ตามหาเรื่องราว EBE

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย allfornine, 29 มีนาคม 2011.

  1. allfornine

    allfornine Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +38
    สัวสดีเพื่อนๆทุกคนที่เคารพรักในบอร์ด พลังจิต นะครับ
    ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง เลยละกันนะครับ

    คือผมอยากรู้เรื่องราวของ EBE อ่าครับ
    มีเพื่อนคนนึง เขาได้โพสกระทู้เรื่องราวของการพบ ยานที่ด้านมืดของดวงจันทร์
    และได้เจอกับซากศพของสิ่งมีชิวต 2ศพ มีชื่อว่า EBE (แต่อีกคนผมจำชื่อไม่ได้ครับ) แล้วในข้อความที่เพื่อนได้โพสไว้ เขาบอกว่า เกี่ยวข้องกับโมนาริซ่า
    ผมจึงอยากทราบว่า ตอนนี้ ข้อมูลเรื่องนี้ มีมาหรือยังครับ หรือถ้าหากมีแล้ว ขอเพื่อนๆในเวปพลังจิต ช่วยแป่ะโพสมาหน่อยนะครับ เดี๋ยวนี้ผม ไม่ค่อยได้เข้ามาในบอร์ดเลยครับ

    ขอขอบคุณเพื่อนๆพลังจิตทุกคนเลยครับ ที่นำเรื่องราวลึกลับ ดีๆ มาให้ผมได้อ่าน ขอบคุณจากใจครับ ^^
     
  2. EBE

    EBE สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +2
    กู้ซากโมนาลิซ่า​

    เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่ถูกค้นพบในโครงการอพอลโล่ ในองค์กร NASA ของสหรัฐอเมริกา แต่ถูกปิดข่าวมาโดยตลอด ด้วยความร่วมมือจากสหภาพโซเวียสด้วย ส่วนจะจริงเท็จยังไงนั้นคงยากที่จะพิสูจน์ยืนยันอย่างแจ้งชัด แต่ถ้าเป็นความจริงก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญในการค้นพบสิ่งที่เรียกกันว่า EBE (Extraterrestrial Biological Entities) อย่างชัดแจ้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งจะเป็นการยืนยันการมีอยู่จริงของสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่มีภูมิปัญญา ไม่ใช่มีเพียงลำพังพวกเราชาวมนุษย์โลกในระบบสุริยะจักรวาลนี้เท่านั้น

    เรื่องของ EBE นี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่งในแวดวง UFO โดยอาจแปลได้ว่าเป็น สิ่งมีชีวิตทางชีววิทยาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีภูมิปัญญาสูง ดังนั้นการค้นพบหลักฐานของ EBE จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยสำหรับผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับ UFO ดังกล่าว โดยเหตุการณ์การค้นพบ EBE ครั้งแรกนี้ เกิดขึ้นในราวๆ ยุค 70 ซึ่งเป็นช่วงที่ NASA ยังดำเนินภารกิจในโครงการอะพอลโล่อยู่ โดยจะอยู่ประมาณอพอลโล่ 15-20 ซึ่งได้มีการเก็บเรื่องเงียบไว้ กระทั่งถูกนำมาเปิดเผยอีกครั้ง เมื่อราวๆ เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.2008 นี้เอง

    โดยบุคคลวงใน (ที่อ้างว่าเป็นนักบินอวกาศนอกสำรวจ) ซึ่งได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปสำรวจยานอวกาศยักษ์ที่อับปางอยู่บนดวงจันทร์ และเป็นสถานที่พบซากร่างของ EBE ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ โดยมีหลักฐานเป็นภาพที่ถ่ายทำด้วยฟิลม์ 16 มม. ซึ่งมีฉากหลังอยู่บนยานลูนาร์โมดูลที่พวกเขาใช้เดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ในครั้งนั้น โดยในฟิล์มดังกล่าวนั้นได้พบซากร่างของสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับมนุษย์เพศหญิง แม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ก็มีอวัยวะบ่งบอกเพศหลายอย่างที่ชัดเจน อาทิเช่น ทรวงอกที่คล้ายกับมนุษย์เพศหญิงในโลกของเรา

    สภาพของ EBE ในตอนแรกที่ถูกค้นพบ ปรากฏว่ามีร่องรอยของการทำพิธีกรรมางอย่างไว้โดยใช้เศษกระดูกมาติดตามตำแหน่งสำคัญบนใบหน้า ตั้งแต่ปาก ตาทั้งสอง โดยเฉพาะจุดที่กลางหน้าผาก ซึ่งตามคติของหลายอารยธรรมในโลกเราก็ล้วนถือว่า เป็นตำแหน่งสำคัญ ที่หมายถึงตาที่สาม หรือจักระสำคัญที่เชื่อมโยงต่อประสาทสัมผัสพิเศษ ภาพถัดมาเป็นสภาพของ EBE หลังจากที่นักบินอวกาศได้ทำการถอดเอากระดูกเหล่านั้นออกไปแล้ว ส่วนภาพสุดท้ายทางขวามือสุดนั้น เป็นภาพของแผ่นคล้ายกระดาษ ที่จารึกข้อความด้วยตัวอักษรประหลาดที่ยังไม่สามารถถอดความได้ ซึ่งถูกพบอยู่ใกล้กับซากร่างดังกล่าวด้วย

    ผู้เปิดเผยเรื่องราว

    สำหรับคนที่นำเรื่องราวนี้มาเปิดเผยนั้นมีชื่อว่า William Rutledge ซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตนักบินอวากาศที่เป็นลูกเรือของอพอลโล่ 20 และได้ร่วมไปในการสำรวจดวงจันทร์ดังกล่าวในปี 1976 โดย Rutledge ได้ให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขา ที่มีนักบินอวกาศสัญชาติรัสเซียชื่อ Lexei Leonov ได้ลงจอดที่ดวงจันทร์ด้วยยาน Lunar Module ของรัสเซีย ใกล้ยานอวกาศต่างดาวยักษ์ (ซึ่งเราจะพูดถึงกันต่อไป) และได้เข้าไปสำรวจภายในยานลำนั้น ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้ค้นพบและเก็บกู้สิ่งของแปลกประหลาดออกมาหลายรายการด้วยกัน รวมทั้งซากของร่าง EBE ที่เชื่อว่าเป็นนักบินของยานดังกล่าวถึงสองคนด้วยกัน

    Rutledge เล่าว่า "หนึ่งในนั้นยังอยู่ในสภาพดีและเป็นเพศหญิง ขณะที่อีกร่างหนึ่งนั้นเสียหายและเสี่อมสภาพไปมาก และเราได้มาเพียงส่วนศีรษะเท่านั้น ส่วนร่างเพศหญิงที่ยังค่อนข้างสมบูรณ์แบบนี้ เราได้เรียกเธอว่า Mona Lisa" และ Rutledge ได้เล่าย้อนไปว่า "พวกเราได้เข้าไปข้างในยานอวกาศขนาดใหญ่ เพื่อสำรวจภายใน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ที่เป็นส่วนสำคัญของการสำรวจ มันเป็นยานแม่ที่ดูเก่ามาก ราวกับข้ามจักรวาลมาแล้ว ไม่น้อยกว่าพันล้านปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว"

    "ในนั้นมีสัญญาณหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางชีววิทยา สภาพภายในโดยรวมยังค่อนข้างคงสภาพเดิม มีพืชอยู่ในส่วนของบริเวณชิ้นส่วนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นมอเตอร์สักอย่างหนึ่ง มันมีหินรูปสามเหลี่ยมประหลาด ที่สามารถปล่อยของเหลวออกมาคล้ายน้ำตา เป็นของเหลวสีเหลืองที่เราเชื่อว่าน่าจะมีคุณสมบัติพิเศษทางการแพทย์บางอย่าง นอกจากนั้นเรายังพบว่า มีสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ที่น่าจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเราได้พบชิ้นส่วนของพวกมันยาวประมาณ 10 เซนติเมตร อยู่ในระบบของหลอดแก้วตลอดทั่วทั้งยาน แต่การค้นพบที่สำคัญสุดก็คงหนีไม่พ้นร่างทั้งสองนี้"

    William Rutledge และการส่งยานอพอลโล่ 20 ขึ้นจากฐานส่งที่ Vandenberg ของฐานทัพอากาศในแคลิฟอร์เนีย ด้วยจรวด saturne 5 โดย Rutledge ได้ให้สัมภาษณ์ต่อว่า "ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ตั้งชื่อให้กับสาวต่างดาวคนนี้ เธอเป็น EBE Humanoid ที่สมบูรณ์ไม่บุบสลาย สูง 1.65 เมตร มีอวัยวะสืบพันธุ์ ผม มือและเท้ามีนิ้วข้างละหกนิ้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คณิตศาสตร์ของพวกเขาอาจจะเป็นระบบเลขฐาน 12 ในส่วนหน้าของนักบิน มีอุปกรณ์การนำทาง ที่น่าจะใช้นิ้วมือและตาควบคุม ไม่มีเสื้อผ้า เราต้องทำการตัดท่อสองสายที่เชื่อมต่อกับจมูกของเธอออก แต่ปรากฎว่าเธอไม่มีรูจมูก Leonov ได้ทำการเปิดอุปกรณ์ที่ตาออก มีส่วนผสมของเลือดหรือของเหลวทางชีวภาพที่เย็นประทุขึ้นจากปาก จมูก ตา และบางส่วนของร่างกาย"

