เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจนอกวัด ๒ วัน หลังจากนั้นก็จะเดินทางไปประเทศอินเดีย กว่าจะกลับมา รวมหัวท้ายก็น่าจะประมาณ ๑๐ วัน คราวนี้ในช่วงที่พวกเราอยู่กันทางด้านนี้ กิจกรรมหน้าที่อะไรต่าง ๆ ก็ให้ทำกันไปตามปกติ เพียงแต่ว่าแบ่งคนมาทำความสะอาดทางด้านกุฏิสำนักงานของกระผม/อาตมภาพบ้าง

    ในส่วนของการเดินทางนั้น โดยปกติแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่ใช่คนนิยมการเดินทาง เพราะเห็นโทษมาตั้งแต่สมัยเป็นพระใหม่ ว่าการเดินทางแต่ละครั้ง สิ่งที่สภาพจิตของเรารับเข้าไป ถ้าจัดการไม่เป็นจะทำให้เราฟุ้งซ่านไปนาน กลับวัดมาแล้วก็ยังคิดถึง อยากที่จะไปอีก อยากจะทำอย่างนั้นอีก หลายต่อหลายครั้งก็เตือนให้ท่านทั้งหลายที่ลาบ่อย ๆ ว่า ให้ระวังตรงนี้ไว้ด้วย เพราะว่าสำหรับนักปฏิบัติแล้ว ผลเสียมีมากกว่าผลดี

    เพราะว่าทันทีที่เราหลุดออกจากระบบ ซึ่งก็คือระเบียบวัดของเรา ว่าในแต่ละวันเราจะต้องทำอะไรบ้าง ขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ก็คือการเสริมสร้างบุญกุศลใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรา พอหลุดกรอบออกไปแล้ว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเผลอก็จะลืม ไม่ได้ปฏิบัติตาม แล้วส่วนใหญ่ก็เหมือนกับตั้งใจลืม..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่า เราเครียดกับระเบียบมานานแล้ว พ้นจากสภาพในวัดไปได้ก็ปล่อยตามสบาย โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังปล่อยตัวให้ไปตาย..! เนื่องเพราะว่าเวลากิเลสกำเริบ ตีกลับมาแล้ว เราจะเอาคืนได้ยากมาก ทุกคนที่เคยประสบภาวะจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ล้วนแล้วแต่รู้ดีว่า อาการเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นนั้นคืออะไร..!!?

    แต่ว่าพวกเราทั้งหลาย อันดับแรกเลยก็คือขาดการสังเกต ทำให้ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากอะไร อันดับที่สองคือขาดความระมัดระวัง ประมาท ปล่อยให้สภาพจิตไหลตามกิเลสไปโดยไม่รู้ตัวบ้าง โดยรู้ตัวแต่เต็มใจบ้าง ประการสุดท้ายเลยก็คือ เมื่อเกิดเหตุแล้วจัดการแก้ไขไม่เป็น
    มักจะคิดว่าจะต้องเอาคืนมาได้ แล้วก็พากเพียรพยายามที่จะเอาคืน โดยที่ลืมไปว่าสิ่งนั้นคือความฟุ้งซ่าน เมื่อความอยากคือตัณหานำหน้า โอกาสที่จิตจะสงบจึงไม่มี
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    บรรดาวิปัสสนาจารย์หลายท่านถึงขนาดสรุปว่า "ถ้าหากใครเคยทำให้จิตสงบได้ แล้วเกิดฟุ้งซ่านใหม่ อย่าหวังเลยว่าจะสงบได้อีก" นั่นเป็นสิ่งที่ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าท่านไม่ฉลาดพอในการที่จะจัดการสภาพจิตของตนเอง ก็ในเมื่อเรา "อยาก" แล้วทำให้เราไม่สามารถจะคืนเข้าสู่อารมณ์เดิมได้ ก็ต้อง "เลิกอยาก"

