ลาภยศ สรรเสริญ สุข เป็นโลกธรรม ถ้าเราติดเราก็มีความทุกข์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 25 เมษายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    [​IMG]


    ในฐานะที่ท่านทั้งหลาย เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จงอย่าคิดว่า เราจะทำวันเดียวสำเร็จค่อยๆทำไป สิ่งไหนบกพร่อง ก็พยายามระงับสิ่งนั้น และตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมทำสิ่งนั้น ต่อไปวันหลัง มันอาจจะลืมอาจจะเผลอๆ คิดมาได้ ก็คิดว่า ต่อนี้ไปเราจะไม่ทำอย่างนั้น ให้ถือเป็น อธิษฐานบารมี ให้ทรงตัว และมี สัจจบารมี และก็จงเป็นผู้มี สติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์แบบ เวลาจะพูด เวลาจะทำ หรือเวลาจะคิด ก็คิดใคร่ครวญเสียก่อนว่า อันนี้มันดีหรือไม่ดี

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลาภยศ สรรเสริญ สุข เป็นโลกธรรม ถ้าเราติดเราก็มีความทุกข์ ลาภที่เรามีมาได้แล้ว มันก็หมดเสื่อมไปได้ ถ้าเรายินดีในการได้ลาภ ไม่ช้ากำลังใจก็ต้องเสียใจ สลดใจ เมื่อลาภหมดไป คำสรรเสริญก็เช่นเดียวกันคำสรรเสริญ ฯ ไม่ใช่ของดี ถ้าเราติดในคำสรรเสริญเราก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะว่าไม่มีใครเขา มานั่งตั้งตา นั่งสรรเสริญเราตลอดวัน คนที่เขาสรรเสริญเราได้ เขาก็ติเราได้ ฉะนั้นจงจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    นินทา ปสังสา เป็นธรรมดาของชาวโลก ชาวโลกทั้งหมดเกิดมาต้องพบนินทาและสรรเสริญ นี่ท่านมาติดลาภ ติดสรรเสริญก็ถือเป็น อุปกิเลสอย่างหนัก
    เราต้องตั้งใจ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ คือ พระปกติไม่ใช่พระเดินขบวน พวกนั้นไม่ใช่พระ เป็นเปรตเป็นสัตว์นรกมาเกิด นิสัยของสัตว์นรก เกิดมาใช้ไม่ได้ ทำให้ศาสนาบรรลัย นักบวชประเภทนี้ ถ้าเราไปไหว้ เราก็เป็นเปรตด้วย เพราะจริยาเขาเสีย เมื่อเรายอมรับ ความเสียของเขาเราก็เสียด้วย การเคารพพระสงฆ์ ควรจะนึกเอา พระอริยเจ้าเป็นสำคัญ

    เรายกมือไหว้นักบวช เราถือว่าเราไหว้พระอริยสงฆ์ ถ้าท่านผู้นั้นไม่บริสุทธิ์ ก็เชิญเสด็จลงนรกไปเอง เพราะยอมให้ชาวบ้านเขาไหว้ นั่นเป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของเรา

    ถ้าจิตของเรา ทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 ศีลจะบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพ ในองค์สมเด็จพระทศพล ก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระ ธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ รู้จักอายความชั่ว เกรงกลัวความชั่ว

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท จงพยายามใคร่ครวญถึงความตายเป็นสำคัญ เรื่องความตายก็ดี การควบคุมอารมณ์จิตให้ปราศ จากความฟุ้งซ่านก็ดี ควรจะทำให้เป็นปกติ ถ้าวันใดเราเผลอจากการควบคุมอารมณ์จิต ไม่ระงับความฟุ้งซ่านก็ดี วันใดถ้า เราเผลอไป ลืมนึกถึงความตายก็ดี ก็จงประฌามตนเองว่า เรานี้เลวเต็มทีแล้ว

    ท่านทั้งหลาย จงอย่าประมาทกับชีวิต เพราะว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอทุกท่าน จงคิดไว้เสมอ ว่าอย่างไรก็ดีเราต้องตายแน่สำหรับเวลา การตายของเราไม่มีแน่นอน เพราะความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมายท่านทั้งหลาย จงประกอบแต่ความดีเข้าไว้ ถ้าใครสร้างความชั่ว ตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิมีนรกเป็นต้น เกิดมาเป็นคน ก็จะมีแต่ความเร่า ร้อน มีแต่ความลำบาก แต่ถ้าคนใดสร้างความดี คิดถึงความตายไม่ประมาทในชีวิต คิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายแน่จงอย่า คิดว่า วันพรุ่งนี้ หรือ เดือนหน้า ปีหน้า เดือนโน้น เราจึงจะตาย คิดไว้เสมอว่า วันนี้เราอาจจะตาย แล้วก็สร้างความดีเข้าไว้ ความดีจะส่งผลให้ท่านมีความสุข ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ

    จงจำไว้ว่า อารมณ์ใด ที่ประกอบไปด้วยความรัก ประกอบไปด้วยความโลภ ประกอบไปด้วยความโกรธ ประกอบไปด้วยความหลง พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอารมณ์ของติรัจฉาน คือ มันขวางจากความดี ฉะนั้น อาการของเดรัจฉานทั้งหมดอันพึงจะผิด ทางจิตก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางกายก็ดี จงอย่ามี จงระมัดระวัง กำลังใจเป็นสำคัญ อย่าเอาอารมณ์ของเดรัจฉานเข้ามาใช้ในจิต และก็จงอย่าไปเพ่งเล็งบุคคลอื่น จงอย่าสนใจกับอารมณ์ของคนอื่น จงอย่าสนใจกับจริยาของบุคคลอื่น ให้พยา ยามปรับปรุง ใจตนเองเป็นสำคัญ และให้ทรงพรหมวิหาร 4 มีอิทธิบาท 4 ฟังแล้วก็ต้องจำ จำแล้วก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้า ทำไม่ได้จงรู้ตัว ว่าเลวเกินไป คนเลวเขาไม่เรียกว่า คน เขาเรียกว่า สัตว์ในอบายภูมิ

    เรามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตายแน่ จะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายด้วยอาการปกติหรือด้วยอุบัติเหตุ ก็ตาม ก็ขึ้นชื่อ ว่าจะต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต ก่อนที่เราจะตาย จะกอบโกยความดีใส่กำลังใจไว้ให้มันครบ พระพุทธเจ้าทรงสอนแบบไหน ปฏิบัติให้จบให้ครบทุกประการให้บริบูรณ์ทั้งหมด ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ถ้าทุกคนปรับปรุงใจตนดีแล้ว มันก็ไม่มีเรื่องยุ่งกับคนอื่น ไม่สร้างคนอื่นให้มีความเร่าร้อน ในการที่จะเพ่งโทษคนอื่น ต้องรู้ตัวว่า เราเลวเกินไป นี่จงรู้สึกตัวไว้เสมอ รู้สึกตัวว่า เรามันเลว เลวมากจนกระทั่งขังไว้ในใจไม่ได้ มันจึงอุตส่าห์ไหล ออกมาทางวาจา ไหลมาทางกาย นี่แสดงว่า ความเลวมันล้น ออกมาจากจิต ในข้อนี้ ต้องคิดไว้ เป็นประจำ อย่าทะนงตนว่า เป็นคนดี ถ้าดีแล้ว ปากไม่เสีย กายไม่เสีย ถ้าปากเสีย กายเสีย ความเลวมันล้น มีความดีไม่ได้

    สำหรับคนที่เขามาสร้างความชั่วให้สะเทือนใจเรา นั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหาอุปาทาน และอกุศลกรรมไม่มีทางที่จะ คืนตัวได้ เราจงคิดว่า คนประเภทนี้ เขาไม่ใช่คน เขาคือ สัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราคิดว่า ถ้าเราไปต่อล้อ ต่อเถียง จะ กระทำตอบเราก็จะเลวตามเขาเวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปแล้วในนรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้างเราก็จะจมนรกเหมือน กันมันไม่มีประโยชน์ จิตเราก็ระงับความโกรธ ด้วยอำนาจขันติ หรืออุเบกขาเฉย เขาเลวปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้เดียว เราไม่ยอมเลวด้วย

