ดวงจิตวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย moondark999, 24 มกราคม 2010.

  1. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    .....ข้อมูลที่หนึ่ง.....ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์จากสารคดีดิสคัฟเวอรี พบว่า ตัวอสุจิของเพศชายนับแสนนับล้านตัวนั้น ตัวอสุจิแต่ละตัวจะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่มีแสงสว่างในตัวเองซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจิแต่ละตัว ตัวอสุจิจึงเกิดการเรืองแสงออกมาจากภายในของตัวอสุจิ ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่า พลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจินั้นคืออะไรได้แต่ตั้งสมมติฐานความน่าจะเป็นไว้ว่า น่าจะเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติดั่งเช่น ประจุไฟฟ้าหรือชนวนที่เป็นตัวทำหน้าที่นำพาตัวอสุจิให้พุ่งตรงเจาะเข้าไปทำปฏิสนธิภายในรังไข่<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่สอง.....<O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเป็นข่าวตามสื่อไม่นานมานี้พบว่า ร่างกายของมนุษย์เรืองแสงจากภายในออกมา แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดการเรืองแสงออมาจากภายในร่างกายได้ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่สาม.....<O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลความเชื่อของมนุษย์ตั้งแต่อดีตกาลที่ยาวนานจนถึงปัจจุบันกับการพบเห็น ดวงไฟดวงเล็กๆที่สามารถล่องลอยไปมาได้หรือวนๆเวียนๆสิงสถิต ณ.สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ ที่เชื่อว่า ดวงไฟดวงเล็กๆนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ของคนที่ตายไปแล้ว หากพิจารณาข้อมูลที่สามจากทั่วโลกก็จะมีข้อมูลที่เหมือนๆกันคล้ายๆกัน ดั่งเช่นหนังภาพยนตร์หลายเรื่องทั้งตะวันตกและตะวันออกที่พยายามสื่อสารให้คนดูได้เข้าใจว่า ดวงจิตวิญญาณของคนตายไปแล้วจะมีลักษณะดั่งเช่นดวงไฟดวงเล็กๆที่สามารถล่องลอยไปมาได้ หรือข้อมูลชัดเตอร์กดติดวิญญาณที่มนุษย์มีความเชื่อว่า ดวงไฟดวงเล็กๆที่ติดเข้ามาในภาพถ่ายนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่สี่.....<O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลของนักวิปัสสนากรรมฐานที่แพร่หลายตามแผงหนังสือที่หลากหลายมากมาย แต่เมื่อเอาข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์พิจารณารูปแบบของข้อมูล เราก็จะพบรูปแบบของข้อมูลที่เหมือนๆกันคล้ายๆกันข้อมูลหนึ่งก็คือ เมื่อเราพากเพียรนั่งสมาธิจนถึงจุดๆหนึ่งก็จะเกิดการโยกย้ายเคลื่อนย้ายสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกรับรู้ขันธ์ห้า จากร่างกายสังขารที่กำลังนั่งวิปัสสนาหลังคดหลังแข็งไปตั้งอยู่ยังดวงตาที่มีแสงสว่างห่อหุ้มล้อมรอบ มองไปทิศทางใดก็เห็นแต่แสงสว่างจ้า กับความรู้สึกที่มีตัวตนแต่ไม่มีตัวตนหรือมองไม่เห็นตัวตน เห็นแต่แสงสว่างล้อมรอบกับความรู้สึกที่เบาโปร่งโล่งสวยงามเย็นสบายตา <O:p></O:p>
    แล้วต่อมาก็เกิดภาพเหตุการณ์ที่เสมือนจริงเหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำแผ่นฟ้าอากาศต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งปลูกสร้างต่างๆมีความละเอียดคมชัดของภาพดั่งเช่นภาพเหตุการณ์ความฝันขณะที่เรานอนหลับ แล้วนักวิปัสสนาก็เรียกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นว่า ภาพนิมิต<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่ห้า.....<O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลของเพื่อนมนุษย์ในปัจจุบันหลายท่านสามารถจับความรู้สึกของพลังงานเล็กๆประมาณเมล็ดถั่วเมล็ดงาบริเวณหน้าผากของตนเองได้ หลายท่านสามารถกำหนดเคลื่อนย้ายพลังงานเล็กๆไปมาบริเวณใบหน้าและบนศีรษะของตนเองได้ และมีบางท่านกล้าที่จะฟันธงว่า ถ้าเราไม่ไปกำหนดเคลื่อนย้ายมัน มันจะตั้งถาวรของมันอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพลังงานเล็กๆที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองนั้นคืออะไร<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่หก.....<O:p></O:p>
    .....เป็นข้อมูลของนักบุญล้างป่าช้ากับการค้นพบกระโหลกศีรษะของมนุษย์บางคน มีรูเล็กๆประมาณเส้นผมแหย่เข้าไปได้ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของกระโหลกศีรษะ กับความเชื่อว่า มนุษย์ผู้นั้นบรรลุหรือสำเร็จอะไรบางสิ่งบางอย่าง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ข้อมูลที่เจ็ด.....<O:p></O:p>
    .....เป็นพระธรรมเทศนาบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าในพระสูตรคิริมานนทสูตร ข้อมูลของมหาบุรุษที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลย <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ดูก่อนอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้ แน่นอัดยัดเหยียดกันอยู่ในนรกดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุข ทุกข์ บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหา กามราคะกิเลสต่างๆ จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเหยียดกันดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือ ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุข แห่งกันและกัน เท่านั้นเอง”.....<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....พิจารณาดีๆข้อมูลของพระพุทธเจ้าระบุชัดเจนว่า วัตถุเล็กๆนั้นมีการ มองเห็น และมี ภาพเหตุการณ์ ที่บ่งบอกสภาวะแห่งความสุขและความทุกข์อยู่ภายในวัตถุพลังงานเล็กๆนั้น ชัดเจน...แต่วัตถุเล็กๆนั้นกลับไม่รู้ตัวกับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในวัตถุเล็กๆของตนเอง<O:p></O:p>

    ......................................

