เปรต..เปรต..เปรต!

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มิถุนายน 2005.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    'เปรตงูเหลือม'

    กาลเมื่อพระบรมสุคตเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงเปรตงูเหลือมให้เป็นเหตุ แล้วทรงตรัสเล่าที่มาแห่งเปรตนั้น ให้แก่ภิกษุและมหาชนทั้งหลายได้สดับความว่า

    สมัยเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ออกจากที่พักพร้อมพระลักขณเถระ ในเวลาเช้าเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ระหว่างทางพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ได้แลด้วยทิพจักษุเห็นเปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ อัตภาพของเปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส

    พระมหาโมคคัลลานเถระ เห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ ด้วยคิดว่าสัตว์ผู้มีร่างกายเช่นนี้เรามิได้เคยเห็นมาก่อน

    ฝ่ายพระลักขณเถระ เดินมากับพระโมคคัลลานเถระ เห็นพระเถระยิ้มน้อยๆ ก็อดที่จะสงสัยเสียมิได้ ด้วยคิดว่าการที่พระอรหันต์ผู้ใหญ่จะยิ้มคงต้องมีเหตุ จึงเอ่ยปากถามว่า ข้าแต่พระมหาเถระผู้ใหญ่ ท่านมีเหตุอันใดทำไมถึงได้เดินยิ้ม

    พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกล่าวแก่พระลักขณเถระว่า เวลานี้มิใช่เป็นเวลาที่จะตอบปัญหา เอาไว้ถามเราต่อหน้าพระบรมสุคตเจ้า ขณะเข้าไปเฝ้าก็แล้วกัน

    กล่าวดังนั้นแล้ว ท่านก็เดินนำพระลักขณะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ หลังจากกลับบิณฑบาตฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว พระมหาโมคคัลลานเถระจึงได้ชวนพระลักขณะเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า

    พระลักขณเถระจึงได้เอ่ยปากถามปัญหาที่ค้างไว้ตอนเช้าว่า พระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยเหตุอะไร

    พระมหาโมคคัลลานะจึงตอบปัญหานั้น ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมสุคตเจ้าว่า เมื่อเช้าหลังจากเดินทางออกจากที่พักมาระหว่างทาง ข้าพเจ้าเห็นเปรตตนหนึ่งมีตัวเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นคนผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้ตั้งแต่หัวมาจดหาง ไหม้ตั้งแต่หางมาจดหัว บางขณะก็ไหม้ตั้งแต่กลางลำตัวไปหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ เปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอันแรงกล้า ข้าพเจ้ามิเคยเห็นเปรตชนิดนี้มาก่อนจึงยิ้ม

    พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว

    ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมกันในขณะนั้น จึงทูลถามถึงบุพกรรมของเปรตนั้นว่ามีที่มาอย่างไร

    องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงทรงตรัสเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น

    มีเศรษฐีคนหนึ่งมีนามว่า สุมังคลเศรษฐี เป็นผู้มีทรัพย์มาก มียศมาก มีบริวารมาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยิ่งนัก ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์สร้างวิหารถวายพระบรมศาสดาให้เป็นที่ประทับพร้อมหมู่สงฆ์ พื้นที่โดยรอบวิหารปูลาดด้วยแผ่นอิฐทองคำ กว้างคูณยาว วัดได้ 100 วา เสร็จแล้วก็จัดให้มีพิธีฉลองวิหารนั้น ด้วยกำลังทรัพย์อีกมหาศาล

    ในเวลาเช้าของวันหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปเข้าเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างทางมีศาลาพักร้อนปลูกอยู่ข้างทางหลังหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีและบริวาร คิดจะเข้าไปนั่งพักให้หายเมื่อย แต่กลับพบบุรุษผู้หนึ่ง นอนคุดคู้มีผ้าคลุมหัวอยู่กลางศาลา ที่เท้านั้นก็เปื้อนโคลน

    สุมังคลเศรษฐี จึงกล่าวแก่บริวารว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2005
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธะ ทรงรับด้วยอาการดุษฎี แล้วทรงเสด็จไปยังที่ที่เศรษฐีและบริวารจัดเตรียมไว้

    สุมังคลเศรษฐี มีความลิงโลดยินดีเป็นยิ่งนัก ออกมาสั่งบริวารให้ระดมหาช่างชั้นเลิศรุมกันก่อสร้างพระวิหารและพระคันธกุฎีให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน เมื่อเสร็จแล้วเศรษฐีจึงสั่งให้ช่างทองหล่อทองคำให้เป็นแผ่นอิฐ นำมาปูพื้นบริเวณโดยรอบพระวิหารมีความกว้างคูณยาวเท่ากับพื้นที่เดิม แล้วสละทรัพย์ทำการเฉลิมฉลอง พร้อมถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าพร้อมหมู่สงฆ์มีประมาณ ๒ หมื่นองค์ตลอดเจ็ดวัน จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับหมู่สงฆ์ให้เสด็จประทับภายในพระวิหารและพระคันธกุฎี

    สิ้นสุดงานบุญสุมังคลเศรษฐี ให้มีจิตอิ่มเอิบยินดี ในกุศลผลบุญความดีที่ตนทำเป็นยิ่งนัก

    ข้างบุรุษผู้มีใจโฉดชั่ว หมกมุ่นอยู่ในแรงพยาบาท เห็นว่าเศรษฐีมิได้มีความเจ็บแค้นเดือดร้อน ต่อการที่วิหารและพระคันธกุฎีอันเป็นที่รักต้องโดนไฟเผาจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี บุรุษนั้นแทนที่จะระลึกถึงความดีที่มีอยู่ในจิตใจเศรษฐี กลับคิดว่า

    ไอ้เศรษฐีเฒ่าผู้นี้ มันช่างยั่วยวนกวนโทษาเรายิ่งนัก เผานามันก็แล้ว เผายุ้งฉางมันก็แล้ว เผาเรือนมันก็แล้ว ทำลายคอกปศุสัตว์มันก็แล้ว แม้ที่สุดวิหารและพระคันธกุฎีอันเป็นที่รักโดนเราเผาทำลายกลายเป็นกองขึ้เถ้า มันยังมีกะใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ระริกระรี่ สดชื่นใจ ไอ้เศรษฐีเฒ่านี้มันช่างไม่สะทกสะท้านอะไรซะเลย ถ้าไอ้เฒ่านี้ยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะหาความสุขไม่ได้เป็นแน่แท้ ดีหละเราจะต้องหาวิธีฆ่าไอ้เศรษฐีเฒ่านี้ให้จงได้ พอรุ่งเช้าบุรุษผู้มีจิตคิดแต่เรื่องโฉดชั่วนั้น จึงได้จัดแจงนุ่งห่มด้วยผ้าเนื้อหนา แล้วซ่อนมีดศาสตราเอาไว้ในผ้านุ่งของตน เดินตรงไปยังวิหาร เพื่อรอจังหวะที่จะฆ่าสุมังคลเศรษฐี

