วิธีพิสูจนภพชาติของพระพุทธเจา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 5 เมษายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หลายคนมีความรู้สึกวาทําไมตองเชื่อพระพุทธเจาดวย มีตัวตนอยู่จริงหรือเปลาก็ไมรู เรื่องนี้
    สามารถพิสจนได ดวยโบราณสถานทางพุทธศาสนา ทีมอยในประเทศอินเดีย เนปาลเป็นตน
    ซึ่งแสดงใหรู้ว่าพระพุทธเจามีตัวตนอยูจริง
    และขอตั้งคําถามใหคิดวา แลวทําไมเราตองเชื่อนักวิทยาศาสตรทั้งหลาย เชนมีดวงดาวตาง ๆ
    อยในจักรวาล มีสสาร พลังงานตาง ๆ อยู่มากมาย มีคลื่นไฟฟ้า คลื่นวิทยุอยูในอากาศ ทุกคนก็คงตอบไดว่า
    เพราะสามารถพิสูจนไดทางอายตนะทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้นและกาย ดวยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
    เชนเดียวกันสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสไวก็ตอง เอหิปสสิโก คือทาใหพิสูจน โดยการ โอปะนะยิโก
    คือนอมเขามาใสตัว ดวยวิธีการของพระพุทธองคคือ พิสูจนดวยจิต ซึ่งมีพุทธสาวกทั้งหลายทั้งบรรพชิต
    และฆราวาสสามารถพิสูจนไดและยอมรับกันมานักตอนักแลว
    แตทสําคัญซึ่งพิสจนไดว่า พระพุทธเจามีจริง ก็คือพระธรรมคําสอนของพระองคที่เป็นสัจธรรม
    มั่นคงมากวา ๒๕๐๐ ปี หากใครนํามาปฏิบติ ก็สามารถสัมผัสผลไดในขณะนั้น
    เพราะฉะนั้นผู้เขียนขอเสนอวิธีพสูจนว่า นรก สวรรคมจริงหรือไม ดังตอไปนี้

    ๑. พิสูจนดวยการอนุมาน เชนเห็นคนที่มีความสุขเพียบพรอมมีอยูในโลกนี้ ก็น่าจะอนุมานไดว่า
    เทวดาผู้สวยสุขอันเป็นทิพยมีอยูจริง หรือเห็นคนยากจนเข็ญใจมีอยู่ในโลกนี้ ก็น่าจะอนุมาน
    ไดเชนกันวา นรกจริงๆ นาจะมี
    ๒. พิสูจนดวยจิตที่เป็นสมาธิ คือฝึกสมถกรรมฐานจนไดฌานสมาบัติ มีฤทธิทางจิต( มโนมยิทธิ)
    จนสามารถไปเที่ยวนรกสวรรคทางจิตไดจริง
    ๓. พิสูจนด้วยชีวิต ถาอยากรูว่าชาติหนามีจริง ก็กลั้นลมหายใจซัก ๕-๑๐ นาที ก็สามารถเดินทาง
    ไปถึงชาติหนาไดอยางรวดเร็ว
    ๔. หากยังไมเชื่ออีกก็ต้องพิสูจนด้วยคัมภีร (เรียกวา ตถาคตโพธิสทธา คือเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจา)

    หากไมสามารถทําในขอ ๒ และขอ ๓ ได ก็ต้องอานเอาเองในคัมภีรพระไตรปฎก เชนที่ทรงตรัส
    ไวในวิมานวัตถุ หรือเปตวัตถุเป็นตน ซึ่งในปัจจุบันนี้ สามารถคนหาอานไดอยางงายดายทางอินเตอรเน็ต
    เชนเว็บไซต 84000 เป็นตน ถาหากเชื่อวาพระพุทธเจามีจริง ตรัสรู้จริง ก็ต้องเชื่อวาสิ่งที่บันทึก
    ไวในพระไตรปฎกนั้นเป็นของจริง เพราะเป็นที่ยอมรับของนักปราชญโดยทั่วไปวา พระไตรปฎกของเถรวาท
    ยังบริสุทธิ์และรักษาพุทธพจนไวไดเป็นอยางดี

    ผู้เขียนขอยกตัวอยางวิวาทะระหวางเจาปายาสิผู้ครองเมืองเสตัพพยะ ผู้ไมเชื่อเรื่องภพชาติ
    กับพระกุมารกัสสปะ ผซึ่งไดรับการยกยองจากพระพุทธเจาวาเป็นสุดยอดทางดานแสดงธรรมไดไพเราะ
    วิจตร ซึ่งมีบนทึกไวใน ปายาสิราชัญญสูตร พระไตรปฎกเลมที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค ผู้เขียนขอสรุป
    ยนยอไวด้วยสํานวนของตนเองดังตอไปนี้

