ปฏิบัติให้รู้ความจริง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 8 มีนาคม 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปฏิบัติให้รู้ความจริง


    เทศน์งานคล้ายวันเกิดหลวงปู่เทสก์ ณ วัดหินหมากเป้ง หนองคาย

    เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘



    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ( ๓ หน )

    ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺสตสฺสาติ.

    วันนี้คล้ายกับวันเกิดของท่านอาจารย์เทสก์เราซึ่งเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร และได้มรณภาพผ่านไปแล้ว นี่เป็นเครื่องประกาศให้เราทั้งหลายที่อยู่ในที่นี่ก็ดี ไม่ได้อยู่ในที่นี่ก็ดี ได้ทราบทั่วกันว่า เรื่องความเกิดกับความตายนี้เป็นของคู่กันมาดั้งเดิม และไม่ว่าใครจะได้ธรรมเหล่านี้เป็นคู่ตลอดไปถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ดังที่ยกขึ้นเป็นกระทู้เบื้องต้นนั้นว่า ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดก็เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่ง ชราปิ ทุกฺขา ความแก่ก็เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่ง มรณมฺปิ ทุกฺขํ ความล้มหายตายจากก็เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่ง ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส นอกจากไม่เกิดเท่านั้นจึงไม่มีทุกข์ ที่ว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส เป็นเครื่องรับรองยืนยันว่า ผู้ที่เกิดทั้งหลายนี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกองทุกข์ เกิดมาแล้วเสือกคลานทะเยอทะยานยุ่งเหยิงวุ่นวายทั่วโลกดินแดน ไม่ว่าโลกเขาโลกเรา ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล เป็นเหมือนกันหมด

    โลกนี้จึงเหมือนกับโลกกองฟืนกองไฟเผาไหม้อยู่ทุกรูปทุกกาย ทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคลไม่ไว้หน้า ท่านประกาศให้เราทั้งหลายได้ทราบโทษของมันว่าเป็นอย่างนี้ และประกาศคุณอันประเสริฐให้เราทั้งหลายทราบด้วยว่า การไม่มาหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นเรื่องแบกกองทุกข์นี้เสียเท่านั้น เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ หรือว่าทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ผู้ที่ไม่มาเกิดถือกำเนิดเป็นเราเป็นท่าน ให้ได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ทั่วดินแดนนี้ ผู้เหล่านี้ไม่ตาย ผู้เหล่านี้ไม่ได้รับความทุกข์

    การแสดงธรรมก็ขอความกรุณาจากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ในระยะนี้วัยนี้แล้วไม่เหมือนแต่ก่อน เทศน์หลงหน้าหลงหลังจำไม่ได้ บางทีเทศน์ไปแล้วไม่ทราบว่าจะลงตรงไหน วกหน้าวกหลังหลงหน้าหลงหลังไปอย่างนั้น จึงขออภัยว่าตรงไหนที่พอยึดได้ก็กรุณายึดไป ส่วนไหนที่ขาดวรรคขาดตอนไปก็ปล่อยทิ้งไปเสีย อันนี้จะเป็นการเหมาะสมกับการฟังเทศน์อยู่ในเวลานี้ของผู้เทศน์ซึ่งอยู่ในวัยนี้

    วันนี้ได้พูดถึงเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายและความไม่เกิด ให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบ เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชของเราเป็นความสำคัญมากอย่างยิ่ง เพราะนักบวชบวชมาเพื่อความเห็นภัยเห็นทุกข์ทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ในตัวของเรานี้ ให้ได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นตัวเหตุให้ได้รับความทุกข์ความทรมานนี้ออกโดยลำดับ ความโลภก็เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ประเภทหนึ่ง โลภมากเท่าไรก็ยิ่งมีความทุกข์มากดิ้นมากวุ่นวายมาก เป็นความทุกข์ความลำบากมาก ความโกรธก็เหมือนกัน ความฉุนเฉียวเมื่อไม่ได้อย่างใจหวังก็เกิดความโกรธแค้น พอฆ่า-ฆ่าเอา พอตี-ตีเอาตามอารมณ์ของใจ

    ราคะตัณหานี้เป็นตัวสำคัญ ทำสัตว์โลกทั้งหลายให้วุ่นวายเดือดร้อนไปทั่วโลกดินแดน ก็เพราะราคะตัณหานี้เป็นตัวสำคัญมาก มีอยู่กับทุกผู้ทุกคนทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์เดรัจฉานไม่เลือกหน้า ตัวนี้เป็นเจ้าอำนาจวาสนาครอบครองหัวใจสัตว์โลกให้ดิ้นรนมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นักบวชของเราจึงควรพิจารณาส่วนนี้ให้มาก ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั่นคือภูเขาทั้งลูกอันใหญ่หลวงเต็มอยู่ในสัตว์ในบุคคล หลงกันทั้งนั้น หลงผมหลงขนหลงเล็บหลงฟันหลงเนื้อหลงหนังหลงกระดูกหลงไปหมด นี่จึงเรียกว่าภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ภูเขาทั้งลูกไม่มีใครไปหลงเขา แต่ภูเขาภูเรานี้หลงกันทั้งนั้น จะไปไหนก็ไปไม่รอดเพราะอำนาจกิเลสตัณหาราคะความรักความชอบ ความดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกว่งภายในจิตใจฉุดลากมาให้อยู่ในเงื้อมมือของมันจนได้ ผู้บวชไปไม่รอดก็เพราะอันนี้เอง