    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น เฝ้ากระทำอยู่เช่นนี้ทุกๆ วัน จนสิ้นเวลาไป ๗ วัน ก็ยังไม่มีโอกาสเหมาะที่จะลงมือฆ่าเศรษฐีได้

    สุมังคลเศรษฐี เมื่อกล่าวถวายวิหาร พระคันธกุฎี และโภชนาหารแด่พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์สาวก ๒ หมื่นรูปแล้วครบ ๗ วัน วันต่อมาจึงได้เดินทางเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลว่า
     
  3. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    'เปรตปากเน่า'

    กาลเมื่อ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า

    กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง

    กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น

    พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี

    กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย

    ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้

    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน

    ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เปรตปากสุกร

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร ณ กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงสุกรมุข เปรตให้เป็นเหตุ จึงทรงตรัสเล่าเรื่องที่มีมาแล้วแต่อดีต ความว่า

    ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาด้วยความเลื่อมใส ดำรงอยู่ได้ด้วยความเพียรพยายามที่จะสำรวมกาย แต่ไม่รู้จักประมาณ รักษาวาจา ชอบซุบซิบนินทาว่าร้ายแก่เพื่อนภิกษุผู้มีศีลทั้งปวง ใครผู้ใดจะแนะนำสั่งสอนให้ละวาจานั้นเสีย ภิกษุนั้นก็หาได้ยอมละวาจาทุจริตนั้นๆ ไม่

    ต่อมา ครั้นภิกษุนั้นตายลง ได้ไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่สิ้นเวลานานแสนนาน นับได้หนึ่งพุทธันดรพอดี เมื่อพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้มาบังเกิดเป็นเปรต อดอยากอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ เหตุเพราะยังเหลือเศษบาปที่กล่าววาจาทุจริตนั้นอยู่

    เปรตภิกษุตนนั้น มีรูปกายสีดังทอง มีปากดุจดังสุกร (หมู)

    ขณะนั้น พระมหาเถระนารทะ พักอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ เวลารุ่งเช้าพระเถระเจ้าจึงห่มจีวรถือบาตร เพื่อเตรียมตัวที่จะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พอเดินมาถึงตีนเขา พระเถระเจ้าจึงได้เห็นเปรต ผู้มีกายรุ่งเรืองดุจดังทอง มีปากดุจดังสุกร จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    เปรต : ญาติพระเจ้าพิมพิสาร

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ณ กรุงราชคฤห์

    ทรงปรารถถึงบุตรเศรษฐีผู้ตายไปเป็นเปรต ให้เป็นต้นเหตุ มีความว่า ณ กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีบริวารมากจนได้นามว่า มหาธนเศรษฐี เหตุเพราะเป็นผู้มีทรัพย์มาก

    มหาธนเศรษฐี มีบุตรชายอยู่คนเดียว จึงเป็นที่รักใคร่ของเศรษฐีและภรรยาเป็นอันมาก ทั้งสองเฝ้าถนอมเกลาเกลี้ยงเลี้ยงดูบุตรชายชนิดที่ยุงมิให้แตะ ริ้นมิให้ไต่ ไรมิให้ตอม เท้ามิให้แตะพื้น ธุลีมิให้เปรอะเปื้อน มลทินใดๆ มิให้มากล้ำกรายแตะต้อง ให้บุตรต้องมามัวหมอง

    ครั้นบุตรชายเศรษฐีนั้นเจริญวัย บิดามารดา ก็มาคิดว่า เราทั้งสองมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล ถึงลูกเราจะหยิบฉวยเอาไปใช้สักวันละพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท) สิ้นเวลาไปสักร้อยปี ทรัพย์ของเราก็ยังไม่รู้จักหมด แล้วประโยชน์อันใดเล่าที่เราจะเสือกไสให้บุตรของเราต้องไปศึกษาเล่าเรียน ให้ได้รับความยากลำบาก

    สองสามีภรรยาผู้เป็นเศรษฐี คิดดังนี้แล้ว ก็มิได้ส่งบุตรชายตนไปศึกษาหาความรู้ ด้วยคิดว่าไปศึกษาวิชาก็เพื่อจะนำมาแสวงหาทรัพย์ แต่เวลานี้ทรัพย์เรามีมากมายจนใช้ไม่หมด แล้วจะยังไปแสวงหาอีกทำไม สุดท้ายก็มิได้ส่งบุตรชายไปเรียนวิชาความรู้ใด ได้แต่ปล่อยให้บุตรชายตนเที่ยวเล่นซุกซนไปตามประสาเด็ก

    ครั้งเมื่อบุตรของผู้เป็นเศรษฐีเติบโตเป็นหนุ่ม บิดามารดาก็ไปขอกุมารี ผู้เป็นบุตรสาวของพราหมณ์มหาศาล ผู้เจริญด้วยชาติตระกูล มีรูปโฉมสะคราญตา เพียบพร้อมไปด้วยจริตกิริยามารยาท แต่ขาดธรรม

    บุตรชายเศรษฐีนั้น ได้อยู่กินร่วมกับกุมารีนั้น ต่างฝ่ายต่างก็พากันมัวเมาต่อกามคุณทั้ง ๕ มี รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสเป็นต้น

    ทั้งสองมิเคยรักษาศีลบริจาคทานบำเพ็ญภาวนาเลย อีกทั้งยังตั้งข้อรังเกียจต่อสมณะชีพราหมณ์ทั้งปวง ต่างพากันใช้จ่ายทรัพย์ที่มีเพื่อบำรุง บำเรอ ตนแต่ถ่ายเดียว มิเคยเหลียวดูความทุกข์ยากของเพื่อมนุษย์ แถมยังดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นาๆ

