เรื่องเด่น นิพพิทาญาณเป็นของดีมาก ควรที่จะรักษาไว้กับเราให้ได้มากที่สุด

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 พฤศจิกายน 2024 at 08:56.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    IMG_5661.jpeg

    อากาศที่เปลี่ยนแปลงจะว่าไปก็เป็นปกติธรรมดาของโลก แต่คราวนี้เป็นปกติธรรมดาที่ยาวนานเกินช่วงอายุของคน บางทีหลายชั่วอายุคนก็ยังไม่ได้พบ ก็เลยทำให้พวกเรารู้สึกว่าแปลก ก็คือสภาพภูมิอากาศในโลกของเรา มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา สถานที่บางแห่งทะเลทรายขยายตัวขึ้น หรือว่าขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ชั้นน้ำแข็งบางลง หดตัวเล็กลง มนุษย์เรามีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องคล้อยตามธรรมชาติ

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเล็กอยู่ บ้านเรือนผู้คนส่วนใหญ่แล้วปลูกบ้านใต้ถุนสูง พอถึงเวลาหน้าร้อนก็ทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน มีหลังคา มีพื้นเรือน กรองความร้อนสองชั้น พอถึงเวลาหน้าน้ำหลาก ก็ย้ายขึ้นชั้นบน เอาเรือลงจากคาน ถึงเวลาก็เดินทางด้วยการแจวเรือไป นั่นเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเราที่อยู่กันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า รู้ว่าถึงเวลาแล้วน้ำจะหลากมา

    แล้วทุกคนก็อยากให้น้ำหลากด้วย เพราะอันดับแรกเลยก็คือเวลาน้ำหลากมา บรรดาโอชะหรือว่าปุ๋ยต่าง ๆ ก็มากับน้ำ โดยเฉพาะเกือบทุกบ้านจะขุดบ่อ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง พอน้ำหลากมา ของแถมก็คือปลา จะลงไปตกคลั่กอยู่ในบ่อเอง เท่ากับว่ามีอาหารสำรองไว้กินได้ทั้งปี

    แต่พอมีการส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ เห็นบ้านเมืองของต่างประเทศเขาแล้วสวยงาม ก็เอามาสร้างไว้ในบ้านเรา โดยที่ไม่ได้ดูบริบทหรือภูมิอากาศของเรา ว่าเหมาะสมกับบ้านเรือนชนิดนั้นหรือไม่ ? เมื่อสร้างขึ้นมาจึงทำให้ร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ สร้างบ้านไม่ดูทิศทางแดด ทิศทางลมเลย

    บ้านสมัยก่อนจะสร้างให้รับลมหน้าร้อน และหลบลมหน้าหนาว ก็แปลว่าหน้าต่างทุกบานจะไม่เปิดรับลมเหนือ เพราะว่าบ้านเราลมเหนือเป็นลมหนาว การสร้างตัวอาคารก็จะไม่สร้างขวางตะวัน เพราะว่าแดดจะร้อนทั้งเช้าทั้งบ่าย แต่จะสร้างในลักษณะตามตะวัน ก็คือหันข้างให้กับพระอาทิตย์ เช้าร้อนด้านหนึ่ง บ่ายร้อนด้านหนึ่ง พอที่จะบรรเทาไปได้

    คราวนี้เมื่อพวกเราไปเอาวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามา ซึ่งไม่เหมาะสมกับประเทศของเรา แล้วพวกเรารับกันเข้ามาโดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม ก็ทำให้บ้านเราเมืองเรา สภาพอากาศต่าง ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะว่าบ้านยิ่งปิดทึบ ก็ยิ่งต้องการเครื่องปรับอากาศมาก ยิ่งใช้เครื่องปรับอากาศมาก ก็ยิ่งทำลายโอโซนที่ป้องกันโลกไปมาก โอโซนยิ่งโดนทำลายมากเท่าไร รังสียูวีหรืออัลตร้าไวโอเลตก็จะลงมามาก ทำให้เกิดความร้อนสะสมมากขึ้นเท่านั้น โลกเราจึงร้อนขึ้นทุกวัน

    คราวนี้ของพวกเราร้อนนิดหน่อยก็บ่น อาตมภาพเองตอนเด็ก ๆ หน้าหนาวนี่หนาวจนเนื้อตัวแตกลายเป็นเกล็ดเลย ริมฝีปากแตกเลือดซิบ ๆ ถึงเวลากลางคืนหนาวจนนอนไม่ได้ โยมพ่อเป็นคนจีนก็สร้างบ้านดินแบบจีน ในเมื่อพื้นเป็นดินจึงก่อไฟได้เลย ใช้วิธีก่อไฟกลางบ้านแล้วก็นั่งล้อมผิงไฟกัน รอให้สว่าง หนาวจริงหนาวจัง หนาวชนิดด้านหน้าอยู่ใกล้กองไฟเกือบจะไหม้ แต่ด้านหลังเย็นวาบ ๆ เหมือนคนเอาน้ำแข็งมานาบเลย..!

    ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบรรยากาศแบบนั้น แค่ช่วงกระผม/อาตมภาพเป็นเด็ก ซึ่งต่างกับปัจจุบันนี้มาก สมัยโน้นหน้าร้อนเป็นหน้าร้อน หน้าฝนเป็นหน้าฝน หน้าหนาวเป็นหน้าหนาว เพราะว่าธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่ จนกระทั่งเรามาทำเกษตรอุตสาหกรรม ต้องตัดไม้ทำลายป่ากัน เพราะว่าต้องการพื้นที่จำนวนมากในการปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกยางพารา ทำลายป่าไปมากเท่าไร ความร้อนความแล้งก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อากาศก็เปลี่ยนแปลงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

    สมัยวัยรุ่นถ้าหากว่าอากาศถึง ๒๙ - ๓๐ องศาเซลเซียส ก็บ่นกันแล้วว่าร้อนตับแตก คำว่า "ร้อนตับแตก" ไม่ใช่คนตับแตก บ้านสมัยก่อนส่วนใหญ่มุงจาก ก็คือใช้ใบจากมาเข้าตับ แล้วมุงหลังคา ครั้งหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ ๓ ปี คราวนี้พอร้อนจัดมาก ๆ ใบจากจะขยายตัวแล้วแตก หน้าฝนหลังคาก็จะรั่ว เขาก็เลยเรียกกันว่า "ร้อนตับแตก" ก็คือ ร้อนจนตับจากแตก ไม่ใช่ตับคนแตก พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีที่มามาจากไหนก็ได้แต่บ่นกัน

    พอยุคต่อมาอุณหภูมิขึ้นถึง ๓๒ - ๓๓ องศาเซลเซียส ครั้งแรกเลยที่ได้ฟังการประกาศอุณหภูมิสูงสุดในประเทศไทย จำได้ว่าเป็นอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ๓๑ องศาเซลเซียส..!

    คนรอบข้างบ่นกันว่าอยู่ได้อย่างไร ? ร้อนอย่างกับนรก..! แล้วพวกเราลองคิดดูว่าปัจจุบันทองผาภูมิ ๓๘ องศาเซลเซียสทุกวัน นี่คือแค่ชั่วชีวิตคน ๆ หนึ่ง ภูมิอากาศยังเปลี่ยนแปลงไปจนขนาดนี้

    คราวนี้พวกเราทั้งหลายถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใดเป็นของที่เราไม่ชอบใจเกิดขึ้น เราก็จะไปผลักไส แต่ถ้าสิ่งใดที่เราชอบใจ เราก็จะไปยึดเกาะ ไขว่คว้ามาเป็นของเรา ดังนั้น..สิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่ตัดละได้ง่ายกว่า เพราะว่าเราไม่ชอบอยู่แล้ว

    พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นความทุกข์ชัดเจน แล้วไม่อยากได้ เราจะได้ผลักไสออกไป ถ้าให้พิจารณาความสุข พวกเราไม่มีใครรอดสักคน ติดอยู่แค่นั้นกันหมด แต่ขนาดให้พิจารณาความทุกข์ ส่วนมากก็ยังปัญญาไม่ถึง ในเมื่อปัญญาไม่ถึง เห็นไม่ชัดเจน จิตใจยอมรับไม่ได้ ปล่อยวางไม่ลง การเข้าถึงมรรคถึงผลที่ควรมีจึงไม่มี..!

    ดังที่วันก่อนกระผม/อาตมภาพบอกว่า นิพพิทาญาณเป็นของดีมาก ความเบื่อหน่ายนี้เราควรที่จะรักษาไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เพราะว่าถ้าไม่เบื่อ เราก็ไม่เข็ด ถ้าไม่เข็ด เราก็ไม่ต้องการไปจากร่างกายนี้ ไม่ต้องการไปจากโลกนี้ ดังนั้น..สิ่งหนึ่งประการใดที่เราเห็นว่าไม่ดี แต่ถ้าหากว่าเราเข้าถึงอย่างแท้จริง เราจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศชนิดที่หาที่ไหนก็หาไม่ได้

    พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ตรัสรู้เร็วที่สุด ยังใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป หนึ่งมหากัปนี่ไม่รู้เกิดกี่ร้อยกี่พันล้านครั้ง..! ในเมื่อเกิดนานขนาดนั้น ใช้ทรัพยากรชาติหนึ่ง ตีเสียว่าหนึ่งล้านบาทต่อหนึ่งคน ก็จะเป็นตัวเลขอัศจรรย์ที่อ่านไม่ออกเลยว่ามูลค่าสูงเท่าไร แล้วพระองค์ถึงได้เห็นทุกข์

    พวกเราเองเห็นทุกข์ชัดเจน แทนที่จะรีบไขว่คว้าไว้ ว่านี่เป็นของที่มีค่าที่สุด เวียนว่ายตายเกิดสิ้นงบประมาณไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรกว่าที่จะได้เห็น เรากลับไปผลักไส ไม่ต้องการทุกข์ การที่เราไม่ต้องการทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราดันไปต้องการสุขแทน ก็เลยกลายเป็นผลักของดีออกไป แล้วไปคว้าของไม่ดีเข้ามา เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นสิ่งที่ดีว่าไม่ดี เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าดี

    จึงฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราทุกคนว่า ทุกข์เป็นของดีที่สุด มีคุณค่ามหาศาลที่สุด ปรากฏขึ้นในชีวิตใครมีคุณค่ายิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ เสียอีก อย่าปล่อยโอกาสในการพิจารณาให้เห็นจริง แล้วถอนจิตจากการยึดเกาะร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ การยึดเกาะโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ละทิ้งความปรารถนาในการเกิดมาทุกข์แบบนี้ แล้วท่านทั้งหลายจะมีโอกาสหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้
    ....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...