เทศน์วันวิสาขบูชา วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เทศน์วันวิสาขบูชา วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗





    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ฯ


    บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระธรรมเทศนาในอัปปมาทกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีแก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

    ญาติโยมทั้งหลาย วันวิสาขบูชานั้น เป็นที่รู้ทั่วกันว่า เป็นวันประสูติ คือ วันเกิด วันตรัสรู้ คือ วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรารู้ทั่วถ้วนถึงธรรมทั้งปวง และวันปรินิพพาน คือ วันที่พระองค์ท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงไปแล้ว

    ญาติโยมทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เป็น ๑ ใน ๔ สิ่งที่เกิดได้ยากที่สุดในโลกนี้ ก็คือ การเกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญบารมีมานับกัปกัลป์อนันตชาติ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ มีปัญญามาก บรรลุธรรมได้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ต้องบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนนับไม่ถ้วน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประสูติจากท้องพระราชมารดา คือ นางสิริมหามายานั้น พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไป ๗ ก้าว แล้วเปล่ง "อาสภิวาจา" คือ คำพูดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ว่า...

    "อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ..เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก"
    "เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ..เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"
    "เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ..เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก"
    "อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว..ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่ จักไม่มีสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว"


    ญาติโยมทั้งหลาย เรื่องเหล่านี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันมาเนิ่นนานเหลือเกินว่า อันดับแรก เด็กที่เกิดมาสามารถพูดได้หรือไม่ ? อันดับที่สอง เด็กที่เพิ่งเกิดมาสามารถเดินได้หรือไม่ ?

    จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมี "ตถาคตโพธิสัทธา" คือ ความเชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายก็จะไม่เสียเวลามาเถียงกัน เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ไม่ได้พูดได้เลยตั้งแต่เกิดมาในเฉพาะชาตินี้เท่านั้น

    ในชาติที่เป็นมโหสถกุมาร เกิดมาพร้อมกับกำเอาแท่งยามาในมือ แล้วก็กล่าวว่า "อะมะ..ข้าแต่แม่ ยานี้สำหรับรักษาโรคของบิดา" เนื่องเพราะว่าบิดาของมโหสถบัณฑิตนั้น เป็นโรคปวดหัวมาเนิ่นนาน เมื่อได้ยาที่ติดมือลูกออกมาจากครรภ์มารดา เมื่อเอาไปรักษาก็หายขาดจากโรคที่เป็นอยู่

    ในชาติที่พระองค์ท่านเกิดมาเป็นพระเวสสันดร พอคลอดเคลื่อนจากท้องแม่ออกมา ก็กล่าวว่า "อะมะ..ข้าแต่แม่ ข้าอยากจะทำทาน"

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับบุคคลที่สร้างบุญญาบารมีมานับชาติไม่ถ้วนนั้นกลับเป็นเรื่องปกติ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสการเกิดของหมู่สัตว์เอาไว้ว่า..
    สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ เมื่อเคลื่อนไปไม่รู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกมาจึงรู้ตัว
    สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดาจึงรู้ตัว
    สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ ขณะอยู่ในครรภ์มารดารู้ตัวอยู่ ขณะคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดามารู้ตัวอยู่

    จำพวกสุดท้ายนี้แหละที่เกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้อยู่ตลอด ไม่ขาดสติ ทำให้พัฒนาการต่าง ๆ ไม่ได้หยุดชะงักลงไป ดังนั้น..เกิดมาจึงสามารถพูดได้เลย เพราะความสามารถต่าง ๆ ยังมีเหมือนชาติก่อน ๆ
    แล้วขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่กำลังของเด็กทารก อาจจะเดินได้เกินกว่า ๗ ก้าวด้วย เสียดายที่ว่าเป็นร่างของเด็กทารกที่กำลังน้อยจึงเดินได้แค่ ๗ ก้าว และกล่าววาจาแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาในพระไตรปิฎก อรรถกถา หรือฎีกาต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมา

    แต่ว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น มักจะเอาเรื่องของบุคคลซึ่งต้องบอกว่า ปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส ไปเปรียบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กล่าวว่าปกติของคนทั่วไปทำไม่ได้ แล้วผู้ที่เกิดมาเพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำได้อย่างไร ? เหมือนกับว่าถ้าเป็นบ้านเราก็บอกว่า คนทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถที่จะซื้อลัมโบร์กีนีมาขี่เล่นได้ แล้วทำไมเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือว่าเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี จะซื้อให้ลูกหลานขี่เล่นได้ทุกคน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..!

