ระเริงต้นงิ้ว"

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ในศีล 5 ข้อ ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้นั้น
    ย่อมเป็นที่รู้กันดีไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่
    ในข้อที่บัญญัติไว้ว่า " มิให้ประพฤติผิดในกาม "
    คือ ห้ามมิให้ล่วงละเมิดประเวณีกับหญิงอื่น
    หรือชายอื่นที่มิใช่สามี หรือภรรยาของตน

    ผิดกันกับสมัยนี้ที่คนหลายๆคนในสังคมปัจจุบันได้มองข้าม
    และละเลยถึงข้อห้าม ข้อนี้ไปเสียส่วนมาก
    จึงเกิดกรณีพิพาท และถึงกับประหารเข่นฆ่ากันบ่อยๆ
    ตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ที่เราเห็นๆกันอยู่
    เหตุเพราะเกิดจากการละเมิดศีลข้อนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง

    แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วของครอบครัวหนึ่ง
    ในจังหวัดสกลนครเป็นเรื่องของชาวบ้านที่บอกเล่ากันมา
    จากปากต่อปาก ว่ามันเป็นเรื่องของกรรมสนองโดยแท้จริง
    เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า


    เมื่อปลายปีมาแล้วในราวปี พ.ศ. 2537
    ยังมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวชื่อ นายบุญหาญ บัวชุม
    เพิ่งแต่งงานกับภรรยาสาวสวยชื่อว่า นางเพ็ญ ได้ 2 ปีเศษ
    และมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

    แต่ด้วยความยากจน และหนี้สิน จึงทำให้นายบุญหาญ ต้องดิ้นรน
    หางานในถิ่นอื่นทำ ซึ่งก็มีเพื่อนๆของเค้าไปด้วยกันราว 10 คน
    จุดหมายของหนุ่มบุญหาญ ก็คือ "สิงคโปร์"

    แม้นว่าสิงคโปร์ จะดูไม่ห่างไกลจากประเทศไทยนัก
    แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปไหนไกลๆอย่างบุญหาญ
    สิงคโปร์ ก็เหมือนดังอยู่ไกลสุดขอบโลก
    ได้แต่เพียงสั่งเสียเมียของตนว่าขอให้ช่วยดูแลแม่ตนและลูกรัก
    บุญหาญบอกว่าไปถึงที่นั้นเมื่อไหร่
    จะเขียนจดหมายส่งที่อยู่กลับมาให้ในทันที

    บุญหาญทำงานอย่างหนัก ทั้งล่วงเวลาและรับงานแทนเพื่อน
    ในวันที่เขาหยุด หวังเพียงเพื่อเงินที่จะส่งให้แก่ทางบ้าน
    เพียงชั่วระยะเวลา 1 เดือน เงินที่บุญหาญเก็บสะสมไว้ได้
    ก็ถูกส่งกลับบ้านที่เมืองไทยจนเกือบหมด
    นางเพ็ญที่เป็นภรรยาของบุญหาญก็ตอบกลับไป
    อย่างทันทีว่า ให้ส่งเงินมาอีกเมื่อสามารถทำได้
    เพราะมีภาระมากมายที่ต้องใช้จ่าย และยังมีดอกเบี้ยที่ต้องชำระ

    และเมื่อเวลาผ่านไปได้ 3-4 เดือนนางเพ็ญ และแม่ของบุญหาญ
    ก็เริ่มสบายขึ้นเพราะเงินที่บุญหาญส่งมานั้น มีจำนวนมากพอ
    ที่จะเหลือเก็บได้อย่างไม่ขัดสน

    นางเพ็ญนั้น เพิ่งจะเริ่มย่างเข้าวัยเบญจเพส ทั้งยังรักสวยรักงาม
    ถึงแม้จะมีลูกแล้วก็ตาม แต่นางเพ็ญก็ยังดูสดสวย
    และความเป็นคนช่างพูดช่างคุย และสนิทสนมกับคนทั่วไปได้ง่าย
    ดังนั้นบรรดาชายหนุ่มน้อยใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็พากันหวั่นไหว
    ติดใจ ต้องตา นางเพ็ญกันมิใช่น้อย

    ทุกๆเย็น นางเพ็ญมักจะไปที่ตลาดและนั่งคุยอยู่กับพวกหนุ่มๆ
    ที่มักจะนั่งดื่มเหล้าพูดคุยกันเฮฮา อยู่ที่ร้านเหล้ากลางตลาด
    เป็นประจำ ช่วงแรกๆก็อุ้มลูกน้อยไปด้วย
    แต่พอต่อๆมาก็เริ่มฝากลูกตนไว้กับแม่ผัว
    เพื่อตนเองจะได้ไปแต่เพียงลำพัง

