เครื่องรางแบบสากลนิยม

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย hiddenbhume, 30 มีนาคม 2016.

  1. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    ขอเปิดกระทู้ใหม่เชิญร่วมศึกษาเครื่องรางแบบสากลนิยมครับผม
    เครื่องรางของขลังเป็น สิ่งที่คนเราเชื่อถือต่อๆกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นศาสตร์หนึ่งที่ยังคงมีอยู่ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก แต่เรื่องของความเชื่อเรื่อง"เครื่องรางของขลัง" ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ ดังในตำราพิชัยสงคราม กล่าวว่า เครื่องรางของขลัง ที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคลเป็นเครื่องยึดเหนียวทางจิตใจ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิดและมีความเชื่อต่อ เครื่องรางของขลัง นั้นๆและต่อพระเกจิ ผู้ที่สร้างเครื่องรางเหล่านั้นอย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการสืบทอดศาสตร์ต่างๆ เกี่ยวกับวัตถุมงคล เครื่องลาง ของขลัง ตกทอดกันมาการใช้เป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ข่าวเครื่องรางของขลัง
    1. เครื่องราง หมายถึง วัตถุสิ่งของใดๆที่พระเกจิอาจารย์ ฆราวาสหรือผู้รู้ได้ทำการปลุกเสกขึ้นมาเพื่ออุปเท่ห์ในการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด เบี้ยแก้ ผ้ายันต์ ลูกอม ฯลฯ

    2. ของขลัง หมายถึง ของทนสิทธิ์ วัตถุใดๆที่มีดีในตัวเอง โดยพระเกจิอาจารย์ไม่ได้ทำการปลุกเสก เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เหล็กไหล เขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวหมูตัน เขากวางคุด ข้าวสารหิน ไม้ไผ่ตัน ฯลฯ

    3. เครื่องรางของขลัง หมายถึง ของขลังใดๆที่มีดีในตัว ที่ได้ผ่านกรรมวิธีปลุกเสกหรือลงอักขระโดยพระเกจิอาจารย์ เช่น ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ตะกรุดไม้ไผ่ตัน เขี้ยวเสือกลวงลงอักขระ เบี้ยเเก้ ไม้ครู มีดหมอ ผ้ายันต์ ผ้าประเจียด การสร้าง เครื่องรางของขลัง มีเยอะแยะมากมายเลยครับ ฯลฯ