    ถ้าหากว่ารู้จักใช้หัวแม่เท้าตรองดูก็น่าจะรู้ถึงความต่างกันในฐานะ ในเมื่อไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซ้ำยังดึงเอาสมเด็จพระบรมครูลงมาเทียบเท่ากับปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสทั่ว ๆ ไป จึงไปกล่าวว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
    จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าในเมื่อท่านขาดความศรัทธา ก็ไม่ก้าวเข้ามาในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่ก้าวเข้ามาโอกาสที่จะได้แนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ไม่มี
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ลำดับต่อไป..วันวิสาขบูชานั้น เป็นวันที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่พระองค์ท่านรู้เรียกว่า "อริยสัจ ๔" คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการด้วยกัน ซึ่งบรรดาคณาจารย์ต่าง ๆ ในยุคนั้นสมัยนั้นมีถึง ๖๒ สำนัก มีที่ยิ่งใหญ่เป็นที่เคารพนับถือกันทั่วชมพูทวีปอยู่ ๖ สำนัก แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงตรงนี้ได้ เพราะว่ามีปัญญาไม่เพียงพอ

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วนำไปเผยแพร่ต่อ บุคคลที่มีกิเลสน้อย ยอมรับแนวความคิดของคนอี่น ก็ได้ประโยชน์ บรรลุมรรคบรรลุผลไปตาม ๆ กัน แต่บุคคลที่มีกิเลสมาก ยึดมั่นถือมั่นมาก ไม่ยอมเปลี่ยนแนวปฏิบัติของตนเอง ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แม้กระทั่งทุกวันนี้ ประเทศอินเดียก็ยังมีบรรดาฤๅษี โยคีต่าง ๆ ทรมานตนกันสืบ ๆ มา

    ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "อัตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเองจนเกินไปประการหนึ่ง กามสุขัลลิกานุโยค คือ การที่คลุกคลีอยู่กับกาม ติดความสบายมากเกินไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้เป็นส่วนสุด ก็คือหนทางที่ไปต่อไม่ได้ ทำให้ไม่ได้มรรคไม่ได้ผล ผู้ที่เป็นภิกษุไม่พึงไปข้องเกี่ยวเสวนาด้วย"

    หากแต่ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" คือ "มรรค ๘" ย่อลงมาเป็น "ศีล สมาธิ และปัญญา" จึงเป็นหนทางที่นำพาให้เราหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง สามารถที่จะปฏิบัติตามแล้วได้มรรคได้ผล ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนที่สั่งสมมา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำเอาความรู้ใหม่นี้ไปเผยแพร่ท่ามกลางความยึดมั่นถือมั่นกับของเก่า แม้กระทั่งปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ที่เคารพเลื่อมใสเจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ต้น แรก ๆ ก็ยังไม่ยอมรับว่า องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้จริง ๆ

    จนกระทั่งพระองค์ท่านตรัสว่า "ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาตถาคตเคยกล่าวอย่างนี้หรือไม่ ?" จึงระลึกได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นผู้พูดจริง ทำจริง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ก็คงไม่บอกว่าตนเองรู้ทั่วถึงธรรมแล้ว จึงได้ตั้งใจฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แล้วอัญญาโกณฑัญญเถระก็เข้าถึงธรรม กลายเป็นปฐมสาวก คือ บุคคลผู้ยืนยันการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นรูปแรก หลังจากนั้นก็มีบุคคลที่ได้มรรคได้ผลมากขึ้น ๆ จนศาสนาพุทธแพร่หลายไปทั่วชมพูทวีป และยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันนี้

