ผู้ชอบสวดมนต์...ห้ามพลาด

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Denverguy, 23 ธันวาคม 2009.

  1. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    โปรดกรุณา อ่านช้าๆ และ อ่านให้หมด
    และ คิดพิจารณาไตร่ตรองตามด้วย





    คุณของการสวดมนต์คือ สวดแล้วรู้เรื่อง - รู้ความหมาย -
    ปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่สวดนั้น - และสวดด้วยจิตใจอิ่มเย็นโอบอ้อมอารี
    เพราะมนต์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนาคือคำสอนแม้จะเป็นคำสรรเสริญก็ืคือคำสอน
    ถ้าจะสวดเป็นบาลีก็ต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ของภาษาบาลีด้วย
    (แต่ต้องเป็นมนต์ที่พระพุทธเจ้าพาทำมาและสอนไว้)


    โทษของสวดมนต์คือ สวดแบบไม่รู้เรื่อง - ไม่รู้ความหมาย - ทำไม่ถูกตามที่สวด -
    สวดเพื่อให้ขลัง - อ้อนวอน - สวดเสก - เป่าให้ผู้อื่นฉิบหาย หรือ
    สวดแล้วรู้เรื่องและเข้าใจอย่างดีแต่ไม่ทำตาม เช่น พระสวดพระวินัยทุุกๆ 15 วัน
    แต่ก็ทำผิดพระวินัยมากมาย และโยมสวดประกาศปฏิญาณตนมอบกายถวายชีวิต
    นับถือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ เป็นที่พึ่ง แต่ไม่กระทำตามนั้น
    ยังไปนับถือสิ่งอื่นเพิ่มอีกเช่น ผี - เทวดา - เครื่องรางของขลัง ฯลฯ

    เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมผิดต่อคำสวดที่ตนเองสวดคำพุทธเจ้าสอนอยู่
    และโทษย่อมเกิดขึ้นกับตนผู้ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาให้ดี


    สำหรับผู้ชอบสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ถ้าไม่รู้เรื่องคือไม่ได้แปล
    เมื่อไม่แปลก็ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อไม่เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์
    ถึงแม้จะมีสติกำกับอยู่อย่างดี แต่สตินั้นก็เป็น มิจฉาสติ
    แม้กระทั่งมีความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติอยู่ด้วย ก็ยังเป็นความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติที่ผิด

    สตินั้นมีอยู่ของมันทุกเมื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าไประลึกผิด ก็เป็นสติที่ผิด
    ทุกอย่างต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้อง จึงจะเป็นสัมมาสติ
    จึงจะเป็นสติที่ถูกในความหมายของพระพุทธศาสนา

    พุทธเจ้าสอนเอาไว้แล้วว่า ผู้ที่จะเรียนธรรม - วินัยของพระองค์
    ต้องเรียนด้วยภาษาที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้
    ถ้าหากเรียนธรรม - วินัยด้วยภาษาที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
    พุทธเจ้าตำหนิเอาไว้แล้วว่าเป็นการ
    " ปฏิบัติผิด "
    การปฏิบัติผิดนี่ต้องได้บาป
    ต้องไปรับโทษในนรก - เปรต - สัตว์เดรัจฉาน
    เมื่อได้หมุนวนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็เป็นมนุษย์ที่มีสติ - ปัญญาไม่ดี
    เรียนรู้อะไรก็เข้าใจยากมาก เงอะงะๆ เซ่อๆซึมๆ
    สาเหตุก็เพราะได้สร้างความงงงวย - งมงาย - ไม่รู้เรื่อง
    เหยียบย่ำตัวเองเอาไว้แล้วเรียบร้อยในคราวนี้ด้วยการสวดมนต์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบผิดๆ
     
  2. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    คำสั่งพระพุทธเจ้าให้กล่าวธรรม – วินัย ด้วยภาษาที่เข้าใจ เล่ม 23 หน้า 329

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น การปรักปรำภาษาชนบทและการล่วงเลยคำพูดสามัญ
    นี้เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด


    เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์ แต่การไม่ปรักปรำภาษาชนบท
    และการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ
    ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมที่ควรสั่งสมเพื่อความเจริญแห่งปัญญาอันถูกต้อง เล่ม 31 หน้า 396

    เจริญธรรม ๔ ประการเพื่อได้ปัญญา
    เจริญธรรม ๔ ประการเพื่อปัญญาเจริญ

    ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    การคบสัตบุรุษ ๑ (คบคนดีมีศีลธรรมอันงามในพระพุทธศาสนา)
    การฟังสัทธรรม ๑ (อ่าน - ฟังธรรมอันงามที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ คือ ธรรมของพระพุทธเจ้า)
    การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑ (อ่าน - ฟังแล้วทรงจำไว้ได้ - เข้าใจความหมายได้ดีทะลุปรุโปร่ง)
    การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
    (จากนั้นก็ปฏิบัติไปตามธรรมที่ตนจำได้และเข้าใจความหมายได้ถูกต้องนั้น)

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้...

    ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา นี้
    พระเสขบุคคล ๗ จำพวก พึงทราบว่า ชื่อว่าผู้ได้เฉพาะซึ่งปัญญา
    พระขีณาสพพึงทราบว่าชื่อว่า ผู้ได้ปัญญาแล้ว...

    *** คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีนะ ประเภทเงอะๆงะๆ
    สวดแบบไม่รู้เรื่่องแล้วมันจะดีเอง มันจะไปดีได้ยังไงเพราะมันไม่รู้เรื่อง
    และถึงรู้เรื่องแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ มันก็ยังดีไม่ได้อีก
    สวดเฉยๆ แล้วมันจะดี - เจริญเอง คำสอนใครหว่า? พิจารณาซิ พิ - จา - ร - ณา
     
  3. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    สวดมนต์แล้วต้องรู้เรื่อง - รู้ความหมาย เล่ม 17 หน้า 21

    ....ใคร ๆ สามารถจะทราบพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งละเอียดอ่อนด้วยนัยต่าง ๆ
    เกิดขึ้นด้วยอัธยาศัยอันกว้างขวางสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะมีปฏิหาริย์หลากหลาย
    ลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนา แลโดยปฏิเวธ
    มาสู่โสตประสาท (ประสาทรับรู้ทางหู) ของสัตว์ทั้งปวง โดยสมควรแก่ภาษาของตน ๆ
    โดยประการทั้งปวง และทั้งให้เกิดความอยากฟังโดยเต็มกำลัง….


