ฉบับที่ ๗๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๓

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 19 มกราคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,511
    ช่วงแรกของเล่ม "กลางดงควันปืน" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ถาม: แล้วไม่หลุดภาษาไทยเลยหรือคะ ?

    ตอบ: เผลอไม่ได้หรอก เผลอเป็นเสร็จ พูดแค่จำเป็น เกิดมาเป็นสายลับมากเกินไป อย่างท่านกอล์ฟบอกว่า ถ้าเทคโนโลยีดีพอ จะให้อาจารย์ไปผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า ให้มันดูน่าเชื่อถือกว่านี้ ส่วนครูบาน้อยท่านมานั่งวิเคราะห์ว่า ผมกับอาจารย์ไปไหนคนเขาก็ไม่คิดหรอก ว่าจะเป็นพระอาวุโส เพราะว่าไม่มีมาด คือที่อื่นจะมีการวางมาด ใครยิ่งอาวุโสมาก ลูกศิษย์มาก เขาจะยืด ของเราไม่รู้จะยืดทำไม ถ้ายืดแล้วไปไหนลำบาก ไปอย่างนี้แหละสนุกดี นั่งขำกลิ้งอยู่คนเดียว มันถามหาอาจารย์เมื่อไหร่จะมา ครูบาเมื่อไหร่จะมา จะบอกว่ากูนั่งอยู่นี่แล้ว (หัวเราะ)

    พอ ๆ กับพวกทหาร เห็นมันโดนเจ้านายด่าทางวิทยุ ก็สงสารมันนะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะถ้าขืนบอกมันเราก็ซวยอยู่คนเดียว ก็ต้องนั่งไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย แต่ว่าของเขาก็ยังดีนะ ถ้าหากเขาตรวจสอบเป็นรายบุคคลจริง ๆ อาจจะเจอ แต่เขาก็ยังให้เกียรติพระ เขาไม่ค้น เพราะว่าของเราเครื่องใช้ในตัวมีแต่ของไทยทั้งนั้นนี่ มีแต่หนังสือรับรองฉบับเดียวที่เป็นของพม่า

    ตอนที่อยู่ย่างกุ้ง ที่โน่นเขาจับได้น่ะ เขาคิดว่าเราได้รับจ้างเข้าไปหาข่าว ไปจารกรรม วันนั้นก็ดันดวงซวย ดันแลกเงินตั้ง ๒ แสนกว่าเกือบ ๓ แสนพม่า ก็เลยใช้วิธีอย่าให้มันหาเจอ มันค้นทั่วตัวเลยเนะ แต่มันหาเงินไม่เจอ ตลกดีเหมือนกัน ก็ใส่กระเป๋าอยู่โต้ง ๆ มันต้องการอะไรก็ล้วงให้มัน กระเป๋ามันก็เห็นอยู่ แต่เราล้วงให้แค่ที่เราต้องการให้มัน ไอ้ที่เกินเราไม่ให้ (หัวเราะ) มันก็คงไม่คิดว่าจะมีใครหน้าด้าน ขนาดปิดบังมันซึ่ง ๆ หน้า มันจะเอาอะไร เราก็ล้วงให้ก็เห็น ๆ อยู่ มันไม่ค้นซ้ำเองน่ะ เพราะถ้าเห็นเงินเยอะ มันต้องมั่นใจว่าเราต้องโดนจ้างเข้าไปแน่ ขืนให้มันเห็นเราแย่แน่ ก็มีวิธีเดียว ปิดบังไง

    พวกเราไปไม่ได้หรอก เพราะพวกเราเกิดอะไรขึ้น ใจมันเต้นผิดปกติ มันนิ่งไม่พอ ถ้าสมาธิทรงตัว นิ่งพอ มันจะไม่เป็นที่เขาว่า “ใจกล้าหน้าด้าน” ต้องทำให้ได้ ลักษณะนี้เขาเรียกว่า “เวสารัชชกรณกรรม” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การกระทำที่ทำให้บุคคลเป็นคนกล้า จะประกอบไปด้วย ศรัทธา ศีล สมาธิ สติ ปัญญา พาหุสัจจะ พาหุสัจจะ นี่เรียนรู้ไว้มาก พวกเหล่านี้จะทำให้คนเป็นคนกล้า ศรัทธา คือความเชื่อ ท่านแบ่งออกเป็นหลายอย่าง มีเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นในผู้นำ เชื่อมั่นในตนเอง คนเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มั่นใจอยู่แล้วคุณพระรัตนตรัยคุ้มได้ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่ เขาจะมีของดีของขลัง ประจำตัวประจำตระกูล เชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำบอกอย่างไร เชื่อทำตาม อันสุดท้ายนี่สำคัญ เชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ก็ไม่กล้า อะไร ๆ เสี่ยงได้สารพัด

    ยายทุเรียนใช่ไหม เขาไปลองอยู่ที่วัดท่าขนุนดู จากท่าซุงไปลองอยู่ท่าขนุน เขาบอกว่า กุฏิชีนี่อับเกินไป ของเขาต้องการโปร่ง ๆ ก็บอกมีนี่ กุฏิในป่าช้า เหลือตั้ง ๓ หลัง ก็ให้ยายทุเรียนเข้าไปดู เขาก็กลับมาบอกว่านอนกุฏิชีดีกว่า ถามเขาว่า กลัวตายหรือ ? บอกไม่ได้กลัวหรอก บอกเขาว่าทุกอย่างมันลงที่กลัวตาย จำเอาไว้ เพราะว่า กลัวผี ผีมันมาบีบคอ บีบคอเดี๋ยวก็ตาย เข้าป่ากลัวเสือ กลัวงูกัดแล้วก็ตาย ดูมาเยอะแล้ว ทุกอย่างลงตรงตายหมด ถ้ายังกลัวตายอยู่ มันกลัวทุกเรื่อง ถ้าเลิกกลัวตายเมื่อไหร่ ก็เลิกกลัว ตัวอุปาทาน คือการยึดมั่นถือมั่น มันมีแต่โทษ หาประโยชน์ไมได้

    อย่างเขานี่ เขาก็ยังยึดอยู่ว่าเราเป็นศัตรูของเขา ในเมื่อเขายึดอยู่ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง มันก็เลยทำให้เขายังต้องเกิด ต้องทนทุกข์ต่อไปเรื่อย ๆ ลักษณะเดียวอย่างของพวกเราก็เหมือนกัน ยึดของเก่าว่าพม่าเป็นศัตรู มาเผากรุงศรีอยุธยา บางคนเกิดไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นก็ไปยึดมั่นอยู่ตรงนั้นว่าเขาเป็นศัตรู ทำให้กำลังใจมันมีที่เกาะ ที่ยึดที่เกาะนี่ ภาษาของทางพระท่านเรียกว่า “อุปาทาน” คือการยึดมั่น ถือมั่น พอยึดมั่นถือมั่น ก็จะเกิดภพ คือสถานที่ขึ้น เพราะว่าถ้ายึด มันต้องมีที่ให้ยึดมันถึงอยู่ได้
    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: ในเรื่องของเนื้อสัตว์นี่ แม้กระทั่งพระ พระพุทธเจ้าก็ไม่ห้าม แต่ท่านบอกว่าต้องให้เป็นปวัตตมังสะ คือที่เขาฆ่าเพื่อขายอยู่ทั่ว ๆ ไป ถึงเราไม่กินมันก็ทุบตายแหงอยู่นั่นแล้ว พวกนั้นไม่เป็นไรจ้ะ แต่ถ้าหากว่าเจาะจงฆ่านี่ เสร็จแน่ ๆ เลย

    อย่างเช่น สั่งให้ทุบกี่ตัว ๆ อย่างนี้จะมีโทษและอีกอย่างหนึ่งต่อให้สั่งทุบก็จริง ถ้าเราสั่งก็ไม่ได้หมายความว่า ๒๔ ชั่วโมง เราจะสั่งตลอด ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ให้รักษาเป็นเวลา อย่างเช่น ชั่วโมงนี้ไปสั่ง อีก ๒๓ ชั่วโมงศีลฉันต้องเป๊ะเลย อะไรอย่างนี้ แต่ว่าถ้าตามที่โยมว่ามานี้โอกาสที่จะผิดมันไม่มีเลย เพราะเราไม่ได้ให้เขาฆ่า เขาฆ่าอยู่แล้ว

    ถาม : กังวัลว่าศีลตัวเองหมอง ?

