เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

คุณvisnu ไม่ให้ข้อมูลว่าแต่ละภาพใช้รักษาโรคได้หรือครับ

และแต่ละภาพมีความพิเศษอย่างไร

 

สวัสดีครับอาจารย์-พี่จิรศักดิ์-พี่ดาว-คุณวิษณุ-ตัวกลม-และคนอื่นๆทุกคนครับ

ขอบคุณอาจารย์สามตาและพี่จิรศักดิ์นะครับ ที่มาให้ความกระจ่างแก่ผม ต่อไปนี้คงต้องขยันดูรองเท้าและอุทิศบุญกุศลให้แก่พวกเขาละครับ เดี๋ยวติดใจตามมาอยู่ที่บ้านละก้อยุ่งเลยละครับทีนี้ ถามอาจารย์กะพี่ๆต่ออีกหน่อยนะครับ เวลาที่เราจะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้พวกเขานี่ต้องทำยังไงครับถึงจะได้ไปทุกๆที่ ที่พวกเขาน่าจะมาเกาะหรือมาอยู่ เริ่มจะเสียวๆแล้วละครับ ผมไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้เลยครับ ต้องขอบคุณอาจารย์และพี่จิรศักดิ์อีกครั้งนะครับ

คุณวิษณุครับ ตังก้า(Thankas) ภาพวาดบนผืนผ้า นี้สามารถเก็บไว้เป็นพันปีคงต้องมีวัสดุอะไรบางอย่างที่เคลือบเอาไว้ใช่ไหมครับ แล้วอย่างที่พี่เห็ดหอมบอกคือแต่ละภาพคงต้องมีความหมายตามแต่รูปภาพที่ปรากฏในผ้าผืนนั้นๆ และคงมีความพิเศษแตกต่างกันออกไปใช่ไหมครับ รบกวนให้ความรู้ต่อด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ

 

ตังก้า(Thankas) ภาพวาดบนผืนผ้า งานฝีมือเหล่านี้เกิดจากฝีมือช่าง บรรจงวาดด้วยพรสวรรค์และสมาธิ แต่ละภาพใช้เวลาวาดนานหลายเดือน ความพิเศษคือวัสดุที่ใช้แมลง มด ปลวก ไม่ชอบกิน จึงสามารถเก็บไว้ได้นานนับพันปี นำมาใส่กรอบหรือใส่เฟรมผ้า แขวนไว้บูชาในห้องพระเป็นสิริมงคล
เนื่องจากภาพสวนใหญ่จะเป็นภาพ พระพุทธเจ้าทั้งสามคือ
1.พระอมิตาภะพุทธเจ้า
2.พระศากยมุนีพุทธเจ้า
3.พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
รายละเอียดยาวนิดนึงนะครับ



พระอมิตาภะพุทธเจ้า


พระอมิตาภะพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีแสงรัศมีเปล่งประภาส ออกมาไม่มีประมาณ ทรงมีอีกพระนามคือ พระอมิตายุพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีอายุขัยยาวนานไม่มีประมาณ

แต่ สาธุชนนิยมเอ่ยพระนามของพระองค์แบบทับศัพท์ว่า ออ นี ท้อ ฮุก แปลว่า พระอมิตาพุทธเจ้า ซึ่งคำว่า "อมิตา" แปลว่า ไม่มีประมาณ เข้าใจว่า เป็นการเรียกขานพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ในความหมายทั้ง 2 คือ 1. แสงรัศมีไม่มีประมาณ 2. อายุขัยไม่มีประมาณ

พระสูตรของมหายานกล่าวว่า "หากผู้ใดภาวนาพระนามของพระองค์อย่างแน่วแน่ตลอดเวลา 1 วัน 2 วัน 3 วัน จนถึงตลอด 7 วัน 7 คืน เวลาใกล้จะสิ้นใจพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยอริยบริษัทจะเสด็จมารับดวงวิญญาณของผู้นั้นไปเกิดยังดินแดนสุขาวดีอันสุขารมณ์"

อันแดนสุขาวดีนี้ เป็นชื่อเฉพาะของพุทธเกษตรหรือดินแดนของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรานี้ห่างไกลแสนไกล พระสูตรกล่าวว่า แดนสุขาวดีเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรที่สุดยิ่งกว่าแห่งใด ๆ ทั้งทศทิศ

