ถาม-ตอบปัญหาผู้ปฏิบัติธรรม หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 18 พฤษภาคม 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถาม-ตอบปัญหาผู้ปฏิบัติธรรม


    หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ


    ถาม เมื่อเราเห็นความคิด และสมุฎฐานของความคิดแล้ว ความทุกข์ ความตึงเครียด ความทุกข์กดดันทั้งหลายจะจบสิ้นลงหรือเปล่า


    ตอบ ยังไม่จบสิ้น เพราะว่าเรารู้ ยังไม่ได้ทำอะไรกับมัน เราเพียงรู้ เพียงเห็นความคิด เรากำลังรู้สมุฏฐานของความคิดเท่านั้น บางขณะเราหลงบ้าง คือวันหนึ่งเราจะรู้เพียงสักสิบครั้ง แต่เราไม่รู้อาจมากกว่านั้น จึงว่ามันไม่ถึงที่สุด แต่มันกำลังเริ่มเข้าไปทำลายมันแล้วถาม ขอถามหลวงพ่อว่า ในช่วงที่หลวงพ่อปฏิบัติ ก่อนหน้าจะมีที่สุดมีช่วงไหนบ้างไหมที่หลวงพ่อเกิดความสงสัยขึ้นมา และมีเครื่องหมายอะไรหรือเครื่องหมายรับประกันอะไรที่ทำให้หลวงพ่อสิ้นสงสัยว่า ไม่ใช่โมหะ โมหะไม่เหลืออยู่เลยตอบ มันต้องมีเครื่องหมาย ไม่ใช่เครื่องหมายที่เราจะมองเห็นด้วยตา เครื่องหมายที่เราเห็นด้วยตัวเราเอง เราไม่หลง เราไม่มี แต่ของที่มีอยู่แล้วมันถูกคว่ำ เราเปิดขึ้นมาได้แล้ว ของถูกเปิด เครื่องหมายไม่ได้มีอย่างที่เราจะมองเห็นได้ด้วยตา เครื่องหมายที่ข้าพเจ้ารับรองได้คือ ของชิ้นนี้มันถูกคว่ำหน้าอยู่อย่างนี้ เราจับของชิ้นนี้เปิดขึ้นได้อย่างนี้ และอุปมาอีกอย่างหนึ่ง ของอันนี้มันถูกปิดอย่างนี้ เราเปิดมัน เปิดออกให้เราเห็นอย่างนี้ อันนี้จะรู้ได้เฉพาะบุคคลที่เข้าไปในจุดนี้ จะหมดสงสัยทันที ไม่ต้องพูดถึง โทสะ โมหะ โลภะ เรื่องนี้ เรื่องโทสะ เรื่องโมหะ โลภะ มันเป็นเรื่องตื้น ๆ ที่ว่าเห็นความคิดนั้น คนส่วนมากรู้ความคิด ไม่ใช่เห็นความคิด เมื่อเรารู้ความคิด ความคิดมันพุ่งออกไป พุ่งออกไปเราก็หลงความคิด หลงความคิด ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันเกิดขึ้นที่ตรงนี้ อันนี้สิว่าคนใดรู้ความคิดนั้น ยังมีความโกรธ ความโลภ ความหลง แต่รู้


    ถาม เห็นความคิดนั้น ที่เห็น จิตมันพูดข้างในหรือเปล่า


    ตอบ ไม่ใช่จิตมันพูดแล้ว พอดีเห็น สมมุติให้ฟังเรารู้ความคิดเหมือนปลิงมาเกาะเรา เราดึงปลิงออกจากเนื้อเรา รู้ความคิดคือเราจับความคิด เราติดตามความคิด ถ้าเราเห็นจริง ๆ แล้ว เราไม่ต้องจับปลิง เพียงเอาน้ำยากับปูน บีบใส่เนื้อเราราดปลิง ปลิงมันหลุดออกไปจากเรา นี้เป็นการพูดให้ฟัง ถ้าเรารู้จริง ๆ แล้ว ใครพูดให้ฟังไม่ได้เหมือนกับพวกเรานั่งอยู่ขณะนี้ นี่เพราะความโกรธความโลภไม่มี มีแต่ความหลงเท่านั้น เราไม่เห็นชีวิต เมื่อเราเห็นเรารู้ชีวิตเราอยู่ทุกเวลา ความโกรธ ความโลภ ความหลงเกิดขึ้นไม่ได้ นั่นแหละคือจิตใจสะอาด ตัวชีวิตของเรา มันไม่ได้สกปรก จึงบอกเครื่องหมายไม่มี คนอื่นมองไม่เห็น เรารู้เองเห็นเอง