    กาลต่อมา บิดามารดาก็ถึงกาลกิริยาตายลง บุตรเศรษฐีพร้อมภรรยาแทนที่จะบังเกิดธรรมสังเวช กลับยิ่งมัวเมาประมาทใช้จ่ายทรัพย์ที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือย จนในที่สุดทรัพย์สมบัติมหาศาลที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้ก็ต้องหมดไป ต้องไปกู้หนี้ยืมสิของผู้อื่นมาเลี้ยงชีวิต ไอ้ครั้นจะคิดทำมาหากินก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรเพราะไร้วิชา กู้มามากๆ เข้าเจ้าหนี้เขาก็เข้ามาทวง เมื่อไม่มีทรัพย์จะใช้หนี้ บุตรเศรษฐีและภรรยาจึงต้องยกบ้านและสมบัติที่มีให้แก่เจ้าหนี้ทั้งปวงที่มาทวง แล้วตนกับภรรยาจึงชวนกันไปอาศัยนอนตามโรงทานหรือศาลาพักร้อนริมทาง ทั้งสองต้องซัดเซพเนจรรอนแรมเที่ยวขอทานเพื่อเลี้ยงชีวิตไปวันๆ ต้องรับความลำบาก ทุกยากเหลือแสน เหตุเพราะขออาหารจากใครๆ ก็มิอยากจะให้ ด้วยเป็นเพราะตอนที่ร่ำรวยก็ชอบที่จะดูถูกเหยียดหยามแก่คนที่ต่ำกว่า ครั้งเมื่อถึงเวลาตนตกต่ำแร้นแค้น เลยมีแต่คนจ้องดูแคลนมิให้อาหาร

    ขณะนั้นมีโจรกลุ่มหนึ่ง เดินทางผ่านมาเห็นเข้า จึงกล่าวแก่บุตรเศรษฐีขึ้นว่า เจ้ายังหนุ่มยังมีกำลังแข็งแรง เหตุใดจึงทำตัวเหมือนคนพิการขาดมือ ขาดเท้า เที่ยวขอทาน มาเถิดสหาย จงมาร่วมกับพวกเราเที่ยวลักขโมย ปล้นสดมภ์ ฉกชิงทรัพย์ของผู้คนทั้งหลายกันเถิด จะได้ทรัพย์มาพอเลี้ยงชีพได้ เจ้ามัวแต่เที่ยวขอทานอยู่เช่นนี้ คงมิอาจได้อาหารพอเลี้ยงชีพหรอก

    บุตรเศรษฐี จึงกล่าวว่า พี่ชายข้าพเจ้าไม่รู้จักวิธีลักขดมย ข้าพเจ้าคงจะทำมิได้

    พวกโจรจึงกล่าวว่า สหายไม่เป็นไรหรอก เรื่องวิธีลักขโมยปล้นสดมภ์น่ะ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยสอนให้ ขอให้สหายและภรรยาจงตามไปอยู่กับเรา แล้วทำตามเราสอนก็แล้วกัน

    เมื่อบุตรเศรษฐีและภรรยา ตามพวกโจรไปแล้ว ต่อมาโจรก็พากันออกชิงทรัพย์ในบ้านหลังหนึ่ง พร้อมทั้งมอบไม้กระบอง ให้แก่บุตรเศรษฐีแล้วกล่าวว่า

    สหาย เมื่อพวกเราเจาะฝาเรือนเข้าไปในบ้าน เจ้าจงยืนดักรออยู่ ณ ประตูเรือน ถ้ามีเจ้าของเรือนวิ่งออกมาทางประตู เจ้าจงตีด้วยไม้ตะบองนี้ให้ตาย จะได้ไม่ไปแจ้งแก่พระราชาว่าพวกเรามาปล้นเอาทรัพย์ไป บุตรเศรษฐีผู้นี้เป็นคนขาดปัญญา ไม่รู้ว่าทำสิ่งใดมีสาระ หรือไม่มีสาระ จึงทำตามคำสอนของพวกโจร ยืนถือไม้ตะบองคุมเชิงอยู่ที่ปากประตูเรือนเช่นนั้น

    พวกโจรเมื่อเข้าไปในเรือนได้แล้ว จึงเก็บขนข้าวของทรัพย์สมบัติ ใส่ถุงแบกหนีออกไปทางช่องฝาเรือน

    ขณะนั้นเจ้าของเรือน พอทราบว่าโจรเข้ามาขโมยทรัพย์ ก็พากันตื่นกลัว เอะอะโวยวาย หนีออกมาทางประตูบ้าน

    บุตรชายเศรษฐีผู้ริเป็นโจร ก็ใช้ไม้ทุบตีเจ้าของบ้าน แต่เนื่องจากเจ้าของทรัพย์ภายในเรือนมีหลายคน โจรมือใหม่จึงสู้แรงไม่ได้ จึงถูกจับประชาทัณฑ์พร้อมกับนำตัวไปถวายพระราชา ฟ้องว่าเป็นโจรมาปล้นทรัพย์ในเรือน

    พระราชาครั้นเมื่อไต่สวนเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้ว จึงทรงลงพระอาญา ด้วยการมีรับสั่งให้อำมาตย์ นำบุตรเศรษฐีผูกเครื่องจองจำ แล้วให้สวมคอด้วยพวกมาลัยดอกไม้แดง ทาศรีษะด้วยขี้อูฐ พร้อมทั้งนำตระเวนตีกลองร้องป่าวประจานไปทั่วเขตพระนคร เมื่อถึงเขตประหารที่นอกเมืองให้ตัดหัวเสียบประจาน

    ขณะที่ขุนทหาร นำลูกเศรษฐีผู้บัดนี้กลายเป็นโจร ถูกเครื่องพันธนาการร้อยรัดกาย ถูกบรรดาทหารเฆี่ยนตีด้วยแส้และหวาย ผ่านมากลางเขตบ้าน ผู้คนชนทั้งปวงก็พากันออกมามุงดู ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อึงมี่

    ครานั้นมีหญิงงามเมือง (โสเภณี) ผู้หนึ่ง มีนามว่า สุลสา นางได้ยินเสียงหมู่ชนก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์อยู่เซ็งแซ่ นางจึงชโงกหน้าออกมาดูจากบานหน้าต่างของปราสาทที่นางและมารดาพร้อมบริวารอาศัยอยู่ นางได้แลเห็นบุตรเศรษฐีถูกเฆี่ยนตีประชาทัณฑ์เช่นนั้น ก็เกิดใจเมตตาการุญ ด้วยเหตุว่าเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาแต่กาลก่อน

    นางจึงได้นำขนมสด ๔ ก้อน พร้อมกับน้ำดื่มไปให้แก่บุตรเศรษฐี พร้อมทั้งยังช่วยขอร้องต่อขุนทหารผู้ควบคุมว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอได้โปรดกรุณาให้เวลาบุรุษผู้ควรรับโทษานุโทษนี้ ได้มีโอกาสหยุดพัก ได้กินขนมสดและดื่มน้ำเสียก่อนเถิด ไหนๆ เขาก็จะมิได้มีโอกาสได้ดื่มกินอีกต่อไปแล้ว ผู้คุมจึงอนุญาต