    และเล่ม 35 หน้า 62

    บทว่า มนสานุเปกฺขิตา ได้แก่ เพ่งด้วยจิต.
    พระพุทธวจนะที่ภิกษุใดสาธยายแล้วด้วยวาจา ปรากฏ (ความหมาย) ชัดในที่นั้นๆ
    แก่เธอผู้คิดอยู่ด้วยใจ เหมือนรูปปรากฏชัด แก่บุคคลผู้ยืนตามประทีปดวงใหญ่ ฉะนั้น.

    บทว่า ทิฏฺฐิยา สุปฺปฏิวิทฺธา ได้แก่ ใช้ปัญญาขบทะลุปรุโปร่ง ทั้งเหตุทั้งผล.



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    สวดมนต์ไม่ถูกหลักภาษาบาลี เป็นการทำลายคำสอนอีกวิธีหนึ่ง เล่ม 35 หน้า 381

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป
    ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    ภิกษุทั้งหลายในพระวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิดด้วยบทพยัญชนะที่ใช้ผิด
    เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ใช้ผิด ย่อมมีนัยอันผิดไปด้วย นี้ธรรมประการที่ ๑
    เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเลอะเลือนอันตรธานไป...


    เพราะผู้ที่สวดมนต์เป็นภาษาบาลีสมัยนี้ไม่ได้เรียนรู้จักฐานกรณ์ - ไวยากรณ์ของภาษาบาลี
    ให้เป็นอย่างดี ไม่ได้เรียนรู้ว่า พยัญชนะไหนควรออกเสียงสูง - ต่ำ - หนัก - เบา -
    เสียงจากลำคอ - เสียงขึ้นจมูก เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น เรื่องการออกเสียงเมื่อสวดมนต์เป็นภาษาบาลีจึงมีผิดพลาดอย่างมาก
    เมื่อการออกเสียงสำเนียงผิดพลาด ความหมายของบทบาลีนั้นๆ
    ก็ย่อมผิดพลาดคลาดเคลื่อนตามไปด้วย

    เช่น ถ้าเทียบกับภาษาไทยอย่างคำว่า "ไปไหนมา"
    ถ้าออกเสียงผิดเพี้ยนก็จะเป็น "ไปไหนหมา"
    อย่างคำว่า "ผู้มีความรู้เป็นอย่างยิ่ง" ถ้าออกเสียงผิดเพี้้ยนก็จะเป็น
    "ผู้มีความรู้เป็นอย่างหญิง" ทำนองนี้เป็นต้น

    ขอท่านที่ชอบสวดมนต์จงคิดดูเถิดว่า มันจะมีผลเสียมากน้อยแค่ไหน ต่อธรรมคำสอนนี้
    โดยเฉพาะพวกทิพย์ที่ว่าชอบฟังการสวดมนต์และฟังได้รู้เรื่อง
    เขาจะตำหนิติเตียนคนสวดมนต์ที่สวดให้ผิดเพี้ยนไปจากความหมายเดิมมากน้อยอย่างไร
    และบาปจะมีกับคนที่สวดมนต์โดยไม่พิจารณาให้ดีมากหรือน้อยเพียงไร
     
  4. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการท่องบ่นสาธยายมนต์
    ในคราวที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่คือ การเรียนธรรม - เรียนวินัยในสมัยนั้น
    ไม่มีเครื่องบันทึกช่วยเหมือนในสมัยนี้ ต้องอาศัยสมอง - ความจำ
    ของผู้เรียนที่มีความสามารถอย่างเช่น พระอานนท์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้บันทึกธรรม
    แล้วจึงแจกจ่ายสอนต่อไปยังบรรดาลูกศิษย์ของท่านหรือผู้ใดก็ตามที่ต้องการเรียนธรรม
    ก็มาเรียนธรรมต่อไปจากพระอานนท์นั้น

    เมื่อเป็นเช่นนี้ความจำของมนุษย์ย่อมมีการเลอะเลือน - คลาดเคลื่อนไปบ้าง
    ผู้เรียนธรรม - วินัยในคราวนั้นจึงหาวิธีแก้ไข - ป้องกันการหลงลืม
    ด้วยการท่องบ่นสาธยายบทธรรม (มนต์) ที่ตนเองเรียนมา

    โดยอาจจะท่องบ่นสาธยายอยู่แต่เพียงผู้เดียวก็ได้ แต่เมื่อเกิดสงสัยว่าตนเองจำได้ถูกต้องหรือเปล่า
    ก็ไปสอบสวนทบทวนบทธรรม (มนต์) ของตนเองกับผู้อื่นที่เรียนธรรมในเรื่องเดียวกัน
    หรือบางครั้งอาจจะท่องบ่นสาธยายกันเป็นกลุ่มๆก็มี

    และทุกท่านที่ทำการท่องบ่นสาธยายนั้น ก็รู้เรื่องและเข้าใจในคำสอนเป็นอย่างดี
    เพราะว่า เป็นภาษาที่ท่านเหล่านั้นเข้าใจได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
    พร้อมกับปฏิบัติตามได้อย่างดีเยี่ยม มรรค - ผล - นิพพาน ซึ่งเป็นประโยชน์ที่จะพึงได้ - พึงถึง
    จึงบังเกิดให้ท่านเหล่านั้นได้ชื่นชมโดยสมควรแก่ภาวะแห่งตน

