คำจำกัดความ พลังจิต

พลังจิต
เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ดร.ระวี ภาวิไล เคยกล่าวไว้ในข้อเขียนของท่าน
พุทธศาสนาล้ำยุค
เป็นคำกล่าวของ ไอน์สไตน์ฯที่ว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด
อภิญญา
เป็นฤทธิ์ทั้ง 6 ในศาสนาพุทธ มี1.อิทธิฤทธิ์ 2. มีหูทิพย์ 3.มีรู้การตายการเกิดของสัตว์4. มีรู้ใจความคิดของคนและสัตว์ 5.มีการระลึกชาติได้6.มีการทำกิเลศให้หมดไป
นิพพาน
เป็นสภาวะที่ธาตุทั้งสี่ไม่มารวมตัวกัน คือไม่กลับมาเกิดได้อีกต่อไป
พุทธศานา
คือ พุทธศานาแต่มีนิกายต่างๆแตกกันออกไป โดยใหญ่ๆก็มีมหายาน และ เถรวาท
วิทยาศาสตร์ทางจิต
คือพลังงานทางจิต ที่สามารถเปลี่ยนสสารให้เป็นพลังงานและเปลี่ยนพลังงานให้เป็นสสารได้
เรื่องลึกลับ
คือเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ หรือพิสูจน์ได้แล้ว

 

ให้คำจำกัดความยังไม่ค่อยชัดครับ คือ
หัวข้อที่ ๔ พุทธศาสนา (พิมพ์ผิดเป็น พุทธศานา) พูดถึงนิกาย มิได้พูดถึงพลังจิต
หัวข้อที่ ๖ เรื่องลึกลับ เป็นพลังจิตได้อย่างไรครับ ?
ขอขอบคุณ คุณ NARKA

 

ขออภัยที่บางคำพิมพ์ผิด
แต่เรื่องพุทธศาสนานี่ ถ้าพูดถึงการปฏิบัติ ที่แท้ก็คือพลังงานทางจิตปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง น่าจะตรงความหมายอยู่แล้วในตัวเองนะครับแต่ไม่ใช่ความหมายของฆาราวาสธรรมนะครับ
เรื่องลึกลับนี่เป็นวิทยาศาสตร์ เราดีๆนี่เอง
ถ้าเป็นความเชื่อ วิทยาศาสตร์ก็อาจพิสูจน์ได้ หรือบางอย่างก็ยังพิสูจน์ไม่ได้
แต่เนื้อแท้แล้ว ผมอยากสร้างนิยามสั้นๆกระทัดรัดไว้เตือนใจ เป็นเครื่องเตือนความจำของเราเองไม่ให้หลงไปผิดนิยาม
เวลาเจอข้อเขียนหรือตำราใดๆเราก็เอานิยามมาลองจับดู
ถ้ามันต่างกันมากก็น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ครับ

 

เรื่องลึกลับนี่เป็นวิทยาศาสตร์เราดีๆนี่เอง
ยังสงสัยครับ....
เพราะวิทยาศาสตร์น่าจะหมายถึงสิ่งที่เปิดเผยได้ แสดงผลหรือพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นได้ หรือสัมผัสได้ เพราะมีหลักการ ทฤษฎี ที่ผ่านการวิเคราะห์วิจัย และมีบทพิสูจน์ที่แน่ชัด (ผ่านกระบวนการพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก จนบัญญัติเป็นหลักวิชาได้)
สรุปว่า วิทยาศาสตร์น่าจะไม่ใช่เรื่องลึกลับ ที่พิสูจน์ไม่ได้
และข้อความ ๔ บรรทัดสุดท้าย อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่อง "นิยาม" อะไรเนี่ยะครับ
ต้องขออภัยคุณ NARKA อีกครั้ง

 

ผมว่ามันผิดหมดเลยครับ ลองคิดในประเด็นที่ว่า คุณจะเห็นสองสิ่งนี้คือมันจะไม่ค่อยลงกัน มันจะมาคอยหักล้างกัน เมื่อบางอย่างที่เป็นความเหลือเชื่อ และเรื่องลึกลับที่ทำให้คนมีความเชื่อและนับถือซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์ก็จะมาหาข้อพิสูจน์ และค้นคว้าหาว่ามันเกิดจากอะไร เมื่อหักล้างหมดไปคนก็เปลี่ยนไปตามนั้นไปเรื่อย ซึ่งอาจจะแสดงให้เห็นว่า มันอาจะเป็นแค่อะไรบางอย่างที่อาจมาทำให้เราเป็นอย่างนั้นแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่จริง ทุกอย่างมีจริง แต่เรากลับไม่รู้ตัวเองว่านั้นคืออะไร เมื่อคุณยังไม่รู้ตัวเองเลยปัญหาเชื่อได้ว่าไม่มีทางหมดไปจากโลก คุณจะบอกว่าคุณจะหนี หลุดพ้น หรืออย่างไร ก็ตามปัญหานี้ก็จะคุณไป ที่มันเกิดปัญหาอยู่ทุกวันนี้อาจจะไม่ใช่เพราะตัวคุณไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นการยังมองปัญหาไปไม่ถึง มันก็จะกลับมาอีก

 

ถ้าจะมีศาสนาใด ซึ่งพอจะเข้ากันได้ กับแนวคิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ศาสนานั้นคือ ศาสนาพุทธ::ไอสไตล์
แต่ที่ซึ่งวิทายาศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบันพวกคุณไม่ยอมรับมัน
ลองกับไปคิดดูใหม่ คุณอาจจะมองผิดก็ได้

 

แล้วที่อธิบายมามันเป็นคำจำกัดความของคำว่าพลังจิตตรงไหนเหรอครับ

 

นั่นน่ะซิครับ คุณเนมิตกปุรษ
ตามที่ผมเคยศึกษามาบ้าง
คำว่า "พลัง" ก็คือ "กำลัง" นั่นเอง แบ่งเป็น ๒ คือ
พลังกาย - พลังจิต หรือ กำลังกาย - กำลังใจ นั่นเอง
พลังกาย คือ มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง
พลังจิต คือ มีสุขภาพจิตดี จิตดีมีคุณธรรม ตั้งแต่ขั้นสามัญธรรมดา ๆ จนกระทั่งถึง มีพลังแห่งฌานสมาบัติขั้นสูง หากได้อภิญญา ก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้
ทั้งสองอย่างหากเกื้อกูลกันก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมาก
ดังพระพุทธพจน์ว่า
พลํ สงฺฆสฺส สามคฺคี.
ความสามัคคีของหมู่คณะทำให้เกิดพลัง (อันยิ่งใหญ่)
ทีนี้ผมเคยสงสัยว่า อัน พลังกาย กับ พลังจิต นี้อย่างไหนจะสำคัญกว่ากัน ?

 

สรุปคือที่บอกว่า เอาเรื่องจิตมาทำอะไรต่อมิอะไรเนี่ยน่ะที่มันหาคำตอบไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม แล้วที่คุณเห็นมันก็เป็นจริง แต่คุณยังไม่รู้ตัวเลยว่ามันคืออะไร