    เจาปายาสิมีแนวความคิดทางดานวัตถุนิยมสุดขั้ว คือมีความเห็นวาโลกหนาไมมี ฉะนั้น
    สัตวที่จะไปเกิดในโลกหนาจึงไมมี และผลแหงกรรมดีกรรมชั่วไมมี(ตายแลวสูญ) ซึ่งทานเองก็ไมได้
    คิดขึ้นมาลอยๆ อยางไรเหตุผล แตไดทําการพิสูจนทดลองวิจัยมาแลวเป็นอยางดี
    วันหนึ่งเจาปายาสิไดแสดงทิฐิของทานกับพระกุมารกัสสปะดวยเหตุผลวา

    “ญาติของขาพเจาคนหนึ่ง ซึ่งคิดชั่ว ทําชั่ว พูดชั่ว พูดงายๆ คือชั่วสมบูรณแบบ หากพูดตามคําของ
    สมณะพราหมณทงหลาย ก็ต้องบอกวาตายไปตองเกิดในอบายภูมิแนนอน ขาพเจาจึงสั่งนักสั่งหนาวา
    ‘หากทานไปเกิดในนรก โปรดชวยมาแจงขาว หรือสงคนมาบอกเราดวยวา ในนรกนั้นเป็นอยางไร’
    แตจนบัดนี้ ขาพเจาก็ยังไมเห็นวาญาติผู้นั่นของเราจะมาแจงขาวใหทราบไดเลย แสดงวาตายแลว สูญแนๆ”

    ทานกุมารกัสสปะจึงชี้แจงวา
    “ทานอยาพึ่งดวนสรุปอยางนั้น หากทานจับมหาโจรได และสั่งใหโบยตีจับมัดแหประจาน
    ไปรอบเมือง กอนที่จะถูกนายเพชรฆาตบั้นคอเสียบประจานไว หากโจรจะขออนุญาตนายเพชรฆาตวา
    ขอกลับไปสั่งเสียญาติพี่น้องเสียกอน แลวจะกลับมาใหตัดคอ ทานคิดวาเขาควรไดรับการผอนผันไหม?”

    “ไมมีใครยอมใหทําอยางนั้นแน พระคุณเจา”
    “เชนเดียวกัน หากญาติของทานผูประพฤติชั่วไปเกิดในนรกแลว ไดขอผอนผันแกนายนิรยบาลวา
    เดียวกอนอยาพึ่งลงโทษขาพเจาเลย ขอไปบอกเจาปายาสิเสียกอนวา ขาพเจาไปเกิดในนรก โลกหนามีจริง
    ผลแหงกรรมมีจริง ไมใชตายแลวสูญ ทานคิดวานายนิรยบาลจะอนุญาตเขาไหม?”