    นาย ประเสริฐ เป็นคนขับรถของโรงงานแห่งหนึ่ง
    ในอำเภอย่านนั้น ถึงแม้จะมีลูก เมีย แล้วก็ตามแต่ก็ชอบ
    ที่จะมานั่งดื่มกินที่ร้านเหล้าแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
    นาย ประเสริฐนั้นมักจะพูดจาหยอกล้อกับนางเพ็ญ
    ในทำนองชู้สาวอยู่เป็นนิจ ซึ่งนางเพ็ญก็มันจะพูดจาให้ท่าอยู่เสมอ

    หนุ่มเจ้าชู้กับสาวอารมณ์เปลี่ยวก็ได้จังหวะเหมาะในครั้งหนึ่ง
    โดยที่นางเพ็ญเสนอตัวให้นายประเสริฐไปส่งที่บ้าน
    โดยขึ้นรถไปกับนายประเสริฐ แล้วก็ไปลักลอบได้เสียกัน
    ที่ข้างโรงงานในยามดึกของคืนนั้นเอง

    ข่าวลือในอำเภอเล็กๆแห่งนั้นไม่ใช่ว่าจะมีคนมากมาย
    ต่างคนก็รู้จักกันแทบหมดอำเภอเรื่องจึงไปถึงหูของแม่นายบุญหาญ
    แม่ผัวนั้นก็ได้กล่าวตักเตือนลูกสะใภ้ของตนด้วยความห่วงใย
    นางเพ็ญก็รับปากว่าจะระวังตนเองให้พ้นจากขี้ปากชาวบ้านให้มากขึ้น

    เวลาต่อมาไม่นาน ลูกชายของนายบุญหาญก็เกิดไม่สบาย
    ด้วยอาการมีไข้สูง นางเพ็ญจึงออกอุบายให้แม่ผัวของนาง
    ช่วยพาลูกชายไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลในจังหวัด
    โดยอ้างว่าตัวเองก็ไม่สบายไม่สามารถพาลูกไปได้
    พอครั้นแม่ผัวออกจากบ้านไปนางเพ็ญก็อาบน้ำอาบท่า
    ปะแป้งซะหอมฟุ้งแล้วก็แอบเปิดประตูหลังบ้านพาชู้ของตน
    เข้าระเริงรักกัน ในตอนกลางวันแสกๆอย่างไม่อายฟ้าอายดิน

    เวลาของการเจอชู้รักของทั้งคู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะพบปะกันได้บ่อยนัก
    นายประเสริฐ จึงตักตวงสมสู่ชู้รักของตนอย่างลืมเวลา
    เพราะกะว่า แม่ผัวของนางเพ็ญคงจะกลับมาราวๆค่ำ
    เพราะหนทางนั้นก็ไกลโขอยู่คงใช้เวลามากอยู่

    แต่ทว่าแม่ผัวของนางเพ็ญ โชคดีไปเจอหมอ ที่ท่าน้ำหน้าตลาด
    และหมอเองก็รู้จักกับ ครอบครัวของนายบุญหาญเป็นอย่างดี
    จึงได้ช่วยทำการตรวจรักษาให้โดยที่ ไม่ต้องเสียเวลาพาเด็กน้อยไปถึง
    โรงพยาบาลในตัวจังหวัด นับเป็นความโชคดีของเด็กน้อย

    เมื่อตรวจเสร็จรับยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองย่า หลาน
    ก็เดินทางกลับถึงบ้านในตอนบ่ายแก่ๆ นั้นเอง
    พอมาถึงบ้าน แม่ของนายบุญหาญ ก็มิได้เอ่ยปากเรียกหา
    ลูกสะใภ้แต่อย่างใด เพราะคิดว่านางคงหลับเพราะพิษไข้อยู่
    จึงนำพาหลานไปนอนในห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาดู
    ลูกสะใภ้ด้วยความห่วงใย เพื่อจะหายาให้นางกิน

    แต่เมื่อถึงหน้าประตู แม่ของนายบุญหาญกลับได้ยินเสียง
    ของหนุ่มสาวกำลังหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข
    แม่ของนายบุญหาญ จึงทุบประตูดังโครมใหญ่
    จนทำให้คนที่อยู่ในห้องทั้งคู่นั้น ต่างตกใจทำอะไรไม่ถูก
    จะให้นายประเสริฐ กระโดดออกทางหน้าต่างบ้านก็สูงมาก
    เกรงว่าแข้งขาจะหักไปเสียก่อน เมื่อที่สุดนางเพ็ญก็จำใจ
    ต้องเปิดประตู แล้วนายประเสริฐจึงได้แต่ยกมือไหว้แล้ว
    อ้างว่ามาคุยกันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอย่างอื่น
    แล้วก็รีบเลี่ยงออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
    ส่วนนางเพ็ญนั้นก็แก้ตัวอย่างหน้าตาเฉยว่าแค่คุยกันเฉยๆ
    แต่ตนเองนั้นก็เสื้อผ้าหลุดหลุ่ยเหลือเพียงกระโจมอกอยู่เท่านั้น

