อันนี้อาจโดนย้าย3

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย banpong, 23 กันยายน 2006.

  1. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
    <TABLE class=style01 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=style03 scope=col align=middle width="78%" bgColor=#ddddff> พลังจิต Gsychergy</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>พลังจิต (Gsychergy)

    หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
    บุคคลที่มีพลังจิตสูง
    บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
    การทำงานของ พลังจิต
    จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่งร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
    การศึกษา พลังจิต
    ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิต จะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น
    ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
    1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
    2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย
    3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้
    พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย

    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้

    พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้

    พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่าไ ม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่ สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคน เหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิม ของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหา สาเหตุไม่พบ
    การเพิ่มและการรับพลังจิต

    บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิต แต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
    การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
    1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
    2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
    3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี

    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม
    ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
    1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
    2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
    3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
    4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
    5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว

    การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น
    บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น

    บุญและบาปเป็นพลังงาน

    หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร กล่าวว่า ร่างกายของสัตว์ เป็นสสารควบคู่กับจิตใจ ซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิต ถูกพลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่ง ให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรม และกระทำความชั่วต่างๆ ได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ
    บุคคลที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่า ต่อมใต้สมอง จะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผล ให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่า เกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็น โรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง
    ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้

    1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดง ที่ไปหล่อเลี้ยง กล้ามเนื้อผนังหัวใจ หดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอล จะถูกสร้างขึ้นทั้งๆ ที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ

    2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมาก น้ำกรดในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร

    3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ
    1. ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน
    2. เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้
    พลังงานแห่งวิบากกรรม เหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไป ตามโอกาสตราบจน ผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม
    เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้ง มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรม จะเกิดขึ้นน้อย หรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกาย จะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้ง ร่างกายและจิตใจ
    จากหนังสือ ธรรมะในจิต โดย อาจารย์ พิศ เงาเกาะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...