    ปุจฉา...เป็นไปได้หรือไม่...ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดข้อมูลเหล่านี้ คือ สิ่งเดียวกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ปุจฉา...ข้อมูลต่างๆที่ยกมานั้น พอเป็นเหตุผลที่จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อได้หรือไม่ว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา มันมีแหล่งกำเนิดพลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา ชัวร์ๆชัดๆ หมดสิทธิ์สงสัย ได้หรือไม่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ปุจฉา...เรียนผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตหรือดวงจิตของพระพุทธศาสนา...ข้อมูลของพระพุทธเจ้าที่แสดงมานั้น จริงเท็จแค่ไหน เชื่อถือได้หรือไม่ แล้วเราจะสังเกตได้จากอะไรหรือส่วนไหน..ของเรา<O:p></O:p>

    ....................................

    .....ข้อมูล...ความคิดเห็นส่วนตัว......<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .....ถ้าไม่มีดวงตา การมองเห็นก็จะไม่เกิดขึ้น.....และถ้าไม่มีแสงสว่าง ทุกๆสิ่งก็จะต้องมืดมิดมืดสนิท<O:p></O:p>
    แต่นี่เราเห็นชัดๆว่าเรามองเห็นภาพความนึกคิดต่างๆภายในร่างกายของเรา และขณะที่เรานอนหลับเราไปเอาดวงตาจากที่ไหนเฝ้ามองภาพความฝัน <O:p></O:p>
    และถ้าความฝันไม่มีแสงสว่าง เราจะมองเห็นภาพความฝันได้อย่างไร <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เรามองเห็นเข้าไปภายใน แต่ทำไมเราจึงมองไม่เห็นอวัยวะต่างๆภายในร่างกายของเรา แล้วไอ้พลังงานเล็กๆตรงหน้าผากของเรามันคืออะไร <O:p></O:p>
    ทำไมเราจึงกำหนดให้มันเคลื่อนย้ายไปมาบริเวณใบหน้าของตนเองได้ ที่ผมสงสัยและพยายามค้นหาแสวงหาคำตอบมาตลอดชีวิต<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ฉะนั้น จึงเชื่อได้ว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ประกอบด้วย ดวงตากับแสงสว่าง และแหล่งกำเนิดภาพเหตุการณ์<O:p></O:p>
    ความเป็น มิติ น่าจะเป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าทำไมตั้งแต่หลังปฏิสนธิเจริญเติบโตมาจนกระทั้งตาย เราจึงไม่มีข้อมูลการพบเห็นดวงไฟดวงเล็กๆหรือดวงจิตวิญญาณของเราเลยขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะผ่าตัดคนเป็นหรือผ่าศพคนตายจนทั่วก็ไม่มีข้อมูลการพบเห็นเลยภายในร่างกายของเรา ทั้งๆที่มีเพื่อนมนุษย์หลายคนต่างยืนยันอย่างมั่นใจว่าตนเองมีพลังงานเล็กๆตรงหน้าผากของตนเอง แล้วเราก็มีข้อมูลการพบเห็นหลังชีวิตความตาย ที่มนุษย์รู้ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์ดั่งเช่นสัตว์ต่างๆตั้งแต่โบราณกาลของมนุษย์<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    และความเป็น"มิติ"น่าจะเป็นเหตุผลที่ชัดเจน ว่าทำไมเราจึงรู้สึกว่าภาพความนึกคิดของเราจะว่าภาพมันอยู่ไกลแสนไกลมันก็ไกลแสนไกล แต่จะว่าใกล้แสนใกล้มันก็ใกล้แสนใกล้ เหมือนมีม่านมิติดำๆบางๆมาขวางกั้นเท่านั้นเอง

    ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า ภาพความนึกคิด ภาพความฝันและภาพจินตนาการต่างๆที่ทำให้สัตว์เกิดพฤติกรรมเหม่อลอย เหม่อมอง เฝ้ามองภาพต่างๆภายในจิตใจของตนเองนั้น ก็คือ ภาพที่ถูกสร้างขึ้นด้วย..แสง..ดั่งเช่น..แสงฉายหนังสามมิติ..ที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต <O:p></O:p>
    ถ้าเราสังเกตให้ดีๆดวงตาจะมองอยู่นิ่งๆดั่งเช่น คนดูหนังดูทีวีที่นั่งดูอยู่นิ่งๆ ภาพความนึกคิดต่างหากที่เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวล้อมรอบดวงตาดวงจิต<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ถ้าเรามองดวงอาทิตย์จากมุมมองด้านนอก เราก็จะเห็นดวงอาทิตย์เป็นเพียงวัตถุพลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองดวงหนึ่ง เท่านั้น<O:p></O:p>
    แต่ถ้าเรามีมุมมองจากใจกลางดวงอาทิตย์มองออกมา เราก็จะเห็นภาพดั่งที่เรากำลังมองเห็นภาพความนึกคิดภายในจิตใจของเราอยู่ในปัจจุบัน นั้นเอง<O:p></O:p>
    นี่เองคือเหตุผล ทำไมเราจึงรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นพระอาทิตย์ทรงกลมเกิดขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ดวงจิตวิญญาณของเราก็เช่นกัน มุมมองด้านหนึ่งจะมองเห็นเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่มีแสงสว่างในตัวเอง ที่บางครั้งเราจะเหลือบมองเห็นดวงจิตของตนเองเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่สะท้อนเข้ามาในรัศมีของสายตา เวลาที่เราเข้าไปในห้องแคบๆ เช่น ห้องน้ำ หรือในลิฟ <O:p></O:p>
    แต่การมองเห็นภาพความนึกคิดภายในจิตใจของเราก็คือ การมองออกมาจากใจแกนกลางของดวงไฟดวงเล็กๆนั้นมองออกมา นั้นเอง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    แสงที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต จึงเป็นดั่งเช่น..แสงฉายหนังสามมิติ..จึงทำให้ภาพมีความละเอียดคมชัดเสมือนจริง เหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบัน<O:p></O:p>
    ดวงตา จึงเป็นดั่งเช่น..เลนส์..เลนส์ของเครื่องฉายแสงสามมิติที่เป็นตัวฉายภาพออกมาเอง แล้วก็มองเอง แล้วก็หลงติดอยู่กับภาพของๆตนเอง ฉายเอง มองเอง แล้วก็ยิ้มหวานหัวเราะคิกๆคักๆเอง ........ฉายเอง มองเอง แล้วก็โกรธแค้นอาฆาตพยาบาทเอง ดั่งเช่นปัจจุบันที่เรากำลังเป็นอยู่นี่ไง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ด้วยเหตุนี้นี่เอง “แน่นอัดยัดเหยียดกัน...แต่ก็ไม่เห็นกันได้...ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือ ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุข แห่งกันและกัน เท่านั้นเอง”<O:p></O:p>
    ก็เพราะ ดวงจิตแต่ละดวงจะเห็นแต่ภาพความนึกคิดและภาพความทรงจำต่างๆของตนเองที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแสงที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต ดั่งเช่นปัจจุบันที่เรากำลังมองเห็นภาพความนึดคิดของเรา นั้นไง <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    .......พระจันทร์มืด999......<O:p></O:p>
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แนะนำ คุณมูนดาร์ค ก่อนจะเอาจากเวอร์ด หรือจากเว็บมาแปะ ให้เอาไปลงที่ nodpad ก่อน แล้วค่อยก๊อปจาก nodpad มาแปะที่โพสท์ อีกที ตัวอักษรมันจะได้ไม่เล็ก คนอ่านปวดตา ง่ะ หรือ
    ที่มุมขวาของโพสท์จะมีรูปไอคคอน [​IMG]
    กดไปทีนึงจะเข้า mode text มันจะล้างพวกโค๊ดแปลกทิ้งให้เหลือแต่ตัวอักษร ก็จะทำให้
    ตัวอักษรมันเป็นแบบปกติ ตัวใหญ่ นะ พอกดอีกทีก็จะเข้า mode graphic เห็นรูปได้ ลองเล่นดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2010
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    .....ข้อมูลที่หนึ่ง.....fficeffice" />>>
    .....เป็นข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์จากสารคดีดิสคัฟเวอรี พบว่า ตัวอสุจิของเพศชายนับแสนนับล้านตัวนั้น ตัวอสุจิแต่ละตัวจะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่มีแสงสว่างในตัวเองซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจิแต่ละตัว ตัวอสุจิจึงเกิดการเรืองแสงออกมาจากภายในของตัวอสุจิ ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่า พลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจินั้นคืออะไรได้แต่ตั้งสมมติฐานความน่าจะเป็นไว้ว่า น่าจะเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติดั่งเช่น ประจุไฟฟ้าหรือชนวนที่เป็นตัวทำหน้าที่นำพาตัวอสุจิให้พุ่งตรงเจาะเข้าไปทำปฏิสนธิภายในรังไข่>>
    > >
    .....ข้อมูลที่สอง.....>>
    .....เป็นข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเป็นข่าวตามสื่อไม่นานมานี้พบว่า ร่างกายของมนุษย์เรืองแสงจากภายในออกมา แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดการเรืองแสงออมาจากภายในร่างกายได้ >>
    > >
    .....ข้อมูลที่สาม.....>>
    .....เป็นข้อมูลความเชื่อของมนุษย์ตั้งแต่อดีตกาลที่ยาวนานจนถึงปัจจุบันกับการพบเห็น ดวงไฟดวงเล็กๆที่สามารถล่องลอยไปมาได้หรือวนๆเวียนๆสิงสถิต ณ.สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ ที่เชื่อว่า ดวงไฟดวงเล็กๆนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ของคนที่ตายไปแล้ว หากพิจารณาข้อมูลที่สามจากทั่วโลกก็จะมีข้อมูลที่เหมือนๆกันคล้ายๆกัน ดั่งเช่นหนังภาพยนตร์หลายเรื่องทั้งตะวันตกและตะวันออกที่พยายามสื่อสารให้คนดูได้เข้าใจว่า ดวงจิตวิญญาณของคนตายไปแล้วจะมีลักษณะดั่งเช่นดวงไฟดวงเล็กๆที่สามารถล่องลอยไปมาได้ หรือข้อมูลชัดเตอร์กดติดวิญญาณที่มนุษย์มีความเชื่อว่า ดวงไฟดวงเล็กๆที่ติดเข้ามาในภาพถ่ายนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว >>
    > >
    .....ข้อมูลที่สี่.....>>
    .....เป็นข้อมูลของนักวิปัสสนากรรมฐานที่แพร่หลายตามแผงหนังสือที่หลากหลายมากมาย แต่เมื่อเอาข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์พิจารณารูปแบบของข้อมูล เราก็จะพบรูปแบบของข้อมูลที่เหมือนๆกันคล้ายๆกันข้อมูลหนึ่งก็คือ เมื่อเราพากเพียรนั่งสมาธิจนถึงจุดๆหนึ่งก็จะเกิดการโยกย้ายเคลื่อนย้ายสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกรับรู้ขันธ์ห้า จากร่างกายสังขารที่กำลังนั่งวิปัสสนาหลังคดหลังแข็งไปตั้งอยู่ยังดวงตาที่มีแสงสว่างห่อหุ้มล้อมรอบ มองไปทิศทางใดก็เห็นแต่แสงสว่างจ้า กับความรู้สึกที่มีตัวตนแต่ไม่มีตัวตนหรือมองไม่เห็นตัวตน เห็นแต่แสงสว่างล้อมรอบกับความรู้สึกที่เบาโปร่งโล่งสวยงามเย็นสบายตา >>
    แล้วต่อมาก็เกิดภาพเหตุการณ์ที่เสมือนจริงเหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำแผ่นฟ้าอากาศต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งปลูกสร้างต่างๆมีความละเอียดคมชัดของภาพดั่งเช่นภาพเหตุการณ์ความฝันขณะที่เรานอนหลับ แล้วนักวิปัสสนาก็เรียกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นว่า ภาพนิมิต>>
    > >
    .....ข้อมูลที่ห้า.....>>
    .....เป็นข้อมูลของเพื่อนมนุษย์ในปัจจุบันหลายท่านสามารถจับความรู้สึกของพลังงานเล็กๆประมาณเมล็ดถั่วเมล็ดงาบริเวณหน้าผากของตนเองได้ หลายท่านสามารถกำหนดเคลื่อนย้ายพลังงานเล็กๆไปมาบริเวณใบหน้าและบนศีรษะของตนเองได้ และมีบางท่านกล้าที่จะฟันธงว่า ถ้าเราไม่ไปกำหนดเคลื่อนย้ายมัน มันจะตั้งถาวรของมันอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพลังงานเล็กๆที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองนั้นคืออะไร>>
    > >
    .....ข้อมูลที่หก.....>>
    .....เป็นข้อมูลของนักบุญล้างป่าช้ากับการค้นพบกระโหลกศีรษะของมนุษย์บางคน มีรูเล็กๆประมาณเส้นผมแหย่เข้าไปได้ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของกระโหลกศีรษะ กับความเชื่อว่า มนุษย์ผู้นั้นบรรลุหรือสำเร็จอะไรบางสิ่งบางอย่าง>>
    > >
    .....ข้อมูลที่เจ็ด.....>>
    .....เป็นพระธรรมเทศนาบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าในพระสูตรคิริมานนทสูตร ข้อมูลของมหาบุรุษที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลย >>
    > >
    .....“ดูก่อนอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้ แน่นอัดยัดเหยียดกันอยู่ในนรกดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุข ทุกข์ บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหา กามราคะกิเลสต่างๆ จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเหยียดกันดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือ ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุข แห่งกันและกัน เท่านั้นเอง”.....>>
    > >
    .....พิจารณาดีๆข้อมูลของพระพุทธเจ้าระบุชัดเจนว่า วัตถุเล็กๆนั้นมีการ “มองเห็น” และมี “ภาพเหตุการณ์” ที่บ่งบอกสภาวะแห่งความสุขและความทุกข์อยู่ภายในวัตถุพลังงานเล็กๆนั้น ชัดเจน...แต่วัตถุเล็กๆนั้นกลับไม่รู้ตัวกับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในวัตถุเล็กๆของตนเอง>>

