ชีวิตเกิดได้อย่างไร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 9 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เหมือนสิ่งมีชีวิตมีวิญญาณอื่นทั้งหลาย ซึ่งอาจอยู่ในโลกของเรานี้ หรืออยู่ในภพภูมิอื่น เช่น เป็นผี เป็นเปรต เป็นโอปปาติกะ เป็นเทวดา เป็นเทพ เป็นพรหม ฯ เป็นต้น ซึ่งแม้เราจะไม่สามารถรู้เห็นด้วยตาเรา แต่ก็เป็นสิ่งที่ศาสนาต่างๆยืนยันว่ามีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติสมาธิจนจิตถึงระดับหนึ่งแล้ว จะสามารถรู้เห็นได้ สมัยใหม่เรียกว่าอยู่ใน มิติ อื่น หากเรามีเครื่องมือที่สามารถจับพลังในมิติอื่นได้เราก็คงจะได้เห็น ดังนั้น ความหมายของการเกิดในทางพุทธศาสนาจึงครอบคลุมไปถึงการเกิดในภพภูมิอื่นๆด้วย

    ในทางวิทยาศาสตร์เรารู้ว่าชีวิตของคนและสัตว์ เกิดจากการผสมของไข่จากแม่กับอสุจิจากพ่อ แล้วมีการเจริญเติบโตในมดลูกของแม่ ถ้าสภาพต่างๆถูกต้องเมื่ออยู่ในครรภ์จนครบกำหนดเวลาของสัตว์แต่ละชนิดก็จะคลอดออกมาและเริ่มต้นชีวิต สัตว์บางชนิดปล่อยไข่ออกมาข้างนอกและเจริญเป็นตัวออกจากไข่และเริ่มต้นชีวิต บางชนิดเกิดจากการแบ่งตัว เช่น แบคทีเรีย ฯ

    ทางพุทธศาสนาได้อธิบายถึงการเกิดของสัตว์โลกไว้มากกว่านั้น คือนอกจากสัตว์โลกยังรวมถึงภพภูมิอื่นที่มนุษย์เราไม่รู้จักอีก โดยอธิบายได้ว่าการเกิดมี 4 แบบ คือ

    <TABLE width="80%" align=center bgColor=#ecfff9><TBODY><TR><TD>1.ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์ออกเป็นตัว ได้แก่ มนุษย์และสัตว์บางจำพวก
    2.อัณฑะชะกำเนิด คือ การเกิดในฟองไข่ นับเป็นการเกิด 2 ครั้ง คือในไข่ 1 ครั้ง และเมื่อฟักตัวออกจากไข่อีกครั้ง
    3.สังเสทชะกำเนิด คือ การเกิดจากเถ้าไคลของสิ่งสกปรก ได้แก่บรรดาสัตว์เซลเดียวพวกเชื้อโปรโตซัว แบคทีเรีย เชื้อราทั้งหลาย
    4.โอปปาติกะกำเนิด คือ การเกิดที่มีการผุดขึ้นมาทันที เป็นตัวใหญ่เลย ไม่มีการเติบโตอีก มีแต่ตายไป ได้แก่ การเกิดของพวกชีวิตชั้นต่ำได้แก่เปรต อสุรกาย ไปจนถึงชั้นสูงได้แก่เทพ เทวดา พรหม ยกเว้นมนุษย์และสัตว์บางจำพวก ซึ่งเป็นการเกิดเป็นส่วนใหญ่ของสัตว์โลก รวม 29 ภูมิ ถ้ารวมมนุษย์ และสัตว์เดรัจฉานจะมีทั้งหมด 31 ภพภูมิ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำหรับการเกิดของมนุษย์นั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์หรือไม่ที่พระพุทธองค์ได้อธิบายอย่างละเอียดถูกต้องจนถึงระดับของเซลล์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2600 ปีก่อน ก่อนมีวิทยาศาสตร์คือบอกว่าการเกิดของมนุษย์ต้องมีองค์สาม คือ บิดามารดาอยู่ร่วมกันหนึ่ง มารดายังมีประจำเดือนหนึ่ง และมีคันธัพพะมาปรากฏในครรภ์มารดาหนึ่ง ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์ที่เรารู้ปัจจุบันกับทางพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์อธิบายไว้ในอดีตนั้นต่างกันตรงนี้คือ ทางศาสนามี คันธัพพะ คันธัพพะคืออะไร คันธัพพะคือจุติวิญญาณที่เข้ามาจุติในครรภ์มารดา เป็นปฏิสนธิวิญญาณซึ่งเกิดขึ้นทันที (ผู้รู้บางท่านว่าอาจเกิดขึ้นได้ภายใน 7 วันหลังปฏิสนธิ) ซึ่งอาจเป็นวิญญาณจากมนุษย์ เทพ เทวดา หรือสัตว์นรกที่ตายไปแล้วจุติลงมาเกิดในครรภ์ ทางพุทธศาสนาถือว่าคันธัพพะนี้มีความสำคัญต่อการเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าปราศจากเสียแล้วจะเกิดเป็นชีวิตมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้ (ตรงกับหลักปฏิจจสมุปบาทข้อที่ว่า นามรูปมีได้ เพราะว่าวิญญาณเป็นปัจจัย) ซึ่งเรื่องนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังรู้ไม่ถึง เป็นเรื่องน่าคิดว่าขณะนี้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าถึงสามารถนำไข่มาผสมกับอสุจินอกครรภ์มารดาได้ และเลี้ยงจนแยกเป็น 2-8 เซลได้แล้ว แต่ต้องนำไปใส่ในครรภ์มารดาจึงจะเกิดเป็นเด็ก ถ้าใครสามารถจะเลี้ยงจนโตเป็นเด็กอยู่ในห้องทดลองและเติบโตเป็นมนุษย์ได้คงจะพิสูจน์ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าพิจารณาตามที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า