    แม่ของบุญหาญนั้นแค้นใจนักรีบเขียนจดหมาย ไปบอกลูกชายในทันที
    ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องส่งเงินเข้ามาให้นางเพ็ญอีกต่อไป
    เพราะนางเพ็ญนั้นนอกใจลูกชายไปเสียแล้ว

    เมื่อนายบุญหาญ ได้รับจดหมายก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแต่ก็
    ตั้งใจทำงานต่อไปเพื่อลูกชายของตน ถึงแม้หัวใจจะแตกสลาย
    ส่วนนางเพ็ญนั้นก็ไม่ได้เขียนจดหมายไปแก้ตัวแต่อย่างใด
    ยังคงอยู่ในบ้านนั้นจนถึงสิ้นเดือน เมื่อแน่ใจว่านายบุญหาญ
    ไม่ส่งเงินมาให้เหมือนดังเคย จึงตัดสินใจทิ้งลูกไว้กับแม่ผัว
    แล้วก็เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไป อาศัยเพื่อนของนางคนหนึ่งอยู่
    เพราะนายประเสริฐไม่ยอมเช่าบ้านให้นางอยู่เหมือนที่รับปากเอาไว้

    เมื่อนางเพ็ญรู้ว่าโดนหลอก จึงเลิกคบกับนายประเสริฐ
    แต่หันกลับมายั่วยวนสามีของเพื่อน ที่นางไปอาศัยอยู่
    จนกระทั่งได้กับสามีของเพื่อน แต่ในเวลาไม่นานนักก็ถูกจับได้
    นางเพ็ญจึงต้องระเห็จออกจากบ้านนั้นอีกครั้ง
    เพราะฝ่ายชายนั้นอ้างกับเมียว่าถูกนางเพ็ญยั่วยวนและไม่โง่
    ที่จะเลือกนางเพ็ญเป็นเมีย จนต้องทิ้งลูกทิ้งเมียเดิม
    ที่อยู่กันเป็นสุขอบอุ่นมาแต่เดิม

    นางเพ็ญแค้นใจนัก จึงไปหากู้เงินมาได้จำนวนหนึ่ง
    ซึ่งก็ใช้ตัวเข้าไปแลกเช่นกัน นางเพ็ญนำเงินจำนวนนั้นมาเช่าบ้าน
    อยู่ที่ท้ายตลาดและไม่ได้ทำงานทำการอะไรนอกจากแต่งตัวออกไปยั่วผู้ชาย
    โดยไม่เลือกว่าใครโสด หรือ มีครอบครัวแล้ว ถ้าถูกใจ
    ก็จะพาหนุ่มๆเหล่านั้นไปนอนที่บ้าน แล้วขอเงินผู้ชายคนนั้น
    หากคนไหนโสดก็จะคบกันนานสักระยะหนึ่ง
    แต่ต่อมาก็เลิกรากันไป ส่วนคนไม่โสดนั้นก็ได้แต่แอบๆซ่อนๆ
    มาสมสู่กับนางแล้วก็ให้เงินเป็นชั่วครั้งชั่วคราว
    จนคนทั่วไปรู้ไปทั่วทั้งอำเภอว่า นางเพ็ญนั้นเป็น หญิงกลางเมือง
    หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โสเภณีอิสระ นั้นเอง

    2 ปี ผ่านไปบุญหาญกลับมาถึงบ้านก็ปลูกบ้านใหม่
    ซื้อรถ ซื้อที่ดิน แล้วเปิดร้านขายของเล็กๆ
    ตลอดเวลานั้นนางเพ็ญพยายามแวะเวียนมาหา
    แต่บุญหาญก็ไม่สนใจเพราะทั้งหมู่บ้านก็ร่ำลืออยู่แล้ว
    ว่านางเพ็ญหญิงกลางเมือง เป็นโสเภณีกลางตลาดไปเสียแล้ว

    ในไม่ช้าบุญหาญก็ได้แต่งงานใหม่และร่ำรวยขึ้นเป็นลำดับ
    ส่วน นางเพ็ญนั้นคงจะคิดมากและตรอมใจจนกระทั้งเสียสติไป

    จากนั้นชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่ได้เห็น นางเพ็ญที่สวยงามอีกต่อไป
    คงเหลือแต่ผู้หญิงที่เสียสติ และแต่งหน้าเขียนตาด้วยสีเข้มจัด
    เหมือนลิเกหลงโรง มักนั่งเหม่อลอยอยู่กลางตลาด
    ร้องเพลงบ้าง ไล่จับ ไล่กอด หนุ่มๆที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นบ้าง
    คนเฒ่าคนแก่ ก็ได้แต่พูดว่า

    " เนี๊ยล่ะมั้งผลของการคบชู้กับคนเค้าไปทั่ว
    ตายไปเห็นทีจะตกนรก ไปปีนต้นงิ้วเป็นแน่แท้"

    ผมว่าคงไม่ต้องรอชาติหน้าแล้วกระมั้ง
    เพราะที่เห็นสภาพของนางเพ็ญตอนนี้
    ก็เหมือนดังตกนรกบนดินอยู่แล้ว

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...