    ถาม ตามที่หลวงพ่อได้เทศนาว่า เมื่อเราเห็นความคิด ความคิดจะหยุดคิด หยุดคิดอันนี้ผมไม่แน่ใจ ถ้าอันนี้จริงก็จะถามว่า ตอนที่เราเห็นความคิดแล้วความคิดมันหยุด เรารู้หรือไม่ว่า ความคิดอันต่อไปคืออะไร


    ตอบ อย่าไปสนใจเรื่องความคิดต่อไปไม่ต้องสนใจ เพียงเราเห็นความคิดมันคิดแล้วมันหยุดเอง อย่าไปสนใจว่าความคิดแบบนี้มาจากไหน อย่าไปสนใจเรื่องนั้น เมื่อเราเห็นอย่างนั้น ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันเกิดขึ้นไม่ได้


    ถาม ที่หลวงพ่อสอนว่าดูความคิด เห็นความคิด ดูความคิด ใครเป็นคนเห็นความคิด


    ตอบ อย่าไปเสาะหาคน คือ ตนจะเห็นว่าตนเป็นที่พึ่งของตน และจะพึ่งได้จริง ๆ จะว่าตัวคนรู้ก็ได้ หรือจะว่าสติปัญญารู้ก็ได้ จะว่าอย่างไรก็ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนจับมาให้เห็น เพราะว่า ตัวเห็น กับ ตัวรู้ มันคนละตัวกัน ตัวรู้มันเข้าไปในความคิด คิดเป็นเรื่องเป็นราวไป


    ถาม จากการฟังหลวงพ่อเล่า เกิดรู้สึกว่า ความคิดและอารมณ์ ดีใจ เสียใจ เป็นสิ่งนอกตัว ซึ่งเปรียบเสมือนขนมปังกับเนย ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์ได้ เรากินได้ เราเห็นมันได้ แต่ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในตัวเรา เราไม่สามารถเห็นมันได้เลยทั้งความคิด และทั้งความดีใจเสียใจ ไม่ใช่คำถามแต่ต้องการให้หลวงพ่อชี้แจงให้กระจ่างใจ


    ตอบ การที่เราเห็นความคิดกับรู้ความคิด เห็นความคิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รู้ความคิดมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การเห็นนี่เราสามารถเอาออกจากกันได้ การรู้นี่มันติด การรู้จึงเป็นความรู้ ขั้นอวิชชา ความรู้ของคนไม่มีปัญญา ความรู้ของคนที่มีปัญญา รู้กับเห็นแยกกันได้ เป็นวิชชา เป็นปัญญา ตัวปัญญากับตัววิชชา จะแยกความคิดออกจากกัน อันนั้นคือที่สุดของทุกข์ ผู้มีปัญญาจึงรู้อย่างนี้ แต่ทุกคนอยู่ในที่นี้ ข้าพเจ้าขอรับรองว่าทำได้ทุกคน ถ้าลองปฏิบัติเอง การพูดให้ฟังไม่สามารถจะรู้ได้ มันเป็นเพียงรู้จำ รู้จัก ถ้าเราปฏิบัติ มันเป็นการรู้แจ้ง รู้จริง เป็นความรู้ของเราเอง เราจึงพูดกันว่าพุทโธ แปลว่าเห็น แปลว่าแก้ไข ออกจากกันได้