     
  5. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    การสวดพระปริตร ตามหลักฐานทางพระพุทธศาสนาแล้วมีด้วยเหตุ 2 ประการคือ

    1. สวดเพื่อทบทวนมนต์ที่ตนเองได้เรียนมา
    เพราะสมัยนั้นไม่มีเครื่องบันทึกช่วยการเรียนเหมือนอย่างในสมัยนี้

    2. สวดเพื่อป้องกันและแก้ไขในกรณีที่ถูกเหล่าอมนุษย์รบกวน
    มีพวก ยักษ์ - คนธรรพ์ - กุมภัณฑ์ - นาค เป็นต้น


    แต่ก็พึงทราบไว้ว่า
    การสวดพระปริตร (มนต์) นั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก
    เมื่อถูกพวกอมนุษย์รบกวนเพราะได้แก้ไขด้วยวิธีอื่่นไปมากแล้ว เช่น การอุทิศบุญ
    และการขอโทษด้วยความจริงใจที่เคยกระทำความผิดต่อกันในครั้งอดีต


    ผู้ที่ชอบสวดมนต์พึงทราบด้วยว่า
    อานุภาพของพระปริตรเหล่านี้คือ รัตนปริตร - เมตตาปริตร - ขันธปริตร -
    ธชัคคปริตร - อาฏานาฏิยปริตร - โมรปริตร เมื่อมีผู้สวดขึ้นพระปริตรเหล่านี้
    จะมีอานุภาพแผ่ไปไกลถึงแสนโกฏิจักรวาลเป็นที่สุด

    และบทสวดเหล่านี้มีอานุภาพในการขับไล่ - เบียดเบียน
    พวกวิญญาณชั้นต่ำๆ ในโลกทิพย์ให้ได้รับความเดือดร้อนมาก ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น
    แต่เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกับพวกเรานี่เอง เมื่อได้ก่อกวนกันให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ
    จากญาติก็กลายเป็นนายเวรที่จ้องจะล้างผลาญกันไ้ด้

    และบทสวดเหล่านี้มีอานุภาพในการขับไล่ - เบียดเบียน
    พวกสัตว์ในโลกทิพย์ที่ไม่ชอบคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่แล้วแต่เดิม
    ซึ่งสัตว์ในโลกทิพย์ที่ไม่ชอบพระพุทธศาสนานี้มีเยอะมาก มากกว่าพวกที่ชอบพระพุทธศาสนานะ
    เรื่องนี้มีคำยืนยันจากการที่ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มากราบทูลพระพุทธเจ้า
    ให้ทราบถึงอานุภาพของ "อาฏานาฏิยสูตร" นั่นเอง

    เมื่อมีการสวดมนต์ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้น ณ ที่แห่งใด สวดโดยไม่มีเหตุที่จำเป็นแล้วละก็
    มีสัญญาณต่อต้านทันทีแน่นอน และที่มีคำกล่าวว่า "เทวดาชอบฟังการสวดมนต์" นั้น
    แบบนี้มีอยู่จริง แต่เทวดาจำพวกนี้ ก็จะต้องเป็นเทวดาที่เรียนรู้และชื่นชอบพระพุทธศาสนา
    มาเป็นอย่างดีี และเมื่อฟังการสวดมนต์แล้วก็สามารถเข้าใจในบทแห่งธรรมได้เป็นอย่างดีด้วย

    ตัวอย่างจากพระไตรปิฎกเรื่องสวดมนต์แล้วเป็นอันตรายต่อสัตว์โลกทิพย์ชั้นต่ำๆ
    เล่ม 39 หน้า 227


    ...ดังนั้น ในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเอง
    รัตนสูตรนี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสใกล้ประตูกรุงเวสาลี เพื่อกำจัดอุปัทวะ (ความอุบาทว์) เหล่านั้น
    ท่านพระอานนท์ก็เรียนเอา เมื่อจะกล่าวเพื่อเป็นปริตร [เครื่องป้องกัน]
    จึงเอาบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำมา เดินประพรมไปทั่วพระนคร.
    พอพระเถระกล่าวว่า ยงฺกิญฺจิ เท่านั้น พวก อมนุษย์
    ที่อาศัยกองขยะและที่ฝาเรือน เป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในตอนแรก
    ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง 4 ประตูทั้งหลายก็ไม่มีที่ว่าง
    อมนุษย์บางพวก เมื่อไม่ได้ที่ว่างที่ประตูทั้งหลาย ก็ทลายกำแพงเมืองหนีไป...
     
  6. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ส่วนท่านผู้ใดจะอ้างว่า "ทำไมครูบาอาจารย์ท่านนั้น – ท่านนี้
    ก็สวดมนต์ ก็เห็นท่านถึงพระนิพพานเหมือนกัน "

    อันนี้ต้องทำความเข้าใจว่า
    " ผู้ที่มีการเกิดเป็นชาติสุดท้ายนั้น "
    ไม่ว่าจะทำบาปกรรมมากขนาดใหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่อนันตริยกรรมซะแล้ว
    บาปกรรมเหล่านั้นขวางท่านไม่อยู่หรอก เช่น พระองคุลีมาล – พากุละ – สิวลี – สังกิจจ เป็นต้น
    เพราะพลังใจของท่านเหล่านั้น บำเพ็ญมาเต็มที่แล้ว ไม่ถอยหลังอีกแล้ว

    เปรียบเหมือนกับว่า ช้างใหญ่ทรงพลัง เดินข้ามแม่น้ำที่มีจรเข้ใหญ่อาศัยอยู่
    จรเข้ใหญ่ที่อาศัยอยู่นั้น ก็ไม่กล้างับช้างใหญ่หรอก
    แต่ถ้าเป็นช้างเล็กหรือกวางกาเซลล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น?