ผู้ที่ได้เกิดยังโลกแห่งนั้นจะเป็นผู้ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวง จะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระอมิตาภะ และพระมหาโพธิสัตว์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดจนตนเองได้สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วกลับมาช่วยเหลือ สรรพสัตว์อื่น ๆ ต่อไป

การได้ไปเกิดก็ไม่ยากเพียงระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าโดยการสวดพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอว่า " นำ มอ ออ นี ท้อ ฮุก" และเพียรประกอบกุศลกรรมความดีงามทั้งปวง กตัญญูรู้คุณ ฯลฯ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานมุ่งไปเกิดยังพุทธเกษตรของพระองค์ด้วยความตั้งมั่น

อันผู้ที่ไปเกิดยังแดนสุขาวดีนั้น จะได้เสวยความสุขารมณ์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่า สวรรค์ชั้นพรหม และ แดนสุขาวดีนั้นก็มีความวิจิตรงดงามยิ่งกว่าที่ประทับของพระศิวะเจ้าอีก ซึ่งคุณสมบัติของแดนพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้น ผู้มีจิตมุ่งมั่นไปอุบัติ หากแม้นได้หมั่นเพียรบำเพ็ญจนได้ไปอุบัติสมปราถนาแล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องกวนกลับมาสู่ภพภูมิเบื้องต่ำอีก ซึ่งต่างกับการไปเกิดบนสวรรค์ชั้นกามภูมิ หรือพรหมภูมิชั้นต่าง ๆ ที่หากสิ้นบุญเมื่อใดก็จะต้องหวนกลับมาสู่ภูมิเบื้องต่ำ เช่น เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เดรัจฉานบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง ตามแรงกรรมเฉพาะตน

พระปฎิมาหรือภาพวาดของพระองค์จะประดิษฐานอยู่เบื้องขวาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้าทรงมีปัทมบัลลังก์อยู่บนพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ บางแห่งจะทรงแบพระหัตถ์ขาวออกมาเบื้องหน้า แสดงกิริยารับดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ที่ประกอบกุศลพร้อมกับระลึกถึงพระองค์ไปเกิดยังแดนสุขาวดี

วันคล้ายวันพุทธสมภพคือ วันที่ 17 เดือน 11 จีน


พระศากยมุนีพุทธเจ้า

เมื่อไม่นานมานี้มีโอกาสร่วมจัดทำหนังสือบทสวดมนต์ ปกติแล้วก็จะทำเป็นหนังสือสวดมนต์ทั่วๆ ไปที่เราใช้กันอยู่ แต่ครั้งนี้มีมิตรธรรมที่รู้จักกันดีชวนกันทำหนังสือสวดมนต์ของจีน เราก็เลยได้ร่วมจัดทำกันด้วย ก็เลยอยากจะนำมาเผยแผ่ให้คนที่สนใจได้นำไปใช้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ



พระศากยมุนีพุทธเจ้า

พระศากยมุนีพุทธเจ้า ของทางฝ่ายมหายานออกเสียงพระนามทับศัพท์ว่า เสก เกีย คือ ศากยะ และ เมา นี คือ มุนี รวมเป็นศากยมุรี ซึ่งก็คือพระมหาสมณโคดม หรือ เจ้าชายสิทธัตถะ ที่ประสูติในสวนลุมพินีวัน ประเทศอินเดีย (ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของประเทศเนปาล) ตรัสรู้ใต้ร่มโพธิพฤกษ์ ริมแม่น้ำเนรัญชรา (พุทธคยา) และเสด็จดับขันธ์สู่ห้วงมหาปรินิพพานใต้ควงไม้สาละที่เมืองกุสินารา อันเป็นพระองค์เดียวกับพระพุทธเจ้าทางฝ่ายเถราวาทเรา พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาเพื่อยังประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ซึ่งพอจะสรุปคำสอนได้ว่า

"การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ธรรม 3 อย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"

พระพุทธองค์ทรงยังประโยชน์และตรัสแสดงพระธรรมเทศนาแบ่งเป็น 3 หมวด หรือพระไตรปิฎกอันมี 1. พระวินัยปิฎก 2. พระอภิธรรมปิฎก 3. พระสุตตันตปิฎก
(พระสูตร) แบ่งย่อยออกเป็นข้อธรรม 84,000 หมวดด้วยกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นอุบายธรรมที่ใช้ขัดเกลาสรรพสัตว์ที่เหมาะสมแต่ละบุคคล