    ตอบ: เขาเรียกว่า คิดหานรก ลักษณะเดียวกับท่านแม่มัลลิกา ไม่ผิดแต่คิดจะลงนรก ท่านบอกว่า ท่านโง่มาแล้ว เพราะฉะนั้นลูก ๆ ให้มันหัดฉลาดมั่ง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าหากว่าจิตใจเศร้าหมองมีทุคติเป็นที่ไป ถ้าจิตใจไม่เศร้าหมอง มีสุคติเป็นที่ไป ภรรยาของพรานกุกกุฏมิต สามีจะออกไปล่าสัตว์ แม่อีหนูส่งหอกมา แม่อีหนูส่งหน้าไม้มา แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมา ท่านก็ส่งให้ พระเห็นก็งง เพราะว่าคนนี้พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วว่าเป็นพระโสดาบัน แล้วทำไมยังสนับสนุนสามีให้ฆ่าสัตว์ ก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถามเขาดูก่อนสิ ว่าเขาคิดยังไง ท่านก็บอกว่าท่านเป็นภรรยา มีหน้าที่ทำตามสั่งสามี สามีสั่งให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ให้ส่งอะไรให้ก็ส่งให้ แต่ว่าเขาเอาไปทำอะไรไม่รู้ ไม่ได้สนใจตรงจุดนั้น เป็นภรรยา สามีใช้ก็ส่งให้ สามีเอาไปทำอะไรไม่คิดเสียเวลา

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: ขยัน เอาขยันไว้ก่อน ขยันให้มันถูกเรื่องด้วยนะ ถ้าขยันผิดเรื่องไม่ได้เรื่องหรอก ถ้าหากว่าเป็นหลักการของทหาร ท่านแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ คนฉลาดและขยัน คนโง่แล้วขยัน คนฉลาดแล้วขี้เกียจ คนโง่แล้วขี้เกียจ พวกฉลาดและขยันให้อยู่แนวหน้า มันช่วยป้องกันได้ดี พวกโง่แล้วขี้เกียจให้ไปอยู่กับพวกฉลาดและขยัน มันลากกันไปได้ พวกฉลาดแล้วขี้เกียจให้มันอยู่แนวหลัง คอยวางแผนไม่ต้องทำงานมาก ส่วนพวกโง่แล้วขยัน ท่านบอกให้ยิงทิ้งให้หมด มีแต่จะทำความเดือดร้อนให้กับหน่วยงาน

    ถาม : ขยันให้ถูกต้อง ขยันยังไงเจ้าคะ ?

    ตอบ: ก็ให้มันพอดี พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน เราต้องรู้จักสังเกตตัวเราเองว่า เราทำแค่ไหนแล้ว สภาพจิตของเรามันแช่มชื่น มันเบิกบาน มันก้าวหน้าในการปฏิบัติ เราต้องหัดสังเกตตัวเราเอง เพราะว่ามัชฌิมา ปฏิปทา คือตัวพอดีพอควร คือสายกลางของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันไม่มีมาตรฐานขีดเป๊ะ ๕๐ เปอร์เซ็นต์หรอก คนโน้นเขาทำกำลังใจมาดี บุญบารมีที่เขาสร้างสมมาดี เขาอาจจะนั่งกรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วันติดต่อกัน แต่ของเราเจอไปชั่วโมงหนึ่งก็จะบ้าแล้ว

    เพราะฉะนั้นความพอดีมันอยู่ตรงไหน พอรู้ว่าตรงนั้นคือพอดีของเรา ก็พยายามทำให้มันได้ขนาดนั้นบ่อย ๆ ไม่งั้นมันก็ประเภทที่เรียกว่า ทำเกินกับทำขาด ทำเกินก็เสียผล ทำขาดก็เสียผล

    ถาม : ............................ ?

    ตอบ: ฝรั่งเขาทำโครงการไอสไตน์น้อย เขาจับเด็กที่ ไอ.คิว. ตั้งแต่ ๑๑๐ ขึ้นไป มาเรียนรวมกัน บรรลัยหมดเลย คนเก่งแล้วมันไม่ยอมรับคนอื่น ในที่สุดเขาก็เลยหาเจอว่า ไอ.คิว. คือหน่วยความจำอย่างเดียว มันต้องมี อี.คิว. คือวุฒิภาวะทางอารมณ์ด้วย

    พวกนี้เขาเก่งเกินไปก็เลยไม่ยอมรับคนอื่น เป็นคนที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่เป็น ในเมื่อไม่เป็นก็เลยทำให้เขาลำบาก ตัวอย่างที่ชัดที่สุดมีเด็กคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เด็กแล้วล่ะ มันจะเป็นปู่คนแล้วมั้ง คือตากิ๊น เรียนอยู่ที่อัสสัมชัญศรีราชา ในรุ่นแรก ๆ เลย แล้วเจ้านี่มันสุดยอดของความเก่งเลย โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ วิชาที่ใคร ๆ ว่าเป็นยาขมหม้อใหญ่ ถ้าครูเขาแสดงวิธีการถอดสมการว่ามี ๒ วิธี ตากิ๊นมันต้องบอกมี ๓ วิธี แล้วมันก็จะไปแสดงวิธีแก้ให้ดู แล้วถูกด้วย ครูยอมรับด้วย

    เพราะฉะนั้นเรียนวิชานี้ทีไรเพื่อนมักจะยุให้มันออกไปเถียงกับครู จะได้หมดชั่วโมงเร็ว ๆ เขาเก่งขนาดนั้น โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาเป็นโรงเรียนฝรั่ง ถึงเวลาก็ต้องไปเข้าโรงสวดกับเขา ปรากฏว่าเขาร้องเพลงสวดภาษาลาตินไม่เก่ง เพื่อนก็ด่าให้ มันก็เลยไปเรียนเอกดนตรีมาเสียหนึ่งปริญญา ใครว่าอะไรไม่ดีมันก็ไปเรียนมา ตกลงมันคนเดียวจบ ๗-๘ ปริญญา แล้วก็หาความสำเร็จในชีวิตไม่ได้สักที คนอื่นเขาเป็นเถ้าแก่ เป็นผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ มีกิจการใหญ่ ๆ โต ๆ ตากิ๊นแกยังร่อนไปร่อนมา ดูนามบัตรมันแผ่นเบ้อเริ่มเทิ่มเลย จบมากี่อย่างลงไปในนั้นหมด แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นคือเรื่องของคนเก่ง เห็นได้ว่าคนเก่งมันสู้เฮงไม่ได้ ที่เขาว่าพรสวรรค์สู้พรแสวงไม่ได้

    เรียนอะไรก็ได้ให้มันจบไปสักระดับหนึ่ง เพราะว่าบ้านเราเมืองเรายังเชื่อกระดาษแผ่นเดียว ไม่เชื่อความสามารถของคน ในเมื่อเรียนจบไปแล้วจากสถาบันไหนก็ช่าง ถึงเวลาคุณมีความสามารถทำงานก็แล้วกัน คือเขายังเชื่อกระดาษแผ่นนั้น อเมริกาชอบเขาอยู่อย่างเดียวตรงที่ว่า คุณจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ถ้ามีความสามารถคุณทำงานได้ เพราะว่าคนเก่งที่ตั้งหลักสูตรขึ้นมาให้คนอื่นเรียน แรก ๆ มันก็ไม่เคยเรียนมาก่อน เพียงแต่เขาประสบความสำเร็จ แล้วความคิดของเขาพูดง่าย ๆ คือ สามารถรวบรวมจัดเป็นหมวดหมู่ขึ้นมาแล้วกลายเป็นตำรับตำราวิชาการ ของบ้านเรานี่มันไม่ได้ ถ้าไม่มีกระดาษแผ่นนั้นให้เขาดู เขาไม่ยอม ก็เลยต้องวิ่งหา

    ถาม : กระดาษแผ่นเดียวไม่พอ ต้องดูด้วยว่าจบที่ไหน ต้องสีชมพู อะไรอย่างนี้ ?