    ดูกรอานนท์หากวิญญาณจักไม่หยั่งสู่ครรภ์มารดา ชีวิตใหม่ (นามรูป) จักเกิดในครรภ์มารดาได้หรือ

    พระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่ได้พระเจ้าข้า

    ตรัสถามต่อไปว่า ดูก่อนอานนท์หากวิญญาณหยั่งลงสู่ครรภ์มารดาแล้ว จักเลยไปเสีย (ดับ) นามรูปจักเกิดได้อย่างนี้หรือ

    พระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่ได้พระเจ้าข้า

    ในที่สุดพระพุทธองค์จึงตรัสสรุปว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุนั้นแลสิ่งที่เป็นต้นเหตุ เป็นแดนเกิด เป็นปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณ

    ผู้ที่เป็นแพทย์ทางสูติ-นรีเวช รวมทั้งคนไข้ที่ต้องการมีบุตรและใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆแต่ไม่เกิดผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น ควรจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่า ถึงแม้เรื่องทางกายต่างๆจะพร้อม แต่วิญญาณที่จะมาจุติซึ่งจะต้องมีความผูกพันกันกับบิดามารดามาก่อนอาจจะยังไม่พร้อม จึงไม่ตั้งครรภ์หรือมาแล้วละไปทำให้แท้ง ซึ่งอาจจะเป็นผลจากกรรมในชาติก่อน ภพก่อน ที่ทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ หากมีทางใดสามารถทำให้วิญญาณลงมาจุติในครรภ์ในวาระที่เหมาะสมแล้ว ชีวิตใหม่ย่อมอุบัติขึ้นแน่นอน ซึ่งธรรมเนียมไทยและจีนที่ไปขอบุตรจากเทพ เทวดา เทวรูป เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือผู้ทรงศีลต่างๆ และประสบความสำเร็จคงเป็นไปตามแนวเรื่องการนำจิตวิญญาณลงมาสู่ครรภ์มารดานั่นเอง เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หมายถึง ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องธรรมเท่านั้น จึงขอนำคำอธิบายของพระพุทธองค์เมื่อ 2600 กว่าปี เกี่ยวกับการเติบโตของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้ เมื่อไข่ที่ผสมกับเชื้อของบิดาแล้วจะเกิดเป็น กลละ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำใสสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาที่ติดปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด 3 เส้น (เปรียบเทียบขนาดเล็กมาก) ซึ่งในกลละนั้นมีโครงสร้างทางกาย (กายทสกะ) โครงสร้างทางสมอง (วัตถุทสกะ) และโครงสร้างทางเพศ (ภาวทสกะ) (ซึ่งตรงกับความรู้ทางแพทย์ที่ว่าในไข่ที่ผสมมีโครโมโซมเพศเอ็กซ์และวาย และยีน (gene) กำหนดลักษณะรูปร่าง

