ธรรมสังเวช หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
    พระอรหันต์กับปุถุชน (พระอรหันต์กับขันธ์ 5)

    ทุกข์ สมุทัย เป็นสมมุติ อันนี้พ้นไปจากสมมุติแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกาะเกี่ยวได้เลย นี่ทุกข์ภายในใจของเรา นี่ก็เรียกว่าผลเป็นที่พอใจตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้เพื่อดับทุกข์ ดับทุกข์ก็ดับกิเลสนั่นแหละ กิเลสตัวชั่วช้าลามก ตัวไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักนรกอเวจี ตัวนี้ละตัวมันทำสัตว์ให้ล่มจม ล่มจมตลอดมา ฟาดมันขาดสะบั้นลงจากใจแล้วทุกข์ไม่มีเลยตั้งแต่ขณะนั้น ส่วนทุกข์ในร่างกาย ร่างกายนี้เป็นสมมุติก็เหมือนสมมุติทั่ว ๆ ไป เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนไม่มีอะไรผิดกันเลย เหมือนกัน แต่เป็นอยู่ในขันธ์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะไปซึมซาบหรือผ่านเข้าในจิตดวงนั้นได้อีกเลย ทุกข์บีบของมันอยู่ตามขันธ์ ๕

    ขันธ์ ๕ กองรูป คือ กายนี้หนึ่ง กองเวทนา คือ ความสุข ทุกข์ ความเฉย ๆ นี้หนึ่ง เรียกว่าขันธ์ ๕ สัญญา ความจำได้หมายรู้ รวมแล้วเรียกว่าความจำ จำคนนั้นจำคนนี้ จำบ้านนั้นบ้านนี้ จำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรียกว่าสัญญา นี่เป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ คือ ความคิดความปรุงของใจ คิดถึงบ้านถึงเรือนถึงลูกถึงหลาน ส่วนคิดถึงอรรถถึงธรรมไม่ค่อยคิดมันแหละ ไอ้คิดถึงลูกถึงหลาน มาอยู่ในวัดก็ว่าคิดถึงลูกถึงหลานถึงบ้าน ไปบ้านแล้วก็คิดถึงวัด นี่เรียกว่าสังขาร สังขารคือความปรุงของจิต ความคิดของจิต วิญญาณ ความรับทราบ ตามองเห็นรูปรับทราบพับ เสียงกระทบหูรับทราบพับ ดับไปพร้อม ๆ นี่ท่านเรียกวิญญาณ นี่เรียกว่าขันธ์ ๕

    ขันธ์ ๕ แปลว่า หมวด หรือแปลว่า กอง เป็นกองเป็นหมวด ท่านเรียกว่าขันธ์ ขันธะ ๆ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติจะแสดงตัวอยู่นี้จนกระทั่งถึงวันสิ้นลมหายใจ เรียกว่าวันตาย ขันธ์ ๕ นี้แสดงอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะไปยุติหมดสิ้นไปในเวลาตาย ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติ พอขันธ์ ๕ นี้ดับลงขันธ์ ๕ นี้ไปพร้อมกันหมดเลย ในเวลายังไม่ไปที่ครองขันธ์อยู่นั้นมันก็ดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น ใจที่ครองตัวอยู่นั้นรับทราบ ๆ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปซึมซาบรบกวนได้เหมือนแต่ก่อน

    แต่ก่อนขันธ์ก็รบกวนได้เพราะมีกิเลส กิเลสเป็นตัวเหตุแห่งการรบกวน ทุกข์เกิดขึ้นในขันธ์กระเทือนถึงจิต อะไรเกิดขึ้นเจ็บหัวตัวร้อนกระเทือนถึงจิต ๆ สุดท้ายจิตหนักมากยิ่งกว่าโรคภัยที่เกิดขึ้นภายในกาย นี่เพราะเชื้อของมันสำคัญ ตัวก่อเหตุอยู่ภายใน ตัวนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มี จะทุกข์มากขนาดไหนก็เห็นว่ามันทุกข์มากแต่ไม่เข้าถึงใจ เป็นอฐานะ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ตกไปปั๊บกลิ้งปั๊บ ๆ ของมัน เป็นธรรมชาติของน้ำของใบบัวที่ไม่ซึมซาบกันอย่างนั้น ระหว่างจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสของพระอรหันต์กับสมมุติทั้งหลายก็เหมือนกัน ตกพับกลิ้งตกไป ๆ