    คำว่า "เครื่องรางของขลัง" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้สั้นๆ ว่า
    เครื่องราง น. ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล
    ของขลัง น. ของที่มีอํานาจศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้สําเร็จได้ดังประสงค์
    ประวัติเครื่องรางของขลัง สำหรับ เครื่องราง เป็นสิ่งที่มีมาตั้งสมัยโบราณกาลนับพันปีมาแล้ว และประวัติเครื่องรางของขลังไม่ได้มีเฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น ชนชาติอื่นๆ ก็มีเครื่องรางใช้ กันมานานแล้ว โดยเชื่อกันว่าของสิ่งนี้จะสามารถปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ให้ได้ รวมทั้งในเรื่องของโชคลาภ ความโชคดีทั้งหลายทั้งปวง
    วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง จึงนับเป็นเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีอยู่คู่กับมนุษย์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จนถึงทุกวันนี้ วัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง ก็เป็นที่นิยมในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม สุดยอดเครื่องรางของขลัง สำหรับความเชื่อในเรื่อง เครื่องราง ของคนไทย ก็มีมาแต่ครั้งโบราณเช่นกัน ดังจะเห็นได้ในวรรณกรรมที่มีการกล่าวถึงอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะ เครื่องราง ที่นักรบใช้ติดตัวในยามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ห้าวหาญไม่เกรงคลัวข้าศึก โดยเชื่อกันว่า เครื่องราง ที่สร้างขึ้นด้วยวิชาไสยศาสตร์ชั้นสูง โดยพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมอันเข้มขลัง จะสามารถช่วยคุ้มครองป้องกันภัยรอบตัวได้เป็นอย่างดี
    เครื่องรางของขลัง จึงนับเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของพระเกจิอาจารย์คนไทย หรือฆราวาสผู้มีวิชาอาคมขลัง สมัยเก่าก่อน ที่มีการสืบสานวิทยายุทธ์มาจนถึงทุกวันนี้ และส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือการจัดสร้างขึ้นมาทีละชิ้น ไม่ซ้ำรูปแบบกัน เพราะไม่ได้ใช้แม่พิมพ์ตายตัวแต่อย่างใด เครื่องรางของขลัง อันโด่งดังที่คนไทยรู้จักกันมาช้านานแล้ว ก็คือ ตะกรุด ที่สร้างจากวัสดุต่างๆ เบี้ยแก้ ผ้ายันต์ ผ้าประเจียด เสื้อยันต์ ลูกอม เขี้ยวเสือกลวง ไม้ครู มีดหมอ รักยม กุมารทอง ฤาษี ชูชก หุ่นพยนต์ ปลัดขิก น้ำเต้า กะลาตาเดียว ราหูอมจันทร์ หมากทุย เชือกคาดเอว เชือกคาดแขน แหวนพิรอด นางกวัก พ่อเฒ่า พ่อแก่ (ฤๅษี) ท้าวเวสสุวรรณ ฯลฯ รวมทั้งเครื่องรางที่แกะเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น หนุมาน ลิง องคต เสือ สิงห์ ราชสีห์ คชสีห์ ช้าง แพะ จิ้งจก ตุ๊กแก เต่า ปลาตะเพียน วัวธนู ควายธนู จระเข้ งู ฯลฯ
    <ins data-adsbygoogle-status="done" class="adsbygoogle my_adslot" style="display: inline-block; width: 336px; height: 280px;" data-ad-client="ca-pub-1590357468802909" data-ad-slot="3723690514"><ins id="aswift_4_expand" style="display:inline-table;border:none;height:280px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:336px;background-color:transparent"><ins id="aswift_4_anchor" style="display:block;border:none;height:280px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:336px;background-color:transparent"></ins></ins></ins>เครื่องรางของขลัง ของโบราณาจารย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นพระเกจิอาจารย์ หรือเกจิอาจารย์ฆราวาส ผู้มีวิชาอาคมขลัง มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญชำนาญการในเรื่องไสยศาสตร์เป็นอย่างดี ได้จัดสร้างขึ้นนี้ มีความหลากหลายเหลือเกิน แต่ละชิ้นงานล้วนเป็นการสร้างขึ้นด้วยฝีมือชั้นบรมครูอันล้ำเลิศ ทีละชิ้น โดยไม่ซ้ำกัน นับเป็นงานแฮนด์เมดที่เป็นภูมิปัญญาไทยอย่างแท้จริง ตลาดพระเครื่องรางของขลัง แม้วิทยาการทางเทคโนโลยีในสมัยนี้จะมีความก้าวหน้าไปมากแล้ว ความเชื่อในเรื่องของ พระเครื่อง วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง อันเก่าแก่อาจจะลดน้อยลงไปในความรู้สึกเชื่อถือและศรัทธาของคนรุ่นใหม่ก็ตาม แต่ เครื่องราง ก็ยังเป็นที่ศรัทธาสนใจของผู้คนอีกไม่น้อย โดยเฉพาะนักนิยมสะสมพระเครื่องทั้งหลาย โดยเห็นว่า เครื่องราง เป็นส่วนหนึ่งของงานสะสมที่น่าสนใจไม่น้อย เครื่องรางของขลังค้าขายดี แม้จะไม่เชื่อในเรื่องของอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ ความเข้มขลัง ก็ตาม แต่ เครื่องราง ก็ยังนับเป็นโบราณวัตถุอย่างหนึ่งที่เต็มไปด้วย ศาสตร์และศิลป์ อันทรงคุณค่ายิ่ง ที่จะไม่มีโอกาสพบเห็นจากชนชาติอื่นใด เครื่องลาง ของขลัง เหล่านี้จึงเป็นผลงานรังสรรค์ เครื่องลางของขลังที่เกิดมาจากภูมิปัญญาของคนไทยแต่ครั้งโบราณกาล สมควรที่คนรุ่นหลังควรจะได้อนุรักษ์เอาไว้ ด้วยความหวงแหน และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
    วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง ก็ต้องค่อยๆศึกษาแบบทีละอย่างค่อยเป็นค่อยไป วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง ในแต่ละยุคสมัยที่ต่างกัน การใช้วัสดุต่างๆและกรรมวิธีในการสร้างของครูบาอาจารย์ต่างๆนั้น ก็จะแตกต่างกันไป
    ที่มา :
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12001.jpg
      12001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152.5 KB
      เปิดดู:
      550
    • 12002.jpg
      12002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82 KB
      เปิดดู:
      532
    • 12003.jpg
      12003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.1 KB
      เปิดดู:
      506
    • 12004.jpg
      12004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.3 KB
      เปิดดู:
      489
    • 12006.jpg
      12006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.5 KB
      เปิดดู:
      398
    • 12005.jpg
      12005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.9 KB
      เปิดดู:
      467
    • 12007.jpg
      12007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.3 KB
      เปิดดู:
      384
    • 12008.jpg
      12008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.6 KB
      เปิดดู:
      374
    • 12009.jpg
      12009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      233.3 KB
      เปิดดู:
      346
    • 12010.jpg
      12010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.6 KB
      เปิดดู:
      404
  2. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    กำเนิดความเป็นมา เครื่องรางของขลัง PDF พิมพ์ อีเมล