    หน้าตาและจิตใจ) หลังจากนั้น 7 วันกลละจะกลายลักษณะเป็นน้ำขุ่นข้นที่เรียก อัมพุทะ (ซึ่งตรงกับทางแพทย์ที่กลายเป็นตัวอ่อน embryo) หลังจากนั้นอีก 7 วัน จะเปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้อสีแดงเรียกว่า เปสิ แล้วกลายเป็นก้อนเนื้อ ฆนะ ต่อไปในสัปดาห์ที่ห้าเกิดสาขามีปุ่มห้าปุ่มเรียกว่า ปัญจสาขา (ซึ่งตรงกับทางแพทย์เริ่มมีตุ่มของหน้าตาและแขนขา) หลังจากนั้นจึงวิวัฒนาการเป็นมือเท้าจนครบอวัยวะทั้งสิ้นในสัปดาห์ที่ 9 เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 42 ส่วนต่างๆของร่างกายค่อยๆเกิดจนครบ ซึ่งตรงกับความรู้ทางแพทย์ นอกจากนี้ยังอธิบายด้วยว่าทารกในครรภ์มีน้ำหล่ออยู่รอบตัวและได้อาหารทางก้านสะดือซึ่งมีรูพรุนเหมือนก้านบัว (ตรงกับรก) เพียงคำอธิบายโดยละเอียดเพียงนี้คงยืนยันว่าพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งทางโลกและทางธรรมโดยไม่ต้องสงสัย และโดยไม่ต้องค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ในการเกิดของมนุษย์นอกจากเรื่องทางกายภาพคือบิดา มารดา และการผสมกันระหว่างอสุจิกับไข่แล้วทางพุทธศาสนายังเน้นเรื่องของคันธัพพะหรือวิญญาณที่จะเข้ามาจุติในครรภ์มารดาทำให้เกิดนาม-รูป หรือชีวิตใหม่ อะไรเป็นตัวชักนำให้วิญญาณใดเข้ามาสู่ครรภ์มารดา คำตอบก็คือ กรรม ตามพุทธวัจนะที่ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ต้องรับมรดกของกรรมนั้นมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฯ หรืออาจอธิบายในเชิงเปรียบเทียบปัจจัยให้คนเกิดไว้ดังนี้

    มีกรรมเป็นนา
    มีวิญญาณเป็นพืช
    มีตัณหาเป็นสิ่งที่จะทำให้พืชงอกงาม

    สรุปว่าการเกิดต้องอาศัยกรรมเป็นตัวนำวิญญาณมาเกิด เปรียบเหมือนการปลูกพืชต้องอาศัยดินคือตัวกรรมมาก่อน วิญญาณที่จะมาเกิดที่เรียก ปฏิสนธิวิญญาณ เปรียบเหมือนพืชที่จะนำมาปลูก จะต้องมีความผูกพันกันด้วยผลแห่งกรรมในอดีตกับบิดามารดา มิใช่ว่าจะเป็นวิญญาณใดๆก็ได้ เมื่อวิญญาณลงมาจุติแล้วและไม่ละทิ้งไป ก็จะมีตัณหาหรือความทะยานอยากเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะคลอดออกมา เปรียบตัณหาเหมือนปุ๋ยเหมือนอากาศเหมือนน้ำฯ ที่ทำให้พืชเติบโตงอกงาม เพื่อความเข้าใจอาจเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์คือ เปรียบชีวิตเสมือนหลอดไฟที่ให้แสงสว่างคือชีวิต ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้ามาจุดหลอดไฟ ซึ่งเทียบได้กับวิญญาณ และพลังไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็จากเครื่องปั่นไฟหรือตัวกรรมนั้นเอง ผู้อ่านที่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นถึงปัญหาของตัวเราว่าคือใครมาจากไหน เป็นเราอยู่ตลอดไปหรือไม่ เราเกิดได้อย่างไรอะไรเป็นปัจจัยให้เราเกิด คงจะพอเข้าใจของสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และคงจะตอบตัวเองได้ว่าจิตวิญญาณของเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพภูมิต่างๆโดยไม่มีที่สิ้นสุด สุดแต่กรรมจะเป็นตัวชักนำไปทางใดแต่ละคนจะต้องเลือกทางตัวเอง และทางที่ดีที่สุดที่มีในโลกนี้คือทางที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ คือ อริยสัจสี่ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งมีเพียงทางเดียวที่ทุกคนสามารถปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...