ธรรมาธิปไตย อารยธรรมใหม่ของแผ่นดิน ขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ (5)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 13 ธันวาคม 2005.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ป.เพชรอริยะ </TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 ธันวาคม 2548 17:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> มนุษยชาติ มีความไม่ลงรอยกันก็เพราะความเชื่อ ความยึดมั่นถือมั่นที่สุดโต่งไปทางด้านใดด้านหนึ่งระหว่างลัทธิจิตนิยม (Idealism) กับลัทธิวัตถุนิยม (Materialism) หรือระหว่างจิตนิยมต่อจิตนิยมด้วยกันเอง หรือระหว่างวัตถุนิยมต่อวัตถุนิยมด้วยกันเอง ด้วยลัทธิดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์และไม่ใช่ทางสายกลาง ใครที่ยึดมั่นถือมั่นลัทธิดังกล่าว จะเป็นเหตุให้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง และไม่อาจจะรู้แจ้งธรรมทั้งองค์รวมได้

    1. ลัทธิจิตนิยม มีแนวคิดพื้นฐานว่าจิตเป็นศูนย์ของสรรพสิ่ง และมีความเชื่อว่าวัตถุเป็นผลผลิตของจิต จิตเท่านั้นเป็นความจริงแท้ ส่วนวัตถุเป็นเพียงปรากฏการณ์ คนที่อยู่ในแนวคิดนี้ก็จะถือตนเป็นใหญ่ ถือตัวกูเป็นใหญ่ ถือประโยชน์ตนและพวกพ้องเป็นใหญ่ โดยภาพรวมก็คือการถืออัตวิสัยเป็นใหญ่ จะเห็นพฤติกรรมได้จาก เช่น

    1.1 รัฐธรรมนูญปัจจุบัน บังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค เพื่อว่าเจ้าของพรรค หรือนายทุนพรรคซื้อมาแล้วจะได้ควบคุม ส.ส.ของพรรคไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้ ใครออกนอกลู่นอกทางก็จะต้องถูกไล่ออก จากความคิดดังกล่าวจะเห็นได้ว่าพรรคแบบนี้ อุปมาประกอบด้วย (1) เจ้าของพรรค หรือนายทาส (2) หัวหน้าทาส ได้แก่ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือพวกรัฐมนตรี (3) ทาสทางการเมือง ได้แก่ พวก ส.ส.ที่ยอมขายตัว ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องทำตามเจ้าของพรรค พวกเขาจึงเป็นเพียงผู้แทนของนายทุนพรรค ไม่ใช่ผู้แทนของประชาชน (4) ประชาชนผู้ไม่รู้เท่าทันการเมือง หรือด้วยอามิสสินจ้าง หรือด้วยเพราะสัญญาว่าจะให้ประโยชน์ ฯลฯ

    1.2 ในทางเศรษฐกิจ จะมองทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน เช่น แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน และมีความรู้สึกนึกคิดว่าตนเป็นผู้ฉลาด มีความมั่นใจในตนเองสูง มีความสามารถเหนือคนอื่นๆ จะทำอะไรๆ ก็ต้องเป็นแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา เมื่อตนเองมั่งคั่งร่ำรวย ก็จะดูหมิ่นคนยากคนจนว่าโง่เขลา เกียจคร้าน ฯลฯ

    การแสดงออกจากความคิดดังกล่าวนี้ ในเรื่องรัฐธรรมนูญ พวกเขาก็จะยกร่างรัฐธรรมนูญตามความนึกคิดเพราะจิตมีแต่ความแตกต่างหลากหลาย เช่น บางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศล ทั้งกุศลและอกุศลล้วนมีความแตกต่างหลากหลาย เมื่อได้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะมีแต่ด้าน วิธีการปกครอง ได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ อันแตกต่างหลากหลาย โดยไม่มีหลักการปกครอง (ระบอบ) อันเป็นด้านหลักการ หรือเป็นด้านเอกภาพ