    ถาม จากคำถามที่ว่ามีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอะไรไหมที่คนรู้ความจริงแล้ว ที่จะรู้ชัดแจ้งแล้วมีหลักประกันไหมว่ารู้แล้วจะไม่หายไปอีก ซึ่งอยากเข้าใจให้กระจ่างว่า เมื่อรู้แล้ว รู้ตลอดเวลาหรือว่าหายไปเลย


    ตอบ ของมันมีอยู่ในตัวเรา มันหายไปไม่ได้ สมมุติว่าเรารู้ลูกตาของเรา ตาเราเรามีไหม มันต้องมีอยู่ตลอดเวลา คือสัญลักษณ์อันนี้เราจะแสดงว่าทุกคนมีอย่างนี้ และก็สอนคนได้ ที่ข้าพเจ้าพูดนี้นั้น ขอพูดตรง ๆ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ทุกคนอยู่ในที่นี้ ปฏิบัติอย่างนี้ไม่เกินสามปี การให้ศีลให้พร มันก็เป็นความดีชนิดหนึ่ง การให้ศีลให้พรที่ข้าพเจ้าพูดนี้ อยากให้พวกท่านทุกคนนำวิธีความรู้สึกตัว ความตื่นตัวไปปฏิบัติที่บ้านที่เรือน สำนักงาน ทุกอิริยาบถนั่นแหละ คือ การให้ศีลให้พร อย่างแท้จริง การให้ศีล ให้พร คือเรารู้เองเห็นเอง เข้าใจเอง เป็นศีลของเรา เป็นพรของเรา คือ เราเคารพตัวเอง


    ถาม หลวงพ่อสอนว่า เมื่อตอนที่เดินเข้าห้องน้ำ ให้เฝ้าดูความคิดของตัวเอง จะให้ดูความเคลื่อนไหวของเท้า หรือว่าดูความคิด?


    ตอบ ความคิด มันเกิดขึ้นมา ขณะที่เราไม่ได้สนใจมันนั่นแหละ มันจะเกิดขึ้นมา เราจะเห็น จะรู้เข้าใจ ที่เรากำลังจ้องมัน มันจะไม่รู้ มันจะไม่คิด เราทำอย่างเฉย ๆ มันจะคิดวูบขึ้นมา พูดเรื่องสมาธิ สมาธิความรู้สึกตัวอยู่นะ กำลังรู้สึกตัวนั้นเป็นสมาธิ มันคิดวูบขึ้นมาเราเห็นความคิดนั่นแหละตัวสมาธิ


    ถาม ก่อนหน้านั่งสงบเฝ้าดูความคิด พอเดินเข้าห้องน้ำ แล้วจะดูความคิด? เราควรจะหยุดหรืออย่างไร? เมื่อความคิดเกิดขึ้นควรจะหยุดดูหรืออย่างไร?


    ตอบ ไม่ต้องหยุดอย่างนั้น คือทำความรู้สึกตัว เมื่อเรารู้สึกตัวนั่นแหละเป็นสมาธิเราตั้งใจมั่น มันเคลื่อนไหวอะไร รู้ความคิดชนิดที่เราไม่เจตนา มันจะคิดวูบขึ้นมาเอง ความคิดวูบขึ้นมาเราไม่เห็น เราก็เลยตามมันไป ความคิดชนิดนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ ดังนั้นจึงสอนให้รู้จักสมุฏฐานของความทุกข์ ตามปกติจิตใจของเราเฉย ๆ อย่างนั้น เฉย ๆ อย่างนี้ มันคิดมันก็คิดอย่างไม่ทุกข์ เราก็รู้ว่ามันคิดอย่างไม่มีทุกข์ ความคิดชนิดที่มันคิดขึ้นมาเราไม่เห็น เราทำไปกับความคิดอันนั้นมันเป็นตัวทุกข์ การเห็นความคิดมันจึงเป็นการยากสำหรับคนไม่เข้าใจ มันสะดวกสบายสำหรับความที่เข้าใจ ดูความคิด มันไม่เกี่ยวข้องกับการงานเรื่องอย่างอื่น การดูความคิด คือเราเขียนหนังสือ มือเราเขียนหนังสือ มันคิดขึ้นมาเราก็รู้ เราเข้าห้องน้ำ เราเดินเข้าห้องน้ำ เรากำลังล้างน้ำ มันคิดขึ้นมาเราก็รู้ จึงไม่ต้องไปทำอะไรกับความสงบ เพราะความสงบมันมีอยู่แล้ว ความสงบที่แท้จริงคือ เราเห็นความคิดนั่นเอง