    วันนี้ขอทำหน้าที่เป็นหลวงตา เทศน์ให้บรรดาลูกหลานนักบวชทั้งหลายฟัง เพราะหลวงตาก็เคยผ่านมาพอประมาณในการบวช จนกระทั่งอายุถึงปูนนี้แล้ว ให้ลูกหลานทั้งหลายได้ทราบว่าการบวชนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และไม่ใช่บวชเล่น ๆ บวชเป็นประเพณี บวชหนีสงสารจริง ๆ บวชด้วยความเสียสละ ละกิเลสละความโลภความโกรธความหลงราคะตัณหาจริง ๆ จึงควรเห็นความสำคัญในหลักธรรมหลักวินัยที่ท่านแสดงเอาไว้

    เฉพาะยาแก้โรคราคะตัณหานั้นคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ วิชานี้เป็นวิชาชั้นเอกใครเรียนจบนี้ได้แล้ว คำว่าเรียนจบไม่ได้เรียนด้วยความจำเฉย ๆ ดังที่อุปัชฌาย์ท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั้นเป็นภาคปริยัติท่านสอนให้เราจำ แล้วเป็นภาคปฏิบัติ เกสาเป็นยังไง โลมาเป็นยังไง นขา ทันตา ตโจเป็นยังไง เอาไปคลี่คลายดูสิ่งเหล่านี้ให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนในสัตว์ในบุคคลในหญิงในชาย จะไม่พ้นจากความเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ดูให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งตามเป็นจริงแล้ว ความกำหนัดยินดีทั้งหลายจะค่อยคลายตัวออกมา ความดิ้นรนกวัดแกว่งก็จะค่อยเบาตัวลงไป สงบงบเงียบลงไป

    ความกระวนกระวายภายในจิตใจ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก ทำลายจิตใจของโลกจนกระทั่งถึงให้กายหวั่นไหวไปด้วยก็เพราะอันนี้เอง ผู้ปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือนักบวชของเรา เพราะฉะนั้นขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่กล่าว ๕ ข้อนี้เป็นย่อ ๆ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นธรรมที่สำคัญมาก ใครได้อ่านใครได้คลี่คลายใครได้ปฏิบัติตามหลักธรรม ๕ ประการนี้แล้วจะทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่มีติดไม่มีข้องอะไรเลย

    ภูเขาทั้งลูกผ่านไปได้สบาย แต่ภูเรานี้ผ่านยากนะ ภูเราคือตัวของเรา ผมของเรา ขนของเรา เล็บของเรา ฟันของเรา เนื้อหนังมังสังของเรา ร่างกายของเรานี้ผ่านยาก ไม่มีใครสนใจจะผ่านด้วยเพราะเป็นของที่ผ่านยาก แต่คำว่ายากนั้นต้องเป็นผู้ได้ผ่านแล้วถึงจะรู้ว่ายากว่าง่าย ผู้ไม่ผ่านและผู้ไม่สนใจจะผ่านนั้นไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีความหนักแน่นขนาดไหนในธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนให้เป็นอาวุธอันสำคัญ เพื่อปราบปรามมารทั้งหลาย คือ ราคะตัณหาเป็นต้น โลกไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่ได้นำออกสนามขึ้นเวทีรบกันด้วยภาคจิตตภาวนาเสียก่อนเราอย่าด่วนคุย จะเรียนรู้ขนาดไหนก็ตามเพียงความจำเฉย ๆ แก้กิเลสไม่ได้ ขอให้ลูกหลานทั้งหลายทราบเอาไว้จำเอาไว้

    นี่หลวงตาบัวก็เรียนมาเหมือนกัน โลกทั้งหลายได้ตั้งชื่อให้เป็นมหา หลวงตาบัวเรียนแล้วก็ยังต้องไปปฏิบัติฟัดกันอยู่บนเวทีในป่าในเขาพอได้รู้เรื่องรู้ราวกันบ้างว่า สิ่งเหล่านี้แก้ยากที่สุด สู้ยากที่สุด ไม่มีอะไรที่จะแก้ยากยิ่งกว่าราคะตัณหา ต้องเอา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ติดแนบกับสติกับปัญญา ฟาดกันลงไปหั่นแหลกกันลงไป ไม่มีวันมีคืนยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้น จึงจะผ่านไปได้เป็นวรรคเป็นตอน ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดจริง ๆ อันนี้หนาแน่นมากแก้ยากมากกว่ากิเลสประเภทใด ๆ