    "ซึ่งมีหลายส่วนอยู่ในสภาพดีจนผิดปกติ โดยเฉพาะผมและผิว จะถูกเคลือบไว้ด้วยชั้นวัสดุที่โปร่งใสป้องกันอยู่ ในขณะที่เราแจ้งภารกิจนี้ไปที่ศูนย์ควบคุม เธอยังอยู่สภาพที่เหมือนตายและไม่ตาย (not dead not alive) ในขณะเดียวกัน เราไม่เคยมีภูมิหลังหรือประสบการณ์ทางการแพทย์กันมาก่อน พวกเราจึงได้แต่ใช้ อุปกรณ์ต่างๆ ด้าน bio เพื่อทดสอบดูกับ EBE ตามคำแนะนำจากศัลยแพทย์ที่ชำนาญงานของศูนย์อำนวยการ ผลการทดสอบแจ้งว่าเป็นบวก (positve) คือ เธอยังมีชีวิตอยู่ สำหรับซากร่างที่สองที่เสียหายมากนั้น เราได้ส่งภาพศีรษะเขาไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่โลกดู เขามีสีผิวเป็นสีเทาอมฟ้า ผิวมีรายละเอียดบางอย่างแปลกตา โดยเฉพาะที่ด้านบนของตาและด้านหน้ามีสายรัดรอบหัว ที่มีคำจารึกไว้ด้วย เหมือนกับภายในห้องนักบิน ที่เต็มไปด้วยข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจง และมีหลอดใสกึ่งหกเหลี่ยมยาวเต็มไปหมด"

    ยานยักษ์บนดวงจันทร์

    เรื่องราวเกี่ยวกับค้นพบยานอวกาศยักษ์ ที่อยู่ฝั่งด้านมืดของดวงจันทร์นั้น ได้รับการกล่าวถึงตามเวปไซท์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2007 มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนั้นมันยังดูเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจและชวนให้ฉงนสงสัยได้ไม่น้อย แต่ตอนนี้มันกำลังได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นทุกขณะ เนื่องจากเริ่มปรากฏข้อมูลสนับสนุน ซึ่งมีทั้งหลักฐานที่เป็นสื่อหลายอย่าง รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายประการ จนทำให้หลายคนเริ่มที่จะไม่แน่ใจว่า มันจะเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงจริงหรือ และด้วยความพยายามในการที่จะสืบค้นเพื่อพิสูจน์เรื่องราวดังกล่าว จึงทำให้มีกลุ่มคนหลายกลุ่มติดตามค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในทุกด้านเท่าที่จะทำได้

    กระทั่งต่อมาทีมงานของ viewzone ได้ไปค้นพบแผ่นฟิล์มจากเว็บไซท์ของ NASA เข้าจริงๆ โดยพบว่ามีภาพของวัตถุที่เป็นเหมือนยานขนาดยักษ์นั้นอยู่ด้วยกันสองภาพ ที่ถ่ายจากมุมต่างกัน ทางทีมงานจึงได้ทำการสร้างเป็นภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อแสดงภาพของยานลึกลับนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งพบว่าขนาดของมันต้องสูงกว่าครึ่งกิโลเมตร และอาจจะยาวกว่า 3.37 กิโลเมตรก็เป็นไปได้ ทั้งยังยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า ยานนั้นเป็นวัตถุที่มีรายละเอียด มีความสมดุล และมีการออกแบบ ที่มีสภาพแตกต่างจากสิ่งแวดล้อมและพื้นผิวที่อยู่รอบตัวอย่างชัดเจน

    ซึ่งถ้าจะว่าตามข้อมูลที่เป็นทางการแล้ว ภารกิจสุดท้ายในการส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ของ NASA นั้น ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่โครงการอพอลโล่ 17 ในเดือนธันวาคม ปี 1972 สำหรับโครงการอพอลโล่ 20 นั้น ได้ถูกยกเลิกโดยองค์การ NASA ในเดือนมกราคม ปี 1970 ไปแล้ว ทว่าก็ยังปรากฏฟิล์มภาพ footage จำนวนมากที่ถูกเปิดเผยออกมา โดยมีการระบุรายละเอียดของภารกิจด้วยว่า อพอลโล่ 20 นั้นถูกส่งไปยังดวงจันทร์ในวันที่ 16 สิงหาคม 1976 มีจุดหมายปลายทางที่ตำแหน่ง IsZak D ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของหลุมอุกาบาต Delporte ซึ่งอยู่ฝั่งซีกด้านมืดของดวงจันทร์ โดยภารกิจนี้เป็นการร่วมมือระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา มีลูกเรือ 3 คนประกอบด้วย William Rutledge และ Leona Snyder ซึ่งเป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกันสองคน กับ Alexei Leonov นักบินอวกาศชาวรัสเซียอีกหนึ่งคน

    และไม่ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้นำเสนอมานี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เรื่องของการค้นพบซากร่าง EBE ของโมนาลิซ่านี้ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ UFO และมนุษย์ต่างดาวที่มีการกล่าวขานถึงกันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่ง Rutledge ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันตบท้ายไว้ด้วยว่า "Mona Lisa เธอยังอยู่บนโลกใบนี้และเธอยังไม่ตาย" ก้อยิ่งทำให้ผู้สนใจเรื่อง UFO มีความตื่นตัวและกระตือรือร้นที่จะสืบค้นข้อมูลกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของยานอวกาศยักษ์ต่างดาวนั้น ก็ได้รับความนิยมและเป็นที่ฮือฮาไม่น้อยกว่ากัน กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ประมาณช่วงเดือนตุลาคม ปี 2010 ก็ได้ปรากฏข่าวคราวเกี่ยวกับการพบเห็นร่องรอยของวัตถุลึกลับที่มีลักษณะคล้ายกับยานยักษ์ต่างดาวลำดังกล่าวนี้ อยู่เลยวงโคจรดาวพลูโตออกไป และเชื่อกันว่า มันกำลังมุ่งหน้ามายังโลก ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวของยานอวกาศยักษ์บนดวงจันทร์นี้ถูกนำมากล่าวขานกันหนาหูมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จนหลายคนเริ่มที่จะเชื่อว่า ความจริงคงใกล้จะได้รับการพิสูจน์ในไม่ช้านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  3. EBE

    EBE สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +2
    ในปลายปี 1972 โรเบิร์ต อีเมนเนกเกอร์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และอัลแลน แซนเดลอร์ ได้รับการติดต่อจากนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ให้ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับโครงการลับของทางราชการ โรเบิร์ตรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อทราบว่าสารคดีที่จะถ่ายทำนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจานบิน (ยูเอฟโอ) เนื่องจากคาดว่า เรื่องราวต่างๆ คงจะสานต่อจากโครงการบลูบุ๊คที่ปิดฉากลงเมื่อปี 1969

    ทั้งสองมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีก เมื่อได้รับเชิญให้ไปยังหน่วยเพนตากอนของสหรัฐฯ ซึ่งที่นั่นพวกเขาได้พบกับนายทหารอากาศระดับสูงสองสามคนรวมทั้งนาวาเอกวิลเลียม โคลแมน และจอร์จ วีนเบรนเนอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับโครงการบลูบุ๊ค โรเบิร์ตได้เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า บัดนี้กองทัพอากาศพร้อมที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่สาธารณชนแล้ว

    สิ่งที่ทำให้เขาทั้งสองประหลาดใจมากก็คือ ทางกองทัพอากาศได้นำภาพถ่ายและภาพยนต์ที่ไม่เพียงแต่เรื่องจานบินเท่านั้น ยังมีภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวผิวหนังสีเทา ทั้งที่ยังมีชีวิตและสิ้นชีวิตแล้วมาฉายให้ชมด้วย
    โรเบิร์ต อีแมนเนกเกอร์ได้เล่าให้ผมฟังว่า เขาได้เห็นภาพยนตร์ 16 มม. เกี่ยวกับเรื่องมนถุษย์ต่างดาวในที่ทำงานของนายทหารอากาศคนหนึ่ง มนุษย์ต่าวดาวที่เห็นรอดชีวิตจากจานบินตกเมื่อปี 1949 และต่อมาถูกนำไปกักขังไว้ในที่ลับและปลอดภัยแห่งหนึ่งในลอสอะลามอส รัฐนิวเม็กซิโก จนกระทั่งได้สิ้นชีวิตด้วยสาเหตุลึกลับในปี 1952

    ในช่วงต้นปี 1973 โรเบิร์ตและอัลแลนได้รับเชิญไปยังฐานบินนอร์ตันซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการบินแห่งกองทัพอากาศที่เมืองซานเบอร์นาร์ดิโน แคลิฟอร์เนีย ทำให้พวกเขาได้พบกับหัวหน้าทีมงานสอบสวนพิเศษของฐานปฏิบัติการกองทัพอากาศ (เอเอฟโอเอสไอ) และพอล ชาร์เติล อดีตหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย และหัวหน้าแผนกโปรแกรมโสตทัศนวัสดุแห่งนอร์ตัน ทั้งสองได้ทราบว่า ในช่วงเดือนเมษายน ปี 1964 มียานอวกาศนอกโลกลำหนึ่งได้ลงมายังพื้นโลกที่ฐานบินฮอลโลแมน เมืองอะลาโมกอร์โด รัฐนิวเม็กซิโก หลังจากจอดไว้เพียงชั่วครู่ มนุษย์ต่าวดาวก็เดินออกมาจากยานและได้ติดต่อสื่อสารกับทีมนักวิทยาศาสตร์และนายทหารอากาศหลายนาย เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้บันทึกไว้ในภาพยนตร์ทั้งสิ้น และโรเบิร์ต อีเมนเนกเกอร์ และอัลแลน แซนเดลอร์ได้ตกลงทำสัญญาถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดี สรุปเรื่องราวลงในฟิล์มขนาดความยาว 800 ฟิต โดยต้องหาเรื่องราวและข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายพันฟิต

    โรเบิร์ตได้กล่าวว่า มีนักค้นคว้าจานบินคนหนึ่ง ได้รับอนุญาตให้นำภาพยนตร์ดังกล่าวกลับไปฉายดูที่บ้าน แต่ปรากฏว่าเขาได้ปฏิเสธผม ในช่วงระหว่างพูดคุยกันครั้งหนึ่งในหลายครั้งที่ลอสแอนเจลิส อย่างไรก็ตาม ทราบว่าต่อมานาวาเอกโคลแมนได้ยกเลิกการอนุญาตให้ยืมภาพยนตร์อย่างกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่า ในช่วงนั้นสถานการณ์ทางการเมืองไม่เหมาะสม เนื่องจากมีเรื่องเอื้อฉาวเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกต

    แต่ถึงอย่างไร ภาพยนตร์ดังกล่าวก็ได้รับอนุญาตให้นำมาประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับจานบิน
    ในหนังสือเรื่อง "จานบิน : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต" ของโรเบิร์ต อีแมนเนกเกอร์ ซึ่งได้พิมพ์เมื่อปี 1974 ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ฐานบินฮอลโลแมน ตอนหนึ่งดังต่อไปนี้

    เมื่อเวลา 05.30 น. ในวันนั้นเสียงโทรศัพท์ในห้องที่ฐานปฏิบัติการบินฮอลโลแมน ได้ดังขึ้น และจ่าอากาศแมน ได้รับแจ้งว่ามียานอวกาศลึกลับเข้ามายังฐาน ที่ห้องเรดาร์พบว่าในจอเรดาร์มีเป้าบนจอปรากฏขึ้นหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องเรดาร์ได้ประกาศว่า ยานอวกาศประหลาดได้เข้ามาตรงจุดพิกัดที่ 49-34 องศาทางตะวันตกเฉียงใต้ ตามเส้นทางเข้าไม่เด่นชัด
    ย้อนกลับไปยังหอควบคุม พนักงานวิทยุได้พยายามติดต่อกับยานลึกลับนั้นหลายครั้งว่า

    "นี่คือหอควบคุมฐานบินฮอลโลแมนแห่งกองทัพอากาศ โปรดแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับยานของท่าน ท่านกำลังล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าเขตทหารคำเตือน…โปรดระบุหมายเลขยานของท่าน ห้ามรุกล้ำเข้ามาในเส้นทางการบินของทหาร"

    ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบ นาวาเอกฮอร์เนอร์ผู้บัญชาการฐานบินได้ออกคำสั่งให้โทรศัพท์ติดต่อกับฐานบินไรท์-แพตเตอร์สัน และฐานบินเอ็ดวาร์ดเพื่อสอบถาม เผื่อมีเครื่องบินทดลองบินในเขตน่านฟ้าแถบนั้น จนอกจากนั้นได้ออกคำสั่งให้เครื่องบินขับไล่ไอพ่นสองลำขึ้นไปสกัดกั้นยานประหลาดดังกล่าว

    ในขณะเดียวกัน จ่าทหารช่างซึ่งทำหน้าที่บันทึกภาพ และได้ประจำการอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งของฐานบินที่กำลังบินเข้ามาในช่วงนั้นพอดี ได้ถ่ายภาพยนตร์เกี่ยวกับยานประหลาดสามลำที่บินล่วงล้ำเข้ามาในเขตน่านฟ้าของทหาร ปรากฏว่ายานลำหนึ่งบินแยกตัวออกจากฝูงแล้วเริ่มร่อนลง ส่วนทีมทหารช่างภาพอีกกลุ่มหนึ่ง ได้ใช้กล้องที่มีความเร็วสูงถ่ายภาพยนตร์ 16 มม. ขณะที่ยานร่อนลงสู่พื้นโลก

    ยานประหลาด (รูปร่างคล้ายอ่างอาบน้ำ ตามที่เห็นในภาพยนตร์ ซึ่งโรเบิร์ดได้เล่าให้ฟัง) ลอยอยู่เหนือพื้นดินราวสิบฟุต คล้ายกับเรือที่ทอดสมอกลางทะเลนานเกือบหนึ่งนาที จากนั้นค่อยๆ กางขาสามขาแล้วร่อนลงอย่างช้าๆ ตรงช่วงนี้ผู้บัญชาการฐานบิน นายทหารระดับสูง และนักวิทยาศาสตร์ของกองทัพอากาศหลายคนได้ปรากฏตัวในภาพ

    ต่อมาแผงด้านข้างของยานก็เปิดออกเป็นประตู มีบันไดพาดลงมาและมีชายสามคนแต่งตัวในชุดรัดรูปเดินออกมา ลักษณะรูปร่างเตี้ยกว่ามนุษย์บนโลกเรามาก สีผิวสีเทาอมน้ำเงิน ดวงตาโตเห็นได้ชัด จมูกใหญ่ (ในช่วงสนทนากับลินดา โฮร์ โรเบิร์ตเล่าว่าเขาจำได้ว่ามนุษย์ต่างดาวสามคนนั้นสูงเพียง 5 ฟุต 2 นิ้วเท่านั้น ส่วนดวงตานั้นกลมโต แต่ลูกตาเป็นเส้นตรงลงมาคล้ายตาแมว)

    ผู้บัญชาการฐานบินและนักวิทยาศาสตร์สองคนได้เดินเข้าไปหาแสดงการต้อนรับ ซึ่งในขณะสื่อสารพูดคุยกันนั้น ดูเหมือนว่าต่างใช้เครื่องมือแปลภาษาช่วย

    ต่อจากนั้นทั้งกลุ่มก็ได้เดินไปยังห้องปฏิบัติการภายในบริเวณคิงหนึ่งก่อนที่จะนำไปยังปลายถนนมาร์ซ ทางด้านทิศตะวันตกไปยังอาคารหมายเลข 930
    นั่นคือเนื้อหาสาระตอนหนึ่งในหนังสือของโรเบิร์ต ซึ่งได้กล่าวถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว
    "สิ่งที่ผมได้ยินและได้เห็นด้วยตาก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์ของจานินเหนือโลกมีจริงอย่างแน่นอน" โรเบิร์ต อีเมนเนกเกอร์กล่าวระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "จานบินปกปิดความลับชาวโลกจริงหรือ ?" เมื่อปี 1988

    ในภาพยนตร์สารคดีเดียวกัน พอล ชาร์เติลก็ได้กล่าวเน้นว่า ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในเชิงสรุปนี้ได้ให้ข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ ดังจะพิจารณาจากคำกล่าวของเขาต่อไปนี้

    "ผมเห็นภาพยนตร์เกี่ยวกับจานบินทั้งสามลำ ลำหนึ่งลงมายังพื้นโลก อีกสองลำบินจากไป ลำที่ร่อนลงดูเหมือนว่าจะประสบปัญหา เนื่องจากส่ายไปมาตลอดเวลา แต่ในที่สุดก็ลงจอดบนพื้นดิน โดยยื่นขาตั้งสามขาออกมาได้สำเร็จ จากนั้นประตูที่เลื่อนได้ก็เปิดออก แล้วยื่นบันไดลาดเอียงลงมา สักครู่หนึ่งมนุษย์ต่างดาวสามคนก็เดินออกมา รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่เตี้ยมาก มีผิวสีเทาอมฟ้า จมูกโตโดดเด่น สามเครื่องแต่งกายคล้ายชุดทหารพลร่มรัดรูป บนศีรษะสวมสิ่งที่คล้ายผ้าโพกหัวบางๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารและในมือถือเครื่องมือแปลภาษา ต่อมาผู้บัญชาการฐานบิน และนายทหารอากาศได้เดินออกไปพบเขา…"
    ในช่วงที่กำลังวิจัยหาข้อมูลเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับจานบินตามโครงการที่วางไว้ในเดือนเมษายน ปี 1983 ลินดา โฮว์ได้ไปเยี่ยมชมฐานบินเคิร์ทแลนด์ ในเมืองอัลบูเควอร์เคว และได้สัมภาษณ์ริชาร์ด ซี. โดที สายลับพิเศษคนหนึ่งของกองทัพอากาศ