    กำเนิดความเป็นมา เครื่องรางของขลัง

    หากจะพูดถึงเรื่อง เครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องที่ลึกลับและกว้างขวาง ซึ่งในตำราพิชัยสงคราม กล่าวว่า เครื่องรางของขลัง ที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคล ซื่งมีด้วยกันหลายชนิดและมีความเชื่อต่อ เครื่องรางของขลังนั้นๆและพระคณาจารย์เหล่านั้นอย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำรา ตกทอดกันมาเนิ่นนานทีเดียว ซึ่งแบ่งออกไปตามประเภทย่อๆดังนี้

    1. ความเป็นมาจากตามธรรมชาติ ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีการสรรค์สร้าง ซึ่งถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษา สิ่งนั้น ได้แก่ เหล็กไหล คดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ กลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
    2. ส่วนของดีที่สร้างขึ้นมานั้น ได้แก่ สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แร่ธาตุ ต่างๆ ที่หล่อหลอมตามสูตร การเล่นแร่แปรธาตุ อันได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัด เหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้คลุมไปถึง เครื่องราง ลักษณะต่างๆ ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้นกันภัยอันตราย

    การแบ่งตามการใช้ดังต่อไปนี้

    1. เครื่องคาด อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
    2. เครื่องสวม อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
    3. เครื่องฝัง อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา) และการฝังเหล็กไหล หรือ ฝังโลหะมงคล ต่างๆ ลงไปในเนื้อจะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
    4. เครื่องอม อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึง การอม เครื่องราง ชนิด ต่างๆ ที่มีขนาดเล็กไว้ในปากเพราะไม่เข้าชุด)

    การแบ่งตามวัสดุดังนี้

    1. โลหะ
    2. ผง
    3. ดิน
    4. วัสดุอย่างอื่น อาทิ กระดาษสา ชันโรง ดินขุยปู
    5. เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
    6. ผมผีพราย ผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
    7. ผ้าทอทั่วๆไป

    การแบ่งตามรูปแบบลักษณะดังนี้

    1. ผู้ชาย อันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤาษี พ่อเฒ่า ชูชก หุ่นพยนต์ พระสีสแลงแงง และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
    2. ผู้หญิง อันได้แก่ แม่นางกวัก แม่พระโพสพ แม่ศรีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์ พระแม่ธรณี และสิ่งที่เป็นรูปของผู้หญิงต่างๆ
    3. สัตว์ ในที่นี้ หมายถึง พระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ดังนี้เป็นต้น

    การแบ่งตามระดับชั้น ดังนี้

    1. เครื่องรางชั้นสูง อันได้แก่ เครื่องราง ที่ใช้บนส่วนสูงของร่างกาย ซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    2. เครื่องรางชั้นต่ำ อันได้แก่ เครื่องราง ที่เป็นของต่ำ อาทิ ปลัดขิก อีเป๋อ (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง (พ่องั่ง) ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
    3. เครื่องรางที่ใช้แขวน อันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลา หรือ กระบอกใส่ยันต์และอื่นๆ

