปว่า ตำรวจพระมีหน้าที่ตามล้างตามเช็ด ส่วนพวกนี้จะขี้เรี่ยขี้ราดเอาไว้ พระศาสนาเหม็นขนาดไหน เขาไม่สนใจอยู่แล้ว ฟังดูแล้วก็อนาถใจมาก..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสอบผ่านนักธรรมชั้นเอกแล้ว
    เรื่องพวกนี้ศึกษาไว้บ้างก็ดี โดยเฉพาะอันดับแรกเลย กฎนิคหกรรม หลังจากนั้นแล้วก็หน้าที่พระสังฆาธิการ เผื่อเราจับจับพลัดจับผลู ไปเป็นเจ้าอาวาส ต่อจากนั้นไปก็หน้าที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์

    แล้วก็ยังมีหลักการจัดงานวัด เพราะว่าการจัดงานวัดนั้น ต้องมีการขออนุญาตตามลำดับชั้น จัดไม่เกิน ๓ วัน ต้องขอใคร จัดไม่เกิน ๕ วัน ต้องขอใคร จัดไม่เกิน ๗ วัน ต้องขอใคร จัดไม่เกิน ๙ วัน ต้องขอใคร มีตัวอย่างอยู่วัดหนึ่ง น่าจะมีชื่อเสียงแล้วก็ญาติโยมให้การสนับสนุนมาก จัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต ๑๕ วัน เล่นเอาทุกคนไปไม่เป็น เพราะในระเบียบระบุไว้สูงสุดแค่ ๙ วัน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,378
    อย่างของเราวันนี้ ทางด้านเจ้าหน้าที่จำหน่ายดอกไม้ธูปเทียนในงานประจำปีระบุมา รายรับ ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท แต่รายจ่ายเบื้องต้นของผม ๓๐๐,๐๐๐ บาทไปแล้ว..! ของวัดเรานี่อยู่ในลักษณะอย่างนี้มาตลอด เรื่องรายรับกับรายจ่ายไม่ต้องไปพูดถึง เพราะว่าที่เราจัดก็คือหวังผลทางด้านการรักษาวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนกระทั่งเป็นเวทีแสดงออกของเด็ก ๆ เพราะฉะนั้น..ประเภทหมดเท่าไรก็ไม่ว่า เราไม่คำนึงถึงรายรับ..!

    แล้วระยะเวลาแค่นี้ในระดับเจ้าคณะอำเภอก็อนุญาตได้แล้ว แต่ถ้าหากว่ามี ๕ วัน ๗ วัน ๙ วัน ก็ต้องว่ากันขึ้นไปตามลำดับ ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเราศึกษาเอาไว้บ้าง ถึงเวลารุ่นน้องถามก็ยังตอบได้ หรือไม่ถ้าญาติโยมสงสัยก็ตอบได้ หรือถ้าเจอเหตุการณ์ซึ่งหน้าในลักษณะที่ผู้อื่นทำผิด ก็ยังรู้ว่าจะต้องลงโทษเขาในลักษณะอย่างไร

    คณะสงฆ์ของเรา จะว่าไปแล้วมีความอะลุ้มอล่วยมาก เพราะว่าการลงโทษนั้น เริ่มตั้งแต่ตำหนิโทษ ภาคทัณฑ์ ให้ออก ให้ออกเขาก็ไปสังกัดที่อื่นอีก แล้วก็นิคหกรรม ก็คือให้สึก ในเมื่อมีการลงโทษตามระดับชั้น แล้วสูงสุดก็คือแค่สึก พวกคนหน้าด้านเขาไม่กลัวกันหรอก..!

    กระผม/อาตมภาพยังไปนึกถึงสมัยก่อนที่มีการสักหน้า แต่สมัยนี้คาดว่าสักไป เขาก็ไปเอาเลเซอร์ลบ ก็ต้องทำอย่างที่พระเถระท่านปรารภไว้ในที่ประชุมนั่นแหละ
    "สู้กันจนตายไปทีละรุ่น พยายามให้ศาสนาของเราเสียหายให้น้อยที่สุดก็แล้วกัน..!"

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...