    ......................................

    ปุจฉา...เป็นไปได้หรือไม่...ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดข้อมูลเหล่านี้ คือ สิ่งเดียวกัน>>
    >>
    ปุจฉา...ข้อมูลต่างๆที่ยกมานั้น พอเป็นเหตุผลที่จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อได้หรือไม่ว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา มันมีแหล่งกำเนิดพลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา ชัวร์ๆชัดๆ หมดสิทธิ์สงสัย ได้หรือไม่>>
    >>
    ปุจฉา...เรียนผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตหรือดวงจิตของพระพุทธศาสนา...ข้อมูลของพระพุทธเจ้าที่แสดงมานั้น จริงเท็จแค่ไหน เชื่อถือได้หรือไม่ แล้วเราจะสังเกตได้จากอะไรหรือส่วนไหน..ของเรา>>

    ....................................

    .....ข้อมูล...ความคิดเห็นส่วนตัว......>>
    > >
    .....ถ้าไม่มีดวงตา การมองเห็นก็จะไม่เกิดขึ้น.....และถ้าไม่มีแสงสว่าง ทุกๆสิ่งก็จะต้องมืดมิดมืดสนิท>>
    แต่นี่เราเห็นชัดๆว่าเรามองเห็นภาพความนึกคิดต่างๆภายในร่างกายของเรา และขณะที่เรานอนหลับเราไปเอาดวงตาจากที่ไหนเฝ้ามองภาพความฝัน >>
    และถ้าความฝันไม่มีแสงสว่าง เราจะมองเห็นภาพความฝันได้อย่างไร >>
    > >
    เรามองเห็นเข้าไปภายใน แต่ทำไมเราจึงมองไม่เห็นอวัยวะต่างๆภายในร่างกายของเรา แล้วไอ้พลังงานเล็กๆตรงหน้าผากของเรามันคืออะไร >>
    ทำไมเราจึงกำหนดให้มันเคลื่อนย้ายไปมาบริเวณใบหน้าของตนเองได้ ที่ผมสงสัยและพยายามค้นหาแสวงหาคำตอบมาตลอดชีวิต>>
    > >
    ฉะนั้น จึงเชื่อได้ว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ประกอบด้วย ดวงตากับแสงสว่าง และแหล่งกำเนิดภาพเหตุการณ์>>
    ความเป็น “มิติ” น่าจะเป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนที่สุด ว่าทำไมตั้งแต่หลังปฏิสนธิเจริญเติบโตมาจนกระทั้งตาย เราจึงไม่มีข้อมูลการพบเห็นดวงไฟดวงเล็กๆหรือดวงจิตวิญญาณของเราเลยขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะผ่าตัดคนเป็นหรือผ่าศพคนตายจนทั่วก็ไม่มีข้อมูลการพบเห็นเลยภายในร่างกายของเรา ทั้งๆที่มีเพื่อนมนุษย์หลายคนต่างยืนยันอย่างมั่นใจว่าตนเองมีพลังงานเล็กๆตรงหน้าผากของตนเอง แล้วเราก็มีข้อมูลการพบเห็นหลังชีวิตความตาย ที่มนุษย์รู้ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์ดั่งเช่นสัตว์ต่างๆตั้งแต่โบราณกาลของมนุษย์>>
    > >
    และความเป็น"มิติ"น่าจะเป็นเหตุผลที่ชัดเจน ว่าทำไมเราจึงรู้สึกว่าภาพความนึกคิดของเราจะว่าภาพมันอยู่ไกลแสนไกลมันก็ไกลแสนไกล แต่จะว่าใกล้แสนใกล้มันก็ใกล้แสนใกล้ เหมือนมีม่านมิติดำๆบางๆมาขวางกั้นเท่านั้นเอง

    ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า ภาพความนึกคิด ภาพความฝันและภาพจินตนาการต่างๆที่ทำให้สัตว์เกิดพฤติกรรมเหม่อลอย เหม่อมอง เฝ้ามองภาพต่างๆภายในจิตใจของตนเองนั้น ก็คือ ภาพที่ถูกสร้างขึ้นด้วย..แสง..ดั่งเช่น..แสงฉายหนังสามมิติ..ที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต >>
    ถ้าเราสังเกตให้ดีๆดวงตาจะมองอยู่นิ่งๆดั่งเช่น คนดูหนังดูทีวีที่นั่งดูอยู่นิ่งๆ ภาพความนึกคิดต่างหากที่เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวล้อมรอบดวงตาดวงจิต>>
    > >
    ถ้าเรามองดวงอาทิตย์จากมุมมองด้านนอก เราก็จะเห็นดวงอาทิตย์เป็นเพียงวัตถุพลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองดวงหนึ่ง เท่านั้น>>
    แต่ถ้าเรามีมุมมองจากใจกลางดวงอาทิตย์มองออกมา เราก็จะเห็นภาพดั่งที่เรากำลังมองเห็นภาพความนึกคิดภายในจิตใจของเราอยู่ในปัจจุบัน นั้นเอง>>
    นี่เองคือเหตุผล ทำไมเราจึงรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นพระอาทิตย์ทรงกลมเกิดขึ้น>>
    > >
    ดวงจิตวิญญาณของเราก็เช่นกัน มุมมองด้านหนึ่งจะมองเห็นเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่มีแสงสว่างในตัวเอง ที่บางครั้งเราจะเหลือบมองเห็นดวงจิตของตนเองเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่สะท้อนเข้ามาในรัศมีของสายตา เวลาที่เราเข้าไปในห้องแคบๆ เช่น ห้องน้ำ หรือในลิฟ >>
    แต่การมองเห็นภาพความนึกคิดภายในจิตใจของเราก็คือ การมองออกมาจากใจแกนกลางของดวงไฟดวงเล็กๆนั้นมองออกมา นั้นเอง>>
    > >
    แสงที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต จึงเป็นดั่งเช่น..แสงฉายหนังสามมิติ..จึงทำให้ภาพมีความละเอียดคมชัดเสมือนจริง เหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบัน>>
    ดวงตา จึงเป็นดั่งเช่น..เลนส์..เลนส์ของเครื่องฉายแสงสามมิติที่เป็นตัวฉายภาพออกมาเอง แล้วก็มองเอง แล้วก็หลงติดอยู่กับภาพของๆตนเอง ฉายเอง มองเอง แล้วก็ยิ้มหวานหัวเราะคิกๆคักๆเอง ........ฉายเอง มองเอง แล้วก็โกรธแค้นอาฆาตพยาบาทเอง ดั่งเช่นปัจจุบันที่เรากำลังเป็นอยู่นี่ไง>>
    > >
    ด้วยเหตุนี้นี่เอง “แน่นอัดยัดเหยียดกัน...แต่ก็ไม่เห็นกันได้...ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือ ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุข แห่งกันและกัน เท่านั้นเอง”>>
    ก็เพราะ ดวงจิตแต่ละดวงจะเห็นแต่ภาพความนึกคิดและภาพความทรงจำต่างๆของตนเองที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแสงที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาดวงจิต ดั่งเช่นปัจจุบันที่เรากำลังมองเห็นภาพความนึดคิดของเรา นั้นไง >>
    > >
    .......พระจันทร์มืด999......>>
     
  4. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบคุณครับคุณ k.kwan
    ที่มองเห็นข้อเสีย ข้อด้อย ของผม แล้วให้คำแนะนำมา ไม่หวงวิชา
    เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

    ผมพึงหัดเล่นคอม และไม่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย จริงๆครับ
    เพราะอยากแสวงหาความรู้ ความสงสัยความเป็นสิ่งมีชีวิตของตนเอง
    จึงพากเพียร กว่าช่างตัดผมจนๆคนหนึ่งจะได้คอมมือสองมาใช้

    แล้วที่คุณ k.kan เอากระทู้ของตนเองมาต่อได้ ทำไงครับ
    เพราะกระทู้ต่อไปของผม มีความจำเป็นต้องเอากระทู้เก่ามาอ้างอิงต่อท้ายครับ
    จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับคำแนะนำจากคุณ k.kan อีกครั้ง หรือจากท่านผู้รู้กรุณาแนะนำ

    ขอบคุณ k.kan อีกครั้ง ที่มีสายตาช่างสังเกต วิเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ
    และมีน้ำจิตน้ำใจที่กว้างขวางดั่งมหาสมุทร
    บุคคลที่ค้นหาแสวงหายากแสนยาก
    ขอบพระคุณครับ

    .....พระจันทร์มืด999.....
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การอ้างลิงค์ไปที่กระทู้อื่น ให้ก๊อป URL adrress ที่อยู่ด้านบน ที่ขึ้นต้นด้วย http
    มาแปะบนโพสท์ ได้เลยค่ะ แบบนี้ ก๊อป แปะด้วยคลิกขวาที่เม้าส์ ค่ะ " http://palungjit.org/threads/ดวงจิตวิญญาณ.224142/ "
     
  6. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบพระคุณครับ
     
  7. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    อิอิ
    คุณขวัญ ก็อปมาก้อไม่บอก อ่านจบแล้ว เลื่อนลงมา
    อ้าววว ฮ๋าๆๆ
    ^^
     
  8. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    ขอเเสดงความคิดเห็นหน่อยครับ คุณ.พระจันทร์มืด999.

