ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นรู้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 6 กรกฎาคม 2012.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ::

    หัวข้อที่จะให้หลวงพ่อพูดนะเป็นหัวข้อที่น่าสนใจจริงๆ เรื่องปาฏิหาริย์แห่งการตื่นรู้
    มันมีคำสองคำนะ คำว่า "ตื่น” กับคำว่า "รู้” ไม่ใช่คำเดียวกัน
    ตื่นเฉยๆแต่ไม่รู้ก็มี รู้แบบไม่ตื่นก็มี คนส่วนใหญ่ไม่ตื่น
    คนในโลกนะมันเต็มไปด้วยคนหลับคนหลง
    วันๆฝัน ฝันทั้งๆที่ร่างกายมันตื่น แต่จิตใจหลับ
    น้อยคนเหลือเกินที่จะตื่นขึ้นมาได้ทั้งกายทั้งใจ

    ถ้าเราไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
    โอกาสที่เราจะตื่นเนี่ยยากมาก ตื่นแล้วก็รู้ไม่เป็น ตื่นเฉยๆ
    การได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้านะ ถือเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่งใหญ่
    ถ้าเราไม่มีบุญไม่มีกุศลเพียงพอ เราไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
    คนในโลกนี้มีนับจำนวนไม่ถ้วน หลายพันล้านคน คนที่เป็นชาวพุทธมีไม่มาก
    แล้วชาวพุทธที่เป็นชาวพุทธที่จะศึกษาธรรมะ ยิ่งน้อยลงไปใหญ่

    เมื่อก่อนหลวงพ่อบวชใหม่ๆ อยู่เมืองกาญจนบุรี
    จะพูดอยู่เรื่อยๆเลยว่าในโลกมันไม่มีคนตื่นน่ะ หาคนตื่นเนี่ยนับตัวได้เลย หายากจริงๆ
    มีแต่คนหลับคนฝัน ตื่นเฉพาะร่างกายแต่จิตหลับ จิตไม่เคยตื่น
    เวลาจิตมันหลับไป จิตมันฝันไปมันจะไปรู้เรื่องราวภายนอก
    รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้เรื่องราวที่คิดนึกปรุงแต่ง มันจะไปรู้สิ่งเหล่านั้น
    แต่มันไม่สามารถรู้กายรู้ใจตนเองได้ มีร่างกายก็ลืมร่างกาย มีจิตใจก็ลืมจิตใจของตนเอง
    เนี่ยคนในโลกนะ มีกายก็ลืมกาย มีใจก็ลืมใจ
    โอกาสที่จะพัฒนาคุณภาพของจิตใจจนไปสู่ความพ้นทุกข์นั้นไม่มีเลย

    .ถ้าเรารู้ทันจิตที่มันเคลื่อนไป จิตที่มันหลงไป จิตที่มันไหลไป
    ไหลสะเปะสะปะเรียกว่าเผลอไปหลงไป ไหลไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวเรียกว่าเพ่ง
    แต่ทั้งคู่นี้คือจิตเคลื่อนไปทั้งสิ้น จิตไหลไปทั้งสิ้น
    ถ้าเมื่อไหร่เรารู้ว่าจิตไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ
    จิตจะรู้ จะตื่น จะเบิกบานขึ้นโดยอัตโนมัติ จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตัวนี้ตัวสำคัญ
    ถ้าเราไม่สามารถปลุกจิตของเราให้ตื่นได้ โอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ยังไม่มีหรอก
    เราต้องฝึกตนเองจนกระทั่งจิตของเราเปลี่ยนจากผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง มาเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
    ต้องฝึกให้ได้นะ ไม่ยากเลย คอยรู้ทันจิตบ่อยๆ