พระศากยมุนีพุทธเจ้าตามแบบมหายานโดยมากจะทรงถือดวงแก้วมณีที่พระหัตถ์ซ้าย ซึ่งจะวาดเป็นสีแดง และ พระหัตถ์ขวาจะทรงท่ารัตนตรัยมุทรา หรือท่า ประทานเทศนา หรือ ประทานพร อันสาธุชนสามารถศึกษาพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ได้ตามฉบับของฝ่ายเถรวาท

วันคล้ายวันพุทธสมภพคือ วันที่ 8 เดือน 4 จีน
วันคล้ายวันเสด็จออกผนวชคือ วันที่ 8 เดือน 2 จีน
วันคล้ายวันทรงตรัสรู้พระโพธิญาณคือ วันที่ 8 เดือน 12 จีน
วันคล้ายวันเสด็จดับขันธปรินิพพานคือ วันที่ 15 เดือน 2 จีน


พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต มาทางจีนจะแปลความหมายของพระองค์ว่า
เอียะ ซือ หยู ไล หากจะแปลทับศัพท์ก็คือปี ซา แซ ลิว ลู เผก ลิว ลี ปอ ลา พอ ออ ลา
แซ แย เพราะหากจะแปลทับศัพท์แล้วมิอาจทราบได้เลยว่าคือ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
พระนามของพระองค์มีความหมายว่า

ไภษัชย คือ ยา, โอสถรักษาโรค
คุรุ คือ ครูอาจารย์, ผู้เชี่ยวชาญ
ไวฑูรย คือ แก้วรัตนะชนิดหนึ่งที่มีน้ำเงินใส ไทยเรียกว่า ไพฑูรย์
ประภา คือ แสงรัศมีที่ส่องสว่าง
ตถาคต คือคำเรียก หมายถึงพระผู้เสด็จมาแล้วด้วยดีอย่างนั้น ซึ่งหมายถึงการเรียกขานพระพุทธเจ้า คล้ายกๆ กับการเรียกว่า
พระพุทธเจ้า/ พระโลกนาถ เป็นต้น

สรุปความหมายพระนามโดยรวมคือ "พระตถาคตเจ้าผู้เป็นคุรุผู้เชี่ยวชาญทางโอสถรักษาโรค ผู้มีแสงรัศมีสีน้ำเงินบริสุทธิ์ประดุจแก้วไวฑูรย์"

พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทรงมีพุทธเกษตรของพระองค์เองอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของโลกเราแห่งนี้ออกไป ไกลแสนไกลชื่อว่า "ศุทธิไวฑูรย์" ซึ่งตรงกันข้ามกับแดนสุขาวดีที่อยู่ทางทิศตะวันตก ในพระสูตรบรรยายว่า ดินแดนของพระองค์นั้นมีความสวยงามอลังการและวิเศษ เสมือนกับแดนสุขาวดีทุกประการ มิแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ไปเกิดก็จะปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง ทั้งจะเป็นผู้มิเสื่อมถอยจากกุศลและภูมิธรรม จะได้บำเพ็ญตนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อกลับมาช่วยสรรพสัตว์ จนสำเร็จพระพุทธมรรคได้ยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น

การจะไปเกิดก็โดยตั้งปณิธานอธิษฐานจิตต่อพระองค์ และประกอบกุศลกรรมบำเพ็ญธรรมดีงามเพื่อมุ่งไปเกิด พร้อมกับการภาวนาพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอว่า ขอนอบน้อมแต่พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต เป็นภาษาจีนว่า
นำ มอ เอียะ ซือ ลิว ลี กวง ยู ไล หรือ ขอนอบน้อมแต่พระนิรันตรายจิรายุวัฒนาไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นภาษาจีนว่า
นำ มอ เซียว ไจ เอียง ซิว เอียะ ซือ ฮุก

ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่หมั่นภาวนามีสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน มิต้องประสบกับโรคร้าย เบียดเบียนทั้งโรคกรรมปีศาจทั้งปวง ให้ได้สมหวังดังปราถนาทุกประการ

พระปฎิมาของพระองค์จะประดิษฐานทางเบื้องซ้ายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงถือรัตนเจดีย์ หรือบาตรบรรจุทิพยโอสถ หรือบ้างก็ถือแจกันในพระหัตถ์ที่ ประสานกันในท่าสมาธิ
บางแห่งจะให้แบพระหัตถ์ขวาออกในกิริยารับดวงวิญญาณไปเกิด ธิเบตจะถือต้นยาวิเศษชื่อ "อคทะ" ทางจีนจะถือเห็ดหลินจือ โบราณเชื่อว่าเป็นของหายากที่สุดและเป็นยาอายุวัฒนะของเซียน หากเป็นภาพวาดของธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์เป็นสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งพระกริ่งที่นิยมกันแพร่หลายในประเทศไทยก็คือ
พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง

วันคล้ายวันพุทธสมภพคือ วันที่ 30 เดือน 9 จีน
ในรูปมี พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตทีแปลว่าเป็นผู้เป็นคุรุผู้เชี่ยวชาญทางโอสถรักษาโรค ผู้มีแสงรัศมีสีน้ำเงินบริสุทธิ์ประดุจแก้วไวฑูรย์จึงมีความสามารถที่จะรักษาอาการต่างๆได้ครับ

 

คุณตัวกลมๆ เจ้าคะ ก็ถังน้ำดื่มของตัวกลมๆ นั่นแหละ ที่ได้กรุณาหิ้วมาด้วยตัวคนเดียว อย่างยากลำบาก
กลายเป็นถังน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปในบัดดลที่คุณจีรศักดิ์นำผ้ายันต์ของหลวงปู่ดู่มาตากไว้ในวันเสาร์ที่ผ่านมา

คือเรื่องของเรื่อง มีน้ำหวานหกใส่หนะค่ะ ก็เลยต้องซักกันตามระเบียบ
แต่ไม่มีที่ตากผ้า ก็เลยเอาไปกางรอบถังน้ำดื่มไว้ตากลมให้แห้ง

ดิฉันและผู้มาเยือนจึงได้อนุโมทนาน้ำดื่ม ดื่มเข้าไป
ตอนที่ไปบู๊ท อ.สามตา ปวดหัว มึนงง มากๆ
เจอคุณ Visnu ก็สื่อสารไม่เต็มกำลัง บวกกับตื่นนิดๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณวิษณุ แถมยังแนะนำอะไรให้ฟังด้วย

คุณสุวิมาที่บู๊ท คุณวิษณุกลับไปแล้ว ก็ยังมึนอยู่ จนกระทั้งน้ำหวานหกใส่ผ้ายันต์นั่นแหละ
พอได้ดื่มน้ำอาการมึนหัวเริ่มดีขึ้น คุณจีรศักดิ์ก็เลยไปเอาผ้ายันต์หลวงปู่ดู่มาอีกผืน
คนละผืนกัน

ดิฉันก็ไปกดน้ำมาดื่มอีกรอบ พลังแรงกว่าผืนแรก และได้ยาคุณสุวิมากินไปพร้อมกัน
เหอะ...โล่งเลย...โล่งสักที...หายมึน หายใจสะดวก...โล่งสบาย

เล่าให้ฟังเพราะจะอนุโมทนาบุญเจ้าของถังน้ำดื่มนะคะ คุณตัวกลมๆ
ส่วนพลังผ้ายันต์ คุณตัวกลมไปที่บู๊ท ให้อาจารย์ช่วย copy พลังผ้ายันต์จากคุณจีรศักดิ์มาไว้บนผ้าเช็ดหน้าก็ได้ค่ะ
แล้วเอาไปพันกับขวดน้ำดื่มของตัวเองที่บ้าน ก็ได้ผลเหมือนกันค่ะ

 

คิดภาพออกแล้วค่ะคุณอธิษฐาน มีที่มาที่ไปอย่างนี้นี่เอง
มีคนได้ลองน้ำทิพย์ โพสให้อ่านแล้ว 2ท่าน ถ้าน้ำช่วยหวัด2009ได้ก็เยี่ยมไปเลยนะคะ
จะได้เอาขวดไปกรอกที่บูธเสียเลย

 