    ขันธ์นี้จะสิ้นสุดลงในเวลาสิ้นลมหายใจ พอขันธ์สิ้นสุดลงไปแล้ว เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ แล้ว สมมุตินี้ไม่เข้ารับเกี่ยวข้องให้ได้รับผิดชอบอีกต่อไป ขันธ์ ๕ นี้ดับก็ดับไปพร้อมกันเลย ขันธ์ทั้งห้ามีอยู่ในทุกธาตุทุกขันธ์ เมื่อเวลากิเลสเข้าไปครองขันธ์ทั้งห้านี้ก็เป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ดีให้ชั่วไปได้ เป็นเครื่องมือของธรรมด้วยอยู่ในนั้น ส่วนมากเป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ทำแต่ความชั่วช้าลามก ความคิดความปรุงอะไรไปทางกิเลสทั้งนั้น ๆ นี่เป็นเครื่องมือของกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากออกไปแล้วก็เป็นเครื่องมือของธรรมแทนกัน แต่ธรรมท่านไม่ยึด

    กิเลสมันยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นเราเป็นของเรา กวาดต้อนเข้ามาเป็นของมันหมด แต่ธรรมท่านไม่ยึด เป็นแต่เพียงว่าใช้เฉย ๆ พอสิ้นสุดอันนี้ลมหายใจขาดลงไปแล้วก็ขาดพร้อมกันเลย นี่เรียกว่าสมมุติขาดโดยสิ้นเชิงจากความรับผิดชอบของพระอรหันต์ท่าน ในเวลามีชีวิตอยู่ท่านก็รับผิดชอบธรรมดา เป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบ หากเป็นสัญชาตญาณระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยหรือครองตัวอยู่เป็นอย่างนั้น เป็นของมันเอง เช่น เราเดินไปตามทาง ระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชนเราเดินไปนี้ เช่น ลื่นล้มนี้ ปุถุชนก็ต้องช่วยตัวเอง ลื่นไม่ควรจะล้มไม่ยอมให้ล้มง่าย ๆ พระผู้สิ้นกิเลสพระอรหันต์ก็แบบเดียวกัน ไม่ควรล้มไม่ยอมล้ม จนกระทั่งสุดวิสัยถึงจะล้ม จะล้มแบบหงายหมาหงายคนก็ไม่รู้ละตอนนั้น นี่เรียกว่าเหมือนกัน

    การหัวเราะก็เหมือนกัน เพราะเป็นขันธ์ กิริยาของสมมุติมากระทบสมมุติก็กระเพื่อมออกมา เป็นกิริยาของขันธ์ออกมา เช่นหัวเราะอย่างนี้ ก็หัวเราะได้เหมือนกัน แต่ร้องไห้นั้นท่านเรียกว่าธรรมสังเวช ขันธ์แสดง เช่น พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายปลงธรรมสังเวช คือ ขันธ์กระเพื่อม ขันธ์นี่ห้ามมันไม่ได้ พอว่าพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ระลึกถึงบุญถึงคุณท่านเข้ามาประกอบรวมเข้าสู่น้ำใจนี้เกิดความสังเวชขึ้น น้ำตาร่วง เข้าใจไหม

    พระอรหันต์ไม่มีน้ำตาเหรอ มีอยู่ในกายของทุกคน น้ำตาก็คือขันธ์ มันกระเพื่อมก็ไหลออกมาได้ เกิดความสลดสังเวช นี่ละท่านเรียกว่าสลดสังเวช ไม่ได้บอกว่าท่านร้องไห้ เพราะคำว่าร้องไห้เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ปลงธรรมสังเวชนี้เป็นกิริยาของน้ำตาร่วง เกิดขึ้นจากขันธ์กระเพื่อม สังขารปรุงขึ้นมาจากความรับทราบ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว นั่นละพระอรหันต์ทั้งหลายท่านปลงธรรมสังเวช ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน นี่เรียกว่าขันธ์