    เวลานั้น พระโมคคัลลานะเถระเจ้า แลเห็นด้วยทิพยจักษุว่า บุตรเศรษฐีผู้นี้จักมาตายเสียวันนี้ เขายังมิได้เคยทำบุญบำเพ็ญกุศลสิ่งใดมาเลยตั้งแต่เกิด มีแต่ทำบาปอกุศล เมื่อตายไปจักไปบังเกิดในนรก ตกอบายภูมิ พระมหาเถระจึงมีใจกรุณา คิดว่าถ้าเราไปอยู่ ณ ที่ตรงนั้นบุตรเศรษฐีผู้นี้ จะได้ถวายขนมสดและน้ำดื่มแก่เรา เมื่อเรารับทานของเขาแล้ว เมื่อถึงคราวที่เขาตายจักได้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา ดีหละ...เราจะไปเป็นที่พึ่งแก่เขา

    ขณะที่นางสุลสา นำเอาขนมสดและน้ำ มอบให้แก่นักโทษ ผู้กำลังจะโดนประหาร พระมหาโมคคัลลานะจึงเนรมิตกายให้ปรากฏเฉพาะหน้าของนักโทษนั้น

    บุตรเศรษฐีผู้เป็นนักโทษประหาร เมื่อได้เห็นพระมหาเถระซึ่งเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ก็มีจิตเลื่อมใสยินดี จึงอังคาส (ถวายพระ) ขนมสดและน้ำดื่มแก่พระเถระ ด้วยจิตคิดว่าชีวิตเรากำลังจะมอดม้วย เราจะยังมาต้องการประโยชน์อันใดกับอาหารมื้อนี้ เราจะทำให้ขนมสดและน้ำดื่มนี้มีกินไปจนถึงโลกหน้าจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วบุตรเศรษฐีผู้เป็นนักโทษประหาร ก็ถวายขนมและน้ำนั้นแก่พระเถระ

    พระมหาเถระเมื่อได้รับขนมและน้ำนั้นแล้ว จึงลงนั้นในที่นั้นเพื่อดื่มและฉันให้บุตรเศรษฐีได้เห็น

    บุตรเศรษฐี ได้เห็นเช่นนั้น ยิ่งบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ผู้คุมจึงพาเดินทางไปสู่ที่ประหาร ขณะที่บุตรเศรษฐีบังเกิดปีติอิ่มเอิบในผลบุญของตนที่ได้กระทำมา จวบจนกระทั่งผู้คุมพาตัวมายังที่ประหาร และลงดาบตัดคอเขา จิตของเขาก็ยังดื่มด่ำเอิบอาบอยู่ในผลบุญที่ตนได้กระทำ

    ด้วยเดชแห่งบุญที่บุตรเศรษฐีได้กระทำก่อนตาย หลังจากตายลงแล้ว พลันได้อุบัติเป็นรุกขเทวดา สถิตอยู่ ณ ต้นไทรใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ระหว่างซองเขาแห่งหนึ่งนอกกรุงราชคฤห์

    ที่จริงบุตรเศรษฐี ควรจะมีวาสนาบังเกิดเป็นเทพยดาชั้นสูง เหตุเพราะได้มีโอกาสทำบุญแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ แต่ด้วยจิตก่อนตายได้หวนระลึกนึกรัก นางสุลสา ว่าของที่เราได้มาแล้วมีโอกาสทำบุญถวายทานแก่พระเถระ เพราะจิตใจที่มากด้วยเมตตาของนาง นางช่างมีจิตใจที่ดีงามเสียเหลือเกิน ตัวเราช่างมีวาสนาน้อย มิได้มีโอกาสอยู่ทำการอุปการะตอบแทนบุญคุณต่อนาง ด้วยความคิดเหล่านี้จึงทำให้จิตของบุตรเศรษฐีนั้น เศร้าหมองลง จึงได้ไปบังเกิดเป็นแค่รุกขเทวดา ถือว่าเป็นภุมเทวดาชั้นต่ำ

    ถ้าบุตรเศรษฐีนั้น จักขวนขวายดำรงวงศ์ตระกูลในเวลาเจริญวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีปานกลางดำรงวงศ์ตระกูลในเวลาเจริญวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีปานกลาง ถ้าขยันประกอบการงานในปัจฉิมวัย ก็จะได้มีโอกาสเป็นเศรษฐีน้อย แต่ถ้าบวชในปฐมวัย ก็จักได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฉิมวัยจักได้บรรลุพระสกทาคามี หรือไม่ก็เป็นพระอนาคมี แต่ถ้าบวชในปัจฉิมวัยจักได้บรรลุพระโสดาบัน แต่เพราะเขาคบคนพาล จึงกลายเป็นนักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน ชอบประพฤติทุจริตผิดศีลเสมอ ไม่เคารพผู้ใหญ่จนเป็นเหตุให้ทรัพย์ทั้งหลายพินาศเสียหายจนสิ้น แม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลือ
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    กาลต่อมา นางสุลสา ได้มีโอกาสไปเที่ยวเล่นนอกเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งภูเขา อันต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่ และ ณ ต้นไทรนั้น ยังเป็นที่สถิตของรุกขเทวดาบุตรเศรษฐี รุกขเทวดานั้นเมื่อได้เห็นนางสุลสาจึงจำได้บังเกิดความพึงพอใจต่อนาง จึงบันดาลให้มืดไปทั้งบริเวณรอบภูเขาทั่วภาคพื้น แล้วรุกขเทวดานั้นได้นำนางสุลสาไปสู่ยังวิมานอันเป็นที่อยู่ของตนบนต้นไทรใหญ่นั้น แล้วเล่าเรื่องแต่หนหลังให้นางสุลสาได้ทราบ มนุษย์และเทวดาทั้งสองนั้นจึงอยู่ร่วมกันสิ้นเวลาตลอด ๗ วัน

    กล่าวฝ่ายมารดาของนางสุลสา เมื่อเห็นว่าบุตรีของตนหายไปจึงออกตามหาไปในที่ต่างๆ ด้วยความอาลัยรักในบุตรีของตนจนสิ้นเวลาไป ๗ วัน ก็ยังมิอาจได้พบบุตรีของตนได้ จึงนั่งลงร้องไห้อยู่ข้างทางที่ผู้คนสัญจรไปมา

    คนทั้งหลายจึงพากันเข้าไปสอบถาม พอรู้ความก็บังเกิดความสงสาร แต่ก็สุดปัญญาที่จะช่วยนางผู้เฒ่านั้นได้ จวบจนเวลาล่วงเลยไปมีชายผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาเห็นเข้า จึงชักชวนยายผู้เฒ่าให้เข้าไปเฝ้าถวายอภิวาท พระมหาโมคคัลลานะเถระ ณ เวฬุวนาราม เพื่อขอให้พระเถระผู้มากไปด้วยฤทธิ์พิจารณาช่วยเหลือ

