พระพุทธเจ้าปลุกคนตายให้ลุกขึ้นตอบปัญหา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 7 กรกฎาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    [​IMG]

    <!--Main-->เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ อยู่ที่นิคมของมัลลกษัตริย์ชื่ออนุปิยนิคม ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นมัลละได้มีเจ้าชายลิจฉวีพระองค์หนึ่งนามว่า "สุนักขัตตะ"เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาด้วยจุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนใครนั่นคือ
    เพื่อต้องการเห็นพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

    ครั้นบวชแล้วเวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร พระสุนักขัตตะไม่เห็นพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างที่ตนประสงค์จึงเกิดความเบื่อหน่าย
    คลายความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ที่มีมาแต่แรกเสียหมดสิ้นพร้อมทั้งได้ประกาศความรู้สึกของท่าน ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า ด้วยว่าท่านจะไม่บวช อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป

    พระพุทธเจ้าเมื่อครั้นทรงทราบความต้องการของพระสุนักขัตตะอย่างนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อย้ายมาประทับอยู่ที่นิคมของชาวขละชื่ออุตตรกาในแคว้นขละ วันหนึ่งจึงได้พาพระสุนักขัตตะ เสด็จออกเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านอุตตรกาและในขณะที่เสด็จไปตามหมู่บ้านนั้น ก็ได้พบนักบวชเปลือยรูปหนึ่งชื่อ "โกรักขัตติยะ"

    โกรักขัตติยะ เป็นนักบวชเปลือยที่มีวัตรปฏิบัติแปลกประหลาด กล่าวคือประพฤติกุกกุรวัตร ทำตัวเยี่ยงสุนัขคลานสี่ขาไปไหนต่อไหนมาด้วยอิริยาบถนั้นท่าเดียว มิหนำซ้ำยังชอบนอนตามสถานที่สกปรก เช่น ตามหลุมถ่านหรือไม่ก็ตามเตาไฟของชาวบ้านยิ่งไปกว่านั้นถึงคราวกินอาหาร ก็หาได้ใช้มือหยิบกินไม่ตรงกันข้ามกลับใช้ปากงับอาหาร และใช้ลิ้นเลียอาหารที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นดิน

    พระสุนักขัตตะ ซึ่งในขณะนั้นกำลังเดินบิณฑบาต ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามา พอได้เห็นนักบวชเปลือยโกรักขัตติยะแสดงวัตรปฏิบัติเยี่ยงสุนัขเช่นนั้น ก็เกิดศรัทธาในตัวนักบวชเปลือยขึ้นมาทันที พลางคิดอยู่ในใจว่า ท่านผู้นี้ถ้าจะเป็นพระอรหันต์แท้ทีเดียว

    พระพุทธเจ้าทรงทราบความในใจของพระสุนักขัตตะนั้น และทรงดำริว่าสุนักขัตตะเริ่มเข้าใจผิดแล้ว ทั้งทรงเห็นต่อไปว่าความเข้าใจผิดนั้นถึงขั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งมีแต่จะทำให้พระสุนักขัตตะ ตกต่ำยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเป็นการช่วยเปลื้องพระสุนักขัตตะให้พ้น ไปจากความเข้าใจผิด และโดยการที่ทรงเห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะช่วยได้นอกจากการพยากรณ์ความจริงเกี่ยวกับนักบวชเปลือยรูปนั้น พระพุทธเจ้าจึงหันมาทางพระสุนักขัตตะ แล้วตรัสทำนายว่า

    "ในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ไปนักบวชเปลือยคนนี้ จะตายด้วยโรคท้องขึ้น ครั้นตายแล้วก็จะไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกานั้นนักบวชเปลือยจะไปเกิดในขั้นต่ำสุด ส่วนศพของเขาจะถูกนำไปทิ้งไว้ ในป่าช้าชื่อวีรณถัมภกะ"

    พอได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว พระสุนักขัตตะหาเชื่อไม่พร้อมทั้งคิด อยู่ในใจว่าตนได้โอกาสจับผิดพระพุทธเจ้าแล้ว ในคัมภีร์เล่าว่าความคิด ที่จะจับผิดพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ของพระสุนักขัตตะนั้นรุนแรงมาก ถึงขนาดท่านแอบไปหานักบวชรูปนั้นในเวลาต่อมา แล้วเล่าเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ให้เขาทราบ พร้อมทั้งเตือนเขาให้กินอาหาร แต่พอประมาณเพื่อจะได้ไม่ต้องตาย อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส

    แต่พอถึงวันที่ ๗ นักบวชเปลือยโกรักขัตติยะนั้น ก็เผลอลืมคำเตือนของพระสุนักขัตตะจึงกินอาหาร และน้ำเกินพอดี และปรากฏว่าในวันนั้นเอง อาหารที่กินเข้าไปมาก ก็เกิดเป็นพิษไฟธาตุในร่างกาย ไม่สามารถจะย่อยได้ทันที จึงทำให้โกรักขัตติยะ นั้นเกิดอาการท้องขึ้น และเสียชีวิตในที่สุด ศพของนักบวชเปลือยได้ถูกนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าชื่อวีรณถัมภกะ

    เหตุการณ์ทุกอย่าง เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้ทุกประการ

    พระอรรถกถาจารย์เล่าว่า ผู้ที่นำศพของโกรักขัตติยะ ไปทิ้งไว้ในป่าช้าแห่งดังกล่าวนั้น ก็คือพวกเดียรถีย์ พวกเดียรถีย์นี้นับได้ว่าเป็นคู่แข่งพวกหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าในสมัยนั้น พวกเดียรถีย์ได้คอยจับตาดูพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกันก็คอยจ้องทำลาย พระพุทธเจ้าไปด้วย เพื่อว่าประชาชนจะได้คลายความเชื่อความเลื่อมใส แล้วหันมานับถือพวกตนมากขึ้น