    ตอบ: เด็กของใคร จะได้เรียนต้องขึ้นกับดวง เด็กของใคร วิ่งเต้นหรือไม่ เงินเท่าไหร่ เด็กก็ วิ่งก็ เงินก็ จะได้ทำงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดวง

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: พวกเดียวกัน สมัยก่อนหลวงพ่อก็ไม่ค่อยชอบคณิตศาสตร์ ที่ไม่ชอบเกิดจากครู ครูเขาพูดแล้วเราเก็บเอาไปฝังหัวไว้ เป็นเรื่องที่ครูเขาก็ไม่คิดว่ามันจะมีอิทธิพล คือครูเขาบอกตอนชั่วโมงเลขว่า พวกเธอไม่ต้องเรียนมากหรอก นับหนึ่งถึงร้อยได้ ทอนเงินเป็น ก็ทำมาหากินได้ ตั้งแต่นั้นมาในความคิดไม่เคยชอบวิชาคณิตศาสตร์เลย ให้ทำน่ะทำได้แต่ไม่ชอบเลย วิชาไหนที่เราไม่ชอบ มันจะเรียนกับมันอย่างไม่มีความสุข มีอยู่เที่ยวหนึ่งขาดเรียน พอกลับไปก็พอดีเทสต์เก็บคะแนน ครูเขาก็ตั้งโจทย์ ๒ ข้อบนกระดาษ เพื่อนที่นั่งติด ๆ กันบอก มึงอย่าลอกกูนะ เราก็ยั๊วะขึ้นมา เออกูไม่ลอกมึงก็ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเอง คราวนี้ของเราเสร็จก่อน ไปส่งครูได้ ๒๐ เต็ม เพื่อไปส่งได้ ๐ วันนี้ถ้ากูลอกมึงก็เจริญล่ะ ตกลงว่าเราเรียนได้ แต่มันไม่ชอบ แล้วค่อนข้างจะเกลียดด้วย

    จริง ๆ แล้วถือว่าวิชาคณิตศาสตร์นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องเรียนต่อเนื่อง ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงจะต่อไม่ติดแล้ว พอต่อไม่ติดแล้ว เด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่กล้าถามครู พอไม่กล้าถามครูเขาก็สอนตอนต่อไปเรื่อย ๆ ของเก่าตัวเองยังไม่เข้าใจ ของใหม่มันก็จะพลอยไม่เข้าใจไปด้วย เลยกลายเป็นดินพอกหางหมูหนักขึ้นทุกที ๆ

    ดังนั้นวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิขาเดียวที่ทิ้งไม่ได้เลยแม้แต่ชั่วโมงเดียว ทิ้งเมื่อไหร่ต่อไม่ติดเมื่อนั้น คราวนี้เห็นคุณค่าหรือยังว่าฝึกมโนไว้ มันได้เปรียบคนอื่นเขาแค่ไหน พวกฝึกกรรมฐาน พวกทิพจักขุญาณเวลาเรียนมันได้เปรียบเขา เรียนไม่ทันก็ถามพระเอา หลวงพ่อท่านเรียกพระ

    พุทธเจ้าว่า ด๊อกเตอร์สรรพศาสตร์ รู้ทุกเรื่องจริง ๆ ถามอะไรท่านตอบได้หมดจริง ๆ เราเองก็งง ๆ ท่านรู้ขนาดนั้น

    คราวนี้พอไปอ่าน พระไตรปิฎก มีอยู่ตอนหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกจากป่าประดู่ลาย เข้ามาในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ท่านถือใบประดู่มากำมือหนึ่ง ถามว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในมือตถาคต กับใบประดู่ในป่า อย่างไหนจะมากกว่ากัน พระท่านก็บอกว่าใบประดู่ในป่ามากกว่าจนประมาณไม่ได้พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นั่นแหละภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตรู้คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอ คือใบประดู่กำมือเดียว กำมือเดียวล่อซะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

    แล้วที่ท่านรู้จะขนาดไหน ท่านใช้คำว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกนี่มันเป็นทั้งอากาสโลก โลกคือดวงดาวอื่น ๆ สัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ต่าง ๆ ท่านรู้ทุกเรื่องจริง ๆ รู้ทั้งโลกภายนอก รู้ทั้งโลกภายใน รู้ครบถ้วนสมบูรณ์ บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้ไม่หมด พวกเรานี้แย่ รู้หมด พอเขาถามไป ๆ ตอบไม่ได้ ความรู้หมดของท่านถามเท่าไหร่ ท่านตอบได้เรื่อย รู้ไม่หมดหรอก

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: ได้ จริง ๆ ถ้าเราสามารถซ้อมอยู่ตลอดเวลา มันจะคล่องตัวมาก และอีกอย่างหนึ่งก็มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอะไร ยิ่งจิตใจเป็นสมาธิมากเท่าไหร่ ปัญญาก็ยิ่งมีมากเท่านั้น แต่ว่าปัญญาในทางธรรม มันละเอียดกว่าปัญญาในทางโลก นับเท่าไม่ได้ ในเมื่อมันละเอียดกว่ากันขนาดนั้น เรื่องหยาบมันเลยกลายเป็นเรื่องง่าย

    จนกระทั่งทุกวันนี้เวลาเรียนหนังสือยังบอกเลย ผมไม่เห็นมีอะไรยากเลย แต่คนอื่นเข็นกันแทบตายกว่าจะไป ของเราก็เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าสมองดี หรือว่าเป็นความสามารถพิเศษกันแน่ ก็ยังง ๆ เหมือนกัน สอบบาลีนี่เล่นเอาท่านมหาตรวจเสียประสาทกลับไปเลย บาลีนี่มันยาก มีจุด มีขด มีวง อะไรผิดจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง ผิดตัวหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง เขาตรวจจนกระทั่งหมดแล้วหาทางตัดคะแนนเราไม่ได้ บ่นใหญ่เลย “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่นักเรียนคนไหนมันจะทำได้คะแนนเต็ม ผมยังไม่เคยเจอ” เจอเสียก็แล้วกัน
    พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านใช้คำว่า ปรหิตประโยชน์ - ประโยชน์ปัจจุบัน สัมปรายิกัตถประโยชน์ – ประโยชน์ในภายใน ประโยชน์ปัจจุบัน คือว่าเราสามารถทำให้จิตใจสงบ กิเลสหรอืนิวรณ์ต่าง ๆ กวนใจได้น้อย จิตใจผ่องใส ต้องการรู้อะไรความรู้มันก็จะปรากฎขึ้นมา ส่วนสัมปรายิกัตถประโยชน์
    ประโยชน์ภายภาคหน้าโน้น หมายเอาชาติหน้าภพหน้าไปเลย หรือไม่ก็หลังความตายไปเลย ว่าจะไปไหน เป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพาน อะไรก็ว่ากันไป อยู่ที่ว่าเราทำได้แค่ไหน กำมือเดียวที่ท่านให้เรามันเป็นทางหลุดพ้น จะอยู่สุขในปัจจุบันและก็อยู่สุขในอนาคต เรื่องอื่น ๆ ท่านรู้อยู่แต่ว่าประโยชน์มันน้อย

    มีโยมอยู่คนหนึ่งกำลังทำเครื่องมือ อาศัยความรู้ของพระ เครื่องมือตัวนี้จะใช้กำลังของดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา ถ้าหากว่าใช้งานได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จดลิขสิทธิ์เมื่อไหร่ บ้านเราไม่ต้องไปงอน้ำมันจากแขกเลย เขามาถามไป ๒ ครั้งแล้ว ตรงจุดที่มันติดขัดแล้วไปต่อไม่ได้ เขาบอกว่าวันไหนที่มันโอเคเรียบร้อย ทดลองแล้วได้ผล เขาจะวิ่งหานายกเลย เขาเชื่อว่านายกสนับสนุนแน่ เพราะนายกท่านเป็นธุรกิจ คือสิ่งที่สามารถผลิตพลังงานได้ โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งน้ำมัน ชาติไหนภาษาไหนก็ต้องการอยู่แล้ว ขายลิขสิทธิ์ให้อย่างเดียวก็รวยตายชักแล้ว ไม่ต้องทำเองให้เสียเวลา เทคโนโลยีของเราบางทีมันยังไม่พอ ก็อาศัยว่าขายลิขสิทธิ์ให้เขา ให้เขาผลิตให้เราอีกทีก็ยังไหว

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: เรื่องของการโมทนาบุญ เราให้เขาโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร เขาจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม เราได้ให้เขา ในเมื่อเราได้ให้เขาแล้วจิตใจของเรามันจะปลดหลุดออกจากจุดนั้นมา มันหลุดจากจุดที่ว่าเราเคยทำไม่ดีกับเขา แต่ขณะนี้เราได้ทำดีเป็นการตอบแทนแล้ว ในเมื่อจิตเราไม่ยึดไม่เกาะตรงจุดนั้น โอกาสหลุดพ้นของเราก็มี ส่วนเจ้ากรรมนายเวรเขาจะยินดีไม่ยินดี โมทนาไม่โมทนาเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่ให้เราให้ไป ถ้าเขาโมทนาก็ถือเป็นโชคดีของเขาไป ถ้าเขาไม่โมทนาก็ช่วยไม่ได้ เราไปแล้ว บ๊าย บาย

    ถาม : ตอนให้นี่เรา (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: ให้ไปเรื่อย ๆ ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ ส่วนเขาจะให้ไม่ให้ เรื่องของเขา

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: ตัวของเรานี่ เราทำบุญมาด้วยความยาก สิ่งที่เราทำมาด้วยความยาก เรายังสละให้คนอื่นได้ กำลังใจขนาดนี้แหละที่เขาเรียกว่าบุญ สมมติว่าหนูทำงานมาเหนื่อยทั้งเดือน ได้เงินเดือนมาแล้วไปให้คนอื่น เป็นคนอื่นเขาทำได้ไหม ทำไม่ได้ ถ้าใจไม่ประกอบไปด้วยความเมตตา กรุณาจริง ๆ ก็ทำไม่ได้ คนที่กำลังใจประกอบด้วยเมตตากรุณามันเป็นบุญตรงนั้น

    ถาม : แล้วบุญเราจะหมดไหม ?