    ถ้าผู้ใดมั่นใจว่า พลังใจของตนที่บำเพ็ญมายิ่งใหญ่พอ
    อยากจะสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่องและไม่จำเป็น
    หรือผู้ใดอยากจะสวดเพราะคิดว่า บาปแค่นี้ " บ่ยั่น " ก็เชิญตามสบายเถิด
     
  7. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ท่องจำมนต์แล้วนำไปปฏิบัติ...พุทธเจ้าสรรเสริญ เล่ม 25 หน้า 374

    .....บทว่า สชฺฌายพหุโล ความว่า....ได้ยินว่า
    ภิกษุนั้นปัดกวาดที่พักกลางวันของอาจารย์แล้วยืนดูอาจารย์.
    เมื่อเห็นอาจารย์นั้นกำลังเดินมา จึงลุกขึ้นไปรับบาตรและจีวร.
    เมื่ออาจารย์นั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว ก็เอาพัดใบตาลพัดให้ บอกน้ำฉันให้
    ล้างเท้า ทาน้ำมันไหว้แล้ว ยืนเรียนอุเทศทำการท่องตลอดถึงพระอาทิตย์ตก.
    ภิกษุนั้น เอาน้ำเข้าไปตั้งไว้ในซุ้ม จุดไฟในเตาก่อน เมื่ออาจารย์อาบน้ำมาแล้ว
    ก็เช็ดน้ำที่เท้า นวดหลัง ไหว้แล้วเรียนอุเทศ ทำการท่องในปฐมยาม
    พักผ่อนร่างกายในมัชฌิมยาม ลุกขึ้นในปัจฉิมยาม เรียนอุเทศทำการท่องจนถึงอรุณขึ้นแล้ว
    จึงพิจารณาเสียงที่ดับไปแล้ว โดยความสิ้นไป เจริญวิปัสสนาในขันธ์ ๕
    คืออุปาทายรูปที่เหลือจากนั้น ภูตรูป นามรูปแล้วบรรลุพระอรหัต.

    บทว่า อปฺโปสฺสุโก ความว่า ไม่ขวนขวายในการเรียนอุเทศและในการทำการท่อง.

    บทว่า สกมายติ ความว่า ภิกษุนั้นคิดว่า
    บัดนี้ เราจะพึงทำการท่องเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ของเรานั้นถึงที่สุดแล้ว
    บัดนี้ จะเป็นประโยชน์อะไรกับการท่องของเรา ดังนี้
    แล้วยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขอันเกิดจากผลสมาบัติ.

    บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดาคิดว่า ความไม่สบายเกิดแก่พระเถระ
    หรือว่าแก่อาจารย์ของท่าน เพราะเหตุไรหนอ
    ท่านจึงไม่ท่องด้วยเสียงอันไพเราะเหมือนในก่อน ดังนี้แล้ว จึงไปยืนพูดอยู่ในที่ใกล้.…

    บทว่า นิกฺเขปนํ ความว่า...ไม่พึงเป็นผู้ท่องตลอดกาลเป็นนิตย์.
    แต่ว่าภิกษุนั้นท่องแล้วรู้ว่า เราสามารถเป็นผู้ทรงจำอรรถหรือธรรมประมาณเท่านี้
    ดังนี้แล้ว พึงปฏิบัติเพื่อทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์

     
  8. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ผู้สวดมนต์โดยไม่รู้เรื่อง...มีโทษสิ้นกาลนาน เล่ม 1 หน้า 51

    .....ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย !
    เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เที่ยวเสาะแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่
    พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่มือหรือแขน หรือที่อวัยวะน้อยใหญ่
    แห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย ซึ่งมีการกัดนั้นเป็นเหตุ

    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะงูพิษเขาจับไม่ดี แม้ฉันใด
    ภิกษุทั้งหลาย ! โมฆบุรุษ (พวกไร้ประโยชน์) บางพวกในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ
    อัพภูตธัมมะ เวทัลละ (ชื่อหมวดธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้)

    พวกเขาครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่พิจารณาแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา
    ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรต่อการเพ่งพินิจแก่พวกเขา ผู้ไม่พิจารณาอรรถด้วยปัญญา


    พวกเขาเรียนธรรมมีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์
    และมีหลักการบ่นเพ้อว่าอย่างนี้เป็นอานิสงส์ (สวดแบบไม่รู้เรื่อง)
    และย่อมไม่ได้รับประโยชน์แห่งธรรมที่พวกกุลบุตรต้องประสงค์เล่าเรียน
    ธรรมเหล่านั้นที่เขาเรียนไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์
    เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่โมฆบุรุษเหล่านั้น


    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดี
    อนึ่ง ปริยัติ (พุทธพจน์อันจะพึงเล่าเรียน) อันบุคคลเรียนดีแล้วคือจำนงอยู่
    ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้นนั่นแลเรียนแล้ว
    ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้งเป็นต้น ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะ

    ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนานแก่กุลบุตรเหล่านั้น

    ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ดังนี้...



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ถึงแม้จะสวดมนต์แล้วรู้เรื่องเป็นอย่างดี
    แต่ไม่ปฏิบัติตาม ก็ยังชื่อว่าเป็นผู้ตกต่ำ เล่ม 65 หน้า 207

    ผู้ไปต่ำ ชื่อว่า ผู้ตกต่ำ อย่างไร ?
    สัตว์ผู้ไปต่ำคือ สัตว์ที่ไปสู่นรก ไปสู่ดิรัจฉานกำเนิด ไปสู่เปรตวิสัย ชื่อว่าไปต่ำ
    ผู้ไปต่ำอย่างนี้ จึงชื่อว่า ผู้ตกต่ำ.

