ปกิณกธรรมก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖


    เรื่องแรก..ใครเอาร่มเจ้าอาวาสไปตั้งแต่เช้า ? อาตมาเดินตากฝนมา ๒ รอบแล้ว จะหยิบจะจับอะไรก็ให้มองดูเสียก่อน ว่าใช่ของตัวเองหรือเปล่า ? เพราะว่าร่มที่ทิ้งเอาไว้แล้วไม่ใช่ของตัวเองพระหยิบไม่ได้ ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เคลื่อนจากฐานเศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมต้องอาบัติปาราชิก..!

    ไม่ใช่คิดว่า "เออ..ทิ้งของเราไว้ คนอื่นจะได้ใช้แทน" ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยังว่าหยิบของเจ้าอาวาสไป อุตส่าห์กางไว้กับพื้นเพื่อให้ต่างไปจากคนอื่นเพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะวางไว้บนที่วางรองเท้า แสดงว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ยังมักง่ายอยู่เหมือนเดิม..!

    เคยบอกเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การปฏิบัติธรรมเป็นการกระทำสิ่งที่ซ้ำ ๆ กันอยู่ทุกวัน แต่ว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้ไหม ? แล้วก็มีเป้าหมายต่อไปว่า "เราต้องทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้" ไม่ใช่ว่าเมื่อไร ๆ สภาพจิตก็ยังหยาบอยู่เหมือนเดิม ทำอะไรก็ขาดความระมัดระวัง

    เป็นโทษอื่นไม่เท่าไร แต่ถ้าโทษปรามาสพระรัตนตรัยจะปิดมรรคปิดผล ทำให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่รู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว การจะเข้าถึงมรรคผล กฎเกณฑ์กติกาแรกเลยก็คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกิน ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    (พระอาจารย์คืนงานวิทยานิพนธ์ของลูกศิษย์ที่ตรวจเสร็จแล้ว ให้ไปแก้ตามที่เขียนบอกไว้)

    ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ การศึกษาระดับมหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิต ซึ่งก็คือปริญญาโท ปริญญาเอก เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการศึกษาตามอัธยาศัย อยากเรียนเรื่องอะไรก็ไปหาที่เขามีสอนเองแล้วก็เรียนเอา คนที่จะเรียนในระดับนี้ได้ มุมมองต่อโลกต้องกว้างพอ พูดง่าย ๆ คือต้องมีประสบการณ์ชีวิต

    เพราะฉะนั้น..หลายมหาวิทยาลัยถึงได้กำหนดว่า ถ้าคุณจะมาต่อโท MBA ที่นี่ คุณจะต้องมีประสบการณ์ทำงาน ๓ ปี หรือ ๕ ปี เพื่อที่จะได้มีมุมมองต่อโลกกว้างขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็มองโลกอยู่แต่ขาวกับดำแค่ ๒ สี หารู้ไม่ว่าตรงกลางเขาสีเทากันไปหมดตั้งนานแล้ว..!

    แล้วทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับโลกสีเทาขมุกขมัวนี้ได้ ? เราก็ต้องเอาศีลเป็นเครื่องป้องกันตัวเอง ไปแค่กรอบของศีล ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลแล้วเราไม่ไปด้วย ก็คือเรายังคงอยู่กับโลกนั่นแหละ..แต่ไม่ติดในโลก เมื่อเรามีศีลเป็นกรอบ ก็เหมือนกับน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวใบบอน ถึงอยู่กับโลกแต่ก็ไม่ติดอยู่ในโลก เรามีศีลเป็นน้ำมันหล่อลื่น กลิ้งไปกลิ้งมาโดยไม่ติด

    หยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัวหรือใบบัวบอนเป็นทรงกลมถึงค่อนข้างกลม พวกเราส่วนใหญ่แล้วใช้หลักธรรมไม่ถูก ก็คือไม่สามารถที่จะกลมกลืนกับโลกได้ อย่างที่บอกเมื่อวานนี้ว่าพอมีคนถามว่า "ไม่กินข้าวเย็นหรือ ?" เราก็ไปตอบว่า "ไม่ล่ะ..เราถือศีลแปด..!" คนอื่นได้ยินเขาก็มองเราหัวถึงตีน..! ก็บอกไปสิว่า "ตอนนี้เป็นโรคกระเพาะอยู่..กินมากไม่ได้"

    นั่นก็คือการที่จะทำอย่างไรเราถึงจะเกลาเหลี่ยมเกลามุมของตัวเองให้ลดความแข็งกระด้างลงมา แรก ๆ ก็เป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ร่วงตุบลงไปก็อยู่ตรงนั้นแหละ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่เป็น..เถรตรงมาก แต่พอปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ ปัญญาจะต้องเกิด เราต้องปรับตัวเราเข้ากับโลกได้ ทำอย่างไรให้ กาย วาจา ใจ ของเรา เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นให้น้อยที่สุด..?!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    พอเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเขาว่าสัลเลขตา คือ การขัดเกลาตนเอง เกลาไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็กลม คราวนี้พอกลมแล้ว จะกลิ้งไปทางไหนก็ไป เพียงแต่อย่าหลุดจากใบบัวใบบอนไปก็แล้วกัน หลุดเมื่อไรก็ต๋อม..ลงน้ำหายเงียบ..!

    การที่เราจะอยู่กับโลกสีเทา ๆ นี้ได้ ต้องนึกถึงภาษิตจีนที่บอกว่า "พบผู้คนกล่าววาจาผู้คน พบภูตผีกล่าววาจาภูตผี" มึงมาอย่างไรกูไปได้ทั้งนั้นแหละ..แต่..กูมีศีล..!