    ครั้นพระมหาเถระโมคคัลลานะ ได้ทราบจึงกล่าวแก่มารดาของนางสุลสาว่า นับแต่นี้ไปอีก ๗ วัน พระบรมสุคตเจ้า จักทรงแสดงธรรมที่เวฬุวันมหาวิหาร ขออุบาสิกาจงเดินทางมาสดับพระสัทธรรมนั้น แล้วอุบาสิกาจะได้เห็นนางสุลสาบุตรีปรากฏตัวอยู่นอกที่ประชุมนั้น

    กาลต่อมานางสุลสา จึงได้กล่าวแก่รุกขเทวดานั้นว่า นับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ในวิมานของท่าน ก็สิ้นเวลาไป ๗ วันแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงมารดาของข้าพเจ้า ถ้ามารดาออกตามหา คงจะต้องได้รับความยากลำบากทุกข์มากเป็นแน่ ขอท่านจงนำข้าพเจ้ากลับไปส่งแก่มารดาเถิด

    รุกขเทวดานั้นจึงได้นำนางสุลสาไปส่งให้แก่มารดา ในขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ให้นางสุลสายืนอยู่นอกที่ประชุมพร้อมรุกขเทวดา แต่มิมีใครมองเห็นรุกขเทวดา เห็นแต่นางสุลสา

    ชนทั้งหลาย เมื่อเห็นนางสุลสามาปรากฎยืนอยู่ จึงพากันซักถามนางว่าเจ้าไปไหนมา มารดาของเจ้ากำลังเศร้าโศกทุกข์ร้อน ดูคล้ายจะเป็นบ้า ทำไมเจ้าถึงทำเหตุฉิบหายให้เกิดแก่ตนเช่นนี้

    นางสุลสา จึงเล่าให้แก่ชนทั้งหลายได้ฟังว่า ไปอยู่กับรุกขเทวดาบุตรเศรษฐี

    ชนทั้งหลายพอได้ฟัง ต่างก็พากันส่ายหน้า แสดงอาการกิริยาไม่เชื่อแล้วกล่าวว่าไม่จริงหรอก เจ้ากำลังพูดโกหก บุตรเศรษฐีนั้นเป็นผู้มีความประพฤติเลวร้าย ชั่วช้าลามก มีบุญอันใดที่จะทำให้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา

    นางสุลสา จึงได้กล่าวขึ้นว่า บุตรชายเศรษฐีแม้จะทำทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ก่อนตาย เมื่อข้าพเจ้านำขนมสดและน้ำดื่มไปให้เขากินก่อนตาย เขากลับไม่กิน แต่มีศรัทธาบริจาคขนมสดและน้ำดื่มนั้นถวายแก่พระเป็นเจ้ามหาโมคคัลลานะผู้เรืองฤทธิ์ ด้วยกุศลกรรมดังกล่าวจึงทำให้เขาไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา

    ชนทั้งหลาย พอได้ฟังนางสุลสาเล่า ต่างก็พากันเปล่งสาธุพร้อมกับเกิดความเลื่อมใส อัศจรรย์ใจ ปีติโสมนัสเป็นที่ยิ่งนัก แล้วพากันกล่าวจนเกิดโกลาหลว่า โอ้! ช่างอัศจรรย์จริงหนอ... พระสมณะศากยบุตรช่างมีคุณอันวิเศษจริงหนอ... พระอรหันต์ของพระผู้มีพระภาค ช่างเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกจริงหนอ แม้แต่คนทุจริตเข็ญใจ น้อมถวายเครื่องสักการบูชาเพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นผลส่งให้ไปบังเกิดเป็นเทวดา ประเสริฐจริงหนอๆ... สาธุ... สาธุ...

    ภิกษุทั้งหลาย ครั้นได้สดับเสียงของมหาชนเป็นโกลาหลอยู่นอกที่ประชุมเช่นนั้น จึงนำความที่ได้สดับเอาไปกราบทูลถามแต่พระบรมสุคตเจ้า

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงได้มีพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่บุคคลมาถวายทานแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ถือว่าประเสริฐแล้ว พระอรหันต์เปรียบประดุจดังเนื้อนา ผู้ถวายทานทั้งหลายประดุจดังชาวนา สิ่งของที่ควรถวายทั้งปวงเปรียบประดุจดังพันธุ์พืชที่จะปลูกลงบนเนื้อนา

    เมื่อชาวนา ปลูกพืชพันธุ์ดีลงบนเนื้อนาที่ดี พร้อมทั้งดูแลรักษาอย่างดี (หมายถึงมีศรัทธา) ย่อมเป็นที่มุ่งหวังได้ว่า พันธุ์พืชนั้นๆ ย่อมเจริญเติบโตดี ผลก็ย่อมออกมาดี

    ผลของพืชนั้น (หมายถึงบุญที่ได้) ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ผู้ถวาย ผู้บริจาค ผู้อุทิศ (ผู้ปลูกหรือชาวนา) และยังเป็นประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย แก่หมู่ญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อผู้ให้ทาน ผู้ถวาย หรือชาวนาผู้ปลูกพืชนั้น ทำการอุทิศ บุญจึงมีแก่ผู้ให้ ผู้ถวาย ผู้อุทิศ หรือชาวนาผู้ปลูกพืชแล้วแบ่งปันแก่เปรตและญาติทั้งหลาย ผู้ให้ ผู้ถวายนั้นย่อมรุ่งเรืองเจริญ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนเปรตผู้ได้รับผลบุญนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากสภาพความเป็นเปรตด้วย การยินดีในบุญที่ญาติอุทิศให้ ตัวอย่างเช่น เปรตผู้เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น ดังเรื่องที่มีมาแล้วความว่า

    ครั้งเมื่อพระราชาพิมพิสาร และบริวารได้ทรงสดับพระสัทธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโปรดจนบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผลพร้อมหมู่ชนและบริวารเป็นอันมาก

    องค์ราชาพิมพิสาร ทรงมีจิตศรัทธา ทรงถวายอุทยานเวฬุวันพร้อมสร้างเป็นวัด เพื่อให้พระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์สาวก ได้อาศัยเจริญสมณะธรรม กาลต่อมา คืนวันหนึ่ง องค์ราชาพิมพิสารขณะที่ทรงกำลังบรรทม พลันทรงได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันน่ากลัวปรากฎขึ้นภายในพระราชวัง