    ขันธ์จะทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์เหมือนกันกับปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์กับปุถุชนก็ขันธ์เสมอกัน การแสดงกิริยาของมัน มันก็แสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมันเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนั้นไม่เข้าซึมซาบ ผิดกันเท่านั้นเอง เช่น เดินไปถนนหนทางลื่นจะหกล้มนี้ พระอรหันต์กับคนสามัญธรรมดาจะช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว ไม่ควรล้มไม่ล้ม หรือก้าวเหยียบลงไปเห็นรากไม้เหมือนกับว่าเป็นงูนี้ โดดผางเลยข้ามเลย นั่นละเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบ ๆ เป็นอย่างนั้นไป เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง แย็บ ที่ต่างกัน

    กิริยาที่ท่านแสดงช่วยตัวเองนั้นเหมือนกัน แต่ภายในใจของปุถุชนกับพระอรหันต์นี้ต่างกัน คือ ภายในใจของปุถุชนนี้จะตกใจ จิตใจร้อนวูบเลยเวลาตกใจนะ เช่น จะเหยียบงูอย่างนี้ โดดข้ามปึ๋ง จิตใจนี่ร้อนวูบเลย แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าเป็นงูแย็บเท่านั้น นี่ขันธ์แสดงแย็บเท่านั้นเองผ่าน ถึงจะล้มก็ล้ม ท่านไม่ได้เสียใจ มันอยากล้มก็ล้มไป มันทนไม่ไหวทานไม่ไหวก็ล้มไป นี่กิริยาอันนี้เหมือนกัน ขันธ์ของพระอรหันต์กับขันธ์ของปุถุชนเป็นขันธ์เหมือนกัน ต้องแสดงเต็มตัวได้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงไม่เข้าซึมซาบถึงใจท่านเท่านั้นเอง ให้พากันทราบเอาไว้

    เราจะพูดให้ฟังอย่างชัดเจนทีเดียว ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ เป็นอรหันต์ไม่อรหันต์ไม่สำคัญ เอาความจริงมาพูด นี่หลักธรรมชาติของจิต ท่านจึงเรียก ๒ อย่างว่า ผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วเป็นพระอรหันต์นั้นเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ท่านได้นิพพานในเวลายังครองขันธ์อยู่นั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นเป็นนิพพานล้วน ๆ เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ ยังรับผิดชอบโดยหลักธรรมชาติอยู่ ทีนี้ อนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์บรรลัยลงไปแล้ว อันนั้นก็เป็นนิพพานล้วน ๆ เลย ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปน ขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่ลมหายใจขาดลงไป ขันธ์ขาดลงไป ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกัน หมดความรับผิดชอบ ก็อย่างนั้น

    ท่านจึงเรียกว่า นิพพาน ๒ สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังครองขันธ์อยู่ คือเป็นพระอรหันต์แล้ว สิ้นกิเลสแล้ว ยังครองขันธ์อยู่ ถ้าสิ้นกิเลสแล้วด้วย ตายแล้วด้วยไปเลย นี่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านแสดงไว้ในตำราค้านได้ที่ไหน ไม่มีที่ค้าน ธรรมชาตินี้ยันกันทันที ยอมรับทันทีเลย นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าพูดถูกต้องหรือไม่ถูกต้องพิจารณาซิ ตรงไหนไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย สอนสัตวโลกไม่มีผิดพลาดตลอดมา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระวาจาของพระพุทธเจ้า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง รับสั่งคำใดลงไปแล้วคำนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีสอง

    สอนโลกมานี่มากขนาดไหน ท่านนับประมาณไว้เพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี่น้อยนิดเดียวนะ แต่เป็นคำสั่งสอนที่ถูกต้องล้วน ๆ ไม่มีผิดเลย ทีนี้เวลาปฏิบัติตามไปก็ไปเห็นตามที่ท่านสอนไว้แล้วนั้น จากที่ท่านรู้แล้วเห็นแล้ว ท่านสอนอะไรสอนไว้ ที่เราไม่เห็นมันก็เหมือนไม่มี ๆ เหมือนอย่างคนตาบอดชนต้นไม้ มันก็เข้าใจว่าต้นไม้ไม่มี มันก็ชนเอา ๆ อันนี้พวกตาบอดมันเข้าใจว่าบาปบุญนรกไม่มี มันก็ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก สุดท้ายมันก็โดนเอา ๆ โดนตั้งแต่บาปแต่กรรม โดนแต่นรกนั่น พระพุทธเจ้าพูดสอนโลกสอนให้หลีกมันไม่ยอมหลีก ท่านบอกบาปมี มีแต่กัปไหนกัลป์ใดมา พระพุทธเจ้าไม่เคยลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไม่มีพระองค์ใดลบล้างเลย สอนไว้ตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่กิเลสมันตามลบหมด ๆ

    นี่ละกิเลสตัวเป็นภัยต่อเรานะ ไม่ได้เป็นภัยต่อพระพุทธเจ้า เป็นภัยต่อเราเอง ลบคำสอนพระพุทธเจ้าก็เท่ากับมาลบล้างตัวเองจากความดีทั้งหลายให้เข้าสู่นรกอเวจีนั้นแหละ มันบอกว่านรกไม่มี ๆ ทีนี้ความอยากทำตามใจชอบนั้นมันล้นพ้น มันก็ไปตามความอยากทำ มีตั้งแต่ความชั่วทั้งนั้น นั่นเป็นอย่างนั้น

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  2. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    เอ ? ธรรมสังเวช นี่มันต่างจาก...

    สังเวชในธรรม( ดา ) ของคน


    ตรงไหนกันหนอ ? :'(
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
    พระอรหันต์กับปุถุชน (พระอรหันต์กับขันธ์ 5)

    ทุกข์ สมุทัย เป็นสมมุติ อันนี้พ้นไปจากสมมุติแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกาะเกี่ยวได้เลย นี่ทุกข์ภายในใจของเรา นี่ก็เรียกว่าผลเป็นที่พอใจตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้เพื่อดับทุกข์ ดับทุกข์ก็ดับกิเลสนั่นแหละ กิเลสตัวชั่วช้าลามก ตัวไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักนรกอเวจี ตัวนี้ละตัวมันทำสัตว์ให้ล่มจม ล่มจมตลอดมา ฟาดมันขาดสะบั้นลงจากใจแล้วทุกข์ไม่มีเลยตั้งแต่ขณะนั้น ส่วนทุกข์ในร่างกาย ร่างกายนี้เป็นสมมุติก็เหมือนสมมุติทั่ว ๆ ไป เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนไม่มีอะไรผิดกันเลย เหมือนกัน แต่เป็นอยู่ในขันธ์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะไปซึมซาบหรือผ่านเข้าในจิตดวงนั้นได้อีกเลย ทุกข์บีบของมันอยู่ตามขันธ์ ๕

    ขันธ์ ๕ กองรูป คือ กายนี้หนึ่ง กองเวทนา คือ ความสุข ทุกข์ ความเฉย ๆ นี้หนึ่ง เรียกว่าขันธ์ ๕ สัญญา ความจำได้หมายรู้ รวมแล้วเรียกว่าความจำ จำคนนั้นจำคนนี้ จำบ้านนั้นบ้านนี้ จำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรียกว่าสัญญา นี่เป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ คือ ความคิดความปรุงของใจ คิดถึงบ้านถึงเรือนถึงลูกถึงหลาน ส่วนคิดถึงอรรถถึงธรรมไม่ค่อยคิดมันแหละ ไอ้คิดถึงลูกถึงหลาน มาอยู่ในวัดก็ว่าคิดถึงลูกถึงหลานถึงบ้าน ไปบ้านแล้วก็คิดถึงวัด นี่เรียกว่าสังขาร สังขารคือความปรุงของจิต ความคิดของจิต วิญญาณ ความรับทราบ ตามองเห็นรูปรับทราบพับ เสียงกระทบหูรับทราบพับ ดับไปพร้อม ๆ นี่ท่านเรียกวิญญาณ นี่เรียกว่าขันธ์ ๕