    .ฝึกรู้สึกตัวให้มากๆ พอเรารู้สึกตัวได้มากๆแล้ว เราตื่นขึ้นมา หลุดออกจากโลกของความคิดแล้ว
    จะเรียกว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็ได้ แต่ว่ามันยังแค่รู้ตัวอยู่เฉยๆ
    เราจะต้องมารู้ความจริงของชีวิตต่อไป ภาวะการปฏิบัตินั้นมันเลยมีสองขั้นตอน
    ขั้นตอนที่หนึ่ง ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมา ขั้นตอนที่สอง เมื่อจิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    แล้วมาเดินเจริญปัญญา มาเรียนรู้ความจริงของรูปของนาม ของกายของใจ
    สิ่งที่เรียกว่าตัวเราๆก็คือรูปกับนาม คือกายกับใจเรานี้เอง
    เรามาเรียนรู้ความจริงของมัน ความจริงของมันคือไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    .ไตรลักษณ์นั้นแสดงตัวอยู่แล้วในกายนี้ ไตรลักษณ์นั้นแสดงตัวอยู่แล้วในจิตใจนี้
    แต่เราละเลยที่จะรู้ เท่านั้นเอง เราไม่รู้วิธีที่จะรู้ไตรลักษณ์ในกายในใจ
    สิ่งนี้สำคัญมาก เราจะต้องรู้วิธีที่จะรู้ไตรลักษณ์ของกายของใจ
    ถ้าไม่รู้วิธีที่จะรู้ไตรลักษณ์ของกายของใจ ถึงจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ ก็ไม่สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้
    มันจะไปรู้ตัวอยู่เฉยๆ เพราะงั้นตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกตัวอยู่เฉยๆเนี่ยไม่พอ
    ต้องสามารถพัฒนาความสามารถของจิตให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจให้ได้

    .การที่เรามีจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน แล้วสติระลึกรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ถ้าระลึกรู้ลงไปมันจะเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ

    .พอเราเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะจิตใจมันจะยอมรับได้ว่าตัวเราไม่มีหรอก
    พอฝึกมากเข้าๆนะบางคนใช้เวลา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ก็ยอมรับได้ว่าตัวเราไม่มี
    เป็นความเห็นถูกต้องแน่นแฟ้นไม่มีคลอนแคลนอีกแล้วว่าตัวเราไม่มี
    เวลารู้สึกว่าตัวเราไม่มีนะเวลามองเข้ามาในตัวเองมันจะรู้สึกกลวงๆนะ
    ของเรามองเข้าไปตอนนี้สิ ตันๆ รู้สึกไหมกูเต็มๆเลย มีตัวกูเต็มๆเลย
    พอได้ธรรมะแล้วเนี่ย ดูเข้ามาในตัวเองนี่กลวงๆ
    มันกลวง มันว่าง จากความมีตัวมีตน ร่างกายนี้ก็เป็นแค่ตัวอะไรตัวหนึ่งกลวงๆ
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็กลวงๆ ไม่มีอะไรจริงจัง
    เหมือนภาพลวงตา เหมือนความฝัน เหมือนพยับแดด
    เป็นมายาทั้งหมดเลย จะเห็นนะตัวตนที่แท้จริงไม่มี
    แค่นี้ก็เรียกว่าเอาตัวรอดได้แล้ว ปิดอบายได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์หรอก

    ถ้าเราภาวนาต่อไป เรามีความรู้สึกตัว ตื่นนี่แหละ แล้วเรียนรู้ความจริงของกายของใจต่อไป
    เนี่ยปาฏิหาริย์มันมีเป็นขั้นๆนะ อย่างทีแรกเราไม่เคยตื่นเลย
    เรารู้ทันจิตที่เผลอไปคิดจิตก็ตื่นขึ้นมา แค่นี้ก็อัศจรรย์มากแล้ว นี่ปาฏิหาริย์ขั้นที่หนึ่งเลย

    ถัดจากนั้นเราก็มาดูต่อไป พอจิตมันตื่นแล้วนะ เราดูลงไปในธาตุในขันธ์
    ธาตุขันธ์ก็แตกตัวกระจายออกไป ไม่ใช่เป็นก้อนเดียวกันอีกแล้ว
    มันแตกออกไป ๕ กอง เป็นขันธ์ห้า บางคนแตกเป็นอายตนะ ๖
    บางคนแตกเป็นธาตุ ๑๘ แตกเป็นอินทรีย์ ๒๒ แตกแบบไหนก็ได้
    รวมแล้วก็คือมันมีรูปกับนามแยกออกจากกันเป็นส่วนๆๆไป