    เช้าขึ้นพระราชาพิมพิสาร จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทรงกราบทูลถามถึงที่มาของเสียง ว่าเป็นเสียงอะไร ทำไมถึงได้โหยหวนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตรทรงอย่าได้หวาดกลัวไปเลย เสียงที่ทรงได้ยินนั้นจะไม่เป็นผลร้ายอันใดแก่พระองค์เลย แล้วทรงเล่าเหตุที่มาของเสียงเหล่านั้นให้แก่พระราชาพิมพิสารได้ทรงสดับ ความว่า

    อดีตกาลนั้นย้อนหลังจากนี้ไป ๙๒ กัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้รับทูลอาราธนาจากพระราชาผู้ครองนครราชคฤห์ในอดีต ให้เสด็จประทับอยู่ในพระราชอุทยานพร้อมภิกษุสงฆ์บริวารอีก ๕๐๐ รูป เพื่อที่จะถวายภัตตาหาร เหตุการณ์ได้ดำเนินอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายวัน จวบจนพระราชบุตรทั้ง ๓ ขององค์ราชา ได้ทูลขออนุญาตแก่พระบิดา เพื่อที่จะมีโอกาสถวายทานแก่พระปุสสะพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ ด้วยพระองค์เองบ้าง

    ราชาราชคฤห์ จึงทรงอนุญาตให้พระราชบุตรทั้ง ๓ ทำการถวายทานแก่พระปุสสะพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ทั้งหลายได้

    พระราชบุตรทั้ง ๓ จึงได้ไปชวนขุนคลัง (ซึ่งก็คือพระราชาพิมพิสารในชาติปัจจุบัน) ให้มารวมจัดหาอาหารทั้งคาวและหวาน ขุนคลังพอได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าจัดหาอาหารเลี้ยงพระ จึงชักชวนบรรดาญาติๆ ของตน ให้มาช่วยทำอาหารเลี้ยงพระ ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกันเป็นที่โกลาหล ขยันขันแข็ง ใหม่ๆ ตอนช่วงแรกๆ บรรดาญาติ ของขุนคลัง ก็ยังปฏิบัติตนดีอยู่ แต่พอเวลาล่วงเลยไป ชักเกิดความประมาท แอบบริโภคอาหารก่อนพระภิกษุสงฆ์เสียบ้าง แอบขโมยอาหารที่เขาทำไว้เพื่อถวายแก่พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ไปเลี้ยงลูกเมียและญาติของตนเสียบ้าง บรรดาญาติๆ ของขุนคลังแอบทำผิดอยู่เช่นนี้เป็นนิตย์ ด้วยความละโมบ
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    กาลต่อมา พระราชบุตรทั้ง ๓ และขุนคลัง กับบรรดาญาติบริวารตายลง

    พระราชบุตรทั้ง ๓ และขุนคลัง ตายแล้วได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ มีวิมานอันเรืองรองและโภคทรัพย์อันประณีตเลิศรสมากมายเป็นเครื่องอยู่ ส่วนบรรดาญาติๆ และบริวารของขุนคลัง ที่แอบขโมยอาหารของพระภิกษุสงฆ์ ต้องไปบังเกิดในขุมนรกสิ้นกาลช้างนาน ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเปรต จำพวก ปรทัตตูปชีวี คือเปรตจำพวกมีผลบุญของญาติเป็นอาหาร

    ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตที่มีเศษอกุศลอันเบาบาง จึงมีจิตอันระงับทุกข์โศกได้บางขณะ จึงมีโอกาสรับรู้บุญที่หมู่ญาติอุทิศให้ เมื่อรับรู้แล้วอนุโมทนาผลบุญนั้นๆ ความอดอยาก ยากแค้น ก็จะบรรเทาเบาบาง หรือหายไปสิ้น ด้วยเดชบุญของญาติ

    แต่ถ้ายังมิได้มีญาติระลึกถึง ไม่อุทิศผลบุญให้ เปรตจำพวกนี้ ก็จะซัดเซพเนจร เร่ร่อน แสวงหาผลบุญจากหมู่ญาติคนต่อๆ ไป ถ้ายังมิได้ก็จะเวียนกลับมา รอใหม่ วนเวียนอยู่ใกล้ๆ หมู่ญาติ ด้วยความหวังว่า
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ฝูงเปรตเหล่านั้น แม้จะมีสภาพร่างกายที่ผ่องใสเป็นสุข แต่ก็ยังมิได้มีผ้านุ่งผ้าห่ม องค์ราชาพิมพิสาร จึงได้ทูลถามพระบรมสุคตเจ้าว่าจะทำประการใด

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า ให้ถวายผ้าสบงจีวร และผ้านิสีทนะ แก่พระภิกษุสงฆ์

    พระราชาพิมพิสาร มีรับสั่งให้บริวาร จัดหาผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้ารองนั่งนำมาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงอุทิศผลบุญนั้นให้แก่บรรดาหมู่เปรตทั้งหลาย

    ผลบุญอันนั้น ทำให้บังเกิดเครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่งอันเป็นทิพย์พร้อมวิมานที่ปรากฎบนอากาศแก่เปรตเหล่านั้น

    เปรตเหล่านั้น เมื่อได้รับผลบุญของญาติ แล้วจึงเปล่งสาธุการ พากันเข้าไปอยู่ยังวิมานที่ปรากฏอยู่บนอากาศ

    พระราชาพิมพิสาร ครั้นได้เห็นอานิสงส์ในการให้ทาน และอุทิศผลบุญแก่บรรดาหมู่เปรตที่เป็นญาติ ทำให้ผู้จมทุกข์มีความสุขเห็นปานนี้ทรงมีความรื่นเริงยินดี เลื่อมใสศรัทธาในการทำทานมากยิ่งขึ้น จึงทรงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ มารับทานต่ออีก ๗ วัน

    พระบรมศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์ เมื่อได้ทรงฉลองศรัทธา แก่องค์ราชาพิมพิสารสิ้นเวลา ๗ วันแล้ว จึงทรงกล่าวอนุโมทนาคาถาว่า
     
  9. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
  10. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    [SIZE=+1]พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย เรื่อง
    "สัจจธรรมจากความมืด"