    ตอบ: ลักษณะของการให้บุญคนอื่น เหมือนกับเราก่อไฟขึ้นมากองหนึ่ง การให้คืออนุญาตให้เขามาต่อไฟนั้นไปใช้ได้ สมมติว่าเขามีเทียนคนละเล่ม เราจุดเทียนขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วปักไว้ เอ้า อนุญาตให้เธอต่อได้ คนโน้นก็มาจิ้มที คนนั้นก็มาจิ้มที ไฟเราดับไหมล่ะ ไม่ดับหรอก แต่ขณะเดียวกันพอคนอื่นได้ไปแสงสว่างมันเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือบุญของเราที่เพิ่มขึ้นด้วย คนอื่นก็ได้ด้วย ของเราเองก็ไม่ไปไหนแถมยังมากขึ้น เพราะฉะนั้นรีบให้เยอะ ๆ บุญมันจะได้เยอะขึ้น

    ถาม : กลัวเจ้ากรรมนายเวรไม่มารับ ?

    ตอบ: ไม่ต้องกลัวหรอก นั่นเรื่องของมัน รับไม่รับเรื่องของเขา เราได้ให้แล้วจิตใจของเราก็ปลอดโปร่ง รู้สึกว่าเบารู้สึกว่าสบาย ได้ทำการตอบแทนในสิ่งที่เราทำไม่ดีแล้วด้วยความดี จิตของเราปลดออกจากจุดนั้นมา เราก็มีโอกาสหลุดพ้นไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพานได้ ส่วนเขาโมทนา ไม่โมทนา หลุดไม่หลุดเรื่องของเขา

    ถาม : ............................... ?

    ตอบ: พระอนุรุทธ มีอยู่ชาติหนึ่งเป็นคนเกี่ยวหญ้าให้เศรษฐี เศรษฐีแกมีช้าง ม้า วัว ควาย เยอะ ชาตินั้นท่านชื่ออันนภาระ ได้ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็ไปเล่าให้เจ้านายฟัง เจ้านายก็อยากได้บุญอันนี้ บอกว่าฉันให้พันหนึ่ง เธอให้บุญฉันนะ พระอนุรุทธบอก ไม่ให้ ให้หมื่นหนึ่ง ไม่ให้ ให้แสนหนึ่ง ไม่ให้ ถามว่าทำไม บอกว่าถ้าหากว่าให้แล้ว เดี๋ยวบุญจะหมด คือท่านเข้าใจอย่างนั้น เอางี้แล้วกันไม่เอาทั้งหมดหรอกแบ่ง

    พระอนุรุทธในชาติที่เป็นอันนภาระชายเกี่ยวหญ้า บอกเดี๋ยวขอไปถามพระคุณเจ้าก่อนว่าแบ่งได้ไหม พอไปถาม พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกให้ว่า เรื่องของการให้คนอื่นเขาโมทนาบุญ มันก็เหมือนกับตัวเองก่อไฟขึ้นมา แล้วอนุญาตให้คนอื่นเขาต่อไปใช้ ไฟของเรามันไม่ได้น้อยลง ขณะเดียวกันไฟที่คนื่อนก่อเพิ่มมา มันก็เพิ่มแสงสว่างมากขึ้นด้วย แทนที่บุญของเราจะลดน้อยลง กลายเป็นบุญของเราเพิ่มขึ้น นั่นแหละพระอนุรุทธ ถึงได้ยอม กลับมาบอกให้มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้านายโมทนาบุญ ไม่อย่างนั้นไม่ให้หรอก กลัวหมด

    หลวงพ่อก็มานั่งเสียดายกูทำแทบตายมันเอาของกูไปหมดเลย พอรุ่งเช้าตอนบิณฑบาตกลับมา เตรียมจะฉัน หลวงปู่ปานท่านก็ถาม เป็นไงพ่อคุณให้เขาแล้วยังเสียดายเรอะ ? บอกเสียดายสิครับ ผมทำมาตั้งนาน ทำมาด้วยความยากด้วยความลำบาก มันเอาของผมไปหมดเลย หลวงปู่ปานท่านบอก หมดซะเมื่อไหร่เล่า แล้วท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บอกว่าถ้าให้เขาของเรามันเยอะขึ้น เป็นเราก็ใจหายนะจากที่โทรม ๆ นี่กลายเป็นนางฟ้า เพชรแพรวพราวทั้งตัวเลย มันโกยของเราไปเท่าไหร่หว่า
     
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,511
    ถาม: ............................. ?

    ตอบ: เรื่องยันต์เกราะเพชร แล้วโดนสัตว์พิษกัดหรือต่อย เท่าที่ประสบการณ์มากับตัวเองก็มีหลายอย่างเหมือนกัน ถ้าพวกต่อพวกอะไรมันต่อยนี่มันจะเป็นวงอยู่ประมาณเหรียญบาท ไม่ไปไหนหรอก แล้วก็คันอย่าบอกใครเลย คือพิษมันจะเริ่มออกตามผิวหนัง ที่โบราณบอกว่ามันเป็นลมน่ะ แล้วก็ตะขาบเหมือนกันเคยโดนกัด

    ตอนนั้นยังอยู่วัดท่าซุงกลางคืนก็พายเรือไปตีกับชาวบ้านเขา วันนั้นฝนตกพรำ ๆ ตะขาบมันลงไปอยู่ในเรือก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เราไปถึงก็นั่งทับมันเลย พอนั่งทับมันก็กัดตรงใต้ขาอ่อน บวมเป็นก้อนเท่ากำปั้น แล้วก็คันอย่าบอกใครเพราะว่าพิษมันจะออก แต่ว่าถ้างูกัด เท่าที่เคยโดนพอมันกัดแล้วมันจะวิ่งขึ้นเป็นเส้น เรารู้เลยว่าพิษมันไปถึงไหน แต่ว่ามันจะไปแค่ข้อศอก ส่วนใหญ่โดนกันที่มือ ๔ ครั้ง โดนที่มือหมด พอวิ่งถึงข้อศอกแล้วก็ถอย วิ่งถึงข้อศอกแล้วก็ถอย ไม่ใช่ไม่ปวดนะ ปวดเอาเรื่องเลยล่ะ แต่ว่ามันจะขึ้น ๆ ลง ๆ สัก ๓-๔ ครั้ง แล้วก็หายไปเฉย ๆ เหมือนกับมันโดนยันอยู่แค่ข้อศอกขึ้นต่อไม่ได้ แต่ว่าพวกตะขาบกับต่อที่โดนมันจะอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย เป็นวงอยู่อย่างนั้นน่ะ

    ถาม : ฝึกมโนมยิทธิตั้งนานแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องได้เรื่องไหม หรือว่ายังไงไม่ทราบ ?

    ตอบ: ก็เคยแนะนำเสมอว่า ถ้าใครมั่นใจในมโนมยิทธิ ให้ทดสอบกับสิ่งที่สามารถพิสูจน์ในระยะสั้น ๆ ได้ อย่างมวยมันชกกัน กำหนดใจดูว่ามันแพ้ชนะกันยังไง ถ้าน็อคมันน็อคกันยกไหนอย่างนี้ เดี๋ยวมวยจบเราก็รู้แล้วว่าผลมันเป็นจริงหรือเปล่า

    แต่ว่าสมัยที่หัดอยู่ หลวงพ่อท่านไปนั่งข้างถนนเลย หลับตาทำใจสบาย ๆ รถมา ให้ถามว่ารถสีอะไร ถ้าตอบถูกก็ให้จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าตอบผิดไม่ต้องจำ ทำอย่างนั้นบ่อย ๆ จนกระทั่งถูกสัก ๘ ใน ๑๐ คัน ก็เริ่มเพิ่มรายละเอียด รถมาสีอะไร คนนั่งมากี่คน พอทำไปเรื่อย ๆ มันคล่องตัว ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน เสื้อผ้าสีอะไร รถทะเบียนอะไรบอกได้หมด พิสูจน์กํบสิ่งที่พิสูจน์ได้ระยะสั้น ๆ

    ถาม : วัดท่าซุงเขามีบวช แล้วธุดงค์ ฝึกอภิญญาใหญ่ ไปทีไรนอนหงายเก๋ง ไม่ได้เรื่องสักที ?