    ลินดารู้สึกประหลาดใจมาก ที่ริชาร์ดได้ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ฐานบินฮอลโลแมนนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน ปี 1964 มิใช่เดือนพฤษภาคม ปี 1971 นอกจากนั้นเขายังได้กล่าวถึงเหตุการณ์จานบินร่อนลงสู่พื้นโลก ที่โชคอร์โร รัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยก็คือ พลอากาศตรีลอนนี ซาโมรา ริชาร์ดได้วิจารณ์หลังจากเกิดเหตุการณ์เพียงสิบสองชั่วโมงว่า เกิดการผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ นับตั้งแต่การสื่อสารติดต่อเริ่มขึ้น อีกทั้งมนุษย์ต่างดาวและกลุ่มนายทหารของเราผิดพลาดเกี่ยวกับการประสานงาน และเวลาที่นัดหมาย หลังจากนั้นเราได้แก้ไขข้อผิดพลาดใหม่ โดยได้กลับไปยังสถานที่เดิมที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นที่ฐานบินฮอลโลแมน ในเช้าตรู่วันต่อมา เวลา 06.00 น. พวกเขาได้เตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ใหม่อย่างเต็มที่ เตรียมมือกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ไว้ถึงห้าคน และกล้องถ่ายภาพยนตร์ห้ากล้อง มือกล้องบางคนคัดเลือกจากทหารช่างประจำเฮลิคอปเตอร์ของฐานบินกองทัพอากาศ ปรากฏว่ามีจานบินลำหนึ่งร่อนลง ส่วนอีกสองลำยังลอยอยู่บนท้องฟ้าในลักษณะราวกับคอยคุ้มกัน ลินดาได้ทราบเรื่องที่ริชาร์ดเล่าให้ฟังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งคืนศพคนตายที่เก็บไว้แก่มนุษย์ต่างดาวและมนุษย์ต่างดาวได้มอบสิ่งของบางอย่างให้เป็นการแลกเปลี่ยนกัน



    ลินดาได้เปิดเผยว่า
    "ฉันได้รับฟิล์มภาพยนตร์เพื่อใช้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดี โดยได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ (ทางตู้ไปรษณีย์ที่บ้าน)" เธอยังได้กล่าวถึงการติดต่อกับริชาร์ด ซี.โดทีอีกว่า "โดทีบอกว่าเขาจะโทรศัพท์ติดต่อถึงฉัน และจะใช้ชื่อรหัสลับว่า ฟอล-คอน…นอกจากนั้นเท่าที่ทราบคนอื่นที่ติดต่อกับเขา จะใช้ชื่อรหัสสลับต่างกัน รวมทั้งชื่อรหัสว่า "ทอม" ด้วย

    ครั้นเวลาล่วงเลยนานผิดปรกติ ลินดารู้สึกกังวลใจมาก เพราะได้เตรียมการหลายอย่างไว้พร้อมแล้ว โดยเฉพาะที่สำคัญก็คือ ริชาร์ดโทรศัพท์บอกเธอว่า ฟิล์มภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ฮอลโลแมนที่จะส่งมาให้จำต้องล่าช้า เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง แต่เขาได้ดำเนินการก้าวหน้าไปมากกว่านั้น เพื่อให้ลินดาได้สัมภาษณ์นาวาอากาศเอกคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเคยพูดคุยกับมือกล้องที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตจากนอกโลก ซึ่งรอดชีวิตจากจานบินตกเมื่อปี 1949

    ริชาร์ดยังได้ขอร้องให้ลินดาเตรียมถ่ายภาพตัวเธอเอง และทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์เผื่อไว้ทำบัตรอนุญาตผ่านการตรวจของหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่ก็ปรากฏว่าไร้ผล ต่อมาได้มีการนัดหมายซ้ำอีก แต่ก็ยกเลิกไปการสัมภาษณ์ที่วางแผนไว้จึงล้มเหลวไปโดยปริยาย


    ช่วงระหว่างที่มีการพบปะพูดคุยกันครั้งแรกที่ฐานบินเคิร์ทแลนด์นั้นในช่วงสามชั่วโมงสุดท้าย ริชาร์ด ซี. โดทีได้บอกลินดาว่านายทหารระดับสูงได้แนะนำให้เขานำเอกสารให้เธอดูด้วย แต่ห้ามลอกหรือนำไปเผยแพร่ ซึ่งลินดาได้เล่าถึงตรงนี้ว่า

    ฉันได้เห็นเอกสารหลายแผ่น และได้อ่านเฉพาะหัวข้อบนบรรทัดแรกของเอกสารเท่านั้น ข้อความที่เป็นหัวเรื่องในหน้าแรกคือ…บทสรุปสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องจานบินและอากาศยาน เสียดายที่ฉันจำชื่อประธานาธิบดี และวันเดือนปีของเอกสารฉบับนั้นไม่ได้…บังเอิญในช่วงนั้นฉันมัวแต่สนใจที่จะทราบเรื่องต่างๆ โดยย่อที่ปรากฏนั้นเอกสารซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้…

    ในเอกสารจะเป็นข้อมูลสรุปเกี่ยวกับจำนวนจานบินตกที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวที่นำไปเก็บรักษาไว้ในสถานที่ลับของรัฐบาลหลายแห่ง เช่น ที่ห้องทดลองแห่งชาติ ลอส อะลามอส รัฐนิวเม็กซิโก (ในตึกที่บางคนเรียกว่าวายวาย-11) ที่ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่ฐานบินไรท์-แพตเตอร์สัน รัฐโอไฮโอ ร่างกายของมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่จะมีผิวสีเทาสูงระหว่าง 3-4.5 ฟุต แขนยาว, นิ้วมือยาว 4 นิ้ว มีเล็บมือคล้ายเล็บสัตว์และมีเยื่อพังผืดระหว่างนิ้ว ตรงจมูกและหูจะมีเพียงรูโหว่

    ลินดาได้เปิดเผยต่อไปว่า ในกรณีจานบินตกใกล้เขตรอสเวลล์ในมลรัฐนิวเม็กซิโก ในปี 1949 (ซึ่งนักค้นคว้าบางคนสับสนคิดว่าเป็นปี 1947) พบว่ามีมนุษย์ต่างดาวหกคน มีเพียงคนหนึ่งเท่านั้นที่รอดชีวิต นายทหารอากาศคนหนึ่งซึ่งต่อมาได้เลื่อนยศเป็นนาวาอากาศเอก ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่เธอได้รับสัญญาว่าจะสัมภาษณ์ด้วย ได้ใช้วิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่ห้องทดลองลอส อะลามอส จนกระทั่งมนุษย์ต่างดาวได้สิ้นชีวิตอย่างลึกลับในวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1952 ต่อมาได้มีการทดลองสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวรายที่สองและที่สาม (ในขณะนั้นศัพท์ที่เรียกมนุษย์ต่างดาวเรียกว่าอีบีอี (EBE ซึ่งย่อมาจาก Extraterrestrial Biological Entity) สำหรับมนุษย์ต่างดาวรายที่สาม เชื่อกันว่ายังมีชีวิตอยู่ และถูกขังไว้ในห้องลับในฐานบินแห่งหนึ่งของกองทัพอากาศ ในยุคนั้นเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า อารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวนั้นมีต้นกำเนิดจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบดาวคู่หรือดาวแฝดซึ่งอยู่ห่างจากโลกเราประมาณ 55 ปีแสง

    โรเบิร์ต ซี.โดที ได้บอกลินดาว่ามีกลุ่มคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งเรียกว่า กลุ่มเอ็มเจ-12 (MJ-12) คำว่าเอ็มเจความหมายแรกมาจากคำว่า "MAJORITY" หมายถึงกลุ่มผู้มีความสามารถสูง (ส่วนใหญ่) กลุ่มนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการเป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบาย ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ในระดับสูง นายทหารและบุคคลสำคัญจากหน่วยข่าวกรองระดับสูง รวมทั้งหมดจำนวนสิบสองคน ต่อมาในภายหลังคณะบุคคลกลุ่มนี้ MJ-12 เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามาเจสติก (MAJESTIC-12)

    ในเอกสารสำคัญนั้นมีบัญชีจำนวนโครงการสำคัญของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำหนดขึ้นเพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องมนุษย์ต่างดาวหลายโครงการ โดยได้รวมเอาโครงการการ์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการค้นคว้าเกี่ยวกับการปฏิรูปมนุษยชาติ โครงการซิกมา ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1964 สันนิษฐานว่าอาจเป็นโครงการค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินลงมายังพื้นโลกที่ฐานบินฮอลโลแมน และยังเป็นโครงการที่เกี่ยวพันกับการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวด้วย นอกจากนั้นก็มีโครงการสโนว์เบิร์ด ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับการพัฒนาและการประดิษฐ์ทางด้านเทคโนโลยีของยานอวกาศ มนุษย์ต่าวดาว และโครงการอะแควเรียส ซึ่งจัดว่าเป็นโครงการสำคัญที่รวมโครงการทั้งหมดเพื่อรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เกี่ยวกับรูปแบบชีวิตของมนุษย์ต่างดาว

    ลินดาจำได้ว่าในเอกสารนั้นยังได้ระบุถึงกลุ่มมนุษย์ต่างดาวอีกกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าเป็น "ทอลลซ์" ซึ่งเธอเชื่อว่าคงเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกพันธุ์หนึ่ง โดทีได้อธิบายว่า ระหว่างมนุษย์ต่างดาวพันธุ์รูปร่างเตี้ยผิวสีเทา กับมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ที่มีรูปร่างสูงกว่า มีมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ทั้งสองด้วย
    ตามรายงานในเอกสารระบุไว้ว่า มนุษย์ต่างดาวมีโอกาสถ่ายทอดกรดดีอ๊อกซีริโบนิวเคลอิค (DNA) ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางกรรมพันธุ์กับสัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมบนโลกเรา (รวมทั้งมนุษย์และลิง) ด้วย หรือบางทีอาจมีลักษณะดังกล่าวกับสัตว์ตระกูลหรือพันธุ์อื่นได้ ช่วงเวลาดำเนินการดังกล่าว คิดช่วง 25,000 ปี ช่วง 15,000 ปี และช่วง 2,500 ปี ผ่านมาแล้ว