    เคยเห็นนะ พวกสัตว์โลกบางชนิดที่มีเเสงสว่างในตัวเอง
    มันอาจจะอัศจรรย์ใจเราเนอะ ที่ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ค่อยเห็น
    บางครั้งผมดูสารคดีมากมาย ก็แปลกตาตัวเอง แต่ก็สวยดี

    [​IMG]
    หิ้งห้อย อันนี้สมัยเด็กเห็นบ่อยเดี๋ยวนี้ไม่เห็นเลย
    [​IMG]
    กะพรุนอีกชนิดที่ทีมสำรวจค้นพบ (ภาพ : AFP PHOTO/LUIS LIWANAG)

    ส่วนตัวผมเอง มนุษย์ ก็เห็นมีถ่ายภาพรังสีอะไรสักอย่างเนี่ย
    แต่มีแสงในตัวมนุษย์ยังไม่เจอนะ ^^
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    หะๆ


    โลกเรามันก็แต่ละครเรื่องหนึ่งละมั้ง...
     
  10. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    จิต มีลักษณะเป็นดวงกลม มีแสงสว่างตามแแต่พลังงานของจิตดวงนั้น จิตวิญญานของผู้ไม่เคยปฏิบัติธรรม เป็นดวงจิตที่หม่นหมอง ไม่มีรูปกาย ในโลกวิญญานมีแต่ความมืดมนไร้แสงสว่าง จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก เพราะไม่มีพลังงานของจิตในการเคลื่อนไหว จิตนั้นแบ่งเป็นสภาวะของจิตตามลำดับชั้นของจิต เป็นจิตมนุษย์ จิตวิญญาน จิตเทพ(มีหลายชั้น) จิตพรหม จิตอรูปพรหม จิตโพธิสัตว์ จิตพุทธ ความสว่างของดวงจิตแต่ละชั้นจะแตกต่างกันจิตแห่งพุทธนั้นสว่างไสวที่สุด ส่องได้หมดทั้ง 3 โลก จึงได้รู้เห็นและเข้าใจในทุกสิ่ง(จิตรู้) และความรู้อันยิ่งคือการเข้าถึงความหลุดพ้น ส่วนจึงวิญญานที่มืดมนย่อมไม่สามารถมองสิ่งใดได้แจ่มชัดต้องติดอยู่ในบ่วงกรรม และพันธสัญญาทางจิตให้ทุกข์ทรมาน ต่อเมื่อมีผู้ปฏิบัติธรรมมีดวงจิตอันสุกสว่าง ได้ปลดพันธสัญญาทางจิตให้แก่วิญญานดวงนั้นๆ โดยการเทศนาธรรมอันเป็นการบลดบ่วงในจิตให้เกิดการปล่อยวาง(พันธสัญญาเก่า) แล้วแผ่แสงสว่างแห่งจิตของผู้ปฏิบัติ(พลังงานจิตอันบริสุทธิ์) เมื่อจิตวิญญานดวงนั้นได้รับแสงสว่างนั้นด้วยดวงจิตที่ปล่อยวาง จิตก็จักบังเกิดแสงสว่างตามสภาวะของจิตขณะนั้น แล้วจึงดำเนินไปในวิถีของจิต(เส้นทางของจิตวิญญาน) ตามแต่บุญและกรรมที่ได้กระทำมา เพิ่มเติม...จิตของผู้ปฏิบัติสมาธิธรรม สามารถสร้างกายทิพย์ได้ครับ แต่จิตวิญญานที่ไม่มีพลังจิต(ไม่มีฤทธิ์)ไม่สามารถสร้างกายทิพย์ได้ เรื่องของจิตมีรายละเอียดอีกมากครับ ต้องปฏิบัติดูจึง จะรู้ว่าการไม่มีอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วทำไมถึงรับรู้ได้ คำว่ารู้ด้วยจิต เห็นด้วยจิต สัมผัสด้วยจิต เข้าถึงด้วยจิต และหลุดพ้นด้วยจิต มันเป็นอย่างไร แล้วก็จะสิ้นความสงสัยเองครับ
     
  11. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ยิ่งทำให้มึน สงสัยใหญ่
    ..จิต..คืออะไรครับ มีโครงสร้า้งองค์ประกอบอย่างไร
    แล้วจิตที่เป็นทรงกลมตอนนี้ มันอยู่ที่ไหน
    ทำไมมันจึงไม่มีข้อมูลพบเห็นขณะที่เรามีชีวิตอยู่
    แต่ทำไมจึงมีข้อมูลพบเห็นหลังชีวิตความตายละครับ
    แล้วเราใช้อะไรมองภาพนึกคิดของเราอยู่ครับ จิตหรือสมอง
    แล้วเราจะทำอย่างไรเราจึงจะเห็น..ดวงตา..ที่เรากำลังใช้มองภาพนึกคิดของเราอยู่ครับ

    ไม่ได้ดูหมิ่นหรือลองของอะไรนะ่ครับ เพียงแต่ผมต้องการรู้จริงๆ
    ผมนั่งสมาธิจนเกิดนิมิต ผมก็ต้องมาสงสัยอีกว่า ภาพนิมิตมันคืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมันอยู่ที่ไหน
    ทำไมมันจึงคล้ายๆความฝัน ต่างกันเพียงมีสติกับไม่มีสติ หรือตื่นนอนกับนอนหลับเท่านั้น
     