    ตอบ: อยากเกินไป มีอยู่ ๒ อย่าง คือ อยากเกินไป กับกลัวเกินไป ใจของเรานี่ถึงเวลามันจะกลัวเองโดยธรรมชาติของมัน เราต้องตัดสินใจเองให้ได้ ไอ้ที่บอกไม่กลัว ๆ อย่างดีแค่ตาย ถึงเวลามันจะเสียวลึก ๆ ในอก ในเมื่อมันเสียวลึก ๆ ในอก จิตมันจะดึงตัวเองไว้โดยอัตโนมัติ คือข้างในมันจะออก อีกใจหนึ่งก็ไปรั้งมันเอาไว้ บางคนก็เลยเกิดอาการดิ้นปั๊บ ๆ ๆ ๆ คือมันออกกะเข้ามันก็รั้งกันไปรั้งกันมา อาการมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องทำใจไม่กลัวจริง ๆ ให้ได้ คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ถ้ามันจะตายก็ช่างมัน ตายเป็นตาย อย่างนั้นจะไปได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะไปฝึกอภิญญาใหญ่ จะไปฝึกอะไร วิธีที่ง่ายที่สุดคือพิจารณาตัดร่างกายให้มันชิน ถ้ามันชินแล้วมันจะไปง่าย

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ: อีกตัวหนึ่งก็คือว่า เราอยากมากเกินไปมันก็ไปไม่ได้ ก่อนภาวนาให้เราตั้งใจว่าจะไปนิพพาน เสร็จแล้วให้ลืมความตั้งใจนั้นเสีย ภาวนาอย่างเดียว ถ้าเรายังไปยึดความตั้งใจอยู่เท่ากับว่าเราไปกดตัวเองไว้ มันไปไม่ได้หรอก ฟังดูแปลก ๆ นะ คือถ้าเราอยากมันจะไม่ได้ ก็เลยว่า พอเราตั้งใจแล้วให้เราลืมตัวนั้นเสีย เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือภาวนาไป แล้วมันจะได้เอง เราภาวนาอะไรจะเกิดขึ้นไม่ต้องไปใส่ใจกับมัน ไม่ต้องไปว่าขณะนี้ดิ้นแล้ว ขณะนี้ล้มแล้ว ไม่ต้อง

    ถ้าหากว่าไปไล่จี้มันอยู่อย่างนั้น มันจะไปไม่ได้ เอาแค่ง่าย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา อะไรเกิดขึ้นก็ช่างมัน ไปได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็เรื่องของมัน ไปได้ก็กำไร ไม่ได้ก็เสมอตัว เรื่องของนักปฏิบัติทุกอย่างมันจะเป็นปฏิภาคผกผันประหลาด ๆ ถ้าอยากจะไม่ได้ คือการปฏิบัติทุกระดับชั้นต้องมีตัวอุเบกขา ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะไม่เข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริง ตัวอุเบกขาก็คือช่างมัน จะเป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าเราไปทำด้วยความอยากมันจะไม่เป็นมันจะไม่ได้ ต้องช่างมันเป็นยังไงก็ตามใจมัน

    ถาม : เรื่องพระ เขาบอกให้มาถามหลวงพี่ ?

    ตอบ: อ๋อ นี่ที่โบราณเขาเรียกว่า เมฆพัด แต่ว่าสมัยนี้เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหล มันไม่ใช่โบราณจะมีเมฆสิทธิ์กับเมฆพัด อันนี้เป็นเมฆสิทธิ์

    สมัยก่อนของหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ นครปฐม ท่านจะทำอย่างนี้ เป็นการเล่นแร่แปรธาตุอย่างหนึ่ง เนื้อเมฆพัดจะออกสีน้ำเงิน อย่างนี้ เนื้อเมฆสิทธิ์จะออกเขียวอมเหลือง จะมีอยู่ ๒ เนื้อด้วยกัน

    สมัยนี้เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหลกันหมด ก็ถือว่าเป็นเหล็กเหลวไหลแล้วกัน พวกเล่นแร่แปรธาตุเขาเอาความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของเนื้อโลหะเนื้อมวลสารเป็นหลัก คือถ้าที่อื่นเขาจะบอกว่าเป็นเหล็กไหล ไม่ใช่หรอกจ้ะ เหล็กไหลถ้าเข้ามาไฟดับหมด ไฟฟ้าที่อยู่รัศมีนั้นจะดับหมด ความร้อนทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีนั้นจะโดนทำลายหมด หย่อนลงในน้ำเดือด ๆ ยกซดได้เลย มันเย็นยังกะเพิ่งออกจากตู้

    ถาม : ........................... ?

    ตอบ: วิธีนี้เกี่ยวกับเรื่องการค้า เขาจะใช้เสกธง เสกกลอง ให้พวกที่เกี่ยวกับการเต้นกินรำกิน อย่างเช่น พวกโขน พวกลิเก พวกรำวง เขาจะใช้วิธีเสกกลอง ถ้าตีคนได้ยินเสียงจะต้องมา ถ้าหากว่าเสกธงคนเห็นธงจะต้องมา ฉะนั้นตำรานี้มีจริง ๆ แล้วเขาทำได้ผลมาจริง ๆ เพียงแต่ว่าถ้าหากว่ามันเหนื่อยมากก็อย่าไปเคาะมันบ่อยก็แล้วกัน

    ถาม : พอสู้พอทนแต่เวลาใช้ หนูไม่ได้ตั้งนะโมเลย

    ตอบ: เอาแค่นั้นพอ ใช้ด้วยความมั่นใจมันก็ใช้ได้

    ถาม : หลวงตาถามหาหลวงพ่อค่ะ ถามว่าเจอหลวงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หลวงพ่อจะมีจะฝากถึงหลวงตาไหมคะ ?

    ตอบ: จะฝากเงินก็กลัวจะขนไม่หมดก็เลยใช้เอง บอกหลวงตาแบบนั้นนะ บอกว่าหลวงพ่อฝากเงินมาหนูขนไม่หมดก็เลยทิ้งให้หลวงพ่อใช้เอง
    ถาม : หลวงตากำลังสร้างเรือนไทยค่ะ เรือนแม่ เรือนพ่อ สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ของหลวงพ่อฤๅษี เอาเตียงที่ท่านนอนมาจัดไว้
    ตอบ: บอกท่านด้วยก็แล้วกันว่าสมบัติของหลวงพ่อมีเยอะ ถ้าเสร็จแล้วให้บอกด้วยจะบริจาคให้
    ถาม : ..............................................

    ตอบ: เรื่องของการปฏิบัติ ทำอะไรมาให้ทำอย่างนั้น เพียงแต่ว่าทำให้พอดี มากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ไม่ได้ จดุสำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่พวกเราทำพอถึงเวลาเลิกก็เลิกเลย ขาดการรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ความก้าวหน้าจะไม่มี พอถึงเวลากิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง มันจะเอาไปรับประทานเสีย การปฏิบัติเราจะทิ้งไม่ได้ พอถึงเวลาเราลุกขึ้นแล้วอารมณ์ใจขณะที่เราปฏิบัติมั่นคงขนาดไหนแล้วรักษาให้ต่อเนื่องยาวนาน ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    ถาม : แต่ละวันที่ทรงอารมณ์ไว้ ถูกต้องใช่ไหมครับ ?

    ตอบ: เอาศีลเป็นเครื่องวัด ถ้าหากว่าตราบใดที่เราไม่ออกนอกกรอบของศีลนี่ยังถูกต้องอยู่ แต่ว่าส่วนของรายละเอียดจะมีมากกว่านั้น ถึงเวลาทำไป แล้วจะต้องแก้ไขเป็นลำดับ ๆ ไป ยึดศีลเป็นหลัก ถ้ายังอยู่ในกรอบของศีลอยู่ถือว่ายังใช้ได้ อย่าเป็นกันเองกับศีลชนิดที่เรียกว่าละเมิดเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างนี้ไม่เอา

    ถาม : พอดีมีคนบอกว่าผมปรารถนาพุทธภูมิไว้ ไม่ทราบว่าอย่างนี้ถ้าเกิดจะลาจะต้องทำอย่างไรครับ ?