    โลกที่มาเกิดนี้เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี่เท่านั้นพาให้เกิด ไม่มีสิ่งอื่นใดพาให้เกิด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา คืออวิชชาเป็นพื้นฐานที่จะให้สัตว์ทั้งหลายเกิด ตัวราคะตัณหานี้เป็นผู้ออกหน้าออกตาเป็นผู้ออกสนามรบ เวลาปฏิบัติจริง ๆ แล้วเราถึงจะทราบได้ว่าอวิชชาเป็นยังไง ราคะตัณหาเป็นยังไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํํ เป็นยังไงถึงจะรู้ในวงปฏิบัติของตัวเอง ขึ้นเวทีแล้วค่อยรู้ เพียงเราเรียนจำเฉย ๆ ไม่ว่าท่านว่าเรา จำได้แต่ชื่อ ชื่อของกิเลสนั้นจำได้ มากน้อยเพียงไรจำได้ทั้งนั้นแต่กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก มิหนำซ้ำยังพอกพูนความสำคัญมั่นหมายว่า ตนเรียนรู้ได้มากได้น้อยฉลาดแหลมคมเข้าไป เป็นทิฐิมานะขึ้นมาภายในจิตใจ กลายเป็นกิเลสขึ้นมาซ้ำสองอีกเราก็ไม่รู้ได้

    แต่เมื่อเวลานำธรรมมี เกสา โลมาเป็นต้นนี้ไปปฏิบัติ พิจารณาให้เห็นตามความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่าเกสาเป็นยังไง ดูให้ดีเกสาของเราก็มี แปลว่าผม อยู่ในตัวของเราก็มี ผมหญิงก็มี ผมชายก็มี เป็นยังไงว่าสวยว่างามตรงไหน ตกลงไปใส่ภาชนะแล้วไม่เห็นใครพอใจรับประทาน เห็นแต่จิตเกิดความสะอิดสะเอียนไปหมดนั่นแหละ เพราะอะไรถึงเป็นพิษไปแบบนั้น ถ้าเป็นของสวยของงามเป็นของดีจริง ๆ ก็กินมันหมดทั้งผมนั่นซิ ผมตกในถ้วยในจานไม่ต้องไปหาอาหารที่ไหนมากิน กินแต่ผมนี้ก็พอแล้วเพราะเราชอบผม

    แต่นี้กินไม่ได้ ผมก็กินไม่ได้ เล็บก็กินไม่ได้ ฟันก็กินไม่ได้ ฟันก็คือกระดูกอันหนึ่งที่อยู่ในปากเรียกว่าฟันเฉย ๆ เป็นกระดูกนั่นแหละ หนังก็หุ้มห่ออยู่นี้ พิจารณาซิถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของดิบของดีจริง ๆ อะไรหลุดลอยจากนี้ไปตกลงในภาชนะกินให้หมด เราอย่าปล่อยมันไว้เพราะเรารักมันเราชอบมัน แต่นี้เราก็กินไม่ได้ กลับรังเกียจหรือเกลียดไปอีกหลายขั้นหลายตอนเพราะสิ่งเหล่านี้ มันตลบตะแลงหลายด้านหลายทางเรื่องของกิเลสหลอกคน ให้เราทำตัวของเราใน เกสา โลมา นี้ให้แนบสนิท พินิจพิจารณาให้ดี

    เวลานี้ศาสนาค่อยหดย่นเข้ามา จากผู้ปฏิบัติผู้รักษาศีลรักษาธรรมทั้งหลายโดยลำดับ ขอให้ลูกหลานทั้งหลายทราบเอาไว้ มันเรียวแหลมเข้ามาที่กายวาจาใจความประพฤติของเรานี้แหละ หน้าที่การงานแทนที่จะเป็นไปตามการชำระกิเลสสะสางกิเลส กลับกลายเป็นหน้าที่การงานเพื่อสั่งสมกิเลสให้มากมูนขึ้นภายในจิตใจ นี่เรียกว่ากิเลสแทรกธรรม กิเลสตีตลาดตีเข้าไปหมดในบ้านในเรือนในวัดในวา เฉพาะอย่างยิ่งในวัดนั่นแหละตีมากกว่า อันนี้เป็นสถานที่ชำระกิเลส เป็นสถานที่เสาะแสวงหาธรรม แต่แล้วก็ไม่พ้นกิเลสเข้าไปตีตลาดกอบโกยเอาไม่ได้แหละ มีแต่กิเลสไปตีตลาด มีงานที่ไหน ๆ งานนั้นได้เท่าไรงานนี้ได้เท่าไร นี่ละคือกิเลสแทรกธรรมแทรกอย่างนี้ กิเลสตีตลาดตีอย่างนี้ ดูเอาถ้าอยากรู้ หูตามีทุกคน

    ตามหลักของพระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ท่านให้ระมัดระวังรักษาเอาอย่างมากมาย ดังเราทั้งหลายได้เห็นแล้วในพระวินัยของพระเป็นอย่างไร ในธรรมชาติอันนี้ท่านเข้มงวดกวดขันอย่างไรบ้าง ถึงขนาดที่ต้องสละในท่ามกลางสงฆ์เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร นั่นละท่านให้เห็นภัย เมณฑกเศรษฐีต่างหากเป็นผู้ขออนุญาต พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตไว้โดยความมีข้อแม้ ให้ถือเป็นความจำเป็นเพียงกัปปิยภัณฑ์ไม่จำเป็นในเงินในทอง อย่ายินดีในเงินในทอง ถ้ายินดีอย่างนี้แล้วปรับโทษปรับอาบัติอีก นั่นท่านเด็ดขาดอย่างนี้