    เป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่กายกับจิตแยกออกจากกันได้
    เป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่เวทนาก็แยกออกไปได้
    เป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่สังขาร ที่สัญญา ก็แยกออกไปได้
    เป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่เราเห็นจิตเกิดดับอยู่ทางทวารทั้ง ๖ ได้
    นี่ก็เป็นปาฏิหาริย์ขั้นที่สองนะ จากการที่เราตื่นขึ้นมา

    ตื่นขึ้นมาทีแรกนะเราจะรู้เลยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เราฝันอยู่ตลอดเวลา
    เราไม่เคยตื่นเลย พอเรารู้ทันจิตที่คิดเราก็ตื่นขึ้นมา นี่ก็อัศจรรย์ขั้นที่ ๑ แล้ว
    พออัศจรรย์ขั้นที่ ๒ นะเรามาแยกขันธ์ออกไป ขันธ์แต่ละขันธ์นะ
    ร่างกายส่วนร่างกายมันแยกได้นะ อย่างเดินอยู่เนี่ยเราเห็นเหมือนคนอื่นเดินเลย อัศจรรย์จริงๆ

    ถ้าเราเห็นร่างกายเหมือนเป็นคนอื่น ใครมันแก่ ใครมันเจ็บ ใครมันตายล่ะ
    ไอ้ตัวร่างกายนี่มันแก่มันเจ็บมันตายนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย
    ไม่ทุกข์นะ ไม่ทุกข์เพราะกายอีกต่อไปเลย
    แยกได้นะ ดูไปเรื่อย แยกขันธ์ไปเรื่อยนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์
    ไม่มีในคำสอนของผู้อื่นเลย มีในคำสอนของพระพุทธเจ้านี้แหละ จะสอนให้เราแยกธาตุแยกขันธ์ได้
    พอแยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้ววันหนึ่งปัญญามันปิ๊งขึ้นมาเราพบว่าไม่มีตัวเรา
    นี่ก็อัศจรรย์อีกแล้ว เป็นปาฏิหาริย์แบบอัศจรรย์นะ มันนึกไม่ถึงเลยว่าแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ
    เดินอยู่แท้ๆนะแต่ไม่มีเราเดิน ทุกข์อยู่แท้ๆนะเห็นขันธ์มันทุกข์อยู่แต่ไม่มีเราทุกข์
    มันไม่มีเรา มีปรากฏการณ์ แต่ไม่มีเจ้าของปรากฏการณ์
    เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ทั้งนั้นเลยนะ แต่ยังไม่สิ้นสุด ปาฏิหาริย์มากกว่านี้ยังมีอีก ถ้าจิตเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
    ดูกายทำงานดูใจทำงานไปเรื่อย ใช้หลักที่หลวงพ่อพูดเรื่อยๆนั่นเอง
    คือมีสติ รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
    จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง คือจิตที่ตื่นขึ้นมานั่นเอง
    จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่นแหละ ตั้งมั่นเป็นกลาง

    .เราก็ภาวนามีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นด้วยจิตที่เป็นกลางเรื่อยไป
    หัดรู้หัดดูของเราเรื่อยๆไปนะ ถึงจุดหนึ่งเนี่ย เบื้องต้นมันจะละความเห็นผิดว่ามีเรา
    ถัดไปมันก็จะเห็นเลยร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ปล่อยวางความยึดถือในกาย ก็เข้ามายึดถืออยู่ที่จิตอันเดียว
    ต่อมาก็จะไปเห็นความจริงอีก ตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
    บางคนเห็นจิตเป็นอนิจจังก็ปล่อย บางคนเห็นจิตเป็นทุกข์ก็ปล่อย บางคนเห็นจิตเป็นอนัตตาก็ปล่อย
    เมื่อปล่อยวางจิตได้แล้วจะไม่มีอะไรที่จะยึดถืออยู่อีก
    เพราะสิ่งที่เรายึดถือเหนียวแน่นที่สุดก็คือจิตนั่นแหละ
    งั้นถ้าปล่อยวางจิตได้เมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์ได้เมื่อนั้น