    ถาม เมื่อตอนที่เรานอนหลับ กับตอนตื่น ที่เราเฝ้าดูความคิด มันเป็นอันเดียวกันไหม?


    ตอบ ไม่ใช่ การนอนหลับ มันคนละอันคือ นอนหลับนั้นมันเป็นภาษาที่หลับหรือเราเฝ้าดูความคิด เราไปไหนมาไหน มันคิดขึ้นมาเรารู้ บัดนี้เรานอนตอนกลางคืน เมื่อจะคิดเราก็รู้


    ถาม มันเป็นอันเดียวกันไหมครับ ที่รู้อันนั้นครับ?


    ตอบ อันเดียวกัน แต่เมื่อเราไม่รู้ความคิด เราเดินไป กลางวันคิดไป อันนั้น อันนี้ไป เราก็ไม่รู้ บัดนี้กลางคืนเราไปนอน มันฝันไปเป็นเรื่องเป็นราวเราก็ไม่รู้ มันก็ฝันไปเป็นเรื่องเป็นราวตามความฝัน อันนี้ชื่อว่าสมาธิ


    ถาม คือว่ายังงงอยู่ครับว่า ให้ดูความคิด หรือว่าดูตัวเองกันแน่ครับ?


    ตอบ คืออันเดียวกันก็ได้ หรือดูความคิดก็ได้ คือเรารู้สึกตัวอยู่นั่นแหละ


    ถาม อยากให้หลวงพ่อ อธิบายเรื่อง รู้ความคิด กับเห็นความคิดว่ามันต่างกันอย่างไรครับ?


    ตอบ การรู้ความคิดคือมันรู้แล้วมันเข้าไปในความคิด มันคิดเป็นเรื่องเป็นราวสร้างบ้านสร้างเรือน มันสร้างถนนหนทาง คิดอันนั้นอันคิดไปไม่มีหยุดเรียกว่า รู้ความคิด แต่การเห็นความคิด พอมันคิดปุ๊บ มันไม่ปรุงเลย มันหยุดทันที ทำตัวนี้แหละ ทำบ่อย ๆ มันจะมีญาณปัญญาอยู่กับตัวนี้ ที่มันคิดไปเป็นเรื่องเป็นราวนั้น มันไม่ใช่เป็นญาณของปัญญา ปัญญาอันนั้นไม่มีญาณ


    ถาม ถ้าเราเฝ้าดูการเคลื่อนไหว ความคิดเกิดจะรู้ได้อย่างไร?


    ตอบ อันนี้ก็ดี การเล่าให้ฟัง พูดให้ฟัง แต่ถ้าหากอยากจะรู้ก็ต้องทำเอง


    ถาม ขอถามหลวงพ่อว่า ถ้าเราค้นพบความสงบ ก็คือ ค้นพบตัวเราเอง ใช่หรือไม่?


    ตอบ ใช่


    ถาม ถ้าเราพบความสงบในตัวเราเองแล้ว ทำอย่างไร ถึงจะให้มันอยู่ตลอดเวลา?


    ตอบ มันอยู่ตลอดเวลา ที่มันไม่อยู่ตลอดเวลา อันนั้นมันไม่ใช่ความสงบ


    ถาม ถ้าอย่างนั้น ความสงบ หมายถึงความที่ อาการทางจิตที่ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งใช่ไหม?