    ขันธ์ ๕ แปลว่า หมวด หรือแปลว่า กอง เป็นกองเป็นหมวด ท่านเรียกว่าขันธ์ ขันธะ ๆ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติจะแสดงตัวอยู่นี้จนกระทั่งถึงวันสิ้นลมหายใจ เรียกว่าวันตาย ขันธ์ ๕ นี้แสดงอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะไปยุติหมดสิ้นไปในเวลาตาย ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติ พอขันธ์ ๕ นี้ดับลงขันธ์ ๕ นี้ไปพร้อมกันหมดเลย ในเวลายังไม่ไปที่ครองขันธ์อยู่นั้นมันก็ดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น ใจที่ครองตัวอยู่นั้นรับทราบ ๆ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปซึมซาบรบกวนได้เหมือนแต่ก่อน

    แต่ก่อนขันธ์ก็รบกวนได้เพราะมีกิเลส กิเลสเป็นตัวเหตุแห่งการรบกวน ทุกข์เกิดขึ้นในขันธ์กระเทือนถึงจิต อะไรเกิดขึ้นเจ็บหัวตัวร้อนกระเทือนถึงจิต ๆ สุดท้ายจิตหนักมากยิ่งกว่าโรคภัยที่เกิดขึ้นภายในกาย นี่เพราะเชื้อของมันสำคัญ ตัวก่อเหตุอยู่ภายใน ตัวนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มี จะทุกข์มากขนาดไหนก็เห็นว่ามันทุกข์มากแต่ไม่เข้าถึงใจ เป็นอฐานะ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ตกไปปั๊บกลิ้งปั๊บ ๆ ของมัน เป็นธรรมชาติของน้ำของใบบัวที่ไม่ซึมซาบกันอย่างนั้น ระหว่างจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสของพระอรหันต์กับสมมุติทั้งหลายก็เหมือนกัน ตกพับกลิ้งตกไป ๆ

    ขันธ์นี้จะสิ้นสุดลงในเวลาสิ้นลมหายใจ พอขันธ์สิ้นสุดลงไปแล้ว เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ แล้ว สมมุตินี้ไม่เข้ารับเกี่ยวข้องให้ได้รับผิดชอบอีกต่อไป ขันธ์ ๕ นี้ดับก็ดับไปพร้อมกันเลย ขันธ์ทั้งห้ามีอยู่ในทุกธาตุทุกขันธ์ เมื่อเวลากิเลสเข้าไปครองขันธ์ทั้งห้านี้ก็เป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ดีให้ชั่วไปได้ เป็นเครื่องมือของธรรมด้วยอยู่ในนั้น ส่วนมากเป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้ทำแต่ความชั่วช้าลามก ความคิดความปรุงอะไรไปทางกิเลสทั้งนั้น ๆ นี่เป็นเครื่องมือของกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากออกไปแล้วก็เป็นเครื่องมือของธรรมแทนกัน แต่ธรรมท่านไม่ยึด

    กิเลสมันยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นเราเป็นของเรา กวาดต้อนเข้ามาเป็นของมันหมด แต่ธรรมท่านไม่ยึด เป็นแต่เพียงว่าใช้เฉย ๆ พอสิ้นสุดอันนี้ลมหายใจขาดลงไปแล้วก็ขาดพร้อมกันเลย นี่เรียกว่าสมมุติขาดโดยสิ้นเชิงจากความรับผิดชอบของพระอรหันต์ท่าน ในเวลามีชีวิตอยู่ท่านก็รับผิดชอบธรรมดา เป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบ หากเป็นสัญชาตญาณระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยหรือครองตัวอยู่เป็นอย่างนั้น เป็นของมันเอง เช่น เราเดินไปตามทาง ระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชนเราเดินไปนี้ เช่น ลื่นล้มนี้ ปุถุชนก็ต้องช่วยตัวเอง ลื่นไม่ควรจะล้มไม่ยอมให้ล้มง่าย ๆ พระผู้สิ้นกิเลสพระอรหันต์ก็แบบเดียวกัน ไม่ควรล้มไม่ยอมล้ม จนกระทั่งสุดวิสัยถึงจะล้ม จะล้มแบบหงายหมาหงายคนก็ไม่รู้ละตอนนั้น นี่เรียกว่าเหมือนกัน