รูปชุดสวยๆๆ ที่ วิศณุ เอาขึ้นมาให้ชม
เขาได้ อธิบายไปแล้ว ว่า
เป็น รูปพระพุทธ สามองค์ ในแนว ตามความเชื่อของจีน
ตามที่ได้ อธิบายไว้เสียยาว
.......................................................
รูปอื่นๆๆ นั้น ก็เช่นกัน อยู่ในธิเบต และจีน
เป็นต้นแบบ ที่คงตัว..ที่มีพลัง..พลังมาในแนวเดียวกับ ลูกปัด ดี แซด ไอ
ที่อัดโดยใช้ พลัง แห่ง มนตรา ของการสวด และเคาะฆังเงิน
หรือ Bowl หรือ ชามแท่งหิน ที่ เอาไม้ ไป วนแล้ว จะเกิด เสียง
......................................................................
คนไทย ประสาท จะชินกัน กับ พลังการสวด แบบไทยๆๆ
อิติปิโส /ชิณบัญชร/พาหุง/ ชุมนุมเทวดา/ ฯลฯ
หูเราจะชิน และรู้สึก นิ่มๆๆ..สบายๆๆ
แต่พอมาเจอ พลัง แบบ ธิเบต /หรือ แขวนหินธิเบต ดี แซด ไอ
พลังจะแรง...เราจะเวียนหัว..เราจะมึน
ความนิยมใส่ หินธิเบตในเมืองไทย..จึงลดลงอย่างรวดเร้ว
....................................................................
รูปสวยๆๆ นั้นเป็น ต้นแบบ
ในเทศกาล ที่ ต้องมีการสวดมนต์
พระธิเบต จะมีการเอาทรายสี หลากสี มาวางบนพื้น
ทรายสี จะมีรูป ตามต้นแบบ ที่ คง ไว้
เรียก พิธีกรรม นี้ ว่า แมนดาร่า
เป็นพิธีที่ ศักดิ์ สิทธิ์ อย่างหนึ่ง ของ พิธีกรรม ของ ธิเบต
...................................................................
ต้นแบบ แมนดาร่า..จำนวน 5 แผ่น หลาก รูป..ยังคงอยู่ที่บู๊ธ
402...ผู้ใด อยากดู..อยากสัมผัส..มาดูชมได้
เจ้าของ อาจจะทิ้งไว้ ประมาณ 7 วัน นับ จาก วันที่ 3 สค 52
.....................................................................

 

เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้ ตอนที่ 40
พลังแห่งยา
............................................
ในยุคโบราณ..คนเราไม่มีความรู้ทางเคมี
เวลาป่วยไข้..จะมีผู้มีพลังจิต..จะรู้ว่า พืชชนิดใด /ผลไม้ใด/ใบต้นใด
กินแก้โรค ที่ เจ้บป่วย เป็น กรณีย์ๆๆ ได้
และ ยังคง มีการสานต่อ มาจนถึงปัจจุบัน
.............................................................
และในปัจจุบัน ได้ เป็นยอมรับ ของ ทางการ
ว่า สามารถรักษาคนป่วยได้ โดยยาสมุนไพร
และ ถือเป็น ระบบหนึ่งของ "แพทย์ ทางเลือก"
.............................................................
คนเรามีสมอง..เราก็สามารถรู้เรื่อง ยาสมุนไพรได้
ลองนึกให้ ดี..บางครั้ง เราจะเห็น แมว หรือ สุนัข
เคี้ยวยอดหญ้า บางชนิด..แล้วทำให้ มันอาเจียร ออกมาได้
มีใครสอนมัน หรือ
.................................................................
ยาสมุนไพร..มาจากธรรม ชาติ..คนก็มีชีวิตอยู่ กับธรรมชาติ
เมื่อเราใช้ยาสมุนไพร..อาการข้างเคียง มี น้อยมาก
ต่างกับ ยาสมัยใหม่..ที่ปรุงแต่ง โดยใช้สารเคมี ที่ มาจากการทดลอง
โดยทดลองว่า สารเคมี ตัวนี้..เมื่อ มาเจอ อวัยวะ หรือ ชิ้นเนื้อเยื่อ
จะเกิด ปฏิกริยาเช่นใด..ทำให้ ดีขึ้นหรือไม่
........................................................................
คนเรา มี ธาตุ หลัก ตาม ตำราโบราณ ว่า มี ธาตุ ดิน/น้ำ/ ลม/ไฟ
แต่ละคน จะมีธาตุ ทั้งสี่ ไม่เท่ากัน
ถ้า เท่า กัน..แสงออร่า เวลาถ่ายออกมา จะต้อง เหมือนกัน
ในความจริง เมื่อ ตรวจ แสงออร่า..จะพบว่า..ไม่เหมือนกัน
.........................................................................
จึงบอกได้ ว่า ยาเคมี ที่ ระบุว่า รักษาคนๆๆหนึ่งได้..ดี
แต่อาจจะไม่ดี หรือ เหมาะกับอีกคน
...........................................................................
เรื่องนี้ พิศูจน์ได้ ง่ายๆๆ โดยคนที่ มีพลังจิต
เมื่อ จับสัมผัสยา..แต่ละชนิด
สัมผัสนั้นจะบอกว่า ยานี้ แก้โรคอะไร..และเหมาะกับเขาใหม
...................................................................
(มีต่อ)