    ตอบ ไม่ใช่ อันนั้นมันไม่ใช่ความสงบ มันมาตลอดเวลา จิตมันเป็นมายา ความสงบ สมมุติให้ฟังอย่างนี้ อันนี้มันเป็นความสงบอยู่แล้วนี้ ที่เราแตะมัน มันไม่สงบแล้วนี้ อันนี้มันไม่เป็น อยู่ตลอดเวลา มันไม่เป็นอยู่ นิ่งตลอดเวลา มันเป็นปุ๊บ มันหลบไปเลย


    ถาม เพราะเหตุที่คนเรามีกรรม ฉะนั้น ทำอย่างไรจึงจะให้สงบอยู่ได้ เพราะว่ากรรมมักรบกวน?


    ตอบ ไม่ใช่อย่างนั้น เราคิดขึ้นมาเอง กรรม หมายถึง การกระทำ ไม่ใช่กรรมเพราะเจ้าทำมาแต่ชาติแล้วชาติก่อน


    ถาม ถ้าไม่คิดเกี่ยวกับกรรมแล้ว ก็ไม่มีกรรมเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ?


    ตอบ ก็นั่นนะซี่ อย่าไปคิด


    ถาม ทำไมคนแสวงหาสิ่งเดียวกัน แต่ทำไมจึงมีความคิดมากมายหลายอย่าง?


    ตอบ อันนี้เพราะมันมีการสอน มันหลายคนสอน หลายคนได้ยินคนมันพูด คนนี้ก็มาพูดไป ประเดี๋ยวก็อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วก็อ่านหนังสือเล่มนั้น อ่านมากก็เลยจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้เป็นทุกข์ การทำความสงบแบบนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการไปเรียนหนังสือมาก ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเรามีเงินมาก ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมดเลย อันที่เราหาความสงบมาก ๆ เราไปดูหนังสือเล่มนั้นต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ไปฟังอาจารย์นั้น ต้องทำแบบนั้น อันนั้นไม่ใช่หาความสงบหาความรู้ หาความรู้เพื่อมาสนทนากับพรรคพวกเท่านั้นเอง เลยไม่ได้รับรสความสงบ


    ถาม เมื่อศุกร์ที่แล้ว หลวงพ่อบอกว่า ดีใจและเสียใจคืออันเดียวกัน ข้าพเจ้าสงสัยว่าเป็นอันเดียวกันอย่างไร?


    ตอบ คำว่า อันเดียวกัน มันเป็นทุกข์ จัดเป็นทุกข์อันเดียวกันทั้งนี้ ดีใจก็ทุกข์อย่างหนึ่ง เสียใจเป็นทุกข์อย่างหนึ่ง จัดเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ถ้าจะพูดให้มันยาวก็ทุกข์ มีเงิน มีทอง มันก็ดีใจ-ทุกข์ ได้ของดี ๆ มันก็ดีใจ นั่นก็เป็นทุกข์แบบหนึ่ง เขาเรียกว่ามืดสีขาวกับมืดสีดำ ความจริงมืดอันเดียวกัน มืดสีขาวก็เพราะไม่รู้ มืดสีดำก็เพราะไม่รู้ เลยจัดเป็นทุกข์ อันเดียวกัน ทั้งสองทาง

    ถาม อย่างนั้นขอถามว่า ถ้างั้นโดยความจริงแท้ ไม่มีดีใจและเสียใจ ที่มีเพราะว่า มันเป็นมายาใช่ไหมครับ?


    ตอบ เท่านั้นเอง


    ถาม ที่หลวงพ่อกล่าวว่า ทุกชนิดของความดีใจเป็นทุกข์หมด หรือมีความดีใจบางชนิดไม่เป็นทุกข์ มีไหม เช่นความรักของสามี ภรรยา?


    ตอบ ทุกข์ทั้งนั้น


    ถาม มีบางอย่างที่หลวงพ่อบอกว่าร่าเริงในธรรม จะขอถามว่า บางทีเราดูแสงแดดก็มักวาบสบายโล่ง?