  12. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    1.จิตเกิดจากส่วนที่เล็กที่สุดของพลังงานบริสุทธิ์ เป็นธาตุธรรมอันละเอียดที่สุดเล็กที่สุดไม่มีสิ่งใดที่จะละเอียดกว่านี้อีก(ธาตุเดิมแท้) และเกิดการรวมกันเข้าเป็นดวงจิต เมื่อปฏิบัติไปในเรื่องของจิตให้ละเอียดถึงที่สุด จะปรากฎแต่เพียงจิต กับพลังงานเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ต้องอาศัยการพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ
    2.สิ่งที่มีรูปลักษณ์ มองเห็น จับต้องได้ในโลกธาตุนั้น เกิดจากการรวมกันของธาตุทั้ง 4 ก่อรวมกัน เป็นรูป จิตอาศัยธาตุธรรมอันละเอียด(อณูธาตุที่เล็กที่สุด) ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อได้ จิตจึงเป็นเพียงนามธรรม เมื่อรูปก่อเกิดตามกระแสแห่งกรรมให้เกิดรูปลักษณ์เป็นชายหญิง สูงต่ำ ดำขาว แตกต่างกัน จิตจึงเข้าไปอาศัยรูปกายนั้นก่อเกิดเป็นชีวิตขึ้น ตำแหน่งที่จิตมักเข้าไปอาศัยอยู่คือตำแหน่งกลางทรวงอก แต่ไม่ต้องใช้เครื่องมือค้นหา ถึงจะผ่าก็ไม่เห็นครับ(เพราะอย่างนี้มันจึงนามธรรม) ถ้าเราฝึกจิตให้เคลื่อนไปในกายได้ สามารถก่อเกิดพลังงาน และชักนำพลังนั้นเข้าสู่ส่วนต่างแต่ละจุดของกาย บางท่านก็ฝึกเป็นจักรกระ เป็นพลังจักรวาล หรือ พลังซีกง พลังปราณ หรือกำลังภายในก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญให้ใช้ได้ในความเป็นจริงคือ อาจรักษาอาการป่วยของตนเอง ของผู้อื่น หรือป้องกันตัวเอง เป็นต้น(เรื่องของจิตฝึกเท่าใดก็ไม่จบ จะจบเรื่องของจิตเมื่อเข้าสู่วิธีการดับอย่างพุทธเท่านั้น)
    3.ชีวิตหลังความตาย(ภพภูมิ) มนุษย์ส่วนใหญ่กลัวความตาย ส่วนดวงจิตที่บริสุทธิ์นั้นกลัวการเกิด จิตมนุษย์ส่วนใหญ่จะมีจิตที่เป็นอุปทาน อย่างที่พระพุทธศาสนากล่าวเรื่องอุปทานของจิต เราเคยได้รับรู้ รับฟัง ถ้าเป็นยุคนี้คือการดูหนังดูละคร จิตได้เกิดสัญญา และปรุงแต่งไปตามสภาวะ ส่วนใหญ่ผู้เห็นจิตวิญญานจะเป็นผู้ที่จิตอ่อน จะเรียกว่าอยู่ในเคราะห์ก็มี แต่รวมแล้วพลังงานของจิตอ่อน หรือป่วยด้วยโรคภัย แม้แต่ผู้ใกล้เสียชีวิต มักจะพบเห็นจิตวิญญานของผู้ที่ตายไปแล้ว ส่วนใหญ่จิตวิญญานเหล่านั้นจะมีพลังงานจิตมากกว่ามนุษย์ เมื่อคลื่นของจิตถูกดึงเข้าหากัน วิญญานจึงสามารถให้ดวงจิตอีกดวงมองเห็นตนในรูปลักษณ์ที่ต้องการแสดง อย่าลืมว่าจิตวิญญานไม่มีธาตุทั้ง 4 ย่อมไม่มีรูปกายจับต้องได้เหมือนมนุษย์ แต่ก็มีผู้ปฏบัติบ้างท่านเมื่อปฏิบัติไปเกิดการเห็นของรูปวิญญานมาปรากฏในรูปลักษณ์ที่น่ากลัว เป็นเพราะจิตบางดวงที่ตายสัญญาเก่าในจิต คือจิตสุดท้ายก่อนออกจากร่างมีลักษณะใดก็จะทำให้เกิดมายาปรากฏเป็นภาพในลักษณะนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการต้องการให้ช่วยทำบุญให้ ส่วนจิตวิญญานที่ปฏิบัติดีมีบุญนั้นก็จะมีกายทิพย์ที่เกิดตามความบริสุทธิ์ของจิตดวงนั้น แต่การปรากฏต้องใช้พลังงานสูงมาก ดังนั้นการจะเห็นกายทิพย์ของผู้อื่นได้ผู้ปฏิบัติต้องมีจิตบริสุทธิ์เหมือนจิตเจ้าของกายทิพย์(กระแสจิตที่บริสุทธิ์เหมือนกัน)
    4.การมองเห็นภาพคือการทำงานของแสงที่ตกกระทบต่อวัตถุเข้าสู่ดวงตาผ่านเข้าสู่สมองก็เกิดเป็นสัญญา(ความจำ) เข้าสูดวงจิต(เกิดการปรุงแต่งตามสภาวะของจิต) เกิดความชอบไม่ชอบ อยากได้อยากมี อยากเป็น(ตัณหา) และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะมั่นคงยั่งยืนไม่แปรเปลี่ยนมีอยู่จริง เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น(อุปทาน) แล้วสิ่งที่ตามนุษย์มองไม่เห็นละคลื่นแสงที่ละเอียดกว่า บริสุทธิ์ มีอีกมากมายเมื่อจิตละเอียดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง มีสติรู้อย่างเป็นธรรมชาติ(รู้ตัวตลอดเวลา) จิตจะเกิดญานรู้(วิชชา) จิตจะรู้เท่าทันต่อสิ่งอายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเข้าสู่ใจ สัญญาในจิตนั้นมีอยู่ เห็นดวงตาจำได้ ตาทำหน้าที่เพียงแค่เห็น ส่งสัญญานภาพผ่านเข้าสู่สมอง ส่วนการปรุงแต่งนั้นอยู่ดวงจิต จิตรับรู้ก่อเกิดเรื่องราวมากมายสั่งสมในจิต ยิ่งพยามนั่งหลับตาให้นิ่งมันก็ไม่ยอมนิ่ง มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นฟุ้งไปหมด ต่อเมื่อเราดับเรื่องราวความรู้สึกภายในจิต(หยุดการปรุงแต่งในจิต) คือการปล่อยวางทุกเรื่องราว จิตจะว่าง