    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
    [/SIZE]
    ความมืด เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาคู่กับความสว่าง ความสว่างเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาควบคู่กับความร้อน ความอบอุ่นจากพลังงานที่ได้จากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดแก่โลก และดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในสุริยจักรวาล ทั้งเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดชีวิต และสร้างความเจริญงอกงามให้แก่พืช และสัตว์ในมนุษยโลกมาตั้งแต่ต้น ชีวิตของเรายกเว้นสัตว์ และพืชบางประเภทจะขาดแสงสว่างของดวงอาทิตย์ไม่ได้ ในตอนกลางคืน เมื่อสิ้นแสงอาทิตย์ ความมืดจะเกิดขึ้น ในบางโอกาส เราจะได้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งสะท้อนผ่านดวงจันทร์มายังโลกในวันข้างขึ้น และข้างแรมอ่อนๆ เมื่อโลกได้มีวิวัฒนาการ มนุษย์จึงได้คิดสร้างแสงสว่างจำลองขึ้นเพื่อใช้ทดแทนความสว่างของแสงอาทิตย์ที่หมดไปในเวลากลางคืน โดยการก่อกองเพลิงสุมไฟ และในโอกาสต่อมา ได้วิวัฒนาการโดยการสร้างเป็นประทีปที่ให้ความสว่างขึ้น อาทิ ไต้ เทียน ตะเกียง หลอดไฟฟ้า เป็นต้น ทุกชีวิตจะตื่นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า และลงมือกระทำกิจกรรมต่างๆ ตาม ภารกิจหน้าที่ของตน และใช้เวลากลางคืนที่ปลอดจากความสว่างส่วนหนึ่งเพื่อการพักผ่อนหลับนอน
    ทั้งความสว่าง และความมืด จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชโดยตรง โดยเฉพาะมนุษย์ และสัตว์ที่มีสมอง มีจิตวิญญาณ ความสว่าง และความมืดได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารมณ์ให้แก่สัตว์โลกเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ มนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไปมีความพึงพอใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และความอบอุ่น ในเวลากลางคืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ทุกชีวิต โดยเฉพาะชาย หญิงที่กำลังตกอยู่ในความรัก จะมีความสุข รื่นรมย์ กับธรรมชาติมากเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดที่จะชอบความมืด เพราะความมืดเป็นอุปสรรคสำคัญ เป็นสิ่งที่ปิดบังทำให้เราไม่รู้เห็นในความถูกต้อง ความเป็นจริงซึ่งอยู่รอบตัวเรา เว้นแต่ผู้ที่มีจิตเจตนาจะก่ออกุศลกรรม ทำบาป ทำชั่ว เป็นผู้ประกอบมิจฉาชีพ เป็นอาชญากร จะพอใจที่จะอาศัยความมืดเป็นที่แอบแฝงกำบังในการประกอบกรรมชั่วของตน
    องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในแก่นแท้ที่สุดของความจริงในสภาวธรรมนี้ จึงได้ทรงสมมุตินามบัญญัติของสิ่งที่เป็นเสมือนกับความมืด ซึ่งปิดบังมิให้สัตว์โลกได้เห็นสภาวธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ว่า "อวิชชา" ซึ่งเป็นคำศัพท์บาลีแปลว่า "ความไม่รู้"
    อวิชชา มีอิทธิพลสำคัญยิ่งต่อจิตวิญญาณ เพราะเป็นกลไกที่จะโน้มนำจิต สร้าง เจตนาให้มีการก่อกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ที่เจ้าของจิตกระทำไปเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวขาดสติ ขาดปัญญา ไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งเป็นผลมาจากกิเลสสำคัญ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    อวิชชานี้เองที่เป็นปัจจัย เป็นต้นเหตุสำคัญที่เกื้อหนุน เอื้ออำนวยให้สัตว์โลกต้องวนเวียนมาเกิด ตายไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อรับผล หรือ วิบากของกรรมที่ตนได้กระทำขึ้นเพราะความไม่รู้นั่นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในหัวข้อเรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งอาจจะสมมุติบัญญัติเป็นภาษาง่ายๆว่า "วงจรการเกิดดับของชีวิต" ก็คงจะไม่ผิดนัก
    จุดเชื่อมต่อของ "วงจรการเกิดดับของชีวิต" ดังกล่าว ที่ได้แสดงไว้ในพระอภิธรรมมีอยู่ ๑๒ จุดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป …..ไปจนถึงชาติ ชรา มรณะ เป็นที่สุด แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ อวิชชา อีกครั้งหนึ่ง เป็นไปในลักษณะนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
    เราอาจอธิบายความหมายของคำว่า "วงจรการเกิดดับของชีวิต" โดยวิธีอุปมา อุปมัย เปรียบเทียบกับธรรมชาติที่ปรากฏอยู่รอบตัวของเรา ได้ดังนี้
    เพราะมีน้ำขังอยู่ (ในคู คลอง แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร) ไอน้ำจึงเกิด (เพราะความร้อนจากแสงอาทิตย์) เพราะมีไอน้ำ ก้อนเมฆจึงเกิด เพราะมีก้อนเมฆ ฝนจึงตก เพราะมีฝนตก จึงมีน้ำขัง
    การกำจัดอวิชชา หรือ การกำจัดความไม่รู้ จึงเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่งตามหลักพระพุทธศาสนา โดยธรรมชาติ เราสามารถกำจัดความมืดโดยการใช้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นต้นกำเนิด และหรือ ใช้ความสว่างจากกองไฟ ประทีปโคมไฟต่างๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นก็ได้
    เมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็จะมีคำถาม คำตอบติดตามมาในลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้
    คำถาม เราจะสามารถกำจัดความไม่รู้ หรือ ความมืดมัวที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ปิดบังไม่ให้เราเห็นความถูกต้อง ความเป็นจริง นั้น ได้อย่างไร?
    คำตอบ การกำจัดอวิชชา หรือ ความไม่รู้ จะกระทำได้ด้วยวิชชา หรือ ปัญญา คือ ความรู้ว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว รู้จักบาปบุญคุณโทษ เท่านั้น