    หรือพูดง่ายๆ ว่า มีแต่ด้านมรรควิธี คือมีทางที่จะไป หรือวิธีการที่จะดำเนินการ แต่การดำเนินการนั้นไม่มีหลักหรือไม่มีจุดมุ่งหมาย เมื่อจะตัดสินความถูกผิด ก็วัดกันด้วยจำนวนเสียงว่าฝ่ายไหนเสียงมากกว่า จึงเป็นเหตุให้ทำนองว่า "พวกมากลากไปพาไปพินาศ" ประชาชนก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกเป็นธรรม หรือฝ่ายไหนไม่ถูกไม่เป็นธรรม ก็เพราะว่าไม่มีหลักการปกครองเป็นตัวตั้งเป็นตัววัดให้พิจารณาได้นั่นเอง การจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญไทยทำมาแล้ว 16 ฉบับ ได้จัดความสัมพันธ์โดยไม่มีหลักการปกครอง จึงไร้จุดมุ่งหมายดังลักษณะดังรูป

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=389 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=389>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง กล่าวได้ว่า "เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า เมื่อไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำ" การเมืองการปกครองของไทยจึงล้าหลังย่ำอยู่กับที่ น่าเสียดายผู้ปกครองงมงายคิดไม่เป็น

    2. ลัทธิวัตถุนิยม มีความเชื่อพื้นฐานว่า วัตถุเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง และเชื่อว่าวัตถุเป็นความจริงแท้ ส่วนจิตเป็นผลผลิตขั้นสูงสุดในสมอง หรือจิตเป็นภาพสะท้อนของวัตถุ หรือจิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของวัตถุเท่านั้น คนที่อยู่ในแนวคิดนี้จะถือภาววิสัยเป็นใหญ่ ถือประเทศชาติเป็นใหญ่ ถือสาธารณะเป็นใหญ่ ชิงชังการกดขี่และขูดรีด แต่แนวคิดนี้มีน้อย นอกจากได้อบรมจากลัทธิวัตถุนิยม ชนพวกนี้จะมองว่าปัจจัยการผลิตจะต้องเป็นของรัฐ ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของเอกชน ชนภายในชาติจะต้องอุทิศตนเพื่อสังคม เมื่อมองเผินๆ น่าจะเป็นสิ่งที่ดี การโฆษณาชวนเชื่อ ก็จะเป็นที่ชอบใจของชนที่เสียเปรียบในสังคม และจะลุกขึ้นมาโค่นชนชั้นผู้ปกครองกดขี่ขูดรีดเอาเปรียบประชาชน เช่น ในประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย

    ในทางพระพุทธศาสนา หรือโดยความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติ ทั้งจิตตสังขาร และวัตถุหรือรูปสังขารเป็นสังขตธรรม เป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นของผสม เป็นสัจธรรมสัมพัทธ์ (Relative truth) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องแปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด เกิดขึ้นเท่าไรก็ดับไปเท่านั้น ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ ทั้งจิตตสังขารและวัตถุเป็นเพียงมายา ไร้แก่นสารที่แท้จริง และตัวมันเองไม่อาจจะบริสุทธิ์และดำรงอยู่อย่างอิสระไม่ได้ ทั้งจิตตสังขารและวัตถุจึงไม่สามารถเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง ตัวมันเองเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อไปยึดติดเพราะความเข้าใจผิดไม่ถูกตรงตามที่มันเป็น ทำให้ผู้ยึดมั่นถือมั่นสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง

    ทั้งลัทธิจิตนิยม และลัทธิวัตถุนิยม ความเชื่อทั้งสองไม่อาจเข้าถึงทางสายกลางได้ เมื่อพัฒนาถึงที่สุดแล้ว ก็จะเป็นความไร้แก่นสาร ก็เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดุจน้ำตกที่ไหลลงจากหน้าผา แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร ใครยึดมั่นถือมั่นก็เพราะความหลงผิดนั่นเอง ดังนั้น ควรเข้าใจอย่างถูกต้องว่าลัทธิทั้ง 2 นี้ไม่อาจเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งได้