คล้ายภาชนะที่ว่างเปล่า ในสภาวะของจิตขณะนั้นอาจเกิดญานรู้ บางครั้งรู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น มันรู้ขึ้นมาของมันเอง ไม่ได้ผ่านการคิดของสมอง ไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้ฟังด้วยหู และเราก็เข้าใจสิ่งเหล่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านเรียกจบมาในวิถึความเป็นมนุษย์ในยุคนั้นตั้งหลายศาสตร์ มีวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นด้วยครับ แม้แต่การฝึกจิตอย่างฤาษี แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถตอบปัญหาหรือแก้ไขเรื่องของจิตได้ แต่เมื่อท่านได้ทิ้งทุกศาสตร์ และฝึกจิตกับธรรมชาติโดยแท้ ท่านกลับเข้าใจในทุกศาสตร์แม้แต่เรื่องปรมณูของจิต(จิตกับพลังงาน) แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการทำดวงจิตให้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในธรรมชาติ เป็นการดับสภาวะธรรมชาติ เป็นจิตเหนือธรรมชาติ(การเวียนว่ายตายเกิด) จิตจึงกลับสู่ธาตุเดิมแท้ มีนักวิทยาศาสตร์ไทย ที่ประดิษฐ์ขายานอวกาศ ท่านคิดแทบตายคิดไม่ออก แต่เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิมันก็เกิดขึ้นมาเองในจิต แม้แต่คุณ ไอน์สไตส์ก็เคยเกิดการคิดสูตรทางวิทยาศาสตร์ด้วยการทำจิตนิ่งๆ เช่นกัน แต่ทางพุทธทำได้ยิ่งกว่านั้นมากครับ
    5.นิมิตทางจิต ครูบาอาจารย์ และนักปฏิบัติหลายท่านต่างให้บอกว่าอย่าไปสนใจ เห็นก็เห็นไปเรารู้เฉยๆก็พอเดี๋ยวมันก็หายไป ดังนั้นนิมิตจึงมีทั้งจริงและหลอก ที่บอกว่าหลอกเพราะบางครั้งเราเห็น นู่น นี่ นั่น แต่พอเราลืมตาตื่นสู่ความเป็นจริงมันไม่เห็นจะมีอะไรการเกิดนิมิตแบบนี้เกิดจากอุปทานของจิตที่ยังไม่ถูกล้าง แต่ถ้าเกิดนิมิตจากสมาธิที่นิ่งลึกไปอีก ก็จะเป็นนิมิตเทียบเคียบต่อตัวเรา เช่น เป็นการบอกถึงวิถีมนุษย์ของเราหรือ วิถีการปฏิบัติของเราเป็นส่วนใหญ่ จะขออธิบายพอสังเขปว่า เมื่อมีดวงจิตย่อมมีกระแสจิต(คลื่นของจิต) ถ้าจิตของเราจูนติดกับคลื่นใดก็มักจะปรากฏคลื่นนั้นในสภาวะจิตเรา(เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต) เช่นถ้าเราเข้าสมาธิในระลึกได้แล้วปรากฏเป็นพระสงฆ์สักองค์ เช่นท่านอาจารย์โต พรหมรังษี แต่จิตต้องเบาบางจากอุปทานของจิตด้วยคือไม่ชอบเป็นการส่วนตัวเสียก่อนอย่างนี้ก็เป็นคลื่นจิตท่านจูนกับตัวเราได้ชั่วขณะของความสงบของจิตในขณะนั้น ส่วนจิตที่จะปรากฏเป็นนิมิตที่แท้จริงส่วนใหญ่จะปรากฏในสภาวะของจิตอรูปพรหม เพราะจิตดับอุปทานของรูป เป็นจิตที่ไม่ติดอยู่ในรูป เมื่อเข้าสมาธิในชั้นนี้หากเกิดนิมิตจะเป็นนิมิตที่แท้เป็นส่วนใหญ่ เพราะการปรากฏรูปลักษณ์ขึ้นในชั้นของจิตที่ดับรูปแล้วย่อมเป็นนิมิตที่แท้กว่าชั้นของจิตที่อาศัยรูป ในสมัยผมยังเด็ก เคยมีข่าวหนังสือพิมพิ์หลายฉบับไปพิสูจน์สาวตาทิพย์ โดยการใช้ผ้าผูกตาให้แน่นหนา แล้วขับรถยนต์ในกรุงเทพ ผลปรากฏว่าเธอขับได้โดยไม่ชนกับใครเลยเป็นเรื่องน่าแปลก และจับผิดไม่ได้ด้วย แต่ในพุทธศาสนาทำได้ยิ่งกว่านั้น อีกอย่างเรื่องของมิตินี้มีจริงครับ โดยปกติผมไม่ค่อยได้ตอบโพสในกระทู้มากนัก เพราะเรียนน้อยจึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ก็เคยศึกษามาบ้าง แต่ที่เข้ามาดูเพราะเห็นว่าน่าสนใจมีประโยชน์ครับ ผมยังมีหลายอย่างที่ไม่รู้ไม่เข้าใจอีกมากยังอีกนานกว่าเข้าถึงเรื่องของจิตอันเป็นอจินไตย แต่ผมเห็นว่าคุณกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง เหมือนตัวผมแต่คนละวิธีเท่านั้น การคุยกันก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งที่รู้แตกต่างกัน หรือเหมือนกัน เพื่อให้เกิดภูมิปัญญาและการพัฒนาดวงจิต ไม่ได้มาป่วนหรือเจตนาไม่ดีนะครับ ผมยินดีที่มีผู้ค้นหาเรื่องของจิต เพราะนั้นคือเขาได้เริ่มค้นหาตัวเองในการเข้าถึงความรู้ เมื่อไหร่ที่เราได้คำตอบเราจะเข้าใจและหยุดคิด แล้วเราก็จะรู้ เหมือนคนที่จะเดินทางก็ต้องหาแผนที่แล้วศึกษาเพื่อไปในเส้นทางนั้น แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้งต่อเมื่อได้เดินเข้าสู่เส้นทางนั้นด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจ ขอให้คุณเข้าสู่เส้นทางแห่งจิต และวิถีแห่งพุทธธรรมได้ในเร็ววันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...