    เมื่อได้แบ่งแยกกันออกไป เป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ออกไปให้เห็นกันง่ายๆแล้ว ทีนี้ก็จะจะมาพูดถึงว่าเขาสร้างเครื่องรางกันทำไม เรื่องนี้อธิบายได้พอสังเขปก็แล้วกัน เรื่องก็มีอยู่ว่าเดิมทีนั้นโลกไม่มีศาสนาบังเกิดขึ้นมนุษย์ก็รู้จักกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้น อาทิเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และ ดาวตก หรือแม้กระทั่ง ไฟ ดังนั้น เมื่อเห็น พระอาทิตย์ มีแสงสว่างก็เคารพ แล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิด ความอบอุ่นใจในตอนกลางคืน เมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหิน เพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็น เครื่องราง ไปโดยบังเอิญ และเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า ก็บูชาไฟ ทำรูปดวงไฟ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสิ่งประหลาด อาทิ นกที่มีรูปร่างประหลาด เป็นต้น ต่อมาก็สร้างรูปเคารพของเทพต่างๆ และค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จาก ประเทศ อียิปต์ กรีก โรมัน เพราะเป็นประเทศที่มี เครื่องราง มากมาย ดังนั้นเมื่อก่อนพุทธกาลราว 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมณ์ ถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม และ เมื่อต้องการความสำเร็จผลใน สิ่งใด ก็มีการสวด อ้อนวอน อันเชิญ ขออำนาจของ เทพเจ้าทั้งสามให้มาบันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ

    การกระทำดังกล่าวนี้จำต้อง มีที่หมายทางใจ เพื่อความสำรวม ฉะนั้นภาพจำหลักของ เทพเจ้าทั้ง 3 ก็มีขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ ( HariHara ) แห่งประสาทอันเดต (Prasat Andet) ที่พิพิธภัณฑ์ เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของ พระนารายณ์ ใน ศาสนาพราหมณ์ กับ เทวรูปมหาพรหม แห่ง พิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นด้วย ความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย กาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็บังเกิดขึ้นในโลก โดย พระบรมศาสดา (เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมวิเศษ อันมีผู้เลื่อมใส่สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้น พระพุทธองค์ ทรงมีพระสาวก ตามเสด็จ ประพฤติปฏิบัติมากมาย จนเป็นพระอสีติมหาสาวก ขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวก เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ ความเป็นเอตทัลคะ ในด้านต่างๆกัน มี พระสารีบุตร ทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา ส่วน พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ ในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ ได้หลายอย่าง เป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์ เหล่านี้ เรียกว่า “อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ใน “พระไตรปิฎก” มากมาย และพระคณาจารย์เจ้า ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ ท่านย่อมทรงไว้ซึ่งฤทธิ์

    โดย ที่พระพุทธองค์ ผู้เป็นเจ้าของ “พุทธศาสนา” นั้น พระองค์ทรงไว้ด้วย พระคุณ 3 ประการ คือ 1. พระเมตตาคุณ 2. พระปัญญาคุณ 3.พระบริสุทธิคุณ
    ดังนั้น พระเถรานุเถระผู้ทรงไว้ด้วย ญาณสมาบัติ ก็มักจะใช้ฤทธิ์ของท่านช่วยมนุษย์และสัตว์โลก ซึ่งถือเอาหลัก พระเมตตาคุณ เป็นการรอยพระยุคบาทแห่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระบรมศาสนา นั่นเอง
    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแสนนานทีเดียว แต่ลงรอยกันไม่ได้ นั่นก็คือคำว่า “เครื่องราง” กับ “เครื่องลาง” ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เขียนว่า “เครื่องราง” อันหมายถึงเครื่องป้องกันภัยที่สำเร็จด้วยรางหรือร่อง แต่สำหรับ นักนิยมสะสม เครื่องราง ระดับสากลนิยมจะเรียกว่า “เครื่องลาง”
    อันหมายถึง เครื่องที่ใช้เกี่ยวกับโชคลาง เพราะดั่งเดิมนั้น มนุษย์ ทำของเช่นนี้ ขึ้นมา เพื่อป้องกัน เหตุร้ายที่เรียกว่า “ลาง” ซึ่งเป็นลางดีและไม่ดี แต่ก็เอาละเมื่อเขียนว่า “เครื่องราง” ก็เอาตาม พจนานุกรมนั่นแหละ