    วางกำลังใจอยู่ในลักษณะที่ว่า
    เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะได้หรือไม่ได้ จะดีหรือไม่ดีก็ช่างมัน ถ้าสามารถทำใจไว้แบบนี้แล้วภาวนาไปแบบไม่ลดละ ใช้ความพากเพียรความอดทนตามปกติ เราก็จะสามารถคืนสู่อารมณ์เดิมได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลร้ายมากกว่าผลดี จึงทำให้กระผม/อาตมภาพไม่ได้มีความคิดที่จะเดินทางไปไหนเลย แม้แต่การเดินทางไปยังสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ซึ่งมีคนชักชวนมานับครั้งไม่ถ้วน กระผม/อาตมภาพก็ไม่ไป
    เนื่องเพราะไม่มั่นใจว่าตนเองไปแล้วจะได้ประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน..!?

    อีกประการหนึ่งก็คือ การที่ต้องเดินทาง รายจ่ายทุกบาททุกสตางค์ก็คือสิ่งที่ญาติโยมอุดหนุน สนับสนุนมา เขาถวายเรามาในขณะที่เป็นพระ ต่อให้ถวายเป็นส่วนตัวก็ต้องนึกอยู่เสมอว่า เป็นเงินที่ได้มาในขณะที่เราเป็นสงฆ์ จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย กระผม/อาตมภาพจึงมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวว่า
    ถ้าหากว่าจะไปไหน ต้องมีผู้รับผิดชอบในการเดินทางทั้งหมดถึงจะไป

    สถานที่ซึ่งจะไปในครั้งนี้ก็คือแคว้นจัมมู - แคชเมียร์ของประเทศอินเดีย แล้วจะไปในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนไปกันนัก ก็คือเดินทางด้วยรถยนต์ไปสู่แคว้นลาดัก ซึ่งตลอดทางมีแต่ภูเขาหิมะสูง ๆ ระดับความสูง ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ เมตรมีเป็นปกติ ถ้าหากรอให้แก่ชรามากกว่านี้ ร่างกายอาจจะรับไม่ไหว ดังนั้น..เมื่อมีผู้ชักชวน จึงได้คิดว่า
    ควรที่จะไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วอายุมากกว่านี้เราอาจจะไปไม่ไหวก็ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกกับทุกคนก็คือ ในเรื่องของการเดินทางครั้งนี้ ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพไม่มี "โควต้าช่วยชีวิต" เหลืออยู่แล้ว..! เหตุเพราะว่าช่วยคนอื่นมากเกินไป โควต้าสุดท้ายก็คือช่วยงานพระราชทานเพลิงศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ. ๔) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกาญจนบุรีเก่า ซึ่งการจัดงานนั้นเป็นช่วงมรสุมเข้าพอดี ตั้งเมรุลอยไปแล้ว ถ้าให้ฝนถล่มลงมา ก็แปลว่างานพังบรรลัยหมด..!

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องใช้โควต้าสุดท้ายในการขอให้ฝนไม่ตกในระหว่างนั้น แต่ลืมไปว่าโควต้าส่วนใหญ่นั้นมีไว้สำหรับการเดินทางไกล ก็เลยทำให้แม้จะเป็นช่วงมรสุม ฝนก็แล้งไป ๗ วัน..! แต่ว่าตัวเองก็ไม่มีอะไรเหลือ
    งานนี้ใครที่เดินทางไปด้วย ก็อยู่ในลักษณะตัวใครตัวมัน เอาตัวรอดกันเอง อยากไปหาที่ตายก็ไม่ห้าม เพราะว่าทุกครั้งในสถานที่ไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วสิ่งหนึ่งที่จะได้มาก็คือมรณานุสติ...!

    อย่างล่าสุดที่ไปยังดาร์จีลิงก์ สิกขิม กาลิมปง เหล่านั้น แค่เส้นทางก็โหดสาหัสแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเราอาจจะเจอปัญหาอุปสรรคอื่น ๆ หรือก่อนหน้านั้นที่ไปยังด้านย่าติง เสฉวนตะวันตก พื้นที่แต่ละก้าวที่เดินไป แม้กระทั่งคนจีนเจ้าของพื้นที่ยังต้องใช้ออกซิเจนกระป๋องตั้งแต่ต้นทาง..!