    นี่เรามาชำระกิเลสสละกิเลส เดี๋ยวนี้กลายเป็นมาสั่งสมสิ่งเหล่านี้เข้ามาภายในจิตใจ ไปที่ไหนโลกเดือดร้อน วัดเดือดร้อนก็เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ รบราฆ่าฟันกันต่าง ๆ ก็เพราะสิ่งเหล่านี้มันสำคัญมันมีอำนาจมาก ไอ้หลังลายจำกันได้ไหม เมื่อมันได้เข้าครอบหัวใจแล้วไม่ว่าใจพระใจเณรดิ้นดีดไปตาม ๆ กันหมด แม้ที่สุดพระในวัดก็ทะเลาะกันเพราะความได้ความเสียกับสิ่งเหล่านี้ ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าอรรถกว่าธรรมก็ทะเลาะกันได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หนักอยู่ภายในจิตใจจะมาทะเลาะกันอะไรเหตุผลมีอยู่เรื่องราวมีอยู่ แก้ไขดัดแปลงกันไปตามเรื่องตามราวให้ถูกต้องตามเหตุผลแล้วก็สงบไปเท่านั้นเอง แต่นี้เพราะอะไร เพราะทิฐิตัวนี้แหละดิ่งจมอยู่ในธรรมชาติอันนั้นแหละไม่ยอมถอน มันจะเอาให้ได้ ๆ อยากได้เท่านี้แล้วอยากได้เท่านั้น เลยกลายเป็นนักสั่งสมเศรษฐีเงินไปไม่ใช่เป็นเศรษฐีธรรม มันเสียไปอย่างนี้

    เวลานี้ศาสนาของเราจมลงไป ๆ เพราะไอ้หลังลายนี้เข้าเหยียบย่ำทำลาย อำนาจแห่งความโลภมันดึงมันดูด ต่างอันต่างดึงต่างดูดกันก็พันเป็นอันเดียวกันศีลธรรมเลยไม่มอง จะมองเห็นแต่สิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น บวชเข้ามาแทนที่จะสละกิเลสกลับกลายเป็นสั่งสมกิเลสเข้ามาอย่างใหญ่โต มีอายุพรรษามากเท่าไรยิ่งสั่งสมสิ่งเหล่านี้เป็นมหาเศรษฐีเงินมากยิ่งกว่าธรรมไปเสียอีก จึงขอให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายที่บวชมาแล้ว ให้พึงทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยอย่างไรบ้าง ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์แล้ว ให้เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นภัยอย่ากังวลอย่ายุ่งเหยิงวุ่นวายกับมัน ความทะเลาะเบาะแว้งก็อยู่ที่ตรงนี้เอง ความแย่งลาภแย่งผลกันก็คืออันนี้เองเป็นตัวเหตุ ๆ มีแต่ความโลภ มันเป็นอยู่ในหัวใจนั้นแหละไม่เป็นอยู่ที่อื่น มองดูเผิน ๆ ก็รู้พอรู้ว่าพระเณร แต่มองดูภายในมีแต่เรื่องนรกอเวจีเต็มหัวใจนั่นซิที่น่าสลดสังเวชเอามากมาย

    พวกเราทั้งหลายให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลส ความโลภเป็นกิเลสประเภทหนึ่งให้ทราบมันและพยายามกำจัด ความโกรธก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่งให้พยายามกำจัดมัน ยิ่งราคะตัณหาด้วยแล้วยิ่งเป็นกิเลสตัวภัยอันสำคัญ ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนแสดงได้ตลอดเวลา ธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก ที่พาสัตว์ให้เป็นบ้าอยู่เวลานี้ก็เพราะอันนี้เอง ท่านกล่าวไว้ว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารก็พวกร่างกายของเรานี้อวิชชาพาให้เกิด ๆ แต่เวลาเกิดแล้วอะไรพาให้ทำงาน ก็คือราคะตัณหานี้เป็นตัวทำงานมากทีเดียว เวลาทำงานแล้วผลเกิดขึ้นมีแต่ความทุกข์ความทรมาน และเกิดแล้วเกิดอีกตายแล้วตายอีกอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหา

    เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนก็พระอนาคามีท่าน เมื่อสังหารธรรมชาติราคะตัณหานี้สิ้นเสร็จลงไปแล้วท่านไม่วกเวียนกลับมาเกิดเพราะไม่มีสิ่งดึงดูด หมดความดึงดูด อันนี้แลดึงดูดโลกทั้งหลายให้เหนียวแน่นมั่นคงอยู่กับโลก หันหน้าเข้าสู่โลก หันหน้าเข้าสู่กิเลส หันหลังให้ศีลให้ธรรม ไม่ได้มองดูศีลธรรมว่าเป็นอย่างไร มองดูตั้งแต่จะได้จะเอา มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ตาก็อยาก หูก็อยาก จมูกก็อยาก ลิ้น กาย ใจ อยากทั้งนั้น มีแต่ความอยากดูอยากรู้อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง ความอยากเหล่านี้เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสตัวราคะตัณหานี้ทั้งนั้น แล้วเวลาผลของมันก็มีแต่ขนทุกข์เข้ามาเต็มหัวใจเรา แล้วความสุขจะมีมาจากไหน