    จบ……กำเนิดความเป็นมา เครื่องรางของขลัง
    ที่มา : กำเนิดความเป็นมา เครื่องรางของขลัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12012.jpg
      12012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      175.5 KB
      เปิดดู:
      384
    • 12013.jpg
      12013.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142.6 KB
      เปิดดู:
      393
    • 12014.jpg
      12014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.5 KB
      เปิดดู:
      340
    • 12015.jpg
      12015.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.7 KB
      เปิดดู:
      336
    • 12015-2.jpg
      12015-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.7 KB
      เปิดดู:
      300
    • 12016.jpg
      12016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      241.9 KB
      เปิดดู:
      376
    • 12017.jpg
      12017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.5 KB
      เปิดดู:
      301
    • 12018.jpg
      12018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.8 KB
      เปิดดู:
      287
    • 12019.jpg
      12019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      109.8 KB
      เปิดดู:
      302
    • 12020.jpg
      12020.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.3 KB
      เปิดดู:
      389
  3. sit01

    sit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +414
    ปรอทกรอ ของ ขลังส่วนตัวครับ

    เห็นว่า ไม่ค่อยมีคนเล่น อาจจะเป็นเพราะความหายาก ส่วนตัวผมมีเก็บไว้ เอามาให้ชม.......ตัวผู้ครับ

    ปรอทกรอล้านนา หรือ ทางเหนือเรียกกว่า "หน่วยบะป่อย"นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องรางล้านนาที่ถือได้ว่าเป็นยอดเครื่องรางทรงค่าหายาก หนึ่งวัดจะมีอยู่ลูกเดียวคือฝังไว้ที่ใต้ฐานพระอุโบสถขนาดมีหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ ลูกเล็กมักจะเรียกกันว่า “ปรอทกรอตัวผู้ “ ลูกใหญ่มักจะเรียกกันว่า “ปรอทกรอตัวเมีย”

    วัตถุประสงค์ของการสร้างปรอทกรอของล้านนาในสมัยโบราณนั้นก็คือการสร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายและสิ่งอัปมงคลทั้งปวง รวมถึงโจรผู้ร้ายที่คิดจะมาโขมยของในวัดเมื่อมีโขมยหรือสิ่งผิดปกติเข้ามาปรอทกรอก็จะส่งเสียงดังหรือ ที่เรียกกันว่า “ปรอทกรอวิ่ง”

    ภายในลูกปรอทกรอนั้นว่ากันว่าเป็นของวิเศษกายสิทธิ์จำพวกเหล็กไหล หรือปรอทเรียก หรือ ปรอทสำเร็จ ที่พระอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมได้เอาเป็นส่วนผสมของลูกกลมเล็กๆด้านในปรอทกรอ โดยนำเอามาหุงและหล่อเป็นลูกปรอทกายสิทธิ์ ฉนั้นเวลาเขย่าปรอทกรอจะมีเสียงคล้ายมีกริ่งอยู่ข้างในปรอทกรอนั่นก็คือลูกกลมเล็กๆที่ว่านี่เอง

    สำหรับที่ค้นพบปรอทกรอนั้นส่วนมากจะพบในดินที่เป็นเคยเป็นบริเวณวัดเก่า หรือ ที่คนทางเหนือล้านนาเรียกว่า วัดร้าง หรือ วัดห่าง นั่นเอง

    บ้างจะพบโดยบังเอิญจากการขุดพบหรือจากการขุดที่ถมที่ ในสถานที่เคยเป็นวัดร้างมาก่อน บางท่านก็ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ย่าตายาย