    อารมณ์ของคนชั่ว คืออารมณ์ที่ชอบทำลายศีลด้วยตัวเองหรือว่ายุชาวบ้านให้เขาทำลายศีล เมื่อเห็นบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว ดีใจว่า เขาไม่รักษาศีลทำลายศีลเสียได้ก็ดี อารมณ์ชั่วอย่างนี้ อย่าให้มีเราจะต้องควบคุมว่า เราจะไม่ทำลายศีล ด้วยตัวเอง ศีลของใครมีเท่าไรรู้ไว้ด้วย เราจะไม่คิดยุยงให้คนอื่นคิดทำลายศีล เราจะไม่ดีใจในเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว ดี หรือ ชั่ว มันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียวใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ เขาจะประณามว่าเลว มันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเราชั่ว เขาจะสรรเสริญว่า ดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจ เป็นสำคัญว่า ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดี เพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญนั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว ก่อนที่จะคำนึงถึง วิปัสสนาญาณ ก็จงทำใจให้มีความสุข ด้วยอำนาจของสมาธิจิตก่อน เมื่อจิตมีสมาธิดีแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปรากฏ เมื่อพิจารณาไปแล้วถ้าหากยังเห็นไม่พอ เพราะจิตมันจะซ่าน ก็ดับความรู้สึก ในการพิจารณาเสีย กลับมาภาวนา และทรงจิตให้หยุดในอารมณ์เดิมก่อน ให้จิตสบาย เป็นสมาธิ ทำสลับกันไป สลับกันมา

    พวกเราทุกคนจงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าผิดหวังก็หมายความว่ากลาย เป็นคนเมาในลาภยศ สรรเสริญสุข อันพระพุทธเจ้าผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศสรรเสริญสุขและก็จงอย่าเมาในใบลานหรืออย่าเมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับ แล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่า หรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์ ที่มีพระพุทธประสงค์มาสอนเรา

    พระโสดาบัน มีปัญญาเพียงเล็กน้อย รู้แค่ตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกแยกร่างกายว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่ ของเราได้

    พระโสดาบัน ยังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหลายยังเป็นเรา เป็นของเราแต่ทว่ามีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลาย ที่เป็นเรานี้ทั้งหมด เมื่อตายแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ ที่จะเข้ามาครอบครอง หรือ ถ้าว่าเรายังไม่ตาย สักวันหนึ่งข้างหน้า มันก็ต้องสลายตัวไป

    พระโสดาบัน ไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสั่งก็ได้แก่ศีล คำสอนก็ได้ แก่จริยาอันหนึ่งที่ เราเรียกกันว่า ธรรมะ เป็นความประพฤติดี ประพฤติชอบ

    ศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละ ตามสิกขาบทที่กำหนดไว้ให้ ธรรมะคำสอน ทรงแนะนำว่า จงทำอย่างนี้จะมีความสุข ทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งคำสอนก็ดี พระโสดาบัน มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย

    ความเป็นพระโสดาบันนี้ มีความสำคัญอยู่ที่ศีล ถ้าหากว่าทุกท่าน มีศีลบริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องกล่าวย้อนไปถึง การเคารพในพระรัตนตรัย ทั้งนี้เพราะว่า ศีลมาจากพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ การที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่า เป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย อยู่แล้ว ฉะนั้นศีลของท่านทั้งหลาย จงบริสุทธิ์ศีลจะบริสุทธิ์ได้ ต้องอาศัย เมตตากับกรุณา เป็นสำคัญ และยังมีเพื่อนอีกสอง เป็นฝ่ายสนับสนุน นั่นก็คือ มุทิตา กับ อุเบกขา

    ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือกำลังจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจะต้องทรงพรหมวิหาร4 ตามปกติ เมื่อทรง พรหมวิหาร 4 แล้วก็เป็นปัจจัยให้ศีลบริสุทธิ์

    การทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปัจจัยระงับโทสะและพยาบาท ทำให้โทสะและพยาบาทคลายตัว แล้วก็พรหมวิหาร 4 เป็นปัจจัย ให้คนใจดี พอใจในการให้ทาน

    แล้วก็ทานตัวนี้ เป็นปัจจัยตัดโลภะ คือ ความโลภ ทำให้จิตใจของท่าน เป็นพระโสดาบัน มีอารมณ์บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีความโลภ คือ ปรารถนาในการยื้อแย่งเขา

    พอใจในการหาได้ด้วยสัมมาอาชีวะ ฉะนั้นขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลายจงปรับกำลังใจของท่านให้ดีตามนี้ การเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน จะเป็นของไม่ยากไม่มีอะไรลำบาก ที่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะต้องหนักใจ

    ความรัก ที่มันเกิด เราเข้าใจว่า มันดี เข้าใจว่า มันสวย เข้าใจว่า มันสะอาด อารมณ์อย่างนี้ เป็นอารมณ์ ของตัณหาดึงไปอบายภูมิมีนรกเป็นต้น นี่พระทุกองค์เณรทุกองค์ ฆราวาสทุกท่าน จงดูตัวไว้เสมอว่า เรามีจุดบกพร่องขนาดไหนอย่าปล่อย ให้กิเลส มันล้นจากใจ ถ้าจะเลว ให้เลวอยู่แค่ในใจ อย่าให้มันไหล มาทางตา อย่าให้มันไหล มาทางปาก อย่าให้มันไหลมาทางกาย