    การที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์โกรักขัตติยะ นี้ก็เช่นกับพวกเดียรถีย์ คอยติดตามความเป็นไปของโกรักขัตติยะอยู่ทุกขณะด้วยหวังใจอยู่ว่า ถ้าโกรักขัตติยะไม่ตายขึ้นมาจริงๆ และเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนเรื่องนี้เสีย ไม่ให้คนส่วนมากได้รู้จึงได้ช่วยกันเอาเถาวัลย์ มัดร่างที่ไร้วิญญาณของโกรักขัตติยะแล้วลากไปตั้งใจว่าจะทิ้งในป่าลึก แต่ครั้นผ่านมาถึงป่าช้าวีรณถัมภกะนั้นเถาวัลย์เกิดขาดพวกเขาจึงตัดสินใจทิ้งไว้ที่นั่นด้วยเห็นว่าไกลพอสมควรแล้ว

    พระสุนักขัตตะเองก็ได้ทราบ ถึงการตายของโกรักขัตติยะ ว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ทุกประการแต่ด้วยเห็นว่ายังมีช่องทางที่จะจับผิดพระพุทธเจ้าได้อีก จึงไม่ยอมรับในความสามารถ ของพระพุทธเจ้าช่องทางที่ว่านั้นก็คือ ยังไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่า โกรักขัตติยะตายแล้วไปเกิดในที่ไหน?

    พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกท่าน ให้ไปถามนักบวชเปลือยด้วยตนเอง โดยทรงแนะนำว่าพอไปถึงศพของนักบวชเปลือยนั้นแล้ว ก็ให้เอาฝ่ามือเคาะที่ศพ ๓ ครั้งก่อนแล้วจึงค่อยถามว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านไปเกิดที่ไหน?

    พระสุนักขัตตะได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏว่า ศพของนักบวชเปลือยได้ลุกขึ้น เอามือปัดหลังพร้อมทั้งตอบว่า รู้ซิท่านข้าพเจ้าไปเกิด ในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกาและในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกานั้น ข้าพเจ้าก็ได้ไปเกิดอยู่ในชั้นต่ำสุด ครั้นตอบแล้วศพนั้นก็กลับล้มลงไปนอนหงายอยู่ตามเดิม

    เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้นแล้วพระสุนักขัตตะ ก็กลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามเป็นการสำทับว่าเห็นแล้วใช่ไหมสุนักขัตตะ สิ่งใดที่เราพยากรณ์แล้วจะมิเป็นอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย พระสุนักขัตตะก็ทูลรับว่า
    เห็นแล้วพระเจ้าข้า แล้วพระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เธอพอจะบอกได้ไหมว่าอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์เหลือวิสัยที่คนธรรมดาจะทำได้เราได้ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ พระสุนักขัตตะก็กราบทูลว่า ทำแล้วพระเจ้าข้า

    ท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าได้ตำหนิพระสุนักขัตตะอย่างรุนแรงว่า
    "โมฆบุรุษ แล้วอย่างนี้เธอยังจะมากล่าวว่าเรา มิได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหลือวิสัย ที่คนธรรมดาจะทำได้แก่เธอ เธอผิดถนัดเห็นไหมโมฆบุรุษ"

    ในการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้พระอรรถกถาจารย์เล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึง ๕ ขั้นตอนด้วยกันคือ

    ขั้นตอนที่ ๑ ได้แก่ที่ตรัสว่า นักบวชเปลือยโกรักขัตติยะจะตายในวันที่ ๗ ปรากฏว่าตายจริง
    ขั้นตอนที่ ๒ ได้แก่ที่ตรัสว่า เขาจะตายด้วยโรคท้องขึ้น ปรากฏว่าตายด้วยโรคนั้นจริง
    ขั้นตอนที่ ๓ ได้แก่ที่ตรัสว่า เขาตายแล้วจะไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกา ปรากฏว่าไปเกิดในที่นั้นจริง
    ขั้นตอนที่ ๔ ได้แก่ที่ตรัสว่า ศพของเขาจักถูกนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าวีรณถัมภกะ ปรากฏว่าถูกทิ้งในที่นั้นจริง
    ขั้นตอนที่ ๕ ได้แก่ที่ตรัสว่า ศพนั้นสามารถตอบปัญหาได้ ปรากฏว่าตอบได้จริง

    อนึ่ง ในการที่ศพของโกรักขัตติยะลุกขึ้นตอบปัญหาได้นั้น พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าเป็นไปได้ ๒ ทางคือ
    ๑. พระพุทธเจ้าทรงนำเอานักบวชเปลือยนั้นมาจากสถานที่ที่เขาเกิดอยู่แล้วให้มาเข้าสิงในศพของตนเองแล้วตอบปัญหา
    ๒. หรือไม่ พระพุทธเจ้าเองนั่นแหละทรงใช้อำนาจบังคับให้ศพลุกขึ้นตอบตามที่ตนเองไปเกิด

    เรื่องนี้คัดลอกมาจากหนังสือ "รวมเรื่องจริง อิงพุทธประวัติ - พระไตรปิฎก ปาฏิหาริย์พระพุทธเจ้า" โดย นพ นันทวัน
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    เรื่องน่าสนใจ เพิ่งเคยอ่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...