 

ทิ้งไว้เดี๋ยวก็มีคนมาเอาไป 5- 5- 5

 

ใครจะเอาไปหรือครับ ๕๕๕๕๕๕๕

 

ธรรมมะจัดสรรค์ ครับ

ใครเคยเห็นพระพรมหที่หลวงปู่ดู่กับอาจารย์เฮงสร้างกันมาแล้ว

ตอนนี้ที่บูทผมได้เอาพระฆเนศที่หลวงปู่ดู่สร้างไว้ ทำด้วยผงพุทธคุณทั้งองค์

ถ้าแวะไปก็จะได้เห็นครับ

 

เรื่องที่แปลกมีอยู่ว่า ครั้งที่เจอยามิรู้อยู่เมื่อเดือนก่อน คิดว่าตัวเองจะต้องกินไหม
แล้ว อ.สามตาก็บอกว่า ให้ลองจับพลังของโรคมิรู้อยุ่ว่าเป็นยังไง
ซึ่งเคยได้เล่าไว้แล้วในหน้าที่ผ่านๆ มา

คราวนี้ได้เจอคุณสุวิ ก็เลยพูดขึ้นมาอีท่าไหนจำตอนเริ่มไม่ได้
แต่คุณสุวิมียานี้ถึง 2 ตัว เขียนเลขว่ามิรู้อยู่2 (บน) และมิรู้อยู่4 (ล่าง)

แต่ไม่ทราบว่ายาไหนจะเหมาะกับข้าเจ้า
อ.สามตาเลยให้จับพลัง 2 ถุง
ถุงข้างหนึ่งอยู่มือซ้าย อีกถุงอยู่มือขวา ก็รู้สึกดี แต่อ.สามตาบอกให้ลองเปลี่ยนข้างถือถุงดู
ปรากฎว่าพอเปลี่ยนข้างถือถุงยา รู้สึกว่าหายใจโล่งกว่าเดิมมากๆ
แปลกแต่จริง ยา ถูกจริตกับคนแล้ว ยังต้องถูกข้างถือไว้ด้วย
ตอนกินเลือกข้างไม่ได้ แต่ถือไว้เลือกข้างได้ รักษาโรคได้

พวกเราๆ ท่านๆ ในวันนั้น ยังหัวเราะกันเลย โดยเฉพาะอ.สามตา บอกว่า
ยาบางอย่าง ตัวยาแพง ซื้อมาแล้วถือไว้ รักษาได้เหมือนกัน ประหยัด

เป็นการพูดกันเล่นๆ นะคะ มีส่วนจริงอยู่ แต่การกินยาน่าจะให้ผลที่ยาวนานต่อเนื่องกันมากกว่าหรือเปล่า ไม่ทราบ

ตอนนี้สำหรับดิฉันแล้ว ก็เลยลองถือยาหอม เทพวิจิตร ที่คุณสุวิให้มา
เพราะลมในท้องเยอะมาก เหอะๆ ว่าแล้วก็เอามาถือไว้เลยดีกว่า
กำหนดจิตว่ายามันอยู่ในท้องแล้ว
กราบอนุโมทนายาของคุณสุวิอีกครั้งค่ะ

 

พูดถึงเรื่อง มี อะไรจะเกาะมาด้วย ก็ชวนให้คิดตามไปด้วยเลย

เพราะ1 อาทิตย์ ต้อง ขึ้นทางด่วน อย่างต่ำก็10ครั้ง วันละ 2 ครั้ง

แบบนี้ ซักพัก รถคงหนักขึ้น เพราะ โดยสารมากกว่า1คน กับ 1กระเป๋า?