    ในช่วงย่อนหน้าหนึ่งของเอกสาร ลินดาจำข้อความได้ว่า เมื่อ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มนุษย์ต่างดาวจำนวนหนึ่งได้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกเรา เพื่อสอนมนุษย์เกี่ยวกับความรักและลัทธิ ไม่ใช้กำลังหรือวิธีรุนแรงซึ่งกันและกัน
    ในปี 1983 นับเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ก่อนที่ลินดาไปร่วมประชุมปรึกษาหารือที่ฐานบินเคิร์ทแลนด์ วิลเลียม (หรือนิคเนคว่าบิลล์) นักวิจัยค้นคว้าจานบินที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากบุรุษลึกลับให้ไปรับข้อมูลพิเศษด้วยตัวเอง เขาจึงได้เดินทางจากอริโซนา ข้ามทวีปไปยังจุดหมายปลายทางที่โมเต็ลแห่งหนึ่ง ทางตอนเหนือรัฐนิวยอร์ก ครั้นไปถึงเขาได้รับคำแนะนำให้รอคอยถึงเวลาห้าโมงเย็น พอถึงเวลานัดหมายก็มีชายคนหนึ่งเข้าไปเคาะประตูห้อง ครั้นเขาเปิดประตู ชายคนนั้นก็ยื่นซองสีน้ำตาลปิดผนึกอย่างดีให้ พร้อมทั้งกล่าวว่า

    "คุณมีเวลาเพียงสิบเก้านาทีเท่านั้น ที่จะเปิดซองเอกสารนี้ ครั้นเวลาหมดแล้ว ผมต้องรับกลับคืนไปด้วย หลังจากนั้นคุณมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ"

    วิลเลียมได้เปิดซองออก พบว่าภายในซองมีเอกสารสิบเอ็ดหน้า ซึ่งมีข้อความพาดหัวไว้ว่า "ลับสุดยอด" และหัวข้อสั้นๆ ว่า คำแถลงการณ์ เรื่องโครงการอะแควเรียส ลงวันที่ 14 มิถุนายน ปี 1977 ตรงกับช่วงสมัยรัฐบาลของจิมมี คาร์เตอร์) เขาได้ขอร้องเพื่อถ่ายภาพเอกสารและอ่านเนื้อหาสาระบันทึกลงในเทป ชายลึกลับคนนั้นกล่าวตอบสั้นๆ ว่า

    "อนุญาต คุณมีเวลาเหลือเพียงสิบเจ็ดนาทีเท่านั้นนะ"

    หลังจากถ่ายเอกสารและบันทึกเทปแล้ว เขาได้ส่งเอกสารทั้งหมดส่งคืนให้ชายคนนั้น เขาได้เก็บลงในซองสีน้ำตาลแล้วก็เดินจากไป
    เอกสารทั้งหมดนั้นเป็นสำเนาคำแถลงการณ์สำหรับประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ซึ่งอาจถ่ายก่อนนำไปใช้หรือหลังจากที่บันทึกไว้แล้วพิมพ์ทีหลังและได้ถ่ายไว้ ซึ่งเขาได้แสดงทรรศนะว่าเป็นเอกสารที่มีสาระสำคัญที่เป็นข้อเท็จจริง บางทีอาจเป็นข่าวลวง แต่ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่านำมาให้เขาโดยมีจุดมุ่งหมายอะไร โปรดพิจารณา
    ลับสุดยอด
    โครงการอะแควเรียส
    (TS/OR CON) (PROWORD-) ประกอบด้วยข้อมูลเอกสาร 16 เล่ม รวบรวมตั้งแต่ช่วงที่สหรัฐอเมริกาเริ่มมีการสำรวจค้นคว้าเกี่ยวกับจานบิน (UFO) และอากาศยานมนุษย์ต่างดาวที่จำแนกได้ (IAC)
    โครงการนี้กำหนดขึ้นในปี 1953 ตามคำบัญชาของอดีตประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการเอ็มเจ - 12 ในปี 19 ชื่อของโครงการได้เปลี่ยนจากโครงการ___________มาเป็นโครงการอะแควเรียส โครงการนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก___________โครงการ___________เดือนธันวาคม 1969 หลังจากโครงการบลูบุ๊คได้ยุติลง จุดมุ่งหมายของโครงการอะแควเรียสก็คือ เพื่อรวบรวมข้อมูลหรือข่าวสารทั้งหมดทางวิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยี ทางการแพทย์ ทางข่าวกรอง จากการพบเห็นยูเอฟโอ และไอเอซี และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวในลักษณะรูปแบบต่างๆ
    แฟ้มบันทึกข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ตามลำดับนี้ จะได้นำไปใช้กับการพัฒนาโปรแกรมการค้นคว้าอวกาศของสหรัฐอเมริกาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
    ลับสุดยอด
    โครงการรอง:
    1 (TS/ORCON) โครงการ : (PROWORD___________) กำเนิดขึ้นในปี 19 ____ภารกิจสำคัญในการดำเนินการก็คือ รวบรวมและประเมิน___________โครงการ___________นี้จัดให้นักวิจัยค้นคว้า___________แห่งสหรัฐอเมริกาพร้อมด้วยคำตอบที่แน่นอนแก่___________(OPR:- ___________) สิ้นสุดลงในปี 19___
    2 (TS/ORCON) โครงการซิกมา : (PROWORD___________) กำเนิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ___________ในปี 1954 ได้แยกออกมาเป็นโครงการใหม่ในปี 1976 วัตถุประสงค์เพื่อต้องหาวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว โครงการนี้ได้ประสบความสำเร็จเมื่อปี 1959 โดยทางสหรัฐฯ ได้สร้างวิธีติดต่อสื่อสารเบื้องต้นกับมนุษย์ต่างดาว ในวันที่ 25 เมษายน ปี 1964 นายทหารข่าวกรองคนหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้พบมนุษย์ต่างดาวสองคนบริเวณตำแหน่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ในทะเลทรายรัฐนิวเม็กซิโก การติดต่อใช้เวลานานประมาณสามชั่วโมง ขึ้นอยู่กับภาษาของมนุษย์ต่างดาวที่สื่อกับเรา โดย___________นายทหารกองทัพอากาศได้แลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานกับมนุษย์ต่างดาวสองคน
    โครงการนี้ดำเนินต่อเนื่องกันมาที่ฐานบินกองทัพอากาศในนิวเม็กซิโก (OPR:- ___________) 3 (TS/ORCON) โครงการสโนว์เบิร์ด : (PROWORD___________) กำเนิดขึ้นในปี 19______ วัตถุประสงค์สำคัญคือทดสอบการบินของจานบินของมนุษย์ต่างดาวที่พบ โครงการนี้กำลังดำเนินการในเนวาดา (OPR:- _________)
    4 (TS/ORCON) โครงการเพานซ์ : (PROWORD___________) กำเนิดขึ้นในปี 19____ วัตถุประสงค์หลักคือประเมินผลข้อมูล จานบินทั้งหมดที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีทางอวกาศ โครงการนี้ยังดำเนินการต่อเนื่องกันมา (OPR:- _________)
    เป็นที่สังเกตว่า คำว่า TS ที่ปรากฏในเอกสาร หมายถึงลับสุดยอดและคำว่า ORCON นั้น วิลเลียมให้ความหมายว่า การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่คัดลอกมาจากต้นฉบับ หน่วยงานส่วนใหญ่ที่มักจะใช้คำนี้ก็มี หน่วยงานประมวลข่าวกรอง (CIA), หน่วยงานข่าวกรองกลาโหม (DIA) หน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) และหน่วยข่าวกรองของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา (USAF INTELLIGENCE) และคำว่า PROWORD คือแบบฟอร์มที่ถูกต้อง ส่วนคำว่า OPR ที่ปรากฏในช่วงท้ายของโครงการ หมายถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบเบื้องต้น
    ได้มีความพยายามที่จะเผยแพร่ความลับเกี่ยวกับเรื่องจานบินและมนุษย์ต่างดาวแก่สาธารณชนในสหรัฐฯ มานานหลายปี แต่ยังติดขัดเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ และกลไกทางการเมืองของหน่วยงานของรัฐอีกหลายระดับ ดังจะเห็นได้จากอดีตวุฒิสมาชิกแบร์รี โกลด์วอเตอร์ ซึ่งได้รับแจ้งจากพลอากาศเอกเคอร์ติส เลเมย์ อดีตเสนาธิการทหารอากาศ และอดีตผู้บัญชาการกองบินยุทธการ เมื่อหลายปีก่อนว่า มีโครงการที่จะเผยแถพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับจานบิน (ยูเอฟโอ) แก่สาธารณชน ซึ่งอดีตวุฒิสมาชิกแบร์รี โกลด์วอเตอร์ได้ให้ข้อสังเกตในเอกสารฉบับหนึ่งเมื่อปี 1975 ว่า…