    .ตรงนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่แบบพลิกฟ้าคว่ำดินอะไรทำนองนั้นนะ
    วัฏจักรจะถล่มทลายลงต่อหน้าต่อตาเราเลย
    เป็นเรื่องอัศจรรย์นะ ต้องภาวนาเอา เป็นปาฏิหาริย์จนไม่รู้จะปาฏิหาริย์ยังไงเลยนะ
    แล้วจากนั้นเนี่ยจิตจะเปลี่ยนไป จิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
    จิตของเราทุกวันนี้มีขอบมีเขต มีจุดมีดวง มีที่ตั้ง มีความปรุงแต่ง มีความทุกข์ มีความบีบคั้น
    เมื่อปล่อยวางความยึดถือจิตไปแล้ว ตัวรู้นั้นมันแปรสภาพจากจิตผู้รู้นะไปเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธ์

    .เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีอะไรปนเปื้อน ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
    ไม่มีขอบไม่มีเขตไม่มีจุดไม่มีดวงนะ ต้องฝึกเอานะ

    เป็นบุญของพวกเรานักหนาแล้วนะ ที่เกิดมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า
    ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเป็นคนส่วนน้อยในโลกนะ
    เราอย่านึกว่าศาสนาพุทธของเราเข้มแข็งนะ ศาสนาพุทธน่ะใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
    แต่จะหมดหรือไม่หมดมันอยู่ที่พวกเรานี่แหละ ว่าเราจะสืบทอดต่อไปได้หรือเปล่า
    ขั้นแรกเราต้องเรียนให้ได้ก่อน ปฏิบัติให้ได้ก่อน แล้วช่วยกันประกาศธรรมะออกไป

    .งั้นเรียนให้ดีนะ ศึกษาให้ดี รู้หลัก รักษาศีล ๕
    ศีล ๕ จำเป็นที่สุดเลยนะ จำเป็นกว่าศีล ๒๒๗ อีก
    ศีล ๕ นั่นแหละจะทำให้เราได้มรรคได้ผล
    รักษาศีล ๕ ไว้ ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว
    พอจิตใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวนั่นแหละจิตมีสมาธิแล้ว ถัดจากนั้นเจริญปัญญา
    หัดแยกธาตุแยกขันธ์ เห็นกายมันทำงานเห็นจิตมันทำงาน
    ร่างกายส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ส่วนหนึ่ง กุศลอกุศลส่วนหนึ่ง จิตที่เป็นผู้รู้อยู่ส่วนหนึ่ง
    จิตที่ไปปรุงแต่ง วิ่งไปรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แยกออกไปทำงาน
    ดูไปเรื่อยก็ไม่มีตัวเรา ดูไปเรื่อยมีแต่ตัวทุกข์ ไม่มีตัวเรา มีแต่ตัวทุกข์
    ถ้าเห็นแจ้งอย่างนี้ก็ปล่อยวางความยึดถือในขันธ์ ๕
    ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรอัศจรรย์ยิ่งกว่าการที่เราแจ้งพระนิพพานหรอก

    พระนิพพานนั้นไม่ได้อยู่ไกล พระนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาเราไม่เคยหายไปไหนเลย
    พระนิพพานไม่ใช่ของสดๆร้อนๆที่เกิดขึ้นใหม่ๆ
    มรรคผลนั้นเกิดขึ้นสดๆร้อนๆนะ แต่พระนิพพานนั้นมีอยู่แล้ว
    จิตของเราไม่มีคุณภาพพอที่จะเห็นพระนิพพานเท่านั้นเอง
    เพราะจิตของเราปนเปื้อนด้วยกิเลส ปนเปื้อนด้วยความปรุงแต่ง ปนเปื้อนด้วยตัณหา
    เรามาชำระจิตของเรา มาซักฟอกจิตของเราทุกวันๆนะ
    ถึงวันหนึ่งจิตไม่ปนเปื้อนแล้ว จิตไม่สกปรก
    จิตปราศจากความปรุงแต่ง ปราศจากตัณหา เราจะเห็นพระนิพพานนั้นเต็มอยู่ต่อหน้าต่อตาเลย

    ฝึกเข้านะ ฝึกเข้า ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่บอก
    บอกทางให้เดิน พวกเราก็ต้องเดินด้วยตัวของเราเอง ไม่มีใครมาช่วยเราได้หรอก
    ถึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกทาง เราต้องเดินด้วยตัวของเราเอง
    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    "ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นรู้”

    ที่มาPANTIP.COM : Y12322589 "
     
  2. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     

แชร์หน้านี้

Loading...