    “นายนิรยบาลคงไมอนุญาตแนพระคุณเจา แตถึงทานจะยกเหตุผลมาโตแยงอยางไร ขาพเจาก็
    เชื่อวาตายแลวสูญอยูดี เพราะวาครั้งหนึง มีญาติคนหนึ่งของขาพเจาซึ่งเป็นคนดีมากๆ ป่วยหนักใกลตาย
    หากตายแลวเขาควรจะไดไปเกิดในสวรรค ตามวาทะของสมณะพราหมณทั้งหลาย ขาพเจาไดสั่งเสีย ไวว่า
    ขาพเจาไวใจทานมาก สิ่งที่ทานเห็นจะเป็นเหมือนกับสิ่งที่เราเห็น ทานโปรดกลับมาบอกเราดวยวา
    ความเป็นอยู่ในสวรรคนั้นเป็นอยางไร หรือจะบอกขาพเจาดวยวิธีใดก็ได ขาพเจาจะเชื่อตามนั้น
    แตจนบัดนี้ก็ยังไมเห็นเขาโผลหนามาแจงใหขาพเจาทราบเลย”
    “ใจเย็นๆ มหาบพิตร อุปมาเหมือนคนที่พลาดทาตกลงไปในหลุมสวม จมอยในอุจจาระจนมิดศีรษะ
    เมื่อไดรับการชวยเหลือใหขึ้นจากหลุมอุจจาระอันแสนสกปรก และไดชําระรางกายจนสะอาดแลว
    เขายังปรารถนาที่จะลงไปอยในหลุมสวมนั้นอีกหรือมหาบพิตร”
    “คงไมมีใครปรารถนาอยางนั้นแน พระคุณเจา”
    “ก็เชนเดียวกัน หมู่มนุษยนั้นนับวาไมสะอาด มีกลิ่นเหม็น และเป็นสิ่งปฏิกูลดุจหลุมสวม
    สําหรับทวยเทพแลวกลิ่นมนุษยเหม็นไปตั้งหลายรอยโยชน หากญาติของทานไปเกิดในสวรรค์
    เขาจะมาทูลทานหรือวาตายแลวไมไดสญนะ”
    “ทานอุปมาไดดีนะ พระคุณเจา แตข้าพเจาก็ยังเชื่อมั่นในความเห็นของขาพเจาอยูดี”
    “ถาอยางนั้นลองฟังอีกอุปมาหนึ่ง รอยปีของมนุษยเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของทวยเทพ
    ชั้นดาวดึงส พันปีทิพย์เป็นอายุของเทวดาในชันนี้ (๓๖ ลานปีของมนุษย) หากญาติของทานไปเกิดเป็น
    เทพชั้นดาวดึงส เพลิดเพลินกับการเสวยสุขอันเป็นทิพย ดวยคิดวา ‘ขอสนุกสักสองสามวันกอนแลว
    คอยไปทูลเจาปายาสิ’ ทานคิดวาเขาควรจะมาบอกทานไดหรือวาชีวิตในโลกหนามีอยจริง”
    “คงไมรู้จะบอกใครไดแลวละพระคุณเจา เพราะพวกเราคงจะพากันตายไปนานแลว แตขาพเจา
    สงสัยอยูหนอย แลวเทวดาที่ไหนมาบอกพระคุณเจาวา เทพชั้นดาวดึงสมีอยูจริง หรือเทพเหลานั้นจะมีอายุ
    ยืนไดถึงขนาดนั้นจริงๆ ขาพเจาไมใชคนหูเบาเชื่องายถึงปานนั้น”
    “ถาอยางนั้นอาตมาจะอุปมาใหฟ้ง หากมีคนตาบอดกลาววา สีดํา แดง ขาว เหลือง หรือดวงดาว
    ดวงจันทร ดวงอาทิตย ไมมีอยูจริง เพราะไมเคยรูจักและไมเคยมองเห็นสิ่งเหลานั้น ทานคิดวาเขาควร
    จะพูดเชนนั้นหรือ?”
    “ไมควรแนๆ พระคุณเจา”
    “สิ่งที่มหาบพิตรตรัสไวก็ไมสมควรเชนกัน เพราะนรกสวรรคนั้นไมสามารถมองเห็นไดด้วย
    มังสจักษุ หากสมณะใดพอใจในเสนาสนะอันสงัด มีความไมประมาท บําเพ็ญเพียรอยู่ มีทิพยจักษุ
    อันบริสุทธิ์เกิดขึ้นแลว ยอมมองเห็นไดทั้งโลกนี้และโลกหนา ไมใชด้วยมังสจักษุดั่งมหาบพิตรตรัส
    เพราะฉะนั้นอาตมายืนยันวา โลกหนามีอยู่ สัตวที่เกิดในโลกหนามีอยู่ ผลของบุญและบาปมีอยู่จริง”