    จิตของเราที่ยุ่ง วาจาของเราที่เสีย กายของเราที่ไม่สำรวมก็เพราะอาศัยจิตไม่ดี ไม่ใช้ปัญญาไม่ใช้สัญญา สัญญาจำไว้แค่ นี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิปัญญา มันก็เกิดปัญญาก็พิจารณา เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร มีความรู้สึกทันทีว่า ร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมด เต็มไปด้วยความสกปรก ความผูกพันกระสันอยากได้ ปรารถนาจะสัมผัสไม่มีในจิต ให้จิตมันทรงสภาพเช่นนี้ เห็นคนเหมือนกับเห็นซากศพ เห็นคนเหมือนกับเห็นของเน่าเปื่อย เห็นคนเหมือนกับว่า เห็นสิ่งที่เขาบรรจุอุจจาร ปัสสาวะไว้เต็ม เท่านี้ จิตก็จะไม่ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ผูกพันในรูปกายใดๆ ทั้งหมด

    เราจะปักใจไว้โดยอย่างเดียวคือว่าขันธ์ 5 มันไม่เที่ยงแล้ว ก็จงทำจิตของเราให้เที่ยงคือเที่ยงอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร 4 เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของ ท่านทั้งหลาย ก็จะเต็มไปด้วย ความชื่นบาน มีแต่ความหรรษา เมื่อจิตเป็น เอกัคคตารมณ์ แบบนี้ เราก็เห็นว่า สภาวะร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โลกียวิสัย เป็นปัจจัยของความทุกข์ โลกุตรวิสัย เป็นปัจจัย ของความสุข เราต้องการความสุข คือ พระนิพพาน ถ้าพิจารณา อย่างนี้บ่อยๆ อารมณ์ใจของบรรดา พุทธบริษัททุกท่าน ก็สามารถจะตัด กามฉันทะ คือ ความรักในเพศเสียได้อย่างเด็ดขาด ความรู้สึกในเพศจะไม่มี และอีกประการหนึ่ง โทสะ ความพยาบาท หรือ ความกระทบกระทั่ง จิตที่คิดประทุษร้าย จะไม่ปรากฏแก่เรา ทั้งนี้เพราะความดีที่ เราปฏิบัติ ตามกระแส พระสัทธรรมเทศนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า อารมณ์ใจของท่าน ก็จะพ้นจากความทุกข์ ด้วยอำนาจ ของความรักและความสงสาร อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงโปรดเรียกว่า พระอนาคามีผล

    การที่คิดว่า เราเสมอกับเขา มันเป็นตัว ทะเยอทะยาน การที่คิดว่า เราดีกว่าเขา เป็นการขมขู่ คิดทะนงตนว่า ตนเป็นใหญ่ ถ้าคิดว่า เราเสมอเขา มันก็เสียอีก เพราะบางคน เขามีจริยาเลว เราคิดว่า เรากับเขาเสมอกัน ก็ต้องพยายาม เลวตามเขา ความเลว มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ปัจจัยความของสุข ถ้าหากเขาดีกว่าเรา เราดีไม่เท่าเขา แต่เราคิดว่า เราดีเท่าเขา ก็เกิดความประมาท คิดว่า เราดีแล้ว ก็เป็นการทำลายความดี ที่เราจะพึงแสวงหาต่อไป ถ้าเราคิดว่า เลวกว่าเขา ตอนนี้เป็นการทำลายความดีของตนเอง จิตใจมันก็มีความสุขไม่ได้เป็นอันว่า การถือตัวถือตนว่าเราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์

    อย่ามองคนด้วยฐานะ อย่ามองคนด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคนด้วยความรู้ความสามารถ มองคนแต่เพียงว่า สภาพของเขาเป็นวัตถุ เหมือนสภาพของเรา จิตใจของเรา พร้อมในการเมตตาปรานี ไม่ถือตน เขาจะมาในฐานะเช่นใด ก็ช่าง ถือว่าเป็น เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การกำอหนดอารมณ์ อย่างนี้ เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะการถือตัวถือตน เสียได้