    สัตว์ที่ไม่เชื่อถือคำ ถ้อยคำ เทศนา
    คำสอนของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ตกต่ำอย่างไร ?
    สัตว์ทั้งหลายไม่เชื่อถือ ไม่ฟัง ไม่เงี่ยโสต (หู) ลงฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้คำ ถ้อยคำ
    เทศนาคำสอนของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามคำ
    ประพฤติฝ่าฝืน เบือนหน้าไปทางอื่น สัตว์ที่ไม่เชื่อคำ ถ้อยคำ เทศนา
    คำสอนของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอย่างนี้ ชื่อว่า ผู้ตกต่ำ.

    บทว่า อวจนกรา ความว่า
    ชื่อว่า ไม่ทำตามคำ เพราะอรรถว่า แม้ฟังอยู่ ก็ไม่ทำตามคำ
     
  9. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    หลวงพ่อเกษมสอนว่า

    1. ระลึกพึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ นำผลบุญที่ได้จากการระลึกบูชาผู้ใดก็ได้

    2. ที่พึ่ง – ที่ระลึก – ที่ใจเกาะ – ที่คิดพึ่ง ต้องเป็นพุทธ – ธรรม – สงฆ์
    ส่วนที่บูชาก็สูงสุดอยู่ที่พุทธ – ธรรม – สงฆ์

    รองลงมาคือ พ่อแม่ – ปู่ตา – ย่ายาย – ลุงป้า – น้าอา – พี่หญิง – พี่ชาย – การเสียภาษีบำรุงราชา –
    บำรุงเมืองที่อยู่อาศัย จากนั้นก็สงเคราะห์ น้อง – บุตร – หลาน – ผู้พิการ – คนจนที่น่าให้

    3. บูชาพรหม – เทพ – เปตร – ผี – ปีศาจ ฯลฯ ที่เป็นญาติ ก็คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    บูชาเทพที่รักษา คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    ใช้หนี้นายเวร คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง
    ส่งนายเวรและเชื้อโรคออกจากร่างกายของตน คือ การให้บุญอย่างถูกต้อง

    4. ต้องสละสิ่งของออกไปในที่ๆเกิดบุญ แล้วอุทิศ (โอน) ทันที โดยคิดว่า
    บุญนี้ให้ญาติ – เทพที่รักษา – นายเวร – เชื้อโรค ของข้า



    หมายเหตุ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ไม่ใช่วัตถุใดๆทั้งสิ้น
    แต่เป็นการระลึกถึงคำสอน - ความดี - ความประเสริฐ ของท่าน

    ผู้ที่ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร และยังไม่ได้รับประโยชน์ตามที่พุทธองค์สอน
    อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำแบบใหนจึงจะเกิดประโยชน์ – แก่นสาร ตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้

    แต่ก็ไปร้องประกาศสรรเสริญ สวดมนต์สรรเสริญพุทธองค์
    สวดสรรเสริญโดยที่ตนไม่ได้รับประโยชน์ - ไม่รู้ประโยชน์
    สวดสรรเสริญโดยที่ไม่เข้าใจและไม่รู้วิธีที่จะเอาประโยชน์จากคำสอน
    สวดสรรเสริญคุณของท่านโดยที่ไม่รู้ว่าท่านพาทำอะไร - ท่านพาไปไหน เป็นประโยชน์แบบใด

    คือ หมายความว่า ไม่เคยได้ดีจากท่าน แต่ไปร้องประกาศว่าท่านดี
    คนพวกนี้จัดว่าไม่รู้จริงๆ มืดไปตามมนต์จึงเรียกว่า พวกมืดมนต์
     
  10. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    จากที่ได้นำเสนอมาเป็นลำดับ มาถึงตอนนี้ทุกท่านที่สนใจก็คงจะทราบแล้วนะว่า

    หลวงปู่เกษม อาจิณฺณสีโล วัดสามแยก ไม่ได้ห้ามสวดมนต์
    แต่บอกว่า ถ้าจะสวดมนต์ก็สวดให้มันถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา ที่ได้นำเสนอมาพอสมควรนี้


    ถ้าอ่านมาทั้งหมดแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่อีก ก็ให้รู้ซะว่ามันไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แยกทางกันตรงนี้นะเรา



    ถ้าไม่สวดมนต์แล้วจะให้ทำอะไรดี?

    1. อ่านธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สามารถจะหาอ่านได้ด้วยภาษาที่ตัวเองเข้าใจ และอ่านบทธรรม
    ที่เหมาะสมกับภาวะของตัวเอง เพราะธรรมของพระพุทธเจ้ามีหลายระดับตั้งแต่พื้นๆ ไปจนสุดและเหนือสุดไปอีก

    คำสอนที่ท่านสอนคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งอีกทั้งยังไม่สามารถที่จะตรองตามเห็นได้อีกด้วย
    เพราะฉะนั้นพิจารณาเอาว่าตัวเองอยู่ระดับไหน เหมาะกับธรรมระดับใด จะไ้ด้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมได้ถูกต้อง
    จะได้มีความเจริญในธรรมไปตามลำดับ จนสุดท้ายฉลุยผ่านเส้นชัยคือพระนิพพานได้แบบสบายใจเฉิบๆๆ โน่น

    2. อุทิศบุญด้วยการระลึกว่า

    "ขออำนาจพุทธ - ธรรม - สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ญาติ - ให้เทพที่รักษา - ให้นายเวร ของข้า"

    หรือของใครต่อใครอีกก็ได้ที่เรารัก - ชอบใจ - เป็นห่วง - ผูกพัน

    ถ้าใครมีอาการเจ็บป่วยหนักหน่วงอยู่ ณ จุดใดก็ให้รวมพลังการระลึก
    อุทิศบุญพุ่งเข้าไปให้นายเวรที่ทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคนั้นๆ ณ ที่ตรงนั้น ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    และขอโทษกันด้วยความจริงใจด้วยที่ได้ทำความผิดต่อกันมาในครั้งก่อนโน้น

    ใครต้องการจะแก้ไขปัญหาในเรื่องอะไร ก็อุทิศบุญแก้ไขพวกชาวทิพย์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ
    ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากไ้ด้