    องค์สมเด็จพระชินสีห์ของเรา เกิดมาเพื่อโลกนี้ ตรัสรู้เพื่อโลกนี้ แล้วปรินิพพานหรือตายเพื่อโลกนี้หรือไม่ ?
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานตามหลักธรรมของพระองค์ที่ว่า...
    "สัพเพ สังขารา อนิจจาติ..สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง"
    "สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ..ธรรมทั้งหลายไม่สามารถยึดมั่นเป็นตัวตนได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด"
    องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงยืนยันตามหลักธรรมที่พระองค์ท่านสอนด้วยตนเอง ก็คือ แม้แต่พระองค์ท่านก็ยังเสด็จดับขันธปรินิพพาน


    ดังนั้น..สิ่งที่พระองค์ท่านสอนมา เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง และเพื่อประโยชน์ต่อโลก พระองค์ท่านทรงยืนยันคำสอนนี้ด้วยพระองค์เอง คือ เสด็จปรินิพพานในวันวิสาขบูชา ก็คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากการประสูติแล้ว ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงไม่ได้ตั้งใจจะเกิดในวันนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะตรัสรู้ในวันนี้ และก็ไม่ได้ตั้งใจจะปรินิพพานในวันนี้ หากแต่ว่าปลงอายุสังขารแล้วตรงกันพอดี

    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ได้กำหนดว่าวันนี้จะต้องเป็นวันสำคัญ แต่ว่าพุทธศาสนิกชนรุ่นหลังนั้นมากำหนดกันเอง เพื่อที่จะได้เป็น "พุทธานุสติ" คือ การระลึกถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่พระองค์ท่านชี้ทางออก บอกทางถูกให้
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหลายจึงได้มีประเพณีสืบ ๆ กันมา ก็คือ จะมีการทำบุญใส่บาตร ซึ่งเป็นการให้ทาน ตัดความโลภในจิตในใจของเรา มีการสมาทานรักษาศีล เพื่อเป็นการหักห้ามความโกรธในจิตในใจของเรา มีการฟังเทศน์ฟังธรรม น้อมนำเอาส่วนที่เหมาะที่ควรแก่กำลังใจของเราในตอนนั้น ไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เป็นการสร้างเสริมปัญญาของเรา

    ก็แปลว่า โบราณนั้นท่านกำหนดวันวิสาขบูชาขึ้นมา เพื่อที่ให้เราท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ และปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้ โดยที่มีพระองค์ท่านเป็น "เนติ" คือ แบบอย่างที่ดีที่สุดว่า พระองค์ท่านก็ยังดับขันธปรินิพพาน ขึ้นชื่อว่าปุถุชนอย่างเราที่จะไม่ตายนั้นไม่มี

    ดังนั้น..เราทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงควรที่จะยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ตามที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้เป็น "ปัจฉิมวาจา" คือ คำพูดสุดท้าย ที่ว่า "ขึ้นชื่อว่าสังขาร ย่อมมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"


    ญาติโยมทั้งหลายที่มาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามที่สมเด็จพระชินสีห์ได้เมตตาสั่งสอนเอาไว้ ๒,๕๖๗ ปีล่วงไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วดับขันธปรินิพพานในวันนี้ เราท่านทั้งหลายจะอยู่อีกกี่วันก็ไม่แน่ จึงควรที่จะสั่งสมคุณงามความดี ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ให้มากเข้าไว้ ถ้าวาสนาบารมีถึง เราจะได้ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถ้าตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน ก็ขอให้ทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเราท่านทั้งหลายนั้น สั้นลงที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ เพื่อที่เราจะได้พบกับความทุกข์น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    รับหน้าที่วิสัชชนามาในอัปปมาทกถาเนื่องในวันวิสาขบูชา ก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแห่งนี้เป็นที่สุด

    ขอได้โปรดเมตตาดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย ปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนาของท่าน สำเร็จสัมฤทธ์ผลสมดังมโนรถจงทุกประการ

    รับหน้าที่วิสัชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...