    ตอบ อันนั้น ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ดีใจ ไม่ใช่เสียใจ เฉย ๆ แต่มีความร่าเริง ร่าเริง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เฉย ๆ อยู่อย่างนั้น


    ถาม อยากให้หลวงพ่ออธิบายที่เรียกว่า ความรัก เรื่องผู้หญิงผู้ชาย คือ กำลังจะแต่งงาน?


    ตอบ คือ คนไม่รู้จักทุกข์ ต้องเข้าไปหาทุกข์ ให้ทุกข์สอนเอง


    ถาม ตอนที่เราเห็นความคิด ความคิดก็หยุด ดังนั้นการเห็นการรู้พระไตรลักษณ์ คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นตอนไหน เห็นตอนที่เห็นความคิด หรือตอนก่อนหน้าหรือตอนที่คิดเอา?


    ตอบ อันนั้นไม่ใช่เห็นด้วยญาณปัญญา คือเห็นด้วยความคิด รู้จำรู้จักไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง ต่อเมื่อรู้แจ้งรู้จริงแล้ว จะไม่ถามใครทั้งหมดเลย


    ถาม เกี่ยวกับเจตนาที่จะทำอะไร ทำกรรม ใครคนใดคนหนึ่งว่าเรา อะไรไม่ดีก็จะตีเขา คือการตั้งใจ?


    ตอบ ทำชั่วผิดทั้งนั้น คือ เราไม่เห็นมนุษย์ คือ เรายังไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ คนเจตนาตีคน เจตนาฆ่าคน อันนั้นไม่ใช่มนุษย์ รู้จักแต่เพียงสมมุติ ไม่รู้จักปรมัตถ์ ไม่รู้จักอรรถ ไม่รู้จักอริยะคือ คนเกิดเพียงคน ไม่ใช่มนุษย์ เกิดขึ้นเป็นคน เมื่อมาเป็นสภาพสภาวะของคน เป็นคนทุกคน แล้วอันนั้นเรียกว่า เขากับเราเป็นคนเดียวกัน คือเป็นมนุษย์ บัดนี้ เมื่อเราเห็น สภาพสภาวะ ความทุกข์ และสุขของทุกคน เราจะไม่ต้องการให้ใครเป็นทุกข์ เราจะช่วยกันให้ได้อยู่ดัวยกัน ไม่มีทุกข์ อันนั้นเรียกว่า ความเป็นอริยะบุคคล เรียกว่า คนกับปุถุชนจึงไม่เหมือนกัน คน ปุถุชน มนุษย์และอริยะบุคคล เรียกว่า สมมุติบัญญัติ ปรมัตถบัญญัติ อรรถบัญญัติ อริยะบัญญัติ บัญญัติคือข้อ เราไปรู้เพียงสมมุติเท่านั้นเองสมมุติออกไม่ได้


    ถาม เขาคิดว่าการที่คนเรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพียงสัมพันธ์กับผู้อื่นทางจริยธรรมหรือทางคุณงามความดี เช่น สมมุติว่าคิดไม่ดีกับผู้อื่น เมื่อคิดแล้วก็หยุด ขอความเห็นหลวงพ่อเรื่องนี้?


    ตอบ คือตอนนี้มาพูดกันอย่างนี้ คือมีสมมุติบัญญัติ แล้วก็มีปรมัตถบัญญัติ แล้วก็มีอรรถบัญญัติ แล้วก็มีอริยบัญญัติ คนเกิดขึ้นมามีหน้ามีตาเป็นคน จิตใจบางทีเป็นสัตว์ก็ได้ เป็นคนก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ เป็นพระอริยะบุคคลก็ได้ แต่ในคนคนเดียวนั้น


    ถาม เมื่อผมจะให้เงินขอทาน ผู้รู้ความคิดที่จะให้นั้น ผมเห็นความคิดที่จะให้นั้น เรียกว่า ปัญญาไหม?