    3. อุทิศบุญให้แก่เทพที่รักษาประเทศ - ภาค - จังหวัด - อำเภอ - ตำบล - หมู่บ้าน
    ที่แต่ละคนอยู่อาศัยในท้องถิ่นนั้นๆด้วย

    โดยใช้การระลึกอุทิศบุญแบบนี้ว่า
    "ขออำนาจพุทธ - ธรรม - สงฆ์ จงบันดาลบุญข้า ให้เทพที่รักษา.....พร้อมบริวาร" อย่าลืมนะ อย่าลืม



    *** อ่่านแล้วพิจารณาแล้ว จะเชื่อหรือไ่ม่เชื่อก็ไม่เกี่ยวกันนะ อยากสวดต่อหรือจะทำอะไรต่อก็ไม่เกี่ยวกัน [​IMG]
     
  11. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    มีผู้สงสัยว่า เรื่องราวในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงค้างคาว 500 ตัว
    ที่ฟังพระสวดมนต์แล้วยังได้บุญมาก และไปเกิดที่สวรรค์ด้วย?

    เรื่องนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎกจริง แต่ก็ต้องย้อนกลับมาคิดว่า
    ภาวะของความเป็นมนุษย์กับภาวะของความเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น มันต่างกันไกลมาก
    ภาวะของความเป็นมนุษย์ที่ได้เกิดมานับถือพระพุทธศาสนานั้น

    สามารถที่จะเข้าใจความหมายแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าไ้ด้ ด้วยภาษาที่ตนเองสามารถเข้าใจได้
    เพราะพระพุทธเจ้าประกาศธรรมที่โลกมนุษย์ และก็ประกาศธรรมที่มนุษย์พอจะตรองตามได้
    พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพียงแต่เป็นมนุษย์สุดยอดแห่งความมหัศจรรย์เท่านั้นเอง

    แม้จะไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ถ้ามีความพากเพียรพยายามและสามารถเข้าใจได้
    ตามกำลังแห่งสติปัญญาของตัวเอง แม้จะน้อยนิดเพียงแค่บทเดียวก็ตามเถอะ มันก็ดีมากแล้ว
    ดีมากกว่าพวกสวดมนต์ไม่รู้เรื่องซะอีก นี่ต่างหากที่ยังจะพอเป็นการสั่งสมอุปนิสัยปัจจัยติดจิตใจไปในภายภาคหน้าโน้น

    มนุษย์แปลตามตัวว่าเป็นสัตว์ใจสูงส่ิง แต่ทำไมถึงเอาตัวเองไปเปรียบกับค้างคาวเดรัจฉานเช่นนั้น
    มนุษย์ที่เอาศักยภาพแห่งการเรียนรู้ธรรมในความเป็นมนุษย์ ไปเปรียบกับศักยภาพแห่งการเรียนรู้ธรรมในสัตว์เดรัจฉาน

    มนุษย์เช่นนี้พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ในพระไตรปิฎกหลายเรื่อง แต่จะยกตัวอย่างเทียบเคียงมาซัก 1 เรื่องดังนี้

    เล่ม 15 หน้า 6

    ..พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูก่อนสุนักขัตตะ เธอได้เห็นนักบวชเปลือยชื่อโกรักขัตติยะนี้
    ซึ่งประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า ใช้ปากกินอาหารบนพื้นดิน แล้วเธอได้คิดต่อไปว่า
    สมณะเดินด้วยศอกและเข่ากินอาหารที่กองบนพื้นด้วยปาก เป็นพระอรหันต์ที่ดีหนอมิใช่หรือ.

    สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้
    พระผู้มีพระภาคยังหวงแหนความเป็นพระอรหันต์อยู่หรือ.
    เรากล่าวว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ (พวกไร้ประโยชน์) เราไม่ได้หวงแหนความเป็นพระอรหันต์
    แต่ว่าเธอได้เกิดทิฏฐิ (ความเห็น) เลวทรามขึ้น เธอจงละมันเสีย ทิฏฐิเลวทราม นั่น
    อย่าได้เกิดมีขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์และเป็นทุกข์แก่เธอ ชั่วกาลนาน

    นักบวชเปลือยชื่อ โกรักขัตติยะ ที่เธอสำคัญว่าเป็นสมณะ อรหันต์ที่ดีนั้นอีก ๗ วัน
    เขาจักตายด้วยโรคอลสกะ (โรคกินอาหารมากเกินไป) ครั้นแล้ว
    จักบังเกิดในเหล่าอสูรกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสูรกายทุกชนิด และจักถูกนำไปทิ้งที่ป่าช้าวีรณัตถัมภะ...
     
  12. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    เทียบเคียงเพิ่มเติมอีกหนึ่งสูตร เล่ม 20 หน้า 186

    ...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสนิยะ เราไม่ได้จากท่านเป็นแน่ซึ่งคำนี้ว่า
    อย่าเลยเสนิยะ จงงดข้อนั้นเสียเถิด อย่าถามเราถึงข้อนั้นเลย ดังนี้
    แต่เราจักพยากรณ์ (ตอบปัญหา) แก่ท่าน ดูก่อนเสนิยะ บุคคลบางคนในโลกนี้ บำเพ็ญโควัตร
    บำเพ็ญปกติของโค บำเพ็ญกิริยาอาการของโคอย่างบริบูรณ์ไม่ขาดสาย

    ครั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของโค
    อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า เราจักเป็นเทวดาหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง
    ด้วยศีล วัตร ตบะ หรือพรหมจรรย์นี้ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด

    ดูก่อนเสนิยะ เรากล่าวคติของผู้เห็นผิดว่ามี ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ดูก่อนเสนิยะโควัตรเมื่อถึงพร้อม ย่อมนำเข้าถึงความเป็นสหายของโค เมื่อวิบัติย่อมนำเข้าถึงนรก
    ด้วยประการฉะนี้. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
    ปุณณโกลิยบุตร ผู้ประพฤติวัตรดังโค ร้องไห้น้ำตาไหล....
     