    “ถาอยางนั้น พระคุณเจาลองอธิบายใหข้าพเจาฟังหนอยเถิดวา ทําไมบรรดาสมณพราหมณผู้มีศีล
    มีกัลยาณธรรมและเชื่ออยู่เต็มอกวา ชาติหนามีจริง ผลบุญมีจริง ทําไมไมรีบฆาตัวตายไปซะ
    จะไดไปเสวยสุขในสวรรค ขาพเจาก็เห็นมีแตรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้นนี่นา”
    “อาตมาจะยกนิทานเรื่องหนึ่งใหฟัง มหาบพิตร...
    มีชายแกคนหนึ่งมีบุตรซึ่งมีอายุประมาณ ๑๐ ปีกับภรรยาคนแรกซึ่งดวนตายจากแกไปกอน
    ดวยความเป็นหวงลูกชายอยากใหมคนคอยดูแล แกจึงแตงงานกับหญิงอื่น จนหญิงนั้นตั้งทองใกลคลอด
    ชายแกก็ด่วนจากโลกนี้ไปอีกคน ลูกชายตัวนอยคงจะไดรับการยุยงจากญาติอื่นๆ จึงกลาวทวงมรดกวา...
    “แม...ทรัพย ขาวเปลือก เงินหรือทองทั้งหมดนั้นเป็นของฉัน แมหามีสวนอะไรในทรัพย์
    สมบัตินี้ไม ขอแมจงมอบมรดกซึ่งเป็นของพอใหแกฉันเถิด”
    แมแมเลี้ยงจะชี้แจงวา
    “ขอลูกจงรอจนกวาแมจะคลอดเถิด ถาลูกที่คลอดออกมาเป็นชาย เขาจะไดรับสวนแบงในมรดกนั้น
    ถาเป็นหญิง ก็จะยกใหเป็นภรรยาของเจา” (ตามธรรมเนียมของพราหมณในสมัยนั้น)
    แตเด็กนอยนั้นก็พร่าพูดอยูอยางนั้นถึง ๓ ครั้ง
    แมเลี้ยงทนรําคาญไมไหว จึงไดฉวยเอามีดผาทองของตนเองเพื่อจะไดรู้ว่า เด็กที่อยูในทองเป็น
    หญิงหรือชาย หญิงนั้นจึงไดถึงแกความตายดวยความโงของตนเอง ฉันใด
    มหาบพิตร...ก็ฉันนั้นเชนกัน ผูไมฉลาด แสวงหาโลกหนาดวยอุบายไมแยบคาย ยอมถึงความ
    พินาศ สมณพราหมณผู้ฉลาด ยอมไมเรงผลไมที่ยังไมสุกใหรีบสุก จึงรอใหผลไมนั้นสุกเอง อันชีวิตของ
    สมณพราหมณผู้มีศล มีกลยาณธรรม แปลกกวาคนอื่นๆ ทานดํารงอยูนานเทาใด ก็ยอมประสบบุญมาก
    เทานัน และปฏิบตเพื่ออนุเคราะหโลก เพื่อประโยชน เพื่อเกือกูล เพื่อความสุขแกเทวดาและมนุษยทั้งหลาย
    ดูกรมหาบพิตร โดยคําอธิบายเชนนี้แล อาตมาขอยืนยันวาตายแลวไมสญแนนอน”

    “เหตุผลของพระคุณเจานาฟัง แตข้าพเจาก็ยังมั่นใจในความเห็นของขาพเจาอยูดี เพราะขาพเจาได้
    ทดลองดวยการใหคนของขาพเจา จับโจรที่สมควรไดรับโทษประหารใสในหมอใบใหญ และใหรัด
    หมอใหแนน พอกดวยดินเหนียว ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ จนมั่นใจวาโจรนั้นไดตายแลว จึงไดสั่งใหเขาคอยๆ
    เปิดฝา แกะเอาดินเหนียวออก เพื่อจะไดสงเกตวามีชวะ ( วิญญาณ) ของโจรลอยออกมาไหมแตขาพเจา
    ก็ยังไมเคยเห็นวาจะมีชีวะอะไรลอยออกมาใหดู ขาพเจาจึงมั่นใจวาชีวตในโลกหนาไมมีแนๆ”
    “อยางนั้นหรือมหาบพิตร ถาอยางนั้นขาพเจาขอถามหนอยเถอะวา เมื่อทานบรรทมกลางวัน
    คงจะมีหญิงรับใช้ทั้งหลายคอยดูแลอยู่ใก้ลชิดเป็นแน ท่านเคยฝันเห็นสวนดอกไมป่าหรือ
    สระโบกขรณีอันนารื่นรมยหรือไม?”
    “เคย พระคุณเจา”
    “คนเหลานั้นเคยเห็นชีวะของมหาบพิตรออกหรือเขาบางหรือเปลา”
    “หามิได พระคุณเจา”
    “ก็ชีวะของคนที่มีชีวิตอยู่ยังเห็นไมได แลวชีวะของคนที่ตายแลว ทานจะทอดพระเนตรไดอยางไร”
    แตเจาปายาสิ ก็ยังดันทุรงหาเหตุผลมาสนับสนุนทิฐิของตนตอไป
    “เดียวกอน พระคุณเจา ขาพเจายังไมเชื่องายๆ หรอก เพราะขาพเจาเคยใหคนจับโจรรายมาทดลอง
    ดวยการคอยๆ ชําแหละหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกทีละนิดๆ โดยไมใหชอกช้ำ ทั้งๆที่มีชีวตอยูนั่นแหละ
    เมื่อโจรนั้นใกลตาย ขาพเจาไดสั่งใหจับพลิกคว่ำพลิกหงาย จับตะแคง ทุบดวยมือ เคาะดวยกอนดิน
    กอนหิน ลากไปลากมา เผื่อวาบางทีจะไดเห็นชีวะของเขาออกมาบาง แตแมจะทําอยางไร ก็ยังไมเห็น
    ชีวะของเขาอยดี ตาก็ยังมีอยูแตมองไมเห็น หูก็ยังมีอยูแตไมไดยิน จมูกก็ยังมีแตไมไดกลิน ลิ้นก็มีนะ
    แตลิ้มรสไมได ดูกรพระคุณเจา ขาพเจาจึงยังมั่นใจในความเห็นของตนวาถูกตอง”
    “ถาเชนนั้น อาตมาจะยกอุปมาหนึ่งถวาย”
    มีคนเป่าสังขคนหนึ่ง เดินทางไปในชนบท ยืนอยูกลางหมูบ้านแลวเป่าสังขใหดังขึ้นมา ๓ ครั้ง
    แลวจึงวางสังขไวที่พื้นดิน ยืนนิ่งเฉยอยู่ คนในชนบทนั้นไดยินเสียงอันไพเราะเพราะพริ้งจับใจของสังข์แลว
    พากันวางภาระการงาน เขามารุมลอมคนเป่าสังข แลวไตถามดวยความตื่นเตนวา
    “เสียงที่ดังเมื่อสักครูนี้ เสียงอะไร ชางไพเราะเหลือเกิน”
    คนเป่าสังขชี้ไปที่สงขอันวางอยูบนพื้นนั้นแลวกลาววา
    “นั่นคือเสียงสังข”
    ชาวบ้านจับสังข์นั้นหงายขึ้นคว่ำลง ตะแคง เคาะด้วยฝ่ามือ ทุบด้วยก้อนดิน ก้อนหิน
    ลากไปลากมาแลวพูดวา
    “พูดสิพอสังข พูดสิ เราอยากไดยินเสียงอันเสนาะโสตของเจาอีก”
    คนเป่าสังขนึกสังเวชชาวบานเหลานั้นอยูในใจวา ชางโงเหลือเกิน จึงหยิบสังขขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง
    แลวเดินจากไป
    ชาวบานเหลานั้นจึงถึงบางออวา
    “เมื่อใด สังขนี้ประกอบดวยคน ความพยายามและลม เมื่อนั้น สังขจงจะมีเสียงได”
    “ฉันนั้นเหมือนกันมหาบพิตร เมื่อใดกายนี้ประกอบดวยอายุ ไออุนและวิญญาณ เมื่อนั้นกายนี้
    กาวไปได ถอยกลับได ยืนได นั่งได สําเร็จการนอนได เห็นรูปดวยนัยนตาได ฟังเสียงดวยหูได ดมกลิ่น
    ดวยจมูกได ลิ้มรสดวยลิ้นได ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกายได รูธรรมารมณด้วยใจได ดูกรมหาบพิตร อาตมา
    จึงขอกลาวเชนเดิมวา โลกหนามี สัตวที่เกิดในโลกหนามี และผลแหงบุญบาปมีอยู่แนนอน”