 

แวะเข้ามาดูความเคลื่อนไหว เห็นพี่บาสยังไม่นอนเลย ^0^ สวัสดีค่ะพี่บาส รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ช่วงนี้ลมแรงด้วย ^____________________^

พี่ตัวกลมๆ ก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เดี๋ยวปลิวตามลม เป็นห่วงนะจ๊ะ

 

รักษาสุขภาพเช่นกันจ้ะนู๋ZeGine_Sin ฐานดีจ้ะ ลมพัดไม่ปลิว
เรื่องผีเกาะรถนี่ คิดถึงเรื่องหลวงพี่เล่าให้ฟัง ว่าตอนสึนามิ คณะพระคุณท่าน
ได้ลงไปส่งบุญที่เกิดเหตุ ตอนกลับท่านก็ว่าได้ยินเสียงตบหลังคารถ จนถึงวัด
ท่านเลยว่า เขาพากันมาส่ง

คุณอธิษฐานได้เทคนิคทดสอบยา ท่าทาง ร้านขายยาอดได้ตังค์แน่ๆ ดีใจด้วยค่ะ
คราวนี้รักษาตัวได้สบายเลย

 

สวัสดีครับ

เอาบุญมาฝาก อาจารย์-พี่ๆ-เพื่อนๆ-น้องๆ ทุกๆท่านด้วยครับ
เมื่อวันจันทร์ไปทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือมาครับ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เป็นโครงการของสถาบันพระปกเกล้า ครับ

ชื่อโครงการคือ "ทานชีวิต-เศรษฐกิจพอเพียง รวมใจไทย เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิธีไถ่ชีวิตโค-กระบือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล"

ครั้งนี้มีโค-กระบือ จำนวน 60 ตัว เอาไปที่จังหวัดขอนแก่นครับ โดย โค-กระบือเหล่านี้ จะไปส่งมอบให้กับเกษตรกร ที่มีความต้องการ และต้องไม่ ฆ่า-ขาย-หรือกระทำการใดๆที่ต้องทำให้โค-กระบือเหล่านี้ต้องเกิดทุกข์ ครับ

ผมไปร่วมบุญที่นี่มา 3 ครั้งแล้วละครับ ตั้งใจว่าว่างเมื่อไหร่ก็จะไป เพราะเขามีทุกวันจันทร์ เวลา 14.00 น. มีไปเรื่อยๆ จนถึงครั้งสุดท้ายของปีนี้คือวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ไปไม่ยากเลยครับ ถ้าทุกๆคนจะไป ก็ควรไปให้ถึงประมาณ 13.30 น. ครับ เข้าทางประตูที่ตรงกับพระมหาธาตุจะสะดวกที่สุดครับ เลี้ยวเข้าประตูแล้ว ตรงเข้าเรื่อยๆครับ จะถึงบริเวณพิธีอยู่ด้านขวามือครับ จะมีรถบรรทุก โค-กระบือจอดอยู่ และมีหน่วยงานที่รับบริจาคอยู่ที่นั่นครับ หาที่จอดรถ(มีที่จอดเยอะครับด้านหลัง) แล้วก็ไปบริจาคที่นั่นได้เลยครับไม่ต้องโอนเงินไปก่อน

คนค่อนข้างเยอะนะครับ รู้สึกดีครับที่คนไทยใจบุญ เพราะการให้อภัยทานแก่ชีวิตสัตว์ใหญ่ที่มีอายุยืนยาวและทำคุณประโยชน์แก่มนุษย์นั้นถือว่าเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่มากนะครับ (ในหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้เขียนนั้น การอภัยทาน เป็นกุศลกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานถึง 100 ครั้ง และมากกว่าการให้ธรรมทานถึง 100 ครั้ง)

หลังจากบริจาคและได้ใบเสร็จรับเงิน(นำไปลดหย่อนภาษีปลายปีได้ด้วยครับ) แล้ว ก็หาซื้อหญ้าไปเลี้ยง โค-กระบือ ที่อยู่บนรถได้เลยครับ (มีแม่ค้า-พ่อค้าเตรียมมารอขายเยอะเลย)

และจะมีที่นั่งให้เลือกนั่ง 2 ที่ครับ ที่แรกก็ด้านนอกครับ จะมีเก้าอี้เตรียมไว้ให้นั่ง ส่วนอีกที่ก้อด้านในอาคารครับ ติดแอร์พร้อม (คนแน่นมากครับ)

ซึ่งในส่วนอาคารนี้จะเป็นบริเวณที่ทำพิธีทางศาสนาครับ จะมีพระมาสวดพระสูตรและปาฐะ เพื่อถวายพระพรชัยมงคล แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาเป็นประธานในพิธีครับ เราก้อสวดพระสูตรและปาฐะ พร้อมๆไปกับพระสงฆ์เลยครับ (จะมีหนังสือแจกตอนที่เราไปบริจาคครับ) ใช้เวลาทำพิธีประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมงครับ เสร็จแล้วพระท่านจะพรมน้ำมนต์ให้ผู้ที่มาร่วมพิธี และเอาออกไปพรมให้ โค-กระบือที่อยู่บนรถครับ เป็นอันเสร็จ