    ตอบ: การลาพุทธภูมิ ลาที่หน้าหิ้งพระ หน้าพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้ใช้ดอกบัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ตั้งใจจุดบูชาพระ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานต่อหน้าพระว่า ถ้าหากว่าตัวข้าพเจ้าเคยตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณตั้งแต่ชาติใดก็ตาม บัดนี้ขอลาซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะตั้งใจปฏิบัติตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้

    ถาม : ตอนนี้ก็หันมาฝึกมโนครับ มีเรื่องของการวัดอารมณ์ด้วยอุปทานนี่เราจะสังเกตอย่างไรได้บ้าง ?

    ตอบ: เขาให้พิสูจน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า บอลคู่นี้เตะใครจะชนะ แพ้ชนะกันเท่าไหร่ มวยคู่นี้ชกใครจะชนะ ๆ กันแบบไหน ชนะน็อคหรือชนะคะแนน เทนนิสคู่นี้ตีกันใครจะชนะ

    ในสมัยที่ฝึกอยู่ หลวงพ่อจะให้นั่งข้างถนนเลย ถึงเวลารถมาให้ทำเป็นสบา ยๆ กำหนดใจให้นึกว่ารถมาสีอะไรมันจะได้คำตอบขึ้นมา แล้วก็ลืมตาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าแป๊บเดียวมันก็มาแล้ว ถ้าหากว่าถูกต้องให้จำอารมณ์นั้นไว้ถ้าผิดไม่ต้องจำ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนกระทั่งถูกสัก ๘ คันใน ๑๐ คัน ก็ใส่รายละเอียดเพิ่มขึ้นไป รถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน รถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คนผู้หญิงเท่าไหร่ ผู้ชายเท่าไหร่ แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ทะเบียนรถหมายเลขอะไร อย่าลืมว่าถ้าถูกให้จำ ถ้าผิดไม่ต้องจำ พักเดียวมันก็จะรู้อารมณ์ที่ถูกต้อง มันวางอยู่จุดไหน และหลังจากนั้นก็จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องไปเรื่อย ๆ เราจะเกิดความมั่นใจตัวเองขึ้นมาเอง

    ถาม : บางทีเหมือนกลัวว่าจะถามจะเหมาะสมหรือเปล่า ส่วนใหญ่จะถามบารมี

    ตอบ: ท่านอนุญาตให้กวนอยู่แล้ว

    ถาม : ได้ใช่ไหมครับ ?

    ตอบ: ท่านสามารถสงเคราะห์คนเป็นแสนเป็นล้านได้พร้อม ๆ กัน ไม่ถือเป็นการรบกวน ถ้าเกรงว่าจะเป็นการรบกวนต้องบอกว่าท่านเต็มใจให้กวนอยู่แล้ว

    ถาม : คงมีคำถามเท่านี้แหละครับ

    ตอบ: จ๊ะ เชิญตามสบาย ตั้งใจทำไป พยายามซ้อมบ่อย ๆ มโนมยิทธิทำแล้วทิ้งไม่ได้ ทิ้งเมื่อไหร่มันจะเฝือ ต้องเป็นคนขยัน กรรมฐานทุกอย่างต้องเป็นคนขยันรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องผลจะเกิดเร็ว ถ้าไม่ขยันช่วยไม่ได้จ้ะ

    ถาม : ถ้าเลี้ยงปลาก็คือ ถ้าตายจากความเป็นคน ถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็จะอยู่ในวิมานคือ โดนกั้นอาณาเขตไม่ให้ออกไปไหนอย่างนี้ ถ้าเราเลี้ยงปลาบ่อใหญ่ ๆ จะมีผลอย่างไร ?

    ตอบ: เอาอย่างนี้นะ มีผลเหมือนกัน การเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังเขาเอาไว้ ต่อให้เลี้ยงเขาอยู่สุขสบายขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราไม่เคยสร้างบุญอื่นไว้เลย ถึงวาระถึงเวลาผลบุญตัวนี้ให้ผลเราจะไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต ไม่ใช่เทวดาแต่เป็นเปรตประเภทหนึ่ง เป็นเปรตที่มีทิพยสมบัติเหมือนเทวดา มีสภาพร่างกายเหมือนเทวดานางฟ้าทั่วไป เพียงแต่ว่าโดนจำกัดเขตอยู่นอกวิมานไม่ได้ โผล่ออกไปเมื่อไหร่กงจักรฟันหัวขาด มันรออยู่

    หมายความว่าเราไม่เคยทำบุญอื่นไว้เลย แต่ว่าเราทำบุญอยู่คือตัวเมตตา บารมีที่เราเลี้ยงให้เขาได้รับความสุขสบาย มันจะเสริมบุญส่วนอื่นของเราให้ได้ดีกว่าเดิม ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปกักขังเขาเลย สงสารเขาเถอะ มันอยู่สบายแค่ไหนก็ไม่เหมือนธรรมชาติของเขาหรอก

    ถาม : อย่างกรณีที่วันตรุษจีนเวลาถ้าเราซื้อเป็ดซื้อไก่ ผิดศีลข้อ ๑ อยู่แล้ว แต่กรณีที่เรารู้ว่าร้านนี้เขาขายเป็ดขายไก่วันตรุษจีนอย่างนี้ เราไปสั่งเขา ๆ ก็ไปซื้อของเขามาเอง เราจะบาปไหมคะ ?

    ตอบ: ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ไปถึงมันก็มีรออยู่บานเลย ถามว่าบาปไหม ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ห้ามเลย ท่านบอกว่าถ้าเป็นปวัตตมังสะ คือเนื้อที่เขาขายเป็นปกติอยู่แล้ว ภิกษุฉันได้เพราะถึงเวลาเราไม่ได้ซื้อเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอุทสมังสะ คือเขาเจาะจงฆ่าเพื่อเรา ท่านบอกว่าถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้ารังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเราปรับทุกคำที่กินอันนี้ของพระถ้าของฆราวาสเบากว่าเยอะ เราอย่าไปสั่งก็แล้วกันถึงเวลาตรุษสารทวางขายบานเบอะอยู่แล้ว ไปซื้อร้านไหนก็ได้ที่เขาเชือดไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีอยู่ปีหนึ่งอยากรู้ว่าตรุษสารทแต่ละปี สัตว์จะตายมากเท่าไหร่ ก็ตั้งใจไปดูที่ตำหนักพระยายม เจ้าประคุณเถอะไม่ต้องนับกันเลยเป็นล้าน และที่แปลกใจมากก็คือมีวัวเยอะมาก มีวัวมีแพะเยอะมาก เอ๊ะ! เราก็แปลกใจวัวกับแพะมันเกี่ยวอะไรกับตรุษจีนว่ะ ต้องมาตายกับเขาด้วย ปรากฎว่าจริง ๆ แล้วมีคนจีนอยู่จำนวนมหาศาลที่เขากินวัวกินแพะเป็นปกติ พวกนี้จะอยู่ด้านมณฑลซินเกียงของจีน มณฑลซินเกียงใหญ่ประมาณ ๕ เท่าของประเทศไทย และ ๕ เท่าของประเทศไทยคนจะมีสักเท่าไหร่ ตีเสียว่าคนมี ๕ เท่าด้วย ก็คงประมาณ ๓๐๐ ล้านคน และมณฑลซินเกียงจะเป็นพวกเผ่าที่นับถืออิสลาม พวกเขาจะกินวัวกินแพะกินแกะเป็นปกติอยู่แล้ว
    แต่คราวนี้ตรุษสารทก็เยอะหน่อย ตอนแรกเห็นแล้วงงมากมันมีวัวมีแพะได้อย่างไร คนจีนเขาไม่กินวัวเราก็รู้ ส่วนใหญ่นับถือเจ้าแม่กวนอิมใช่ไหม ที่ไหนได้ฟาดกันเพลินเลย

    อาตมาเองมีเวรมีกรรมอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าซื้อรถเมื่อไหร่ ทำพิธีบวงสรวงรับรถแล้วเลขทะเบียนมักจะออก คราวที่แล้วพอซื้อป้ายแดง ออกไป ๒ งวด มางวดนี้พอป้ายดำติดเข้าไปพี่มุกดาฟาดไปงวดหนึ่งแล้ว เขาได้เลขท้ายไปคู่หนึ่ง ๙๔ สังเกตมาตลอดทั้ง ๓ คัน ถ้าทำพิธีบวงสรวงรับเมื่อไหร่มันออกตั้งแต่ป้ายแดงเลย จะวนไปวนมาในกลุ่มนั้นแหละ จนกว่าจะเปลี่ยนป้าย ถ้าอยากรู้ไปเดินดูเอาว่าทะเบียนรถ รถเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตอนเป็นป้ายแดงมันดูสวย พอใส่ป้ายขาวไปแล้วรู้สึกโล้นไปเลย มองไม่เห็น ป้ายไม่เด่น รถ ๔ ประตูเขาจะตีทะเบียนเป็นรถนั่งส่วนบุคคลก็เลยเป็นป้ายรถเก๋ง ป้ายรถเก๋งจะขาวดำ ถ้าป้ายรถปิคอัพจะสีเขียวขาว

    เพราะฉะนั้นใครซื้อรถปิคอัพ ๔ ประตูแล้วเจอทะเบียนแพง ๆ อย่ากระโดดนะ เพราะเขาตีทะเบียนรถคุณเป็นรถเก๋ง ของอาตมาจริง ๆ จะโดน ๘,๐๐๐ บาท แต่เราสั่งเขาแค่เครื่อง ๒,๕๐๐ สมัยนี้เขานิยมเล่นเครื่อง ๓,๐๐๐ กัน

    ถาม : คนที่เขาได้ลาภบ่อย ๆ เขาทำบุญอะไรคะ ?

