เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗

​

 

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ แม้ว่าจะเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน แต่คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็ยังคงทำงานแบบไม่มีวันหยุด เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นการประชุมตามมติมหาเถรสมาคม ที่ ๑๔๓/๒๕๔๖ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ คือการประชุมพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล และเลขานุการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ตำบลยกกระบัตร อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร

บรรดาพระเถรานุเถระที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น ๗๘๕ รูป แล้วยังมีทางฝ่ายบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร (นายผล ดำธรรม) ก็ดี ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสมุทรสาครก็ตาม เมื่อรวม ๆ แล้วฝ่ายฆราวาสก็มีเป็นร้อยคนเช่นกัน

กระผม/อาตมภาพและสมุห์บอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เดินทางมาถึงประมาณ ๗ โมงเช้า หลังจากทำการลงทะเบียนแล้ว ก็กราบพระเถระ ทักทายเพื่อนพระสหธรรมิก ซึ่งงานนี้มีทั้งเพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ มีทั้งเพื่อนร่วมรุ่นนักเทศน์ เพื่อนร่วมรุ่นพระธรรมทูต เพื่อนร่วมรุ่นเจ้าอาวาส สารพัดสารเพ ซึ่งใครที่เข้ารับการอบรมมากก็ยิ่งมีเพื่อนมาก สรุปว่า ๗๘๕ รูปที่มานั้น กระผม/อาตมภาพน่าจะรู้จักมักคุ้นไปเกินครึ่งหนึ่ง..!

ครั้นถึงเวลา ๘ โมงเช้า นายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้มากล่าวต้อนรับ และร่วมสนทนากับพระสังฆาธิการผู้เข้าร่วมการประชุม โดยกล่าวว่าจังหวัดสมุทรสาครนั้น มีคำขวัญว่า "เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์" เป็นจังหวัดเล็ก ๆ มีแค่ ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอกระทุ่มแบน แต่ว่ามีความสำคัญยิ่งทางเศรษฐกิจ เพราะว่าเป็นจังหวัดที่มีการประมงและการเกษตรเป็นหลัก

หลังจากที่กล่าวต้อนรับเสร็จแล้ว ความจริงเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนนาแห่งชาติ (นายอินทพร จั่นเอี่ยม) แต่ว่าท่าน ผอ. อินนั้นติดภารกิจ จึงมอบให้นางสาวชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการ ฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาถวายคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการศาสนสมบัติ ซึ่งเพิ่งจะมีกฎหมายใหม่ออกมาไม่นาน เนื่องเพราะว่ากฎกระทรวงเก่านั้น ออกมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ และใช้บังคับมาจนเกือบจะถึงปัจจุบันนี้..!

 

โดยเฉพาะในส่วนของการเก็บเงินสงฆ์ไว้กับวัดนั้น อนุญาตให้เก็บไว้แค่ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็มีบรรดาผู้รู้ เกจิอาจารย์ทางกูเกิ้ล ซึ่งพยายามจะออกมาเหยียบย่ำ กระทืบซ้ำพระพุทธศาสนา..! ได้นำเอาข้อนี้มาเป็นข้อบังคับในช่วงที่ผ่านมา พยายามที่จะบีบให้วัดมีเงินไว้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท จนกระทั่งต้องมีการออกกฎใหม่ออกมา ในปี ๒๕๖๒ ให้เก็บเงินเอาไว้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ฝากธนาคาร ตลอดจนกระทั่งสถาบันการเงิน ที่ได้รับการรับรองถูกต้องโดยกฎหมาย

อีกส่วนหนึ่งที่ได้รับการแนะนำก็คือ การที่วัดแบ่งที่ออกเป็นเขตจัดประโยชน์นั้น ถ้าหากว่ามีการทำสัญญา เจ้าอาวาสมีอำนาจในการทำสัญญาไม่เกิน ๓ ปีเท่านั้น ถ้าเป็นสัญญาที่มีระยะเวลายาวนานเกิน ๓ ปี ต้องส่งเรื่องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเข้าพิจารณาในมหาเถรสมาคมก่อน เมื่อมหาเถรสมาคมอนุมัติแล้ว จึงสามารถที่จะทำสัญญานั้น ๆ ได้ เป็นต้น

ต่อจากนั้นพระเดชพระคุณพระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๗ ก็เป็นองค์บรรยายต่อ โดยที่กล่าวถึงความสามัคคีของคณะสงฆ์ที่มาประชุมร่วมกันในครั้งนี้ว่า ถ้าหากว่าเป็นภาคอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วเจ้าคณะภาคก็จะกำหนดให้ประชุมที่จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ เฉพาะของคณะสงฆ์จังหวัดนั้น ๆ ทำให้ต้องเดินทางไปเป็นประธานในการประชุม อย่างน้อยปีหนึ่ง ก็ ๓ - ๔ ครั้ง แต่ว่าทางคณะสงฆ์ภาค ๑๔ นั้น ระดมเอาทุกจังหวัดมาประชุมพร้อมเพรียงกัน

ปีที่แล้วก็ไปประชุมที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับการต้อนรับเป็นที่ประทับใจอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าบรรดารีสอร์ตต่าง ๆ นั้น ถวายการรับรองพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด รวมแล้ว ๗๐๐ กว่ารูป ฟรีทุกรูป..! เนื่องเพราะทุกคนกล่าวว่า สามารถที่จะมีอาชีพทำมาหากินได้สะดวกคล่องตัวทุกวันนี้ เกิดจากบารมีของหลวงพ่ออุตตะมะ (พระราชอุดมมงคล วิ.) วัดวังก์วิเวการาม

ดังนั้น..เมื่อคณะสงฆ์มีงาน จึงอยากจะตอบแทนบุญคุณที่หลวงพ่ออุตตะมะท่านแผ่บารมีมาถึงจนทุกวันนี้ ด้วยการถวายความสะดวกให้ ซึ่งถ้าคิดเป็นจำนวนเงินก็มหาศาลทีเดียว..!