พอดีไปหลายครั้งแต่ไม่ได้เอากล้องไปด้วยเลยสักครั้ง มีแต่มือถือซึ่งภาพไม่ค่อยชัดเจนครับ เอาไปดูกันก่อนละกันครับ โอกาสหน้าสัญญาว่าจะถ่ายแบบชัดๆมาให้นะครับ และขอชวนทุกๆท่านไปทำบุญนะครับ

และผมขอให้กุศลกรรมที่ผมได้ทำไปนี้ จงถึงแด่ อาจารย์สามตา-อาจารย์สุวิ-พี่จิรศักดิ์-พี่จักรพล-พี่ดาวทะเลทราย-คุณวิษณุ-ตัวกลม(สุริยฉัตร)-เต๊ะจุ้ย-คุณอธิษฐาน-คุณพลอยมณี-คุณใกล้ชิด-พี่มังกรบูรพา และคนอื่นๆที่ไม่ได้เอ่ยนามที่อยู่ในที่นี้ และผู้ที่ยึดธรรมะเป็นสรณะ บุญใดที่เกิดขึ้นกับผมก็ขอให้เกิดขึ้นกับทุกๆท่านเท่าๆกันด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

 

มายินดีกับบุญปล่อยสัตว์กับคุณunclenon และขอบคุณที่เอาบุญมาฝากนะคะ
แถมบอกรายละเอียดเป็นอย่างดี เคยผ่านวัดเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เคยเข้าวัดนี้สักที
มีโอกาสคงจะได้ไปทำบุญบ้าง อยู่ไม่ไกลค่ะ ส่วนรูปไม่ต้องมืออาชีพเลย
อุตส่าห์แนบรูปมาให้ดูประกอบ ก็มากกว่าคำบรรยายอื่นๆแล้วค่ะ (เอ้อ แต่ถ้าไม่
บรรยายเลย บางทีป๋มก็เดาไม่ถูกน้าาา)

 

คุณลุงโนน เอาบุญมาฝาก สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมธนาบุญ ด้วย ครับ

ได้ยิน แล้ว หัวใจ มันเต้น ตูม ตาม อยากไป ทำบุญด้วย คน แล้วซิ
วัดนี้ ก็ไม่เคย เข้าไป สักที คงได้ ไป สักที ละ งวดนี้ ............... 55

 

ช่วงนี้คนไม่สบายบ่อยเลยเอายันต์ไล่โรค ไล่สิ่งไม่ดีมาให้ชมครับ




หลวงปู่ดู่สร้างสีนี้มอบแก่กรรมการวัดครับ คือท่านร่างเองกับมือ



อาจิรศักดิ์มี 5-6 ผืนมั้งครับ..........5-5-5

 

อนุโมทนาบุญกับคุณunclenon และก็ขอบคุณครับสำหรับ

บุญที่เอามาฝาก ผมก็ขอนำบุญมาฝากทุกๆท่านเช่นกันวันนี้ผ่าน

ไปอำเภอหันคา เลยแวะทำบุญวัดหัวตะพาน ก็ทำบุญได้หลายขนาน

ละครับทั้งกระเบื้องมุงหลังคา ,กระเบื้องแกรนิตปูพื้น แผ่นทองสำหรับ

หล่อพระ และสุดท้ายรับเป็นเจ้าภาพสร้างไม้เท้าหลวงปู่ศุของค์ใหญ่

ที่ทางวัดสร้างมานานแล้วแต่ยังไม่ได้หล่อไม้เท้าให้หลวงปู่ใช้แ๊๊ป๊บเหล็ก

แทนอยู่ ไม้เท้ายาวประมาณ 8 เมตรก็คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเททองหล่อ

ประมาณเดือน พค. 2553

ซึ่งเป็นเดือนที่พระองค์เจ้าอาภากร(กรมหลวงชุมพร)สิ้นพระชนม์และทางวัด

จัดงานทำบุญให้พระองค์ทุกปีถึงเวลาก็คงจะเชิญอาจารย์อาชวินและคุณจักรพล

อดีตชาติต้นห้องขององค์เสด็จเตี่ยไปร่วมงานด้วย

 

เกือบลืมครับมลฑปหลวงปู่ที่เคยเห็นแต่เสาเด่ๆ

เริ่มมีผนังแล้วประมาณ 60 %แล้วละครับ