    แต่ถ้าเราต้องการรู้แจ้งสัจธรรมด้วย การวิปัสสนาภาวนา ก็จะมีปัญญาตามความเป็นจริงว่า ทั้งจิตตสังขารและรูปสังขารนั้น ไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นได้เลย และเห็นภัยจากการยึดมั่นถือมั่นนั้นทำให้เบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง จึงหาทางออกอิสระเสียจากสังขารทั้งปวง และเมื่อมีปัญญาอิสระพ้นจากสังขารทั้งปวงแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้พบสภาวะใหม่ สภาวะนั้นก็คือ นิพพาน หรือบรมธรรม หรือธรรมาธิปไตย เป็นภาวะบริสุทธิ์ เป็นอรรถ เป็นแก่นสารที่แท้จริง มันจึงดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะมันเป็นสภาวะบริสุทธิ์ และพ้นจากกฎไตรลักษณ์ จึงเป็นสภาวะที่ดำรงอย่างไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันดำรงอยู่อย่างอมตธรรม

    จะเห็นได้ว่าสภาวะดังกล่าวนี้ จึงดำรงอยู่ในฐานะศูนย์กลางของสรรพสิ่ง หรือพูดง่ายๆ ว่า "ธรรม ย่อมเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง" หรือบรมธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นศูนย์กลางของสังขตธรรม ทั้งรูปและนามอันแตกต่างหลากหลายทั้งปวงนั่นเอง

    ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ทั้งจิต และวัตถุ แต่ยอมรับว่าทั้งวัตถุและจิตดำรงอยู่อิงอาศัยกันในลักษณะสังขตธรรม แปรปรวนดับไปตามกฎไตรลักษณ์

    สมดัง อุทานธรรมว่า "ภูเขายังตั้ง ตะวันยังฉาย ธรรมาธิปไตยไม่สลายจากใจคน" ก็จะเห็นได้ว่า จิตตสังขารทั้งที่ปรุงแต่งเป็นกุศลบ้าง และอกุศลบ้าง และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนในท่ามกลางและก็ดับไปในที่สุด พูดง่ายๆ ว่า เมื่อเกิดความกลัว โลภ โกรธ หลง เสียใจ เศร้าใจ ดีใจ ฯลฯ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องสลายไป ดำรงอยู่ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าทั้งจิตตสังขารทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล เป็นเพียงปรากฏการณ์ เป็นมายาเท่านั้น ไร้แก่นสาร และไร้ความเป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง

    จะเห็นได้ว่าธรรม จึงประกอบกันขึ้นระหว่างอสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุผลปัจจัยปรุงแต่ง และพ้นจากกฎไตรลักษณ์ ได้แก่ นิพพาน, บรมธรรม, ธรรมาธิปไตย) กับสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์) หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ไม่สลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วต้องสลาย หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง กับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างธาตุแท้ กับปรากฏการณ์ หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจุดมุ่งหมาย กับมรรควิธี หรือวิธีการ หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย

    และเมื่อธรรมนำมาประยุกต์ใช้ ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ จึงจัดทำรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องโดยธรรม ตามองค์ประกอบของกฎธรรมชาติ ดังลักษณะตามรูปดังนี้ วงกลมตรงกลาง คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตยทั้ง 9 มีลักษณะแผ่ความยุติธรรมสู่ปวงชนในแผ่นดิน อันเป็นหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลง อันมั่นคงยั่งยืนของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนลูกศร คือวิธีการปกครองได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ ที่จะต้องขึ้นต่อหลักการปกครองเสมอไป วิธีการเป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขได้ หรือเปลี่ยนแปลงได้ตามความจำเป็น ตามยุคตามสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป (ดังรูป)