    นักบวชนั่นแหละเป็นความทุกข์มากกว่าฆราวาสทางด้านจิตใจ เพราะมันดิ้นมันดีดอยู่ภายในหัวใจ กิริยามารยาทภายนอกดูก็น่าดูว่าเป็นพระเป็นเณร แต่ความดิ้นความดีดภายในใจด้วยอำนาจของกิเลสราคะตัณหานี่มันผาดมันโผนอยู่ภายใน มันจะเอาให้เป็นให้ตายจริง ๆ เราไม่ทราบเฉย ๆ ความจริงมันเป็นทุกข์อย่างนี้แหละเรื่องอำนาจของกิเลสราคะตัณหา พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ชำระ ในโลกนี้มีกิเลสเท่านั้นเป็นภัยต่อจิตใจของสัตว์โลก ให้เกิดแก่เจ็บตายหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ไม่หยุดไม่ถอยไม่มีสิ่งใด เมื่อทำความโลภให้หมอบราบไปหมด ความโกรธหมอบราบไปหมด ราคะตัณหาหมอบราบไปหมด อวิชชาหมอบราบไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นข้าศึกศัตรูในหัวใจของผู้ที่กิเลสทั้งหลายหมอบราบแล้วนั้นเลย

    เช่นหัวใจพระพุทธเจ้า หัวใจพระอรหันต์ท่าน เป็นหัวใจที่กิเลสหมอบราบไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ภายในเลย นั่นแลท่านว่าบรมสุข หรือ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขเพราะกิเลสไม่ได้มาแสดงตัว มันหมอบราบไปหมดแล้ว นอกจากนั้นเป็นยังไง ชาติปิ ทุกฺขา ฟังซิ พอเริ่มว่าเกิดเป็นความทุกข์แล้ว ทุกข์มากทุกข์น้อยดิ้นไปแล้ว ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา เวลาแก่คร่ำคร่าชรามาก็เป็นทุกข์โดยลำดับลำดา มรณมฺปิ ทุกฺขํ เวลาจะตายก่อนจะตายก็ดีดก็ดิ้นจนทิ้งเนื้อทิ้งตัวไม่ได้สติสตัง ทุกข์มากขนาดนั้น นี่ถ้าตั้งรูปตั้งนามขึ้นมาแล้วเป็นอย่างนี้

    จึงมีภาษิตตรัสข้างหน้านั้นอีกว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส การไม่เกิดนั้นแลทุกข์จึงไม่มี คือท่านผู้กิเลสหมอบราบแล้วดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นั่นคือท่านผู้ที่กิเลสหมอบราบแล้วไม่มีทุกข์ใดมาเกิด ชาติปิ ทุกฺขา ก็ไม่มี ชราปิ ทุกฺขา ก็ไม่มี มรณมฺปิ ทุกฺขํ ก็ไม่มี มีแต่ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ไม่มีสำหรับท่านผู้ไม่เกิดท่านเป็นอย่างนั้น

    วันนี้มีโอกาสมาแสดงธรรมทั้ง ๆ ที่ป่วยไม่สบายก็ได้อุตส่าห์มา มาเพื่อพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้ยินได้ฟัง หลวงตาบัวก็แก่มากแล้วเวลานี้ ก็เดินตามหลังกันไปมีท่านไปวันนี้เราไปวันหลังวันต่อไปก็ได้ ไม่ได้ไปทางอื่นกันละ เดินตามหลังกันนี้ วันนี้มีโอกาสบ้างเล็กน้อยจึงได้มาแสดงเครื่องระลึกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ พระเณรลูกหลานทั้งหลายก็ให้รู้เนื้อรู้ตัว อย่าวิ่งเต้นเผ่นกระโดดกับโลกกับสงสารเขา โลกกับโลภมันเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ มันดิ้นมันดีดเพราะความโลภนั่นแหละ คนนั้นจะเอาอย่างนั้นคนนี้จะเอาอย่างนี้แล้วตื่นเต้นกับกิเลสที่มันหลอกลวง มันเป็นไปด้วยความอยากนะ

    ความอยากนี้มันอยากอันใดก็ตามจะต้องกวนจิตให้ดีดให้ดิ้น อยากดูก็ดีอยากได้ก็ดี อยากเห็นก็ดี อยากได้ยินได้ฟังก็ดี ขึ้นชื่อว่าความอยากแล้วมันดึงมันดูดมันฉุดมันลากให้ไปตามอำนาจของมันจนได้เราจึงเป็นความทุกข์ ถ้าอยู่เฉย ๆ โลภก็ไม่โลภ ความดึงดูดก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี ความดึงดูดให้เป็นทุกข์ก็ไม่มี ราคะตัณหาไม่มี ความดึงดูดให้เป็นทุกข์ก็ไม่มี แสนสบาย โลกทุกข์โลกลำบากกันขนาดไหนก็ตาม ผู้ท่านสิ้นเชื้อที่พาให้เกิดทุกข์เกิดความทรมานไม่มีแล้ว ท่านก็เป็นสุขท่านแสนสบาย ธรรมที่ออกมาจากพระพุทธเจ้าผู้แสนสบายนั้นแลเป็นธรรมพ้นโลกเป็นธรรมเหนือโลก เรียกว่า โลกุตรธรรม คือธรรมเหนือโลกเหนือสงสาร นำมาสอนพวกเราซึ่งอยู่ในแหล่งแห่งกองทุกข์วัฏจักรวัฏวน วนไปวนมา เกิดแก่เจ็บตายหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปหาเกณฑ์หาประมาณไม่ได้

    ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมแปลก ๆ ต่าง ๆ กันประณีตบรรจงต่าง ๆ กันอย่างนี้ คือเกิดแล้วมันไม่แน่นอน เกิดสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เคยเกิดเป็นมนุษย์กลับกลายไปเป็นสัตว์และกลายไปเป็นสัตว์นรกเสียก็มีมากต่อมากเป็นของไม่แน่นอน ท่านจึงเรียกว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้เป็นไปต่าง ๆ กันหากฎเกณฑ์ไม่ได้ เพราะอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ทำเสียเอง เมื่อทำลงไปอย่างใดแล้วผลที่จะพึงได้รับก็เป็นสมบัติของผู้นั้นเป็นลำดับลำดา นี่เรื่องความเกิดความตายเป็นของไม่แน่นอนอย่างนี้

    ให้เราพยายามสร้างคุณงามความดีอันเป็นธรรมจักร อันหนึ่งเป็นวัฏจักร อันหนึ่งเป็นธรรมจักร คำว่าวัฏจักรคือกิเลสมันหมุนมันเวียนจิตใจ มันหมุนจิตใจของเราให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไม่หยุดไม่ถอย ด้วยอำนาจแห่งความโลภความโกรธความหลงราคะตัณหา ส่วนธรรมะที่ว่าธรรมจักรนั้นได้แก่การสร้างคุณงามความดี มีการรักษาศีล การภาวนา การให้ทาน เสาะแสวงหาคุณงามความดีประจำใจของตนมีไหว้พระสวดมนต์ เหล่านี้ท่านเรียกว่าการสร้างความดี นี้เป็นทางออก นี้เป็นทางฉุดลากออกจากวัฏวนวัฏจักรให้เข้าสู่ธรรมจักรวิวัฏจักร ถ้าไม่มีคุณงามความดีแล้วใครก็ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นตายกันอยู่ในสถานที่นี่หาที่ออกไม่ได้แหละ

    เกิดแล้วจะให้เบื่อความเกิดไม่มี กิเลสไม่เคยพาใครให้เบื่อความเกิดความตาย ความทุกข์ความลำบากความทรมานทั้งหลายกิเลสไม่เคยให้เบื่อ ถ้าหากว่าสัตว์โลกทั้งหลายเบื่อความทุกข์จริง ๆ แล้ว โลกนี้สัตว์ทั้งหลายจะไม่มีมาเกิดจะนิพพานกันไปทั้งหมด แต่นี้โลกนี้เป็นโลกที่สัตว์ทั้งหลายชอบกันทั้งนั้น ความโลภสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ ความโกรธสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ ราคะตัณหายิ่งชอบมาก นี่เป็นหันหน้าเข้าสู่กองทุกข์แล้วจะไม่มีทุกข์ได้อย่างไร หันหน้าเข้าฟืนเข้าไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา หันหน้าเข้าอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นความทุกข์ในสัตว์ทั้งหลายจึงไม่เว้นแต่ละราย ๆ

    ใครจะอยู่แดนใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่าความทุกข์นี้ย่อมบีบอยู่ที่หัวใจ จากนั้นมาก็บีบคั้นหรือรัดตัวให้ดิ้นให้ดีดทางกายทางวาจาทางกิริยามารยาท กระเสือกกระสนกระวนกระวาย เพราะจิตใจมันดีดมันดิ้นอยู่ภายใน มันบีบอยู่ภายในให้ต้องเสาะให้ต้องแสวงหา อันนั้นก็จะเอาอันนี้ก็จะเอา อะไรก็มีแต่จะเอา ๆ สมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง สุดท้ายก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เรื่องของโลกเป็นเพียงเท่านี้แหละ มีแต่เกิดกับตาย

    แต่ความปรารถนาของโลกนั้นไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณไม่มีใครเบื่อ ถึงจะเกิดจะตายจะทรมานมาขนาดไหนก็ไม่เคยมีใครเบื่อ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงเต็มอยู่ในโลกอันไม่เบื่อความทุกข์นี้เต็มไปหมด ผู้ที่เบื่อความทุกข์ได้อย่างแท้จริงก็คือท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะ นั่นละท่านเบื่อกิเลสท่านสิ้นกิเลส ท่านเบื่อทุกข์ท่านสิ้นทุกข์ พวกเราทั้งหลายไม่ได้เบื่อ เบื่อแต่คำพูดเฉย ๆ แต่จิตใจชอบ จึงไม่เบื่อทุกข์ทั้งหลายและให้มีแต่ความทุกข์ความทรมานอยู่ประจำวันประจำคืน

    ทางออกของผู้จะหลุดพ้นจากทุกข์จากวัฏจักรไปได้นี้ สมณะคือนักบวชเป็นที่หนึ่ง ย่นเข้ามาอีกนักปฏิบัติเป็นอันดับหนึ่ง เป็นผู้มีช่องทางอันดีที่สุด เพราะหน้าที่การงานอะไรประชาชนญาติโยมรับรองไว้หมดแล้ว ปัจจัยทั้ง ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ยาแก้โรคแก้ภัย อาหารการกิน ที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยเครื่องใช้ต่าง ๆ นี้ประชาชนรับรองไว้หมด ผู้ศรัทธายังมีอยู่มากที่จะสนองหรือส่งเสริมท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นพระเณรเราซึ่งเป็นนักบวชนี้จึงง่ายมากสะดวกมากกับเรื่องอาหารการกิน เขาให้แต่ของดิบ ๆ ดี ๆ ทั้งนั้นแหละมาให้ขบให้ฉัน