  13. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ครั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของโค
    อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า เราจักเป็นเทวดาหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง
    ด้วยศีล วัตร ตบะ หรือพรหมจรรย์นี้ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด


    ใครก็ตามที่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนานี้แล้วปราถนาแค่การเป็นเทพเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    บุคคลนั้นได้ืชื่อว่าเป็นผู้มีความปราถนาลามก บุคคลนั้นไ้ด้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งจิตเอาไว้ผิด พระพุทธเจ้าตำหนินัก

    เพราะอะไร?
    เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้น ไม่สรรเสริญการเกิดแม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือ (คือเอานิ้วโป้งกับนิ้วกลางมาใส่กันแล้วก็ดีด)
    ดังนั้นใครก็ตามที่บำเพ็ญกุศลกรรมใดๆแล้ว "ให้ตั้งความปราถนาเพื่อหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร" ดังนี้ั
    จึงจะชื่อว่าตั้งจิตไว้ถูกในความหมายแห่งพระพุทธศาสนาของเรา

    คือว่าตั้งความปราถนานะ เมื่อตั้งความปราถนาไว้แล้ว แต่มันยังไม่หลุดพ้นไปจากวัฏฏะจักร
    ก็ไปค้างที่สวรรค์และพรหมนั้นก็ได้เหมือนกัน เพราะมัีนยังไปไม่พ้น ก็จำเป็นต้องอยู่ในวัฏฏะจักรไปก่อน
    แต่ว่าให้อยู่ในภพภูมิที่ดี

    และถึงแม้จะเป็นพระโสดาบันก็ตามแต่พอใจอยู่แค่นั้น พระองค์ก็ตำหนิ
    เป็นพระสกทาคามีแล้วพอใจอยู่แค่นั้น พระองค์ก็ตำหนิ
    เป็นพระอนาคามีแล้วพอใจอยู่แค่นั้น พระองค์ก็ตำหนิอีก

    เพราะภพทั้งหลายนั้นพระองค์เปรียบเหมือนขี้น่ะ แม้จะมีประมาณนิดน้อย แต่ก็มีกลิ่นเหม็นไง
     
  14. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ทำไมพระวัดสามแยกจึงบอกกล่าวเรื่องสวดมนต์แบบนี้ เล่ม 34 หน้า 420

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านอานนท์ว่า
    อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตรอมาตย์
    ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ เถิด
    ในสถาน ๓ คืออะไร คือ

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อม
    ด้วยวิชชา (ความรู้) และจรณะความประพฤติ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่
    ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
    บุคคลพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้าไปในตน
    อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
    เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง พระสงฆ์นั้นคือใคร
    ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะ
    ที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา (ของทำบุญ) เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี(ไหว้)
    เป็นบุญเขตของโลก ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า….

    อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตร อมาตย์ ญาติ
    หรือสายโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ นี้เถิด.


    *** ทีนี้เมื่อสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่มีวันที่จะรู้จักคุณของพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ ใช่ไหม?
    การจะรู้จักคุณของพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ ได้ มันก็ต้องเกิดจากการอ่าน – การฟัง
    พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยภาษาที่ตนเองพอจะตรองตามเห็น – พอจะพินิจพิจารณาตามได้ใช่ไหม?

    และนี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะทำให้รู้จักพระรัตนตรัยได้ในเบื้องต้นซึ่งก็คือการอ่าน – การฟัง
    พระธรรมคำสอนให้มาก แล้วก็ตรึกตรองตามนั้น


    แต่ถ้าใครคิดว่าสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่องแล้วมันจะทำให้รู้คุณของพระรัตนตรัยได้ ก็เอาซี แต่ก็ไม่ควรจะมายุ่งกัน

    เพราะพระพุทธเจ้าบอกเอาไว้แล้วว่า
    "อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตรอมาตย์
    ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ เถิด"

    เราจะชักชวนคนที่เชื่อเราแบบนี้แหละ แบบที่กำลังชักชวนอยู่นี้ [​IMG]
     
  15. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ทำไมพระวัดสามแยกจึงบอกกล่าวเรื่องสวดมนต์แบบนี้ เล่ม 34 หน้า 420

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านอานนท์ว่า
    อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตรอมาตย์
    ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ เถิด
    ในสถาน ๓ คืออะไร คือ

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อม
    ด้วยวิชชา (ความรู้) และจรณะความประพฤติ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่
    ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
    บุคคลพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้าไปในตน
    อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้

    ในความเลื่อมใสอันหยั่งลงด้วยรู้พระคุณในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
    เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง พระสงฆ์นั้นคือใคร
    ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะ
    ที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา (ของทำบุญ) เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี(ไหว้)
    เป็นบุญเขตของโลก ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า….

    อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตร อมาตย์ ญาติ
    หรือสายโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ นี้เถิด.


    *** ทีนี้เมื่อสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่มีวันที่จะรู้จักคุณของพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ ใช่ไหม?
    การจะรู้จักคุณของพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ ได้ มันก็ต้องเกิดจากการอ่าน – การฟัง
    พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยภาษาที่ตนเองพอจะตรองตามเห็น – พอจะพินิจพิจารณาตามได้ใช่ไหม?