    "นับเป็นเวลาสิบปีหรือสิบสองปีผ่านมาแล้ว ที่ผมพยายามที่จะค้นหาสิ่งที่อยู่ในอาคารลับที่ฐานบินกองทัพอากาศ ไร์ท์-แพตเตอร์สัน ซึ่งมีหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ที่กองทัพอากาศได้รวบรวมไว้ และผมก็เข้าใจที่ปฏิเสธคำขอร้องของผม เพราะมันเป็นเรื่องที่จัดอยู่ในระดับสูงเหนือลับสุดยอดจริงๆ ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รับทราบมาว่าจะมีโครงการจัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนในอนาคตอันใกล้นี้…"

    แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า โครงการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวจะเริ่มได้เมื่อใด แต่ปรากฏว่าข้อมูลลับที่ได้รับการปฏิเสธมานานส่วนใหญ่ได้รับการเผยแพร่แล้วตามพระราชบัญญัติสิทธิการรับรู้ข่าวสารของชาวอเมริกัน ดังจะเห็นได้ว่า มีเอกสารรายงานนับจำนวนหลายพันหน้าเกี่ยวกับข้อมูลจานบินเผยแพร่ออกมาโดยหน่วยงานซีไอเอ, ดีไอเอ, เอฟบีไอ, เอ็นเอสเอ, หน่วยข่าวกรองกองทัพอากาศ, หน่วยข่าวกรองกองทัพบก และหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือ

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อมูลลับอีกมากที่ทางการยังไม่ได้เผยแพร่ ซึ่งกล่าวกันว่าอาจเป็นเหตุผลเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ หรือเหตุผลทางการเมืองระดับโลก คงจะเป็นจริงตามที่อดีตวุฒิสมาชิกแบร์รี โกลด์วอเตอร์กล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่จัดอยู่ในระดับสูงเหนือลับสุดยอดจริงๆ
    คำว่า "มาเจสติก 12" เป็นชื่อคณะกรรมการพิเศษคณะหนึ่ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยประธานาธิบดีทรูแมน เมื่อปี 1947 เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องจานบินที่ปรากฏขึ้นในยุคนั้น รวมทั้งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวล ในปี 1947 และได้พบศพมนุษย์ต่างดาวสี่คน ผู้ที่มีบทบาทหนึ่งในทีมงานนักวิทยาศาสตร์ค้นหาข้อเท็จจริงก็คือ สแตนตัน ฟรีดแมน นักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตนให้กับโครงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับจานบินหลายปี โดยได้รับเงินทุนช่วยเหลือโครงการในระยะแรกถึง 16,000 เหรียญ และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่ร่วมในคณะกรรมการมาเจสติก 12 อีกคนหนึ่งคือ ดร.แวนนาวาร์ บุช

    ภาระหน้าที่สำคัญของคณะกรรมการมาเจสติก 12 ก็คือ ติดตามข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจานบิน หน้าที่อีกประการหนึ่งก็คือ การกำหนดนโยบายตั้งกลุ่มบุคคลสัมพันธ์กับกิจกรรมการค้นคว้านอกโลก และการติดต่อกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวภายในสหรัฐอเมริกา

    นอกจากนั้นคณะกรรมการพิเศษนี้ต้องวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และในเชิงที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
    ในระยะแรกคณะกรรมการเอ็มเจ-12 ที่ก่อตั้งขึ้น ประกอบด้วยบุคคลสำคัญที่สุดที่ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีคัดเลือกมา มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า ผู้อำนวยการหน่วยซีไอเอ ผู้อำนวยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ

    ศูนย์ปฏิบัติการของคณะเอ็มเจ-12 ตั้งอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการของกองทัพเรือที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จึงจัดว่ากองทัพเรือของสหรัฐฯ มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานเบื้องต้นเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ตามนโยบายของคณะเอ็มเจ-12
    มีหน่วยงานของรัฐบาลหลายแห่งส่งข้อมูลข่าวสารไปยังคณะกรรมการเอ็มเจ-12 ผ่านโครงการอะแควเรียส ซึ่งถือว่าเป็นโครงการหลักในระดับเหนือลับสุดยอด คณะกรรมการเอ็มเจ-12 ยังมีอำนาจพิเศษติดต่อกับบุคคลที่ผ่านมาคัดเลือกจากหน่วยงานต่างๆ เช่น จากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ หน่วยข่าวกรองของทำเนียบขาว หน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ, หน่วยซีไอเอ และหน่วยงานข่าวกรองกระทรวงกลาโหม
    ข้อมูลที่ได้รับจากผลการวิจัยค้นคว้าตามโครงการต่างๆ ที่คณะกรรมการเอ็มเจ-12 กำหนดนโยบายให้ จะต้องรวบรวมไว้เป็นความลับสุดยอดเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
    สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า กลุ่มที่มีบทบาทกุมความลับเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวและจานบินสูงสุดในสหรัฐอเมริกาก็คือ กลุ่มเอ็มเจ-12 นั่นเอง
    จากการสัมภาษณ์ ทราบว่าโครงการบลูบุ๊คเป็นโครงการเล็กๆ ของกองทัพอากาศที่มีวัตถุประสงค์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจานบิน ประกอบด้วยทีมงานกลุ่มหนึ่ง เริ่มติดตามค้นคว้าเรื่องจานบินมาตั้งแต่ปี 1947 ต่อมาได้ตั้งชื่อโครงการว่า โครงการไซน์ ในปี 1949 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโครงการกรูดจ์ จากนั้นได้เปลี่ยนมาเป็นโครงการบลูบุ๊ค เมื่อปี 1952 ในปี 1969 คณะกรรมการดำเนินงานตามโครงการบลูบุ๊คได้รับรายงานเกี่ยวกับการพบเห็นจานบินและมนุษย์ต่างดาวประมาณ 40,000 ฉบับ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่โครงการนี้ต้องปิดฉากลงในปี 1969 นี้เอง โดยทางกองทัพไม่สามารถชี้แจงเหตุผลได้เด่นชัด

    กล่าวกันว่า ผู้มีบทบาทสำคัญในการปิดฉากโครงการบลูบุ๊คก็คือ คณะเอ็มเจ-12 นั่นเอง สาเหตุสำคัญก็คือ ได้ตั้งโครงการต่างๆ ขึ้นสานต่อการค้นคว้าเรื่องราวดังกล่าวต่อไป

    นาวาอากาศเอกวิลเลียม โคลแมน ซึ่งเคยปฏิบัติงานร่วมกับโครงการบลูบุ๊ค และเคยเป็นโฆษกกองทัพอากาศที่เพนตากอน อนุญาตให้ทีมโมทีเข้าสัมภาษณ์ที่ฟลอริดา ในปี 1989 เกี่ยวกับรายงานการพบเห็นจานบินของเขา ซึ่งต่อมาได้หายไปจากแฟ้มรวมเอกสารสำคัญในโครงการบลูบุ๊คอย่างประหลาด
    เหตุเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 1955 เมื่อเขาได้ขึ้นเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบบี-52 ร่วมกับคณะจากเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ไปยังกรีนวู้ด รัฐมิสซิสซิปปี มีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาได้เห็นจานบินลำหนึ่งบนท้องฟ้า ต่อมามันได้บินวนซิกแซกไปมาเหนือน่านฟ้าอะลาบามา โคแมนได้เล่าว่า

    "เครื่องบินได้ร้อนลงในระดับสูงจากพื้นดินสองร้อยฟุต บินผ่านยอดต้นไม้ ผ่านทุ่งหญ้า และทางหลวงสายหนึ่ง ไม่เห็นยานพาหนะหรือผู้คน เห็นเพียงแต่สัตว์เพียงไม่กี่ตัว ต่อมาเครื่องบินบี-52 ได้ร่อนลงในระดับสูงจากพื้นดินเพียงไม่กี่ไมล์"
    นาวาอากาศเอกวิลเลียม โคลแมนและคณะไม่เห็นจานบินลำดังกล่าว จึงได้สั่งให้เครื่องบินบินสูงขึ้นไปอีก 1,500 ฟุต เพื่อติดตามหามันอีกครั้งหนึ่ง ในตอนแรกทุกคนไม่เห็น แต่ครั้นมองลงไปยังทุ่งกว้างทางภาคใต้ของรัฐอะลาบามา ผ่านเนินดินที่ไถคลาดแล้ววนไปทางขวา สังเกตเห็นกระแสลมวนคู่หนึ่งพัดฝุ่นสีแดงเป็นลำลอยขึ้นข้างบน ทันใดนั้นโคลแมนได้สั่งให้เครื่องบินลดระดับต่ำลง และตีวงโค้งเข้าไปใกล้ แต่ก็ไม่พบอะไร

    ในช่วงที่เครื่องบินบี-52 เริ่มร่อนลงที่สนามบินกรีนวู้ด ปรากฏว่าได้เห็นจานบินลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงมาก ครั้นเครื่องร่อนลงสนามบินแล้ว ลูกเรือหลายคนก็รายงานว่าได้เห็นจานบินลำดังกล่าวเช่นเดียวกัน จากนั้นโคลแมนได้ทำบันทึกรายงานอย่างละเอียด
    ต่อมาเมื่อเขาได้รับคำสั่งเข้าร่วมโครงการบลูบุ๊ค เขาได้เสนอรายงานที่พบเห็นจานบินต่อคณะกรรมการด่วย แต่ปรากฏว่าในภายหลังครั้นเขาได้สอบถาม และขอร้องให้นาวาอากาศเอกโรเบิร์ด ฟรีนด์ช่วยค้นหารายงานของเขาในแฟ้มบันทึก ปรากฏว่าไม่พบเรื่องของเขาแต่อย่างใด

    "มันไม่อยู่ที่นั่น และไม่มีบันทึกว่ามีเรื่องของผมเข้าไปเมื่อใด" โคลแมนเล่าให้ทิมโมทีฟัง ซึ่งทิมโมทีได้ถามตรงๆ ว่า
    "คุณคิดว่ารายงานเกี่ยวกับเรื่องจานินหรือมนุษย์ต่างดาวมีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ ?"