    เปรียบเสมือนกับ บุคคลที่เข้าไปในห้องมืด ย่อมไม่สามารถเห็นได้ว่า ในห้องนั้น มีสมบัติพัสถาน ตู้ตั่ง ถ้วยโถโอชามอะไรบ้าง วางอยู่ที่ใด จนกว่า จะได้จุดประทีปโคมไฟส่องสว่างขึ้น จึงจะเห็นได้ถนัดชัดเจน
    ความมืด เปรียบได้กับ อวิชชา และ ความสว่างที่เกิดจากประทีปโคมไฟ เปรียบได้กับ ปัญญา
    คำถาม เราจะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
    คำตอบ ปัญญาของมนุษย์มีบ่อเกิดมาจากการใช้สมาธิในการฟังที่เรียกว่า "สุตมยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดจากใช้สมาธิในการเล่าเรียน หรือ ในการรับถ่ายทอดกันมาหนึ่ง มาจากการใช้สมาธิในการคิดพิจารณาหาเหตุผลด้วยตนเอง ที่เรียกว่า "จินตามยปัญญา" หนึ่ง และมาจากการสร้างขึ้นมา ทำให้เจริญพัฒนาขึ้นมาที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากการใช้สมอง ใช้สมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ คือ การฟัง ซักถาม สอบค้น สนทนา การถกเถียง อภิปราย การสังเกตดู เฝ้าดู ดูอย่างพินิจ การพิจารณาโดยแยบคาย การชั่งเหตุผล การไตร่ตรอง ตรวจสอบ ทดสอบ สอบสวน ทดลอง เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ปัญญาที่เกิดจาการสดับตรับฟังมา ก็ดี ปัญญาที่เกิดจากการคิดเรื่องราวต่างๆ ก็ดี และปัญญาที่ทำให้เกิดความรู้เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ดี เป็นปัญญา หรือความรู้ในรูปแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในทุกตัวบุคคลมาตั้งแต่กำเนิดโดยวิวัฒนาการของสมองที่เป็นไปโดยธรรมชาติ การศึกษาเล่าเรียน การคิด การสดับตรับฟัง และการหมั่นใช้สมองเพื่อการกระทำต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เป็นเครื่องช่วยให้เกิดปัญญาเพิ่มพูนขึ้นใหม่บ้าง พัฒนาก้าวหน้าออกไปมากยิ่งขึ้นบ้าง ได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องขึ้นบ้าง จัดเป็นปัญญาทางโลกเรียกว่า "โลกิยปัญญา"
    ปัญญาทางโลกดังกล่าวข้างต้น จะยังนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดอวิชชาอย่างแท้จริงไม่ได้ เสมือนกับแสงสว่างของหิ่งห้อยในความมืดที่ไม่สามารถนำมาใช้ส่องทางเดินได้แทนที่จะเป็นคุณ กลับเป็นโทษ นำทางให้ตกหลุม สะดุดก้อนหินจนหกล้ม เจ็บตัว แข้งขาหักได้ ปัญญาที่จะสร้างความสว่างให้แก่จิตใจได้มากเพียงพอ ที่จะสามารถกำจัดอวิชชา หรือ ความมืดในจิตใจได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องเป็นโลกุตรปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติสมถสมาธิ และวิปัสสนากัมมัฏฐานควบคู่กันไป โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ศีล กำกับอยู่ด้วย ที่เรียกรวมกันว่า "ไตรสิกขา" เท่านั้น
    ผมขออธิบายข้อแตกต่างระหว่างโลกิยปัญญา กับ โลกุตรปัญญา โดยวิธีอุปมาอุปมัย ดังต่อไปนี้
    ขอให้ท่านนักศึกษาปฏิบัติธรรมหยิบกระบอกไฟฉายที่มีอยู่ขึ้นมาพิจารณา ครั้งแรกให้หมุนเกลียวถอดเอาส่วนหัวที่เป็นกระจก และแผ่นโลหะวงกลมเว้าซึ่งเคลือบปรอทไว้ให้สะท้อนแสง คงเหลือแต่ตัวกระบอกซึ่งบรรจุถ่านไฟฉายไว้ และตัวหลอดไฟฟ้าที่ติดอยู่กับกระบอกไฟฉายเท่านั้น
    เมื่อเปิดสวิตช์ที่ตัวไฟฉาย หลอดไฟฉายจะสว่างมากน้อยตามกำลัง และแรงไฟฟ้าของถ่านที่บรรจุอยู่ในกระบอกไฟฉาย ความสว่างของหลอดไฟฉายนี้จึงเปรียบเสมือนกับสุตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาพื้นฐานของแต่ละบุคคล
    ต่อจากนั้น ให้เช็ดกระจกหน้าให้สะอาดหมดจด แล้วสวมส่วนหัวของไฟฉายทั้งหมดให้เข้าที่ ทดลองเปิดสวิตช์ไฟฉายดูอีกครั้ง จะเห็นว่า แสงสว่างจากไฟฉายนั้นพุ่งออกเป็นลำไปได้ไกล มีความแรงมากกว่าแสงสว่างที่ยังมิได้สวมส่วนหัวไว้มาก ทั้งที่หลอดไฟ และถ่านไฟฉายที่ใช้ก็เป็นชุดเดียวกัน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะแผ่นโลหะเคลือบปรอทที่โค้งเว้าอยู่หลังหลอดไฟนั้น ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากหลอดไฟกลับไปรวมกันที่จุดศูนย์กลางของแผ่นโลหะ จึงเปรียบเสมือนกับ การปฏิบัติสมาธิเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง หรือ เอกัคคตา วิธีการนี้ ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง แสง ได้พิสูจน์ไว้อย่างแน่ชัดแล้วว่า จะสามารถเพิ่มให้พลังงานของแสงมากขึ้นกว่าเดิม และพุ่งไปเป็นลำแสงสว่างจ้าออกไปได้ไกล จึงเปรียบเสมือนกับโลกุตรปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติสมถสมาธิ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ส่วนกระจกแผ่นหน้านั้น หากไม่ทำความสะอาด ลำแสงของไฟฉายที่ส่องพุ่งออกไปจะไม่สว่าง ความสะอาดของกระจกแผ่นหน้าเปรียบเสมือนกับศีล ผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ กระจกแผ่นหน้าก็ขุ่นมัวเป็นอุปสรรคสกัดกั้นการพุ่งกระจาย และความสว่างของแสง ในทางตรงข้าม ถ้าผู้ใช้ไฟฉายหมั่นทำความสะอาดกระจกแผ่นหน้าเป็นประจำ แสงไฟฉายจะสว่าง พุ่งออกไปได้ไกล เสมือนกับผู้ที่สมาทานรักษาศีลอยู่จนเป็นประจำจนเป็นนิสัย เมื่อได้ปฏิบัติสมาธิแล้ว ย่อมเกิดพลังปัญญาขึ้นในจิตอย่างเจิดจ้า สามารถดับอวิชชาที่ยังมีหลงเหลือตกตะกอนคั่งค้างอยู่ได้ไม่น้อย

    <CENTER>********************* </CENTER>
    <TABLE><TBODY><TR><TD width=136>[SIZE=+1]เอกสารอ้างอิง[/SIZE]</TD><TD width=496 rowSpan=2>[SIZE=+1]๑. "พุทธธรรม", พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุต.โต), มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย[/SIZE]</TD><TR><TD width=136> </TD><TR><TD width=136></TD><TD width=496>[SIZE=+1]๒. "ปฏิจจสมุปบาท", บรรจบ บรรณรุจิ, กองทุนศึกษาพุทธสถาน[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...