    ตอบ: เรื่องลาภการพนันเกี่ยวกับหวย เกี่ยวกับการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไปเห็นกองบุญการกุศลที่ไหนก็ร่วมทำกับเขาไปเลย ถ้าคนทำบุญโดยตั้งเจตนาไว้ก่อนถ้าไปเกิดใหม่นี่มันไม่ต้องรอหวย มันรวยเลย มันต่างกัน

    ถาม : ...................................

    ตอบ: สาธุ ขอให้อยู่คนเดียวเร็ว ๆ นะจ๊ะ แฟนเขาจะไปบวช ระวังเถอะ หลอกเขาบ่อย ๆ เดี๋ยวเขารำคาญเขาบอกไปเลย เอาแค่พอดีพอควร ผู้ชายบางประเภทไม่ชอบให้ใครไปปั้นเล่น ปั้นเขาเล่นบ่อย ๆ เดี๋ยวเขาทิ้งเอาแค่พอเหมาะพอควร เรื่องของผู้หญิงจริตมารยานี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติเขาสร้างมาให้เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าอย่าใช้มันมาก ผู้ชายบางประเภทเขาไม่ชอบ โดยเฉพาะอาตมาดัดจริตมาก ๆ เดี๋ยวไล่ตะเพิด มีอะไรว่ากันตรงไปตรงมา

    สมัยก่อนบวชพวกเพื่อนผู้หญิงจะรู้มีอะไรจะสอนให้เขาพูดกันตรง ๆ ถึงวาระถึงเวลาว่ากันตรง ๆ จะทำให้ทุกอย่างมันเคลียร์กันง่าย มีอยู่เที่ยวหนึ่งเซ็นทรัลลาดพร้าวเพิ่งเปิดใหม่ ๆ ก็ธรรมดาของยุคนั้นอะไรใหม่ก็ต้องไปลอง ก็ไปซื้อของกัน สาวเขามีหน้าที่ซื้อ เราก็มีหน้าที่จ่ายกับหิ้ว หิ้วไปหิ้วมาเยอะขึ้น ๆ มันก็ต้องหอบ พอทั้งหอบทั้งหิ้วไปพักหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ บอกไม่ถูกหรอกตอนนั้นมันเบื่อโลกสุดขีดเลย ไม่นึกว่านิพพิทาญาณจะไปเกิดกลางห้างอย่างนั้น
    แต่ผู้หญิงความรู้สึกไวมาก เขาถามว่าพี่เป็นอะไร ก็บอกว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหายเลย ก็บอกแล้วว่าสอนให้พูดตรง ๆ เขาบอกถ้าอย่างนั้นก็กลับ ไม่นึกว่ามันจะไปเกิดบนห้างเบื่อสุดขีด ความรู้สึกตอนนั้นถ้ามุดดินหนีลงไปได้ก็ไปเดี๋ยวนั้นเลย รู้สึกตัวเองเหลวไหลไร้สาระสิ้นดีเหมือนกับว่าความตายมันจี้มาติดหลังแล้ว ยังนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่อย่างนั้น แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็บวช

    ถาม : ถ้าเราทำอะไรแล้วอยู่ดี ๆ มันเกิดความเบื่อขึ้นมา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนั้นเป็นนิพพิทาญาณ

    ตอบ: จริง ๆ ความเบื่อทุกชนิดจัดเป็นนิพพิทาญาณ เพียงแต่ว่าเป็นนิพพิทาญาณแท้แค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเป็นการเบื่อในร่างกาย เบื่อในโลกนี้ จะเป็นนิพพิทาญาณแท้ ความเบื่อจริง ๆ เป็นของดี ถ้าเราไม่เบื่อก็ยังไม่เข็ดกับทุกข์ ต้องเบื่อให้ถึงที่สุดจะได้รู้สึกกลัว รู้สึกเข็ด แล้วจะได้ไม่ไปยุ่งกับมันอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งนิพพิทาญาณเป็นกำลังของอนาคามี ถ้าไม่เบื่อก็ยังเกาะโลกอยู่ อนาคา หมายถึงผู้ไร้บ้านเรือน ไม่ต้องการจะสร้างโลกอีกแล้ว ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นถึงวาระถ้าตัวนิพพิทาญาณมันทรงตัวอยู่ได้ต่ำ ๆ ก็ต้องเป็นพระอนาคามี

    ถาม : อย่างนี้ต้องฝึกเบื่อทุกวันใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ก็พยายามเลยล่ะ ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามไม่จำเป็นต้องไปฝึกเบื่อ ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงจะเบื่อของมันเอง ถ้าหากปัญญาถึงจากเบื่อจะเป็นปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางจนเป็นสังขารุเปกขาญาณ ที่เบื่อตอนนั้นของเราเบื่อในลักษณะไปแบกมันไว้ ในเมื่อแบกมันไว้มันรับความรู้สึกนั้นเต็ม ๆ ตอนนั้นอยากมุดดินหายไปใต้โลกเลย

    ถาม : แล้วรู้สึกเศร้าหมองไหมคะ ?

    ตอบ: จะเรียกว่าเศร้าหมองก็ไม่ใช่ แต่เบื่อสุดขีดจริง ๆ ประเภทเห็นอย่างมันเหลวไหลไร้สาระไปหมด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักอย่างเดียว โดยเฉพาะประเภทที่ต้องมานั่งจ่ายเงินอะไรก็ไม่รู้ หอบของเบ้อเริ่มเลย ความรู้สึกเหมือนกับตัวเองหอบขยะเหม็น ๆ เอาไว้ อธิบายไม่ถูกไปเจอเองแล้วจะรู้ คำพูดคนมันมันอธิบายธรรมะจริง ๆ ไม่ได้ว่าคำพูดรหือตัวหนังสือมันหยาบเกินไป ลองดูเถอะแล้วจะรู้เอง ไปวิปัสสนาญาณ ๙จริง ๆ ก็มาสำคัญตรงที่นิพพาทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณ ถ้าสามารถจับตัวท้าย ๒ ตัวนี้ได้ตัวอื่นไม่ต้องจับเลยก็ได้

    ถาม : หนูเบื่อนะคะ แต่ไม่ถึงกับปล่อยวาง

    ตอบ: เรารักษาไม่อยู่จริง ๆ ก็คือว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เราเบื่อ สร้างเหตุอันนั้นมันก็จะเบื่ออีก ถ้าหากเราสามารถสร้างเหตุให้มันต่อเนื่องก็จะเบื่อยาว คราวนี้ถ้าเบื่อยาวถ้าปล่อยได้ก็สบายเลย

    ถาม : แล้วมันเบื่อจนกลัวการเกิดมาก กลัวว่าถ้าต้องเกิดอีกมันไม่ไหวจริง ๆ

    ตอบ: อันนั้นเป็นภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่ามันเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นว่าเป็นของน่ากลัว

    ถาม : แต่แปลกนะคะ ตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นอยู่ดี ๆ ก็ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมา ไปตั้งจิตอธิษฐานบอกตัวเองว่าถ้าหากวันใดที่ลูกตายขอทำลายดวงวิญญาณไม่ให้มีการเกิดอีก คิดอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก

    ตอบ: ไม่ต้องห่วง ถึงเวลามันทำลายของมันเองแหละ วิญญาณคือประสาทความรู้สึกของร่างกาย ตายมันตายแค่วิญญาณ ในความคิดของเรามันคือจิต ไม่ใช่จิต วิญญาณในบาลีแปลว่าประสาทร่างกายเท่านั้น

    ถาม : ที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไรคะ ?

