ทุกเวลาทุกนาที คือ เวลาของการปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    4A68059B-AD45-4E4E-8B7E-52A198C40509.jpeg

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่าบุคคลที่มุ่งมั่นเพื่อพระนิพพานแล้ว ก็จะเป็นบุคคลที่มุ่งตรงต่อจุดหมายปลายทางเท่านั้น เรื่องที่ต้องทำให้ห่วงหน้าพะวงหลัง หรือว่าเรื่องพะรุงพะรังอะไรทั้งหลายจะไม่เอาเลย จึงเป็นบุคคลที่ทำอะไรได้รวดเร็ว และมักจะเร็วกว่าคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้มุ่งตรงต่อพระนิพพาน

    กระผม/อาตมภาพให้คำจำกัดความว่า พวกเราเป็นคนที่ไม่มีเวลา เพราะว่าทุกเวลาทุกนาทีคือเวลาของการปฏิบัติขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเอง เพื่อที่จะมุ่งไปสู่พระนิพพาน ท่านใดที่ไม่ตรงเวลานั้น แปลว่าเป็นบุคคลที่มีเวลามาก คำว่า มีเวลามากในที่นี้ก็คือต้องเกิดอีกมาก ก็เลยไม่รีบร้อนกับใคร ถ้าคนฟังแล้วเข้าใจก็น่าจะสะดุ้งกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือ ยังคงเอ้อระเหยลอยชายไปตามกำลังใจของตนเอง

    จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างนั้น เราสามารถที่จะทำให้จบสิ้นลงไปได้ในชีวิตนี้ แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นกลับรอ ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ารออะไร ? หรือว่าจะเป็นไปตามวาสนาบารมีที่ตนเองสั่งสมมาก็ไม่ทราบ

    ถ้าหากว่าเป็นการสั่งสมบารมีนั้น กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า เราสามารถที่จะเร่งรัดได้ ถ้าจะยกตัวเองขึ้นมาเป็นตัวอย่างก็คือ สมัยก่อนที่เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ นั้น ถึงแม้จะรู้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมารับสังฆทานที่บ้านสายลมเป็นประจำ แต่ก็เพียงฝากเงินให้พี่ชายไปทำบุญเท่านั้น

    แต่หลังจากนั้นแล้วก็มีความสงสัยว่า หลวงพ่อท่านมาแล้วทำอะไรบ้าง ? ก็เดินทางไปยังบ้านสายลม ร่วมถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ เมื่อเพลแล้วก็เดินทางกลับ เป็นอย่างนี้อยู่ระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว

    หลังจากนั้นก็มีความสงสัยขึ้นมาว่า หลังจากหลวงพ่อท่านฉันเพลแล้ว เขามีอะไรกันตอนช่วงบ่าย ? ก็ได้ทราบว่าช่วงหลังจากหลวงพ่อฉันเพลแล้ว จะมีการฝึกมโนมยิทธิ มีการทบทวนญาณ ๘ ช่วงบ่ายท่านก็ลงรับสังฆทานสงเคราะห์ญาติโยมต่อ ในเมื่อหมดเวลา ๔ โมงเย็นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กลับบ้าน เป็นอย่างนี้อยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเช่นกัน

    หลังจากนั้นก็สงสัยว่าแล้วตอนค่ำเขาทำอะไรกัน ? ก็มีการรออยู่ดู จนกระทั่งทราบว่าเวลาค่ำนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านลงสอนกรรมฐานในรอบพิเศษ ที่เรียกว่าสุกขวิปัสสโกก็ได้ เป็นรอบการเจริญกรรมฐานที่เหมาะสมกับทุกคน เมื่อกระผม/อาตมภาพเจริญกรรมฐานเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับบ้าน

    หลังจากที่เป็นอย่างนี้ในระยะเวลายาว ๆ ก็มาอยู่ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำของวันอาทิตย์ แล้วก็เพิ่มเป็นว่ามาอยู่ตั้งแต่เช้าวันเสาร์ จนถึงค่ำวันอาทิตย์ หลังจากนั้นก็มาตั้งแต่เที่ยงวันศุกร์ จนกระทั่งกลับบ้านหลังจากที่เจริญกรรมฐานรอบค่ำของวันจันทร์แล้ว

    ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า มีความก้าวหน้ามากขึ้นไปตามระยะเวลา ก็คืออยู่ได้นานขึ้น มากขึ้น ฝึกฝนตนเองได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่านับเป็นการเร่งรัดบารมีแล้ว ก็จะเห็นความเข้มข้นของกำลังใจ ที่ค่อย ๆ ขยับขึ้นไปตามลำดับ

    เมื่อท่านทั้งหลายมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติแล้ว ก็แปลว่าท่านทั้งหลายมีโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้ แล้วท่านทั้งหลายยังจะเสียเวลาไปเกิดอีกทำไม ?

    เพราะถ้าพลาดท่าพลาดทางขึ้นมา เราอาจจะต้องลงสู่อบายภูมิก็ได้ แล้วจะทำให้เสียเวลาไปอีกนับชาติไม่ถ้วน เพราะว่าเราเคยสร้างกรรมเอาไว้มาก ถ้าลงสู่อบายภูมิเมื่อไร ก็โดนคิดทั้งต้นทั้งดอก กว่าที่จะได้เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ กว่าจะได้พบพระพุทธศาสนา ก็ไม่ทราบว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวไกลเท่าไร..!?

    ทุกชาติที่เกิด เราก็ต้องพบแต่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้เช่นกัน แล้วเหตุใดเราถึงไม่พยายามเร่งรัดตนเอง เพื่อที่จะไม่ให้จุดหมายปลายทางของเราสิ้นสุดลงในชาตินี้

    ต่อให้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างที่ตั้งใจ ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจเร่งรัดในการปฏิบัติอย่างเต็มที่ อย่างน้อย ๆ หนทางในการที่เดินอยู่ในวัฏสงสารของเรา ก็จะหดสั้นลงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...