    เคยมีคนผ่าดูข้างในปรากฏว่ามีความซับซ้อนมากคล้ายหวีที่ใช้หวีผม สับเข้าหากันเวลาเขย่า และมีลูกกลมๆเป็นของวิเศษอยู่ภายใน ประเภทเหล็กไหลเป็นลูกกลมที่มีหลายเลี่ยม เรื่องความหายาก วัดในสมัยก่อนจะมีฝังไว้ที่ใต้อุโบสถทุกวัดแต่หนึ่งวัดจะมีฝังไว้เพียงลูกเดียวเท่านั้น

    วิธีการใช้ : ใช้ห้อยคอหรือ พกพาติดตัว(ไม่ควรต่ำกว่าระดับเอว) ใส่พานบูชา หรือ บรรจุบนหัวเสาเรือน



    อาณุภาพ : คนสมัยก่อนเชื่อกันว่าปรอทกรอจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้ และป้องกันสิ่งอัปมงคลทั้งปวง เตือนเมื่อมีภัย บูชาไว้เป็นสิริมงคลให้ลาภ และคุ้มกันบ้านเรือนและผู้อาศัย

    >>>และข้อมูลที่ได้รับฟังจาก อาจารย์เล็ก หรือ คุณฉันทิพย์ ราชเดช ลูกชายแท้ๆของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

    ข้อมูล >>>จากคอลัมม์ เปิดตำนานเครื่องรางล้านนา โดย เชน เชียงใหม่ ใน "นิตยสารอมตะล้านนา" เล่มที่ 4 ประจำเดือน มิย - ก ค 5
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      844.4 KB
      เปิดดู:
      1,037
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      759.2 KB
      เปิดดู:
      317
  4. ae noi

    ae noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    4,134
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ดุดีคับ
    ส่วนตัวผมเคยมี ชอบเสียงเพราะมากคับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMGP4125.JPG
      IMGP4125.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      361
    • IMGP4129.JPG
      IMGP4129.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      299
    • IMGP4130.JPG
      IMGP4130.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      278
  5. เจ๊ตุ้ม

    เจ๊ตุ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,607
    ไปด้วยคนครับ
    เรื่องของเต่างา กำจัด งากำจาย
    เต่าแบบนี้หลวงพ่อเงินท่านปลุกเสกในยุคแรกๆก่อนที่จะทำการหล่อเต่าเนื้อทองผสม(งากระเด็นหายากมีน้อยทำให้ไม่พอต่อความต้องการ)จึงหล่อเนื้อทองผสมในคราวหล่อรูปเหมือนลอยองค์ เนื่องด้วยเต่าที่เป็นงามีจำนวนน้อยมาก(หาตัวจริงยากครับ)เลยไม่ค่อยมีพบเห็น และลงบันทึกไว้เป็นรูปธรรม ข้อมูลที่ได้ต้องอาศัยวิจารณญาน ในการเสพนะครับ
    ” งากำจัด” คืองาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่... ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้ต่อเมื่อช้างตกมัน ไล่อาละวาดแล้วเอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวขณะกำลังตกมัน ส่วนบริเวณปลายงาจะหักคาอยู่กับต้นไม้..ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก...จะมีรุกขเทดารักษาไว้เพื่อมอบให้แก่ผู้มีบุญ ต้องทำพิธีจุดธูปบวงสรวงบอกกล่าวก่อนจึงจะสามารถแกะงาออกจากเปลือกไม้ได้

    ส่วนที่เรียกว่า “งากำจาย”หรือ “งากระเด็น” คือ งาของช้างสองเชือกที่เข้าต่อสู้กันเพื่อชิงความเป็นใหญ่(จ่าโขลง) หรือแย่งตัวเมียแล้วต่อสู้กัน จนอาจมีปลายงาหักแตกกระจาย แล้วจะตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดูเพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่นอยู่ แต่ก็คงไม่ทุกครั้งไป

    งากำจัด ,งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น...เมื่อผ่านการพกพาติดตัวหรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อนแก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วเลื่อยออกมา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่านการใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว การเหลืองฉ่ำถึงแม้เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นสีน้ำผึ้ง
    ข้อมูลที่ได้ต้องอาศัยวิจารณญาน ในการเสพข้อมูลนะครับ
    เต่างาแกะ สายหลวงพ่อเงินครับผม
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นํ้าข้าว

    นํ้าข้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,435
    ค่าพลัง:
    +10,351



    :cool::cool::cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...