    และนี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะทำให้รู้จักพระรัตนตรัยได้ในเบื้องต้นซึ่งก็คือการอ่าน – การฟัง
    พระธรรมคำสอนให้มาก แล้วก็ตรึกตรองตามนั้น


    แต่ถ้าใครคิดว่าสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่องแล้วมันจะทำให้รู้คุณของพระรัตนตรัยได้ ก็เอาซี แต่ก็ไม่ควรจะมายุ่งกัน

    เพราะพระพุทธเจ้าบอกเอาไว้แล้วว่า
    "อานนท์ ท่านทั้งหลายจะพึงเอ็นดูบุคคลใด และบุคคลเหล่าใดจะพึงเชื่อฟัง เป็นมิตรอมาตย์
    ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม บุคคลเหล่านั้น ท่านทั้งหลายพึงชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในสถาน ๓ เถิด"

    เราจะชักชวนคนที่เชื่อเราแบบนี้แหละ แบบที่กำลังชักชวนอยู่นี้ [​IMG]
     
  16. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ผมคิดว่า การสวดมนต์ เป็นภาษาบาลี แม้จะไม่รู้ความหมาย ก็ยังมีประโยชน์อยู่
    เป็นการรักษา ความถูกต้องของบทสวดให้คงเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษา จากของเดิมที่ยังไม่เพี้ยน
    หากมีการแปลความหมายเอามาใช้แต่อย่างเดียว ความหมายก็จะ เพี้ยนไปเรื่อยๆ แน่ใจหรือว่าผู้แปล ได้แปลถูกต้องเสมอไป
    คนนี้แปลอย่างนี้ คนนั้นแปลอย่างนั้น ผิดกันไปคนละนิดละหน่อย นานเข้าก็เละเลือน
    คนมาศึกษาทีหลังหากรับ ความหมายที่ผิดไป ก็จะจดจำผิดๆไปตลอด

    พระศาสนามีอายุ 5000 ปี แม้แค่กึ่งหนึ่ง ก็เพี้ยนไปเยอะแล้ว ช่วยกันรักษาไว้ในของเดิมเพื่อเป็นสมบัติให้คนรุ่นต่อไปเถอะครับ
    เจตนา คือ ตัวกรรม เราสวดมนต์เพื่อน้อมเคารพต่อคุณพระรัตนะตรัย นั่นหมายความว่าเรามีเจตนาดี
    เป็นคนดี ก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วย กาย วาจา ใจ ยิ่งมีใจประกอบด้วย พรหมวิหารธรรมด้วยแล้ว
    ทำอะไรก็จะออกมาทางดี ทางบวก มีแต่สร้างความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้น

    ดูอย่าง ค้างคาว 500 ตัว งูเหลือม ที่อยู่ในถ้ำ เป็นสัตว์เดียรฉาน ไม่รู้ภาษามนุษย์ ไม่รู้ความหมายของบทสวดมนต์
    เมื่อฟังเสียงพระสวดต์มนต์ ก็ชอบในเสียงสวดนั้น เมื่อตายจากสัตว์เดียรฉาน ก็ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นต้น

    ผมเพียงอยากแสดงให้เห็นประโยชน์ ของการสวดมนต์ ที่แม้ ไม่รู้ความหมาย แต่ก็เป็นประโยชน์ในการรักษาของเดิมไว้
    เพื่อมิให้ผิดเพี้ยนตามกาลเวลา ส่วนความหมายของบทสวดนั้น เราให้เป็นการสอดแทรกเพื่อให้เกิดความเข้าใจ จะดีกว่า
    ด้วยความเคารพครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2009
  17. สบู่เลือด

    สบู่เลือด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +391
    ส่วนตัวแล้วคิดว่าแล้วแต่คนสวดน่ะค่ะ บางคนไม่ค่อยมีเวลาก็อาจจะไม่ได้สวดคำแปล

    หรือชอบสวดแบบไหนก็สวดไป จิตเราก็จะได้็จับกับอะไรที่ดีงามก่อนนอนน่ะค่ะ
     
  18. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,551
    เห็นด้วยอย่างมากกับคุณ Narong บางครั้งการรู้บทสวด ก็จะทำให้เกิดสมาธิยาก การปฏิบัติไม่บรรลุผล เพราะเมื่อรู้ก็มัวสงสัยว่าจริงเหรอ ใช่เปล่า อยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็เบื่อไปเอง
     
  19. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ผมก็อยากจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกันคุณเพราะ ที่ผมยกมาให้อ่านกันเป็นข้อความในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านได้บอกให้ผู้สวดท่อง ต้องเข้าใจความหมายเพราะเหตุไร ก็เพราะถ้าไม่เข้าใจ แล้วจะสืบทอด สั่งสอนกันให้ถูกต้องตามที่พระองค์สอนได้อย่างไร หากคุณไม่เข้าใจบทสวดนั้น จะรักษาศาสนาได้อย่างไร
    คำสอนของพุทธองค์ไม่มีผิดเพี้ยนมีแต่ผู้ที่คิดว่านับถือคำสอนท่าน แต่ไม่นำมาเล่าเรียน พิจารณา ลงมือปฏิบัติตามแผนที่ที่ท่านทำไว้ให้ไงละครับมันถึงได้เพี้ยน... เอาง่ายๆ แค่ศีลห้า สวดกันได้ทุกคน มีกี่คนที่แปลแล้วเอาไปปฏิบัติได้จริง ผู้ที่นำเอาคำสอนของท่านไปเล่าเรียน แล้วลงมือปฏิบัติสิครับ ถึงจะเรียกตัวเองมาเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาของพระองค์ท่าน
    ส่วนเรื่องค้างคาวนั้น ลองไปอ่านดูอีกทีดีๆ ครับ เราเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าเอาดีก็ไปได้ถึงหลุดพ้นนิพพาน ซึ่งค้าวคาวทำไม่ได้ นะครับ คุณจะฟังบทสวดแบบค้าวคาว หรือจะเป็นลูกศิษย์พุทธองค์ที่สามารถเล่าเรียนให้เข้าใจ จนเป็นอริยะบุคคลนั้น ก็พิจารณาเอาเองครับ
     
  20. อสูรเทพ

    อสูรเทพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +57
    เคยได้ยินพระบางรูป สวดผิดอักขระและอนุโมทนาสงฆ์ที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้
     

แชร์หน้านี้

Loading...