    เนื้อหาในเรื่องนี้ยังมีอีกยาว ท่านผู้สนใจพึงเปิดอ่านในพระไตรปิฏกเอาเองเถิด
    เพื่อไมใหหนังสือหนาเกินไป จึงขอสรุปวา
    ในที่สุด เจาปายาสิถึงกับจนปัญญาที่จะโตตอบกับพระกุมารกัสสปะและไดยอมรับกับทาน
    โดยตรงวา ใครๆ ก็ทราบดีวาทานมีทิฐิเชนนี้ จะใหยอมเชื่อในพุทธธรรมงายๆ ก็รูสึกเสียหนา
    แตเมื่อจนดวยเหตุผลแลว โดยวิสัยแหงบัณฑิต ก็ย่อมนอมรับเอาพระไตรรัตนเป็นสรณะไปจนตลอดชีวติ
    คําอุปมาของพระกุมารกัสสปะ อธิบายเรื่องของภพชาติไดอยางนาทึ่ง นึกไมถึงวาเพียงแคระดับ
    สาวกยังมีปัญญามากถึงเพียงนี้ ผู้อ่านไดโปรดพิจารณาเอาเองเถิด จะเชื่อหรือไมก็ไมสําคัญ แตที่สําคัญก็คือ
    ไดทําความดีอันเป็นเครื่องประกันชีวิตของตนวา หากชาติหนามีจริง ก็ขอใหไดเกิดเป็นมนุษย์
    พบพระพุทธศาสนา สุขภาพรางกายสมบูรณ มีสติปัญญา เกิดในตระกูลสัมมาทิฐิ อันจะเป็นเครื่องมือ
    ตอยอด ใหถึงพระนิพพานโดยเร็วหรือยัง

    คัดลอกจากหนังสือเพื่อนร่วมทาง โดยพระมหาวิเชียร ชินวํโส
     
  2. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...