    การหัวเราะก็เหมือนกัน เพราะเป็นขันธ์ กิริยาของสมมุติมากระทบสมมุติก็กระเพื่อมออกมา เป็นกิริยาของขันธ์ออกมา เช่นหัวเราะอย่างนี้ ก็หัวเราะได้เหมือนกัน แต่ร้องไห้นั้นท่านเรียกว่าธรรมสังเวช ขันธ์แสดง เช่น พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายปลงธรรมสังเวช คือ ขันธ์กระเพื่อม ขันธ์นี่ห้ามมันไม่ได้ พอว่าพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ระลึกถึงบุญถึงคุณท่านเข้ามาประกอบรวมเข้าสู่น้ำใจนี้เกิดความสังเวชขึ้น น้ำตาร่วง เข้าใจไหม

    พระอรหันต์ไม่มีน้ำตาเหรอ มีอยู่ในกายของทุกคน น้ำตาก็คือขันธ์ มันกระเพื่อมก็ไหลออกมาได้ เกิดความสลดสังเวช นี่ละท่านเรียกว่าสลดสังเวช ไม่ได้บอกว่าท่านร้องไห้ เพราะคำว่าร้องไห้เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ปลงธรรมสังเวชนี้เป็นกิริยาของน้ำตาร่วง เกิดขึ้นจากขันธ์กระเพื่อม สังขารปรุงขึ้นมาจากความรับทราบ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว นั่นละพระอรหันต์ทั้งหลายท่านปลงธรรมสังเวช ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน นี่เรียกว่าขันธ์

    ขันธ์จะทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์เหมือนกันกับปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์กับปุถุชนก็ขันธ์เสมอกัน การแสดงกิริยาของมัน มันก็แสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมันเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนั้นไม่เข้าซึมซาบ ผิดกันเท่านั้นเอง เช่น เดินไปถนนหนทางลื่นจะหกล้มนี้ พระอรหันต์กับคนสามัญธรรมดาจะช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว ไม่ควรล้มไม่ล้ม หรือก้าวเหยียบลงไปเห็นรากไม้เหมือนกับว่าเป็นงูนี้ โดดผางเลยข้ามเลย นั่นละเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบ ๆ เป็นอย่างนั้นไป เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง แย็บ ที่ต่างกัน

    กิริยาที่ท่านแสดงช่วยตัวเองนั้นเหมือนกัน แต่ภายในใจของปุถุชนกับพระอรหันต์นี้ต่างกัน คือ ภายในใจของปุถุชนนี้จะตกใจ จิตใจร้อนวูบเลยเวลาตกใจนะ เช่น จะเหยียบงูอย่างนี้ โดดข้ามปึ๋ง จิตใจนี่ร้อนวูบเลย แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าเป็นงูแย็บเท่านั้น นี่ขันธ์แสดงแย็บเท่านั้นเองผ่าน ถึงจะล้มก็ล้ม ท่านไม่ได้เสียใจ มันอยากล้มก็ล้มไป มันทนไม่ไหวทานไม่ไหวก็ล้มไป นี่กิริยาอันนี้เหมือนกัน ขันธ์ของพระอรหันต์กับขันธ์ของปุถุชนเป็นขันธ์เหมือนกัน ต้องแสดงเต็มตัวได้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงไม่เข้าซึมซาบถึงใจท่านเท่านั้นเอง ให้พากันทราบเอาไว้

    เราจะพูดให้ฟังอย่างชัดเจนทีเดียว ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ เป็นอรหันต์ไม่อรหันต์ไม่สำคัญ เอาความจริงมาพูด นี่หลักธรรมชาติของจิต ท่านจึงเรียก ๒ อย่างว่า ผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วเป็นพระอรหันต์นั้นเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ท่านได้นิพพานในเวลายังครองขันธ์อยู่นั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นเป็นนิพพานล้วน ๆ เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ ยังรับผิดชอบโดยหลักธรรมชาติอยู่ ทีนี้ อนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์บรรลัยลงไปแล้ว อันนั้นก็เป็นนิพพานล้วน ๆ เลย ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปน ขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่ลมหายใจขาดลงไป ขันธ์ขาดลงไป ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกัน หมดความรับผิดชอบ ก็อย่างนั้น