    "มีแน่นอน" โคลแมนตอบ "ผมมั่นใจมากกว่ามีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ผมไม่สามารถจะบอกรายละเอียดได้"

    จากที่เคยสัมภาษณ์ไจเม แชนดีรา ได้ทราบว่าคณะกรรมการเอ็มเจ-12 จำเป็นต้องปิดฉากโครงการบลูบุ๊คลง เนื่องจากหากให้ดำเนินการต่อไป ข้อมูลลับที่มีผลต่อมนุษยชาติและต่อประเทศบางส่วนอาจรั่วไหลไปสู่สาธารณชนได้
    ต่อมาทางรัฐบาลจึงได้เปลี่ยนมือการวิจัยค้นคว้าจากโครงการบลูบุ๊คของกองทัพอากาศไปยังหน่วยข่าวกรองพิเศษ ที่เริ่มวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการพบเห็นจานบินในประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น


    "ในช่วงปี 1988" ฟอลคอนกล่าว "ทางรัฐบาบสหรัฐฯ มีแขกรับเชิญเป็นมนุษย์ต่างดาวคนที่สาม (EBE-3) ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พาไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง เป็นไปตามโครงการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันส่วนหนึ่ง มนุษย์ต่างดาวคนนี้เป็นแขกรับเชิยมาตั้งแต่ปี 1982"

    ช่วงระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดี ฟอลคอนได้พูดถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่งชือว่า หนังสือปกเหลือง "สันนิษฐานว่าเขียนโดยมนุษย์ต่างดาวคนที่สอง เนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ของมนุษย์ต่างดาว โครงสร้างทางสังคมในโลกของมนุษย์ต่างดาว รวมทั้งการดำรงชีวิตของมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในโลก สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดเท่าที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวก็คือ ผลึกรูปแปดเหลี่ยมที่มนุษย์ต่างดาวถืออยู่ในมือ ซึ่งสามารถสะท้อนภาพต่างๆ ให้เห็นได้ เช่น ภาพดาวเคราะห์หรือโลกของมนุษย์ต่างดาว หรือแม้แต่ภาพเกี่วกับโลกของเราในช่วงหลายพันปีมาแล้ว"

    จากคำถามที่ไจเมถามเกี่ยวกับรูปร่างของมนุษย์ต่างดาว ฟอลคอนได้ตอบว่า

    เท่าที่ผมเห็นจากภาพถ่าย หรือภาพที่ปรากฏในวิดีโอเทป รวมทั้งข้อมูลที่ได้รับจากการตรวจสอบมนุษย์ต่างดาวทางการแพทย์ สังเกตได้ว่า มนุษย์ต่างดาวมีรูปร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ สูงประมาณ 3 ฟุต 4 นิ้ว ถึง 3 ฟุต 8 นิ้ว มีดวงตาใหญ่มากคล้ายกับตาแมลง และตาทั้งสองข้างแต่ละข้างจะมีหนังตาสองชั้น บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาเกิดอยู่บนดาวเคราะห์ที่มีพระอาทิตย์สองดวงก็เป็นได้ โลกของมนุษย์ต่างดาวจะสว่างไสวเจิดจ้าในเวลากลางวันมาก อาจสว่างกว่าแสงพระอาทิตย์ของโลกเราสองสามเท่า ตรงที่เป็นจมูกจะเป็นรูเล็กๆ สองรู และตามที่เราทราบ พวกเขาไม่มีฟัน และมีส่วนที่คล้ายเหงือกหนามาก อวัยวะภายในร่างกายไม่มีมากมาย และสลับซับซ้อนเหมือนอวัยวะภายในของมนุษย์ เช่น มีอวัยวะภายในชนิดหนึ่ง ภายในร่างกายของเขาซึ่งกล่าวกันว่าคล้ายกับเป็นหัวใจและปอด เพราะมันทำหน้าที่คล้ายกับหัวใจและปอดของมนุษย์ในโลก ส่วนระบบย่อยก็เป็นระบบที่ง่าย มีเพียงขับถ่ายเฉพาะอุจจาระเหลว ไม่มีอุจจาระแข็งหรือหยาบ โครงสร้างผิวหนังมีลักษณะยืดหยุ่นแต่หนาและหยาบมาก สาเหตุที่หนาอาจเนื่องจากอิทธิพลจากดวงอาทิตย์สองดวงในโลกของเขาก็เป็นได้ อวัยวะทั่วไปก็มีหลายส่วนคล้ายกัน ส่วนสมองของเขาดูสลับซับซ้อนมากกว่าของเรา เนื่องจากมีส่วนที่เป็นกลีบหรือลอนในลักษณะแตกต่างกันมากกว่า

    ดวงตาของมนุษย์เราควบคุมโดยสมองส่วนหลัง ส่วนดวงตาของมนุษย์ต่างดาวควบคุมโดยสมองส่วนหน้า ประสาทในการฟังหรือได้ยินของเขาดีกว่าของเรามาก เกือบจะดีกว่าประสาทในการฟังหรือได้ยินของสุนัข มนุษย์ต่างดาวมีมือเพียงสี่นิ้ว และไม่มีนิ้วหัวแม่มือ เท้าของเขาค่อนข้างเล็ก คล้ายกับเท้าของกบ คือมีพังผืดระหว่างนิ้วเท้า

    อวัยวะเพศของมนุษย์ต่างดาว มีทั้งของเพศหญิงและเพศชาย เพศหญิงมีอวัยวะเพศคล้ายกับของมนุษย์เพศหญิง แต่แตกต่างกันตรงระบบรังไข่ ไตและกระเพาะปัสสาวะของมนุษย์ต่างดาวอยู่รวมกัน แต่มีอวัยวะอีกชนิดหนึ่งซึ่งผมไม่ทราบว่านักวิทยาศาสตร์ของเรากำหนดว่ามันคืออะไร แต่ผมเชื่อว่ามันทำหน้าที่เปลี่ยนอุจจาระที่แข็งและหยาบเป็นอุจจาระเหลว อาหารทุกอย่างที่รับประทานเข้าไปก็จะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว ร่างกายก็จะดูดซึมเอาของเหลวจากอาหาร แต่พวกเขาก็สามารถรับประทานผลิตผลทางอาหารพื้นๆ จำพวกผักและผลไม้ที่มนุษย์เรารับประทานได้ แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาคงประสบปัญหาเกี่ยวกับการย่อยผลิตภัณฑ์อาหารจำพวกเนื้อ และผมก็ไม่เชื่อว่าบนโลกมนุษย์ต่างดาวจะบริโภคเนื้อสัตว์เช่นเดียวกับเรา

    ฟอลคอนได้เล่าต่อไปว่า ช่วงอายุหรือช่วงชีวิตของมนุษย์ต่างดาว ประมาณ 350-400 ปี และที่น่าสนใจก็คือ มนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่มีไอคิวเกิน 200 พวกเขาก็มีศาสนาเช่นกัน แต่เป็นศาสนาแห่งจักรวาล พวกเขาเชื่อว่าจักรวาลเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

    ทางด้านดนตรี มนุษย์ต่างดาวมีความสนุกสนานกับดนตรีหลายชนิด โดยเฉพาะเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดนตรีของชาวทิเบตโบราณ
    ในช่วงที่สัมภาษณ์เป็นส่วนตัวกบไจเมและวิลเลียมนั้น ฟอลคอนได้กล่าวว่า "มนุษย์ต่างดาวที่ลงมาเยี่ยมโลกเรานั้น มีมากกว่าหนึ่งพันธุ์ สาเหตุที่เชื่อว่ามีมากกว่าหนึ่งพันธุ์ก็คือ ในช่วงสิบปีสุดท้าย มีรายงานเกี่ยวกับการพบเห็นจานบินและติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวในลักษณะแตกต่างกันหลายประเภท มีทั้งประเภทพันธุ์เตี้ย พันธุ์สูง พันธุ์ร่างใหญ่ และพันธุ์ที่มีขนตามร่างกาย ส่วนมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า EBE นั้นเป็นพันธุ์ไม่มีขนตามร่างกาย นอกจากนั้นยังมีพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายกับแมลง มีขนตามร่างกายและรูปร่างสูง จากรายงานจำนวนผู้พบเห็นมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่รายงานว่า มนุษย์ต่างดาวจะสูงเกือบห้าฟุต นี่คือเหตุผลประการหนึ่งที่เป็นข้อสนับสนุนว่ามีมนุษย์ต่างดาวลงมายังโลกเราจริง"