    จงวางอารมณ์เสีย ใครเขาจะยังไงก็ช่าง เขาจะดี เขาจะชั่ว เขาจะเลว เขาจะยังไงก็ตามเถอะไม่สนใจ เห็นหน้าคน เราคิด ไว้เสมอว่า เป็นคนที่เราควรแก่การปรานี เห็นหน้าสัตว์ ก็คิดว่า เป็นสัตว์ ควรแก่การ ปรานี พยายามไม่ถือตนคนและสัตว์ก็ ตามถือว่ามีธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟเสมอกัน มีอาการ 32 เหมือนกัน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นมีความ เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน สร้างอารมณ์ให้เป็น สังขารุเปกขาญาณ ใน วิปสสนาญาณ อย่างนี้ การระงับการถือตัวถือตน ย่อมเป็นของไม่ยาก

    เราตั้งใจไว้เฉพาะว่า เราต้องการพระนิพพาน ในชาตินี้ มานั่งใคร่ครวญว่า มนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้น ความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตาย ไปในที่สุด มีการกระทบกระทั่ง กับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลก ก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน

    อวิชชา ท่านกล่าวไว้ในขันธวรรค ในพระไตรปิฎกว่า ได้แก่ ความมี ฉันทะ กับ ราคะ

    ฉันทะ มีความพอใจในความเป็นมนุษย์ แล้วก็มีความพอใจในรูปฌานอรูปฌาน พอใจในการถือตัวถือตนพอใจในอารมณ์ ฟุ้งในด้านอกุศล

    ราคะ มีความยินดี เห็นว่า รูปฌานดี อรูปฌานดี การถือตัวถือตนบ้าง เบ่งทับคนนั้นบ้าง เบ่งทับคนนี้บ้าง เป็นของดี

    แล้วก็อารมณ์ฟุ้งคิดว่า เราเป็นแค่อนาคามีก็พอใจ ยังไงๆเราเป็นเทวดา หรือว่าพรหม เราก็มีความสุข แล้วเรานิพพานบน นั้น ฉันทะกับราคะทั้งสองประการนี้ เป็นอารมณ์ของอวิชชายังถือว่าเป็นความโง่ ยังไม่เห็นทุกข์ละเอียด ความจริงอารมณ์ ตอนนี้ ก็เข้มแข็งพอ คนที่เป็นอนาคามีแล้ว นี่จะมานั่งสอนกัน ละเอียดละออมันไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเป็นคนรู้มีจิตสะอาด มีอารมณ์ขุ่นมัวไปบ้างเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เป็นอันว่าเลิกแล้วกันไปเลยว่า อารมณ์ใจที่มั่นยังเนื่องอยู่ในอวิชชาจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันยังไม่เข้าถึงสุขที่สุดที่เราเรียกว่า เอกันตบรมสุข ก็รวบรวมกำลังใจใช้บารมี 10 ประการให้เข้า ถึง จุดเกณฑ์ประหัตประหารเสียทันที

    นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจ สังขารุเปกขาญา เป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้น แก่ร่างกายก็ถือว่า เฉยไว้เขาจะ ชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบายก็ทำใจสบายเฉยๆ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ธรรมดามันเป็น ยังไง คิดว่าร่างกายของเรา เราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ ถือกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์ จิตของเธอจะเป็นสุข

    พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดี และก็ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ ยอมรับนับถือ กฎแห่งความเป็นจริงว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุก อย่างในโลกเป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่า ก็ไม่สะเทือนใจ เขาชม ก็ไม่สะเทือนใจ อะไรๆ เกิดขึ้นมาทั้งที ก็เป็นเรื่องธรรมดา



    คัดลอกมาจาก หนังสือคำสอนธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อพรหมยาน
    (วีระ ถาวโรมหาเถร) เล่ม 2
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ<O:p</O:p
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  4. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    เป็นคำสอนที่ดีจริงๆ...อนุโมทนาครับ
    ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะเตือนให้ป่วยการ
     
  5. suvaveve

    suvaveve สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    thaxx
     
  6. ito-

    ito- Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2009
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +61
    อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ เป็นบุญของผมที่เกิดมารู้พุทธศาสนา
     
  7. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,329
    อ้างอิง
    เราตั้งใจไว้เฉพาะว่า เราต้องการพระนิพพาน ในชาตินี้ มานั่งใคร่ครวญว่า มนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้น ความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตาย ไปในที่สุด มีการกระทบกระทั่ง กับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลก ก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน
    กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  8. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ


    กระทู้ดีดีแบบนี้ควรอ่านบ่อย ๆ ใจของเราจะได้เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น
     
  9. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    อนุโมทนาด้วยครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฝากลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  10. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    อนุโมทนาด้วยครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฝากลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...