    ท่านจึงเรียกว่า นิพพาน ๒ สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังครองขันธ์อยู่ คือเป็นพระอรหันต์แล้ว สิ้นกิเลสแล้ว ยังครองขันธ์อยู่ ถ้าสิ้นกิเลสแล้วด้วย ตายแล้วด้วยไปเลย นี่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านแสดงไว้ในตำราค้านได้ที่ไหน ไม่มีที่ค้าน ธรรมชาตินี้ยันกันทันที ยอมรับทันทีเลย นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าพูดถูกต้องหรือไม่ถูกต้องพิจารณาซิ ตรงไหนไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย สอนสัตวโลกไม่มีผิดพลาดตลอดมา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระวาจาของพระพุทธเจ้า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง รับสั่งคำใดลงไปแล้วคำนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีสอง

    สอนโลกมานี่มากขนาดไหน ท่านนับประมาณไว้เพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี่น้อยนิดเดียวนะ แต่เป็นคำสั่งสอนที่ถูกต้องล้วน ๆ ไม่มีผิดเลย ทีนี้เวลาปฏิบัติตามไปก็ไปเห็นตามที่ท่านสอนไว้แล้วนั้น จากที่ท่านรู้แล้วเห็นแล้ว ท่านสอนอะไรสอนไว้ ที่เราไม่เห็นมันก็เหมือนไม่มี ๆ เหมือนอย่างคนตาบอดชนต้นไม้ มันก็เข้าใจว่าต้นไม้ไม่มี มันก็ชนเอา ๆ อันนี้พวกตาบอดมันเข้าใจว่าบาปบุญนรกไม่มี มันก็ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก สุดท้ายมันก็โดนเอา ๆ โดนตั้งแต่บาปแต่กรรม โดนแต่นรกนั่น พระพุทธเจ้าพูดสอนโลกสอนให้หลีกมันไม่ยอมหลีก ท่านบอกบาปมี มีแต่กัปไหนกัลป์ใดมา พระพุทธเจ้าไม่เคยลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไม่มีพระองค์ใดลบล้างเลย สอนไว้ตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่กิเลสมันตามลบหมด ๆ

    นี่ละกิเลสตัวเป็นภัยต่อเรานะ ไม่ได้เป็นภัยต่อพระพุทธเจ้า เป็นภัยต่อเราเอง ลบคำสอนพระพุทธเจ้าก็เท่ากับมาลบล้างตัวเองจากความดีทั้งหลายให้เข้าสู่นรก อเวจีนั้นแหละ มันบอกว่านรกไม่มี ๆ ทีนี้ความอยากทำตามใจชอบนั้นมันล้นพ้น มันก็ไปตามความอยากทำ มีตั้งแต่ความชั่วทั้งนั้น นั่นเป็นอย่างนั้น

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เราจะพูดให้ฟังอย่างชัดเจนทีเดียว ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ
    เป็นอรหันต์ไม่อรหันต์ไม่สำคัญ เอาความจริงมาพูด นี่หลักธรรมชาติของจิต
    ท่านจึงเรียก ๒ อย่างว่า
    ผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วเป็นพระอรหันต์นั้นเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน
    ท่านได้นิพพานในเวลายังครองขันธ์อยู่นั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นเป็นนิพพานล้วน ๆ
    เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ ยังรับผิดชอบโดยหลักธรรมชาติอยู่
    ทีนี้ อนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์บรรลัยลงไปแล้ว อันนั้นก็เป็นนิพพานล้วน ๆ เลย
    ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปน ขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่ลมหายใจขาดลงไป ขันธ์ขาดลงไป
    ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกัน หมดความรับผิดชอบ ก็อย่างนั้น

    **

    สาธุฯ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...