    ตอบ: ของเก่าตุนมาเยอะ ในเมื่อของเก่าตุนมาเยอะ ถึงวาระถึงเวลามัน ก็คิดดูว่าอายุอย่างเรามาเข้าวัด เพื่อน ๆ ว่าบ้าแล้วใช่ไหมล่ะ แต่คราวนี้ของเก่าตุนมาเยอะ อายุเป็นเพียงอายุร่างกาย ไม่ใช่กำลังบุญกำลังความดีที่สั่งสมมา

    ถาม : .........................?

    ตอบ: ทุกอย่างไม่เที่ยงจ้ะ จากเด็กเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ เป็นเด็กโต จากเด็กโตก็เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว จากหนุ่มจากสาวก็เป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนก็เป็นคนแก่ พอสิ้นสุดสภาพก็ตาย คราวนี้ไม่ได้แก่แล้วตาย ตายเมื่อไหร่ไม่ได้บอกด้วย เด็ก ๆ ก็ตายได้ วัยรุ่นก็ตายได้ เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตายได้ วัยกลางคนก็ตายได้ ชราแล้วก็ตายได้ ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถามว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านบอกประมาณ ๗ ครั้งพระพุทธเจ้าข้าฯ พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ยังห่างเกินไป ตถาคตคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก สติท่านละเอียด ทุกลมหายใจท่านรู้อยู่ ถ้าขาดลงเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น

    ในเมื่อความตายอยู่ใกล้เราขนาดนี้ ทุกวันนี้เราได้ตั้งใจทำความดีเต็มที่แล้วหรือยัง ? ถ้าตายลงตอนนี้ จิตของเรามีอะไรเป็นที่ยึด เป็นที่เกาะเป็นที่ไป ต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอ ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว แล้วลองถามตัวเองดูว่า คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ มีไหม ? มีแน่นอนทุกคน แล้วถามตัวเองดูว่า ถ้าตายตอนนี้ห่วงไหม ? ให้ตอบจากใจจริง ๆ นะ ไม่ใช่ตอบเพราะรู้ว่าตอบอย่างนั้นถึงจะถูก ให้ตอบจากใจจริง ๆ ว่าไม่ห่วง แล้วถามตัวเองว่าแล้วจะไปไหน ? ถ้าบอกว่าไปนิพพาน ก็จับอารมณ์นั้นต่อไปเลย จับอารมณ์ที่ว่าไปนิพพานนั่นแหละ

    ในเมื่อเกาะตรงจุดนั้นก็ภาวนาต่อไปเลย จนอารมณ์ใจทรงตัวมั่นคง ตั้งใจไว้เลยว่า เราจะไปทำหน้าที่การงานประจำวันของเราแล้ว ถ้าหากวันนี้หมดอายุขัยหรือถึงแก่ความตาย ด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม เราขอไปอยู่พระนิพพานที่เดียว ทำไว้ทุกวัน ไม่ต้องมากหรอก วันหนึ่งแค่ ๕ – ๑๐ นาทีก่อนไปทำงานก็พอ พอถึงเวลากลางคืน หมดธุระทุกอย่างแล้ว เหนื่อยมามาก กราบพระสวดมนต์ได้ก็เอานิดหน่อย ทำมากไม่ได้หรอก ง่วง อยากนอน เหนื่อยแล้ว ถึงเวลานอนลงก็ตั้งใจว่า ขณะนี้ร่างกายของเราเหยียดยาวลงไปแล้ว ก็เหมือนกับคนตายดี ๆ นี่เอง ถ้าหากตายโดยไม่ได้เห็นตะวันขึ้นก็เป็นเรื่องของมันเถอะ ตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพาน เอาจิตเกาะพระนิพพานแล้วภาวนาให้หลับไป ไม่ต้องมากหรอก ทำแค่นี้แหละ

    หลวงพ่อบอกว่า ถ้าจิตยึดมั่นก่อนนอน ๒ นาที ตื่นนอน ๒ นาทีอย่างนี้ทุกวัน ถ้าตายเราไปนิพพานได้แน่นอน เพราะจิตมีสภาพจำ เราตั้งใจมั่นคงอยู่ตรงจุดไหน ? ถึงเวลาตายจะไปจุดนั้น เหมือนกับเราล็อคสเป็คเอาไว้แล้วจะต้องทำอย่างนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ ถึงวาระถึงเวลาจะเป็นเอง ในช่วงเวลาระหว่างวัน อาจจะยุ่งอยู่กับงาน ฟุ้งซ่านอยู่กับเรื่องต่าง ๆ บ้าง แต่จิตที่มีสภาพจำ จะจำอารมณ์แรกที่เกาะ แล้วอารมณ์แรกที่เกาะของวันสำคัญที่สุด

    ดังนั้นกรรมฐานตอนช่วงเช้าเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ถ้าเราสามารถรักษษอารมณ์ใจให้สงบให้มั่นคงได้ จะอาศัยได้ทั้งวัน จิตใจที่สงบมั่นคงเพราะกำลังสมาธิอยู่ตัวแล้ว เราก็อาศัยกำลังสมาธินั้นกดกิเลสไว้ รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้ แต่ละวันก็เหลือหน้าที่แค่คอยดูว่า นิวรณ์ ๕ อย่าง คือ

    ๑. กามฉันทะ ความพอใจระหว่างเพศ
    ๒. พยาบาท ความคิดโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา
    ๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจ
    ๔. อุทธัจ ความฟุ้งซ่าน อารมณ์ไม่ตั้งมั่น
    ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลปฏิบัติ
    ๕ อย่างนี้มีอยู่ในใจของเราไหม ? ถ้ามีก็ไล่ออกไป ถ้าไม่มีก็คอยระมัดระวังป้องกันไว้อย่าให้เข้ามา ก็เหลือหน้าที่ควบคุมกำลังใจของเราอย่างเดียว
    เพราะว่าเป้าหมายเราตั้งตรงไว้แล้ว เหลือแต่รักษากำลังใจให้อยู่ในกรอบของสมาธิ อยู่ในกรอบของสมาบัติ เหมือนกับเอาหินไปทับหญ้าเอาไว้ ถ้าทับไปนาน ๆ กอหญ้าจะเฉาตายไปเอง อาการอย่างนี้เรียกว่า เจดตวิมุติ คือการบรรลุโดยใช้กำลังใจสะกดข่มเอาไว้

    อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ปัญญาวิมุติ คือการพิจารณารู้แจ้งเห็นจริง แล้วสภาพจิตยอมรับ แต่ส่วนใหญ่พวกเราถนัดใช้เจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลส สู้กิเลส ไม่ใช่ปัญญาไม่มี แต่ไม่ถนัดอย่างนั้น มวยลวดลายชนะคะแนนพวกเราไม่ค่อยชอบหรอก เพราะเป็นนักบู๊มาเยอะ ต้องเจอลำหักลำโค่น คนละทีแลกกัน ถ้ามันไม่น็อคเราก็น็อคแทนอย่างนั้น

    ถาม : กำลังใจขึ้นบ้างลงบ้าง เป็นเพราะเราอ่อนจุดไหน ?

    ตอบ: ต้องทำให้ต่อเนื่องจ้ะ เราขาดการปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สังเกตไหม ? พอเราเลิกแล้วเลิกเลย จริง ๆ พอเราเลิกปฏิบัติแล้ว แต่ละวันต้องพยายามจับภาพพระ เอากำลังใจส่วนหนึ่งจดจ่ออยู่กับพระนิพพานหรืออยู่กับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นปกติ ใช้กำลังความรู้สึก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ นึกอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ นิพพานก็อยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ไกลเลย พยายามให้เห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

    ส่วนกำลังใจอีก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ให้ทำหน้าที่การงานตามปกติไป ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจลักษณะนี้ได้ อยากรู้อะไรเมื่อไหร่ ? จะรู้ได้ชัดเจนแจ่มใสมาก แค่นึกถึงพระปุ๊บคำตอบจะมีมาทันทีเลย เพียงแต่ว่าของเราพอเราเลิกแล้วทิ้งเลย ไม่ได้ไปจับให้ต่อเนื่องกัน เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำได้ระยะหนึ่งถึงเวลาก็ปล่อย ก็ไหลตามน้ำไป แล้วก็ว่ายทวนน้ำใหม่ พอได้อีกหน่อยก็ปล่อยตามน้ำไป บางทีได้ไม่เท่าเดิมด้วย ลอยไปก็ไกลกว่าเดิมด้วย ลอยไปก็ไกลกว่าเดิมด้วย เลยกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวัน แต่ไม่ได้ผลงานเพิ่มขึ้นเลย รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง พยายามจับภาพพระให้ได้ตลอดเวลา


     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...