    เรามีหน้าที่ที่จะบำเพ็ญชำระกิเลสโดยถ่ายเดียว ผู้นี้แหละเป็นผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ทำจิตของเราที่วอกแวกคลอนแคลนดิ้นดีดอยู่เหมือนลิงร้อยตัวอยู่ภายในจิตใจนั้น ให้สงบเข้ามาด้วยอำนาจของสมาธิ เมื่อจิตมีความสงบเข้ามาในทางด้านสมาธิแล้วเราก็ทราบได้เองว่าความสุขอยู่ที่ไหน อ๋อ สุขอยู่ในสมาธิ สมาธิแท้อยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่ตำรา ตำรานั้นเป็นชื่อของสมาธิ สมาธิที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติจิตให้เป็นสมาธิ ว่าปัญญา ปัญญาก็ไม่มีอยู่ในตำรา นั้นเป็นชื่อของปัญญา ปัญญาอันแท้จริงอยู่ในใจของผู้คิดค้นไตร่ตรองพินิจพิจารณาแก้ไขกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไปโดยลำดับลำดา สุดท้ายก็ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาก็อยู่กับใจ ๆ ความหลุดพ้นก็อยู่กับใจ เมื่อหลุดพ้นอยู่กับใจแล้วจะไปถามใคร ไปสงสัยที่ไหน ไม่มีทางสงสัย

    เอหิปสฺสิโก เป็นเครื่องท้าทายประกาศกังวานอยู่ในตัวของเราเอง สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นสามารถประกาศธรรมสอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ ท่านไปถามใคร เอาใครมาเป็นพยาน จึงต้องสั่งสอนสัตว์โลก ก่อนที่จะสั่งสอนสัตว์โลกไปหาใครมาเป็นพยานไม่มี มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น จากนั้นก็มีเบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นต้นคอยเป็นสักขีพยานเรื่อยมา ๆ ส่วนความจริงเป็นของพระองค์ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว นี่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องความหลุดพ้นมีอยู่ทุกกาลทุกสถานที่เวล่ำเวลา เช่นเดียวกับกิเลสมีอยู่ในหัวใจสัตว์โลก มีอยู่ทุกกาลสถานที่เวล่ำเวลา เรียกว่าอกาลิโก ทั้งกิเลสก็เป็นอกาลิโก ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดเมื่อนั้น ธรรมะก็เป็นอกาลิโก ทำให้เกิดอรรถเกิดธรรมให้เกิดความหลุดพ้นเมื่อไรก็ต้องเป็นไปโดยลำดับลำดาอยู่ภายในหัวใจของผู้บำเพ็ญนั้นแล

    ขอให้ลูกหลานทั้งหลายได้พินิจพิจารณามองดูงานของตัวเอง งานของพระคืองานเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี่งานของพระแท้เป็นอย่างนี้ งานยุ่งนั่นยุ่งนี่วุ่นนั่นวุ่นนี่ ติดต่อกับคนนั้นติดต่อกับคนนี้ งานนั้นงานนี้เรื่องภายนอกนั้นเป็นเรื่องของฆราวาสเขาทำกันก็ได้ อย่าไปแข่งบ้านแข่งเมืองแข่งโลกแข่งสงสารเขา เดี๋ยวนี้กลายเป็นงานสั่งสมกิเลสเข้ามาอย่างนั้น เอางานทางโลกเข้ามาแทนศาสนา งานศาสนาคือการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อชำระกิเลสหายหน้าไปหมดไม่มีใครสนใจเลย นี่ศาสนาก็หมด

    คำว่าหมดมรรคหมดผลหมดที่หัวใจไม่ได้หมดที่ตำรับตำรา ตำรับตำรานั้นมีอยู่ยังไงท่านก็มีอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ปฏิบัติตามตำรับตำรานั้นไม่มีศาสนาก็หมดไปเอง แม้ปัจจุบันนี้ก็ตามลองผู้ปฏิบัติขาดสะบั้นไปตาม ผู้นับถือขาดสะบั้นไปตามหมดแล้วตำราก็ไม่มีความหมายอะไร ศาสนาก็หมดได้ในเวลานี้ หรือตายเสียอย่างนี้ศาสนาก็หมดได้ รายใดตายไปเสียศาสนาก็หมด แต่คุณงามความดีที่ผู้นั้นสั่งสมไว้แล้วในเวลามีชีวิตอยู่ไม่หมด เป็นผลตอบแทนตลอดไป นี่การปฏิบัติธรรมให้เห็นความจริงทั้งหลาย

    ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทรงมรรคผลนิพพานอยู่โดยสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นเพียงคำบอกกล่าวหรือเล่าลือกันเฉย ๆ ว่าศาสนาพุทธดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ให้เห็นที่หัวใจของเจ้าของนั้นแหละเหมาะสมที่สุด ว่าศีลก็ให้แน่ใจในตัวเอง รักศีลรักธรรมของตัวเองอย่าให้ด่างให้พร้อยให้ขาดให้ทะลุแต่อย่างใด คำว่าสมาธิก็ทำจิตของตนให้มีความแน่นหนามั่นคง จะไม่วอกแวกคลอนแคลนสร้างทุกข์ให้ตัวเองตลอดเวลา คำว่าปัญญาความเฉลียวฉลาดรู้เท่าในกองสังขาร สังขารนอกสังขารใน สังขารในได้แก่จิตสังขารนี้ละความปรุงความแต่งออกมาจากสมุทัย ทำให้เกิดราคะตัณหาขึ้นได้ ให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็สังขารตัวนี้ สังขารภายนอกได้แก่ร่างกาย อันนี้เมื่อสังขารภายในปรุงให้เป็นภพเป็นชาติแล้วสังขารภายนอกคือร่างกายนี้ก็เป็นขึ้นมา นี่ท่านว่าปัญญารู้เท่าสังขาร

    เมื่อแก้สังขารภายในซึ่งเป็นสมุทัยหมดสิ้นไปแล้ว ยังเหลือแต่สังขารที่เป็นขันธ์ล้วน ๆ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อจิตบริสุทธิ์พุทโธแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีใครมาครองไม่มีใครมาเป็นเจ้าของเพราะกิเลสสิ้นซากไปแล้ว เหลือแต่ธรรมที่บริสุทธิ์พุทโธอยู่ภายในดวงใจ ท่านเป็นเจ้าของท่านไม่ได้ยึด ความบริสุทธิ์ไม่ได้ยึดอาการเหล่านี้ว่าไปเป็นตนเป็นของตน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร รู้อยู่ภายในจิตใจแล้ว นั่นละบริสุทธิ์พุทโธอยู่ที่นั่น เราไปถามหานิพพานที่ไหน ขอให้ทำใจให้บริสุทธิ์เท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ถามหานิพพาน สอนแต่วิธีการที่จะให้ถึงนิพพานเท่านั้น วิธีการอย่างไรสอนไปหมด แต่เวลาถึงที่แล้วก็เหมือนความอิ่ม สอนกันทำไมความอิ่มรู้ด้วยกันทุกคนนั่นแหละ

    ขอให้ลูกหลานทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติ หลวงตาเป็นห่วงเป็นใยพระลูกพระหลานทุกวันนี้จะไม่ได้หน้าได้หลังอะไร บวชเข้ามาวันหนึ่ง ๆ ปีหนึ่งเดือนหนึ่งสองปีสามปีก็หายหน้าไป ๆ ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด ๆ เลยไม่มีพระเณรที่จะครองอรรถครองธรรม มีแต่พระเณรครองกิเลสให้กิเลสเหยียบหัว เหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลาก็น่าสลดสังเวชนะ ธรรมซึ่งเป็นเครื่องแก้ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดมีอยู่ไม่นำมากำจัดไม่นำมาแก้ ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลาอย่างนี้ไม่สมควรแก่เราเป็นนักบวช

    ความเป็นนักบวชไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าก็ดีพระสาวกก็ดีท่านบวชไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ท่านปฏิบัติจริง ๆ เอาจริงเอาจัง แต่ทุกวันนี้เป็นความเหลวแหลกแหวกแนว สุดท้ายศาสนาเลยกลายเป็นทำเลหากินไปเสียอีกนะเวลานี้ ศาสนากลายเป็นทำเลหากินเป็นตลาดหากินของกิเลสแล้ว กิเลสตีตลาดในวัดวาในอาวาสในศาสนาไปหมดแล้วเวลานี้ ธรรมะไม่ได้ตีตลาดนะ ว่าศาสนา ๆ อะไรก็เอาศาสนาไปอ้าง เอาศาสนาไปเป็นโล่บังหน้า กิเลสหากินศาสนาเป็นโล่บังหน้ากิเลสหากินเป็นไปหมดแล้วเวลานี้ น่าทุเรศเอาจริง ๆ นะ ถ้าเราไม่รู้สึกในตัวของเรา แก้ไขดัดแปลงตนให้ดีแล้วจะเป็นอย่างนี้ทั้งเขาทั้งเรา ไม่ทราบจะตำหนิติเตียนใคร ท่านเหมือนเราเราเหมือนท่านเป็นแบบเดียวกัน สุดท้ายกิเลสก็หัวเราะ ๆ เอาเท่านั้นเอง บวชมาก็มานับวันนับปีนับเดือนว่าได้บวชเท่านั้นเท่านี้ปีเท่านั้นเดือน กิเลสมันไม่นับมันเหยียบหัวคนตลอดเวลา นี่ละที่น่าสลดสังเวชมาก

    จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พินิจพิจารณา เฉพาะอย่างยิ่งพระเณรนักบวชเรานี้ควรจะให้หนักแน่นในข้อปฏิบัติ สนใจในอรรถในธรรมของพระพุทธเจ้า หลวงตาเหนื่อยมากนะ เทศน์นี้อุตส่าห์พยายามเทศน์เพราะป่วยเป็นไข้สองคืนสามคืนติด ๆ กันมา วันนี้นึกว่าจะมาไม่ได้ พอตะเกียกตะกายมาได้แล้วมา การเทศนาว่าการจึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรดังที่ขออภัยไว้แล้วตั้งแต่ต้น แล้ววันนี้การเทศนาว่าการก็เห็นจะยุติเพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกเหนื่อยแล้วเวลานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     
  2. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...