    แต่ว่ากระผม/อาตมภาพอยากรู้ว่า อายุ ๖๐ ปีแล้วยังสามารถไปได้หรือเปล่า ? ในเมื่อเขาแจกออกซิเจนกระป๋องมา จึงถือติดมือไปเฉย ๆ แล้วก็รู้ได้เลยว่า ในสภาพอากาศที่มีออกซิเจนน้อยนั้น ร่างกายต้องทรมานมากเป็นพิเศษ เดินได้แค่ ๒ ก้าว ๓ ก้าว ก็ต้องลงไปนั่งหอบหายใจแล้ว..!

    ลักษณะนั้นถ้าหากว่าสภาพร่างกายไม่ดีจริง ก็อาจจะถึงขนาดสลบไสล ไม่ได้สติ มีอาการสมองบวมแบบเดียวกับลูกทัวร์คณะก่อนที่ไป ซึ่งต้องเช่าเฮลิคอปเตอร์ส่งตัวลงมาข้างล่าง หมดไป ๗,๐๐๐ หยวน..! แต่ปรากฏว่าครั้งนั้น
    กระผม/อาตมภาพสามารถกลับมาได้ โดยที่ไม่ได้มีอะไรบุบสลาย เพียงแต่ว่าบางคนในคณะกลับได้รับบาดเจ็บ เพราะว่าไปลื่นหกล้มเอง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงควรจะเป็นเรื่องเตือนใจว่าท่านที่คิดจะตามไป ต้องพร้อมที่จะตายด้วย..! ไม่ใช่เอาแต่สนุกสนานกับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบ โดยเฉพาะเหตุการณ์บางอย่างซึ่ง "เจ้าของที่" ท่านสงเคราะห์ให้ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น

    สิ่งสำคัญที่เราจะลืมไม่ได้เลยก็คือ ความตายอยู่กับเราแค่ชั่วลมหายใจเข้าออก หายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกก็ตายอีกเช่นกัน ทุกสถานที่บนโลกนี้เป็นที่ตายของเราได้ทั้งนั้น ดังนั้น..ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับหลักธรรม ไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า โอกาสที่ไปเที่ยวแล้วจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมานั้น ถือว่ายากมาก

    โดยเฉพาะบางเรื่อง อย่างที่ไปอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่มา มีเจ้าของถิ่นเขาสอบถามว่า "หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าลำธารสายนั้นชาวบ้านเรียกว่าห้วยน้ำริน ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกไปว่า "ถ้าถามชาวบ้านไม่ได้ก็ถามผีเอาสิวะ..!" เขายืนยันว่าถ้าไม่ใช่เจ้าถิ่นจริง ๆ ไม่มีใครรู้ว่าตรงนั้นเรียกว่าอะไร

    แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วการสร้างวัดวาอารามนั้น มักจะใช้ชื่อสถานที่เป็นหลัก ถ้าหากว่าท่านใดดูในแถลงการณ์คณะสงฆ์ก็จะเห็นว่า หลายต่อหลายวัด หลายต่อหลายแห่ง มหาเถรสมาคมมีมติให้เปลี่ยนชื่อใหม่ เพราะว่าเข้ากับสถานที่ไม่ได้ เนื่องจากว่าฟังแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ท้ายที่สุดก็ต้องกลับไปใช้สถานที่เดิม ๆ ที่ชาวบ้านเขารู้จักกันมากกว่า อย่างเช่นว่าวัดราษฎร์ประชุมชนาราม ที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี บอกชื่อเป็นทางการไป ชาวบ้านแทบจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเรียกว่าวัดท่ามะขาม ทุกคนจะร้องอ๋อ..เหล่านี้เป็นต้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของการตั้งชื่อที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์ หรือว่าวัด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงสถานที่นั้นด้วย ว่าพื้นเดิมของเขาเรียกหากันมาอย่างไร แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเจ้าของที่ซึ่งเป็นคนบอกไม่ได้ เจ้าของที่ซึ่งไม่มีตัวตนก็อาจจะมาบอกมากล่าวให้เช่นกัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...