    ตอบ นี้ไม่เรียกปัญญา เรียกว่า รู้จำ คืออย่างนี้ ทุกลัทธิ ทุกศาสนา สอนให้คนเป็นพระ ไม่ใช่สอนให้เราไปโต้เถียง คือสอนให้ดูจิตดูใจของเราว่า เราจะพูดอะไรมาจากใจ ดังนั้น จึงว่าทุกคนมีใจ ก่อนจะทำก่อนจะพูด มาดูใจเรา ตัวจิตใจ ตัวชีวิตจริง ๆ นั้น มันไม่เกลียดใคร ไม่ได้รักใคร ที่มันเกลียดมันรักนั้น พระทั้งหลายจะเป็นพระเยซูก็ตาม จะเป็นพุทธศาสนาก็ตาม เป็นใคร ๆ ก็ตาม ท่านว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้วท่านจึงสอนให้ดูใจขั้นต้นคือ ทำลายโทสะ โลภะ เมื่อทำลาย โทสะ โลภะ โมหะ แล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยังมีอยู่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ บริสุทธิ์มีอยู่ ไม่มีทุกข์ ท่านยังให้มองดูต่อไป มันจะเห็นกิเลส กิเลสคือ ดีใจ เสียใจ พูดอย่างนี้ กิเลส คือเราชอบอันนี้ เอานี้ให้คน ไม่ใช่ว่าไม่เป็นกิเลส คือเราชอบคนเราให้ เป็นให้ด้วยกิเลส ไม่ได้เอาให้เฉย ๆ พระคือความเฉย ๆ พระแปลว่า ผู้สอนให้เขาเห็นกันเฉย ๆ


    ถาม ในการให้มักจะโยงถึงเรื่องความเมตตา กรุณา ถ้างั้น ความกรุณาอยู่ตรงไหน เมตตา อยู่ที่ตรงไหนครับ?


    ตอบ มันเป็นความหมายที่พูดมันไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นสังคม


    ถาม ถ้าเราไม่มีความเมตตา กรุณาเสียแล้ว จะเอาแรงที่ไหนมาทำความงาม ความดีให้เพื่อน?


    ตอบ อันนี้เป็นชั้นต้น ๆ พื้นฐานการสร้างคุณธรรมของโลก


    ถาม ถ้าอย่างนั้นในกรณีที่หลวงพ่อ พยายามจะช่วยพวกเราให้เข้าใจให้พ้นทุกข์ มันไม่ใช่ความเมตตากรุณาของหลวงพ่อหรือครับ?


    ตอบ ไม่ใช่เมตตา คือจะเอาได้ก็ให้ ไม่ได้ก็แล้วไป คือเราไม่ได้เจตนาว่าคนนั้นไม่ได้จะเสียใจ คนนั้นไม่ได้จะดีใจ สมมุติให้ฟัง สมมุติคนตกน้ำ เราไปเห็นคนตกน้ำ เรามาติดสงสาร เรากระโดดจะช่วยเลยโดยไม่คิดอะไร เราก็โดดไปช่วยเฉย ๆ ทดลองถ้าเราเห็นคนตกน้ำ เรากระโดดไปช่วยเลยไม่คิดอะไร


    ถาม การที่คนคนนั้นเห็นคนตกน้ำ แล้วกระโจนลงไปช่วยทันทีนั้น มันเป็นผลของสังคม ถูกสอนให้เมตตา หรือว่าธรรมชาติของเขา?


    ตอบ มันเป็นธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าใคร ๆ ทั้งสิ้น เรียกว่า มาดูใจเรา สอนให้ดูใจ ขณะที่เรากระโจนไปช่วยคน เราไม่ได้ดูใจ แต่มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ตัวความปกติของคนมันมีอยู่ แต่เราไม่เคยมาดูที่ตรงนี้ เลยวิ่งไปหาทางอื่น ก็เลยไม่ได้รับความสงบ


    คัดลอกจาก ประตูธรรม

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_thien/lp-thien_12.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2012
  2. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมครับ

    ขออนุโมทนาสาธุ :cool:
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,470
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,125
    ค่าพลัง:
    +70,477
     

แชร์หน้านี้

Loading...