ส่วนปีนี้วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร จังหวัดสมุทรสาครเป็นเจ้าภาพ ปีหน้าก็จะเป็นคิวของจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วปีถัดไปก็เป็นคิวของจังหวัดนครปฐม

 

การที่เราท่านทั้งหลายมาสามัคคีกันนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี เนื่องเพราะว่าหลายปีที่ผ่านมา ทางด้านบ้านเราเมืองเรา มีการแตกสามัคคี มีการแบ่งสี มีการแบ่งพวก แล้วหลวงพ่อพระพรหมเสนาบดี ก็ยกคำของหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๖) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ที่เคยให้โอวาทไว้ แล้วท่านจำได้แม่นยำว่า แบ่งพวกก็เสียความรัก แบ่งพรรคก็เสียความสามัคคี ไม่แบ่งพวก ไม่แบ่งพรรค จะได้ทั้งความรักและสามัคคี เป็นต้น

เมื่อท่านบรรยายไปจนถึง ๑๐ โมง พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก็เดินทางมาถึง หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จหนกลาง เป็นประธานในพิธีเปิด ได้กล่าวให้โอวาทว่า การคณะสงฆ์ของเราจะเป็นไปด้วยดีนั้น ต้องพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง ไม่เห็นแก่พรรคแก่พวก ไม่ช่วยเหลือกันแบบหน้ามืดตามัว ทำอะไรต้องมีความโปร่งใส

หลังจากนั้นก็เป็นการฉันเพล ซึ่งทางด้านวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสรนั้น ระดมเอาอาหารทะเลมามากมายมหาศาล สมกับคำขวัญว่า "เมืองประมง" จริง ๆ จนพวกเราไม่มีแม้แต่ปัญญาจะฉัน เนื่องเพราะว่ากับข้าวอย่างเดียวก็มากมายมหาศาลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ๆ อีก

ในส่วนภาคบ่ายนั้น เป็นการที่บรรดาคณะสงฆ์ของเรา ได้รับฟังคำบรรยายจากนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านเคยเป็นปลัดอาวุโสอยู่ที่อำเภอบ้านแพ้วนี้มาก่อน

หลวงพ่อเจ้าคุณดิเรก - พระมงคลพัฒนาภรณ์ (ดิเรก ปิติทานนฺโท) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร จึงได้ขอให้ท่านมาช่วยบรรยายถวายความรู้แก่พระสังฆาธิการ ซึ่งท่านได้กล่าวถึงโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขด้วยหลัก ๕ ส. โครงการหมู่บ้านยั่งยืน ซึ่งบูรณาการเข้ากับงานคณะสงฆ์ทั้งสิ้น โดยที่กราบขอร้องว่า ให้ทางคณะสงฆ์ร่วมมือกับทางราชการ ในการดำเนินงานทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้วย

 

แล้วก็ต่อด้วยบรรดาเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดทั้ง ๔ จังหวัดมานำเสนองานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน ทั้งงานด้านงานการปกครอง ด้านการเผยแผ่ ด้านการศาสนศึกษา ด้านการสาธารณูปการ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗ นี้เมื่อพระมหาเจษฎา ญาณวิสุทโธ ป.ธ.๓ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี นำเสนองานศึกษาสงเคราะห์ของจังหวัดกาญจนบุรีว่า

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ได้มอบทุนการศึกษา
ระดับประถมศึกษา ๖๐๐ ทุน เป็นจำนวนเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท
ระดับมัธยมศึกษาจำนวน ๑๓๐ ทุน เป็นเงิน ๓๙๐,๐๐๐ บาท
ระดับอุดมศึกษาจำนวน ๑๑ ทุน เป็นเงิน ๓๓๐,๐๐๐ บาท
และทุนการศึกษาสามเณรภาคฤดูร้อน ๖๐ ทุน เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท
ทุนการศึกษาพระภิกษุสงฆ์ระดับปริญญาเอก ๒ ทุน เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท

ก็เรียกเสียงฮือฮาได้จากรอบทิศทาง โดยเฉพาะทางด้านฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้จะรู้ว่าวัดท่าขนุนให้ทุนการศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้..!

เมื่อคณะสงฆ์ทั้ง ๔ จังหวัด นำเสนอผลงานที่ได้กระทำไปในเดือนนี้แล้ว ก็เป็นพิธีปิด โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ที่ท่านย้ำว่า ขอให้พระสังฆาธิการทุกรูป รู้จักหน้าที่ ทำตามหน้าที่ อย่าละเลยหน้าที่ และอย่าทำเกินหน้าที่ จะได้เป็นศรีแก่คณะสงฆ์ของเราต่อไป แล้วก็เป็นพิธีปิด

กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางอีกประมาณ ๓ ชั่วโมง กว่าจะถึงวัดท่าขนุน จึงได้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้บนรถยนต์ ตามแบบฉบับของกระผม/อาตมภาพ อยู่บนรถยนต์ที่กำลังเดินทางตามเคย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)