กุศลที่ทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย sss12, 26 กันยายน 2010.

  1. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ถาม : ทำกุศลอย่างไร จึงจะทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก

    ตอบ ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภมาณพ บุตรของโตเทยยพราหมณ์ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ม.อุปริ. ว่า

    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพรากรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น

    สรุปได้จากพระพุทธดำรัสนี้ว่า ทานคือการให้ปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ มีข้าวน้ำเป็นต้นนั่นเอง ทำให้เขาเป็นคนมีโภคะมากในชาติต่อไป ความจริงในชาตินี้ ถ้าเราเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่มิตรสหาย หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรแบ่งปันให้กัน มิตรสหายหรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เขาก็แบ่งปันของของเขาให้แก่เราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาให้เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนเลย คือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยความนับถือ มิได้คิดที่จะได้สิ่งตอบแทน แต่เพราะความมีน้ำใจของเรา เราก็ได้รับความมีน้ำใจจากผู้อื่นเช่นกัน ทั้งนี้เพราะการให้เป็นการผูกไมตรีต่อกัน ทั้งผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับเสมอ

    ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีแต่ความตระหนี่ ให้อะไรใครก็ไม่ได้ เสียดายหวงแหนไปหมด ผลที่ได้รับก็คือความอดอยากยากจน ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย เราไม่เคยมีของไปให้ใครเลยแล้วจะมีใครเขาเอาของมาให้เราเล่า ในเมื่อเราไม่เคยผูกมิตรไมตรีกับใครเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ตระหนี่หวงแหน ตายไปแล้วจะมักเกิดเป็นเปรตได้รับความลำบาก อดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ ต้องรอเวลาที่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้จากโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จึงจะบรรเทาความหิวโหย ได้อิ่มหนำกันทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการอดอยาก ก็ไม่ควรตระหนี่หวงแหน

    อีกประการหนึ่ง นอกจากทานจะให้ผลทำให้เป็นผู้มีโภคะมากแล้ว แม้ศีลคือการรักษาศีลก็สามารถให้โภคสมบัติเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ การรักษาศีลด้วยความสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ารักษาศีลด้วยความไม่ประมาท การรักษาศีลด้วยความไม่ประมาท นี่แหละเป็นเหตุให้ได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีลตายแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็สมบัติในสวรรค์นั้นเมื่อเทียบกับสมบัติในเมืองมนุษย์แล้ว ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ซึ่งหมายถึงสมบัติอันมโหฬารในสวรรค์นั่นเอง นั่นเป็นเรื่องของการได้รับผลในชาติหน้า ส่วนผลในชาตินี้ของผู้มีศีลในข้อนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่อาจเทียบกับผลที่ได้รับในชาติหน้าได้เท่านั้นเอง

    ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองสังเกตุดูพระภิกษุทั้งหลายที่ท่านมีลาภสักการะมาก แล้วจะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีศีลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ต้องการทำบุญกับพระทุศีล

    สรุปว่า ทั้งทานและศีลเป็นเหตุให้ร่ำรวยไม่อดอยาก


    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :
    - พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ จูฬกัมมวิภังคสูตร
    ����ûԮ������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ������� �

    - พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการ
    ����ûԮ������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ������� �
     
  2. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพรากรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น





    ชาตินี้ได้ถวายแล้วแทบจะทุกอย่างตามที่กล่าวมาข้างต้น ตามเหตุ และปัจจัย

    แต่ชาติที่แล้วนีสิไม่รู้ได้ถวายอะไรบ้างหรือเปล่า:':)':)'( ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้

    ด้วยค่ะ
     
  3. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์


    ส่วนใหญเคยถวายมาแล้วยกเว้นสองอย่างนี้ยังไม่เคยถวาย

    ยานถ้าเทียบสมัยนี้ หมายถึง รถยนต์ ใช่หรือไม่
    ส่วนใหญ่จะถวายเป็นของวัดหรือเปล่า?

    ของหอม เครื่องลูบไล้ หมายถึงอะไร ไม่เคยนำของหอมไปถวายพระเพราะรู้ว่าท่านไม่ได้ใช้

    ท่านใดมีประสบการณ์ขอความรู้เพิ่มด้วยครับ
     
  4. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ขออธิบาย ในเรื่องของ ยาน และ ของหอม เครื่องลูบไล้ ดังนี้นะค่ะ

    1.ยาน

    - ยานพาหนะ (ยานํ) หมายถึง การถวายยานพาหนะในการเดินทางของพระภิกษุ-สามเณร ทั้งนี้ รวมถึง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเดินทาง เช่น ร่ม รองเท้า ทำบุญร่วมสร้างสะพาน/ถนน และรวมถึงปัจจัยค่าโดยสารด้วยค่ะ

    - ส่วนเรื่องของการถวายให้เป็นของวัดนั้น อธิบายได้ว่า ถ้าถวายทานแบบไม่เจาะจง แต่มอบถวายเป็นของสงฆ์ คือ ส่วนรวมหรือส่วนกลางของพระภิกษุสามเณรในวัด ก็เท่ากับถวายให้เป็นของวัด --> ก็จะได้อานิสงค์มากกว่าเพราะเป็น"สังฆทาน" ~~ แต่หากเป็นการถวายทานเจาะจงพระภิกษุเฉพาะรูปใดรูปหนึ่ง กล่าวคือ ความศรัทธาจะถวายสิ่งใดแด่พระภิกษุสามเณรรูปใด ก็จัดสิ่งนั้นไปถวายแด่พระภิกษุสามเณรรูปนั้น เป็นการถวายแบบส่วนตัวหรือเป็นรายบุคคล --> ก็จะเป็นทานธรรมดา หรือ "ปาฏิบุคลิกทาน" ที่ก็ได้บุญมากเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากับการถวายในแบบแรกค่ะ

    2. ของหอม เครื่องลูบไล้
    - ของหอม (คนฺธํ) หมายถึง สิ่งที่มีกลิ่นหอมที่ไม่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ เช่น กลิ่นหอมของธูป กลิ่นหอมของเทียน เป็นต้น
    - เครื่องลูบไล้ (วิเลปนํ) หมายถึง เครื่องตบแต่ง เช่น ธงทิว เครื่องย้อม เครื่องทา เป็นต้น

    อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2010
  5. wiraj

    wiraj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +1,620
    ขอบคุณครับ ความรู้ใหม่เลยเรื่องของหอม เครื่องลูบไล้
     

แชร์หน้านี้

Loading...