    เพียงแต่อย่าไปอวดคนอื่นเขา เรารักษาศีลเพราะเรารู้ว่าศีลนี้ดีเราถึงทำ ไม่ใช่ว่าคนอื่นทุกคนจะมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าศีลเป็นของดีเหมือนกับเรา ถ้าเขาเอ่ยปรามาสขึ้นมาแม้แต่ประโยคเดียว เท่ากับสร้างโทษใหญ่ให้กับเขาเอง และเราเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..เมตตาต่อตัวเองและก็เมตตาต่อคนอื่น เมตตาต่อคนอื่นแล้วก็เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย ค่อย ๆ เกลาตัวเองไปเรื่อย

    ตัวอย่างเช่นบอกแม่ว่า "แม่..ไม่อยู่หลายวันนะ"
    แม่ถาม "ไปไหนล่ะ ?"
    ตอบไปว่า "เพื่อนชวนไปเที่ยว"
    แม่ถามต่อ "ไปที่ไหน ?"
    ตอบไปว่า "ทองผาภูมิ..ตอนนี้อากาศกำลังดี"

    ที่ไหนได้..ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ถ้าบอกแม่ว่า "แม่..ไปปฏิบัติธรรม ๕ วันนะ" รับประกันว่าไม่ได้ออกจากบ้านหรอก โดนล่ามโซ่เลย..!

    บอกไปว่าไปกับเพื่อน รอบข้างเรานี่ก็เพื่อนทั้งนั้นแหละ เขาเรียกสหธรรมิก เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ วิสฺสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยยิ่งกว่าเป็นญาติ แต่เรานับเขาเป็นเพื่อนก็แล้วกัน ยิ่งคนไหนรวย ๆ เราก็รีบคว้าเป็นเพื่อนไว้ก่อน เขาจะเป็นเพื่อนเราหรือเปล่าเรื่องของเขา แต่เราเป็นก็แล้วกันนะ..! คราวนี้ก็มีข้ออ้างออกจากบ้านได้สบายแล้ว ขากลับหาทุเรียนทองผาภูมิไปฝากแม่ด้วยอีกต่างหาก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    การที่เราจะมีปัญญาได้ศีลต้องทรงตัว
    พอศีลทรงตัว การที่เราระมัดระวังศีลอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาธิเกิดโดยอัตโนมัติ
    พอสมาธิเกิด สภาพจิตนิ่งสงบ ปัญญาก็จะเกิด

    เพราะฉะนั้น..ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกับการที่เราไขเกลียวน็อต ไขไปเรื่อยเดี๋ยวก็สุดเอง พอถึงเวลาปัญญาเกิดก็จะไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลยิ่งบริสุทธิ์สมาธิยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญายิ่งเกิด คราวนี้จะรู้แล้วว่าต้องกะล่อนอย่างไร เป็นการกะล่อนแบบไม่ผิดศีลนะ..!

    อาตมภาพสมัยเรียนทหารอยู่กองโรงเรียน ไม่เคยโกหกผู้บังคับบัญชาเลย ถึงเวลาฝึกกันแทบรากเลือด แต่ถ้าเขาถามว่า "หิวไหม ?" ต้องตะโกนตอบว่า "ไม่หิว" ซึ่งโกหกชัด ๆ..!

    ก็ใช้วิธีพอถึงเวลาเขาถามว่า "หิวไหม ?" อาตมาก็รอเพื่อนทั้งกองตอบขึ้นว่า "ไม่" แล้วเราค่อยตะโกนแค่คำว่า "หิว" คำเดียว แต่เสียงตะโกนพร้อมกับเขานี่ ถามว่า "เหนื่อยไหม ?" คอยเพื่อนทั้งกองตะโกนตอบว่า "ไม่" แล้วเราก็ตะโกนแค่คำว่า "เหนื่อย" พร้อมกับคนอื่น ไม่เคยโกหกเลย..!

    ก็บอกแล้วว่าอยู่กับโลกนั้นอยู่ได้ แค่อยู่ให้เป็น ไม่ผิดศีลหรอกถ้าอยู่เป็น ปัญญาต้องมี ปัญญาไม่พออยู่ไม่ได้ หรืออยู่ยาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าท่านหวังผล ๓ สถานด้วยกันคือ

    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ การปฏิบัติธรรมต้องมีประโยชน์ทันตาในชาตินี้ ต้องเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่อยู่แต่ในวัด

    สัมปรายิกัตถประโยชน์ ถ้าทำจริงทำจัง กำลังใจมั่นคง ชาติต่อไปนี่หวังสุคติได้แน่นอน เทวดา นางฟ้า พรหมนี่เรื่องเล็ก กำลังใจทรงตัวได้นี่เลือกเอาได้เลยว่าจะเอาชั้นไหน เพียงแต่ว่าถ้าจะเป็นพรหม ต้องสร้างกำลังใจให้ได้ตามชั้นของท่านก็แล้วกัน แต่ถ้าหากว่าจะเป็นเทวดานี่เราเลือกได้เลย เพราะกำลังใจเกินพอแล้วนี่ ถ้าจะเอาน้อยกว่าที่เราทำก็ได้..เขาไม่ว่าหรอก

    ปรมัตถประโยชน์ ช่วยส่งให้เราพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน

    พระพุทธองค์ท่านไม่ได้หมายเอาสุดท้ายโน้น ซึ่งไม่รู้ชาติไหน ท่านเอาตั้งแต่ตอนนี้ ประโยชน์ ๓ สถาน บางที่บอกว่า อัตตัตถะ..ประโยชน์ต่อตน ปรัตถะ..ประโยชน์ต่อผู้อื่น อุภยัตถะ..ประโยชน์ทั้งเขาและเรา ที่ฝรั่งเรียกว่า win - win ชนะทั้งคู่
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...