    หนึ่งในคณะกรรมการเอ็มเจ-12 ได้เล่าให้นักวิจัยค้นคว้าฟังว่า ในช่วงยี่สิบห้าปีสุดท้าย หลายฝ่ายเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวพันธุ์หรือตระกูลต่างๆ ส่งมาเยือนโลกเราประมาณเก้าพันธุ์แล้ว

    มีมนุษย์ต่างดาวถึงเก้าพันธุ์มาเยือนโลกเราจริงหรือ ? นี่คือคำถามที่หลายคนสงสัย ทิมโมทีได้กล่าวว่า จากการตรวจสอบจากรายงานเกี่ยวกับการพบเห็นจานบินและมนุษย์ต่างดาวทั่วโลกแล้ว บรรดานักวิจัย นักค้นคว้าจานบินให้ข้อสังเกตว่า ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่คล้ายกันมีเป็นจำนวนมาก และไม่เหมือนกับมนุษย์บนโลกแต่อย่างใด และหากแบ่งออกเป็นพันธุ์หรือประเภทต่างๆ ก็นับว่าเป็นเพียงไม่กี่พันธุ์

    ในปี 1990 ทิมโมทีได้รับแจ้งผ่านทางหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ว่ามีการปฏิบัติงานข่าวกรองส่งสัญญาณติดต่อกับกลุ่มมนุษย์ต่างดาวเก้าพันธุ์

    ไจเม แชนดีรา เคยสอบถามเรื่องนี้จากฟอลคอน ซึ่งฟอลคอนก็กล่าวยืนยันว่า หน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติมีส่วนร่วมกับโปรแแกรมการสื่อสารติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวจริง และหน่วยดังกล่าวนี่ได้ระดมนักวิทยาศาสตร์คิดค้นหาระบบติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นวิธีใช้สัญญาณเสียงแบบพัลส์ หรือสัญญาณเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนมนุษย์ต่างดาวก็จะส่งสัญญาณลงมายังตำแหน่งที่แน่นอนบนพื้นโลก ซึ่งฟอลคอนก็กล่าวว่า ไม่ทราบจุดรับสัญญาณอยู่ที่ใด เพียงแต่สันนิษฐานว่าจุดรับสัญญาณจุดที่หนึ่งอยู่ในรัฐเนวาดา และจุดรับสัญญาณจุดที่สองอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สัญญาณเสียงหรือสิ่งที่ติดต่อได้ จะได้รับการถ่ายทอดและแปลโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็จะแจ้งตำแหน่งที่จะลงมาสู่โลกของเรา ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้เราก็กำลังค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนซึ่งจานบินลงมายังพื้นโลกอย่างเต็มที่

    "นอกจากสหรัฐอเมริกาแล้วมีชาติอื่นพยายามติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ?" ไจเมถาม และฟอลคอนได้ตอบว่า

    "เท่าที่ทราบเด่นชัดก็คือ ประเทศโซเวียตรัสเซีย เดิมซึ่งได้พยายามสื่อสารติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1950 เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบัน"
    เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1980 นั้น นับว่าเป็นข่าวใหญ่โด่งดังไปทั่วโลก เนื่องจากมีพยานสามคนได้เห็นยานประหลาดบินอยู่ในระดับต่ำช้าๆ เหนือพวกเขาไม่กี่ร้อยฟุต ขณะบินผ่านพวกเขาไป จานบินลำนั้นได้ฉายรังสีแสงความร้อนลงมา ทำให้พวกเขาเกิดบาดแผลบนผิวหนังหลายแห่ง เหตุเกิดใกล้บริเวณชานเมืองอัฟฟ์แมน มลรัฐเท็กซัสและที่ประหลาดก็คือ มีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์จำนวนยี่สิบลำบินตามไปเป็นฝูง ปรากฏว่าต่อมาพยานทั้งสามได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจำนวนเงินสูงถึง 20 ล้านเหรียญ แต่ปรากฏว่าการฟ้องร้องไม่เป็นผล ศาลได้สั่งยกฟ้อง เนื่องจากทางฝ่ายรัฐบาลอ้างว่าไม่มีจานบินลำดังกล่าวเป็นของรัฐบาลแต่อย่างใด สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าไม่มีในบัญชีของฝ่ายกองทัพอากาศ, กองทัพบก, กองทัพเรือ หรือองค์การนาซา (ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นตัวแทนแต่ละแห่งร่วมให้การในศาลด้วย) ฟอลคอนได้เล่าให้เบตตี้ แคช และวิคกี้ แลนดรัม พยานคนสำคัญได้ฟังว่า "ยานทที่ถูกติดตามสังเกตการณ์ก็คือ ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขับโดยนักบินต่างๆ มามาก ครั้นทดลองขับยานของมนุษย์ต่างดาวจึงพบว่า แตกต่างกันมาก และไม่สามารถควบคุมได้ จึงได้วิทยุแจ้งขอความช่วยเหลือด่วน เนื่องจากเห็นว่ายานกำลังจะตกลงยังพื้นโลก ทางกองทัพจึงไม่ส่งเฮลิคอปเตอร์สำหรับติดตามค้นหาและกู้ภัยขึ้นไปช่วยโดยได้บินติดตามไปอย่างใกล้ชิด ถึงอย่างไรก็ตาม ในที่สุดยานลำนั้นก็ไม่ตก"

    เป็นที่สังเกตว่า ทั้งเอกสารที่ลินดา โฮว์และวิลเลียม มัวร์ได้เห็น เท่าที่ทั้งสองจำได้ก็คือ มีข้อความในเอกสารที่ได้อ้างถึงโครงการสโนว์เบิร์ด ซึ่ง (ตามเอกสารที่เสนออดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์) ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อดพำเนินการทดสอบบินยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่พบล่าสุด กล่าวกันว่าโครงการนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องในรัฐเนวาดา ซึ่งฟอลคอนก็ได้กล่าวว่า มนุษย์ต่างดาวหลายคนมีบทบาทควบคุมฐานบินที่ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา ในขณะที่คอนดอรืได้อธิบายเสริมต่อไปว่า

    "จากสิ่งดังกล่าว ได้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลของเรากับตัวแทนมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเราไม่อาจเปิดเผยได้หมด เพียงแต่บอกว่ามันอยู่ในรัฐเนวาดา บริเวณที่เรียกว่าแอเรียที่ 51 หรือดรีมแลนด์"

    พอถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าบุคคลที่ใช้ชื่อรหัสลับว่าฟอลคอนและคอนดอร์นั้นมีบทบาทในคณะกรรมการเอ็มเจ-12 เพียงใด อาจกล่าวได้ว่า เขาทั้งสองกุมความลับเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวมากทีเดียว

    นี่คือคำถามที่บรรดานักวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินและมนุษย์ต่างดาว รวมทั้งผู้ที่สนใจติดตามข้อมูลดังกล่าวทั่วโลกสนใจใคร่รู้กันมาก ว่าเขาทั้งสองคือใคร ?

    มีผู้สันนิษฐานว่า คือบุคคลระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ บ้างก็สันนิษฐานว่าคือบุคคลระดับสูง ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานข่าวกรองกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DIA) เมื่อปี 1990 ทิมโมทีเคยถามไมเคิล เซลิกแมน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องสั้น เรื่อง "UFO COVER-UP? LIVE" ถึงผู้ที่ใช้รหัสลับฟอลคอน แต่ไมเคิลรีบปฏิเสธ แต่เคิร์ท บรูเบเกอร์ผู้อำนวยการร่วมได้บอกโดยไม่ได้ลังเลใจ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบฟอลคอนมาก่อน ว่าเขาสังสัยว่า ริชาร์ด โดที สายลับพิเศษนั่นเองคือฟอลคอนตัวจริง?
    ส่วนรหัสลับคอนดอร์นั้น ลีโอนาร์ด สตริงฟิลด์ นักค้นคว้าคนหนึ่งได้อ้างว่า เคยติดต่อกับคอนดอร์เมื่อปี 1985 หลายครั้ง ขณะที่คอนดอร์ปฏิบัติงานอยู่ที่ฐานบินกองทัพอากาศไรท์-แพตเตอร์สัน แต่เมื่อหลายฝ่ายตรวจสอบหลักฐานปรากฏว่าไม่ใช่คอนดอร์ตัวจริง จนกระทั่งโรเบิร์ต ฮัสติงได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ผู้ที่ใช้รหัสลับคอนดอร์ตัวจริงคือ โรเบิร์ต เอ็ม. คอนลินส์ อดีตนาวาอากาศเอกพิเศษแห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งเคยร่วมงานกับกลุ่มพลาสมาฟิสิกส์ ที่ศูนย์ทดลองแห่งชาติที่แซนเดีย เคยปฏิบัติงานที่ฐานบินกองทัพอากาศที่เคิร์ทแลนด์ จนกระทั่งปลดเกษียณเมื่อปี 1988
     
  4. allfornine

    allfornine Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณ ท่าน EBE มาก ครับ
     
  5. EBE

    EBE สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +2
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MJVP_Y79ml4&feature=related]YouTube - What was suppossedly inside the Alien ship found by Apollo 20?[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4C9lLLL-8s8]YouTube - Apollo 20 EBE. Mona Lisa 16 mm Film[/ame]
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

แชร์หน้านี้

Loading...