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=360 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=360>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> การสร้างการปกครองแบบธรรมาธิปไตย คือการนำกฎธรรมชาติ ดำรงอยู่ในลักษณะ พระธรรมจักร บนความสัมพันธ์ในหลายๆ มิติ เช่น สัมพันธภาพระหว่างแผ่กับรวมศูนย์ มีทั้งจุดมุ่งหมาย และมรรควิธี หรือมีทั้งหลักการและวิธีการ และเมื่อนำไปพิจารณาระบอบการเมือง ระบอบต้องยุติธรรมและแผ่กระจายสู่ปวงชน ส่วนการปกครองต้องรวมศูนย์ หรือการเมืองต้องแผ่ เศรษฐกิจต้องรวมศูนย์ หรือรัฐวิสาหกิจกับวิสาหกิจเอกชน ดังกล่าวนี้ต้องทำให้เกิดความสมดุลหรือดุลยภาพกัน ไม่ใช่พยายามทำให้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง "มนุษยชาติเกิดจากธรรม การถือธรรมเป็นใหญ่ สู่ธรรมาธิปไตยเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดิน"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>++++++++++

    เป็นบทความของ เพชรอริยะ, วิธีคิดเพื่อแผ่นดิน

    ที่มา : manager.co.th
     
  2. akaliko

    akaliko Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +88
    ระบอบศักดินาทุนนิยมที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อว่าคือประชาธิปไตย มันคือสิ่งชั่วร้ายที่คอยกัดกร่อนบ่อนทำรายชนชั้นกลางและรากหญ้า ทำให้เกิดความยากจน ทำให้เกิดความด้อยโอกาส ทำให้เกิดการเลื่อมล้ำของชนชั้น ทำให้เกิดความล่มสลายของสังคมชนบทแบบเอื้ออาธร ทำให้สังคมเข้าสู่ยุควัตถุนิยมอันตึงเครียดและเห็นแก่ตัว ทำให้เกิดมลภาวะ

    ปัจจุบันนี้มีชนชั้นใหม่เรียกว่าไฮโซ ซึ่งคอยตัดตวงผลผลิตเกือบทั้งหมดเข้าหาชนชั้นตัวเอง พวกชนชั้นกลางและรากหญ้าแทบจะไม่ได้รับการกระจายรายได้จากผลผลิตที่เกิดขึ้นเลย แถมพวกมันยังซ๊ำเติมประชาชนด้วยการใช้อำนาจหน้าที่ที่ประชาชนไว้วางใจมอกให้ ทำการผ่องถ่ายทรัพย์สินอันเปนของแผ่นดินอันได้แก่กิจการรัฐวิสาหกิจสาธารณูประโภค การขนส่ง และพลังงาน เปนการผลัดภาระให้กับมวลชนซึ่งจะตายอยู่แล้ว ให้ใกล้ตายเข้าไปอีก

    ศักดินาทุนนิยมคือบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายของการประมูลโครงการต่างๆด้วยความทุจริตฉ้อฉล สนามบินก็คุณภาพต่ำ ถนนก็คุณภาพต่ำ ... มีแต่ผู้มีิอิทธิพลเต็มเมือง สุภาพชนคนสุจริตก็ทำมาหากินยาก

    พี่เอยน้องเอย เหล่าชนชั้นกลางจงลุกขึ้นเปนแกนนำ ให้กับชนชั้นรากหญ้า เข้าร่วมกันปฏิวัติโค่นล้มระบอบศักดินาทุนนิยม ที่กดขี่ทำร้ายชาวประชา

    รัฐบาลนายทุนกำลังโฆษณาชวนเชื่อ รัฐบาลกำลังหลอกลวงท่าน รัฐบาลกำลังนำพาประเทศชาติไปสู่การเปนทาสทางเศรษฐกิจ จงลุกขึ้นหยัดยืนขึ้นต่อสู้เพื่อสังคมอุดมธรรมด้วยความศรัทธา และกล้าหาญ

    ระบอบศักดินาทุนนิยมเปนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง คือการพึ่งตนเอง สันโดษ มีแค่ไหนก็ใช้แค่นั้น เปนสังคมที่อุดมธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...