การที่ไม่ยอมให้อภัยเหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 29 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    เคยไหมบางคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าจะรู้สึกไม่ชอบทันที จะพูดจะทำอะไรดูเกะกะน่ารำคาญไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นเดียวกันนั่นเป็นเพราะอดีตเราไม่ยอมให้อภัยต่อกัน การที่ไม่ยอมให้อภัยเหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แม้จะไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชนิดใด งามแค่ไหน ร่างกายของเราก็ยังคงสกปรกและตามไปทุกหนทุกแห่ง การให้อภัยเปรียบเหมือนการอาบน้ำชำระร่างกาย

    ท่านอาจลืมคิดไปว่าลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่เดือนร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่ไม่ได้อโหสิกรรมแก่กัน กรรมจึงติดตามกันมาเห็นผลถึงชาตินี้ บางทีคนที่เขาโกรธเราหากเราไม่โกรธตอบ ก็จะไม่เป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทร.ถึงก็หมดสิทธิจะคุยกันเพราะกระแสไม่ถึงกัน การตอบรับซึ่งกันและกันหากเป็นความโกรธ ความแค้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดไว้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

    เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราก่อน เพื่อป้องกันจิตมิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ คิดเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ไม่ไปยึดเป็นรักเป็นชัง ก็เมื่อแม้แต่รักพระท่านยังสอนให้ละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธแค้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้ ดังนั้น วิธีการแผ่เมตตาท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่าเป็นคนที่รักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่าเป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมโลกเดียวกันการคิดเช่นนี้เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    แผ่เมตตาให้สัตว์ที่กินเป็นอาหาร

    เจ้ากรรมนายเวรคือสัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ ไก่ เป็ด ปลา กุ้ง หอย ต่างๆ นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันนับไม่ถ้วนกี่ร้อยกี่พันชนิด เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วนล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเป็นของเราคนเดียวแล้วไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขาเพื่อต่อชีวิตเราให้ยาวออกไป

    หากเขารู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขาบางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอก็หาโรคไม่เจอ แต่พอแผ่เมตตากลับหายเรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริงก็คือแผ่ให้ตัวเรานั่นเองการให้เขาคือการให้เรา เพราะเขาอยู่กับเราเขาคือร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อมาเป็นพลังงานให้ชีวิตเรา

    การแผ่เมตตาทำได้ง่ายเพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ คิดถึงความดีของเขาที่ได้ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ การแผ่เมตตาถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิตที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยวางบนโต๊ะอาหารรอเรามาขบเคี้ยว ชีวิตเราถูกเลี้ยงโดยสัตว์อื่นการกินคือการต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ 3 เวลา แต่ละเวลาเราต้องกินอาหารอื่นนับสิบชีวิต

    ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ การให้อภัยแก่ใครนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

    เมื่อให้อภัยเสียแล้วใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขาก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้อโหสิเสียแล้ว ยุติสนิมในใจคือความพยาบาทอาฆาตให้หมดสิ้นไปจากใจของเราเสียแต่บัดนี้

    ให้อภัยคือการล้างใจให้สะอาด<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->การแสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่ายแต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้พิจารณาเหตุผลถึงความต่อเนื่องของผลกรรม ที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่าให้ผลร้ายแรงเพียงใด เป็นไปได้ไหมที่เราต้องการยุติการส่งผลของกรรมกับคนนั้นเพียงภพนี้เท่านั้น หรือว่าอยากจะพบอยากจะใช้กรรมกันต่อไป หลายคนที่รักมาก หลงมาก แค้นมากก็ผูกใจเจ็บไม่ให้อภัย ไม่ยกโทษให้ เหมือนการผูกสิ่งที่ไม่ชอบไว้ที่ตนเองตลอดเวลา...

    ให้อภัยเหมือนล้างใจให้สะอาด

    การให้อภัยจะช่วยให้สามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เปรียบเสมือนคนล้างแก้วน้ำให้สะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมือนการโยนของที่ไม่ชอบทิ้งเสียโดยไม่ต้องเสียดาย การให้อภัยคือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาจะให้ไม่ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา ที่ต้องควักกระเป๋าให้ แต่การให้อภัยไม่ต้องหาจากไหนและไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย

    ขอให้ภูมิใจเมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเราหรือเมื่อสำนึกได้ว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้าหรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรกก็ชำระล้างให้สะอาด ใครจะคิดอย่างไรมิใช่ประเด็น แต่สำหรับผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในจิตของเรานั่นเอง

    การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะนั้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทานคือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเราเหมือนคอมพิวเตอร์ ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำที่เลวร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต ต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบหรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้กำหนดได้ที่ตัวเอง

    ฝึกใจให้คิดแต่เรื่องดีๆ

    ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็นแม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้ คนเราอยู่ไม่ถึง 100 ปี ทำไมจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก เวลาที่โกรธ เกลียด พยาบาทใคร สีหน้าของเราจะเปลี่ยนไปหน้าจะเครียดแดงก่ำ เลือดสูบฉีดเร็ว หัวใจเต้นแรง มือไม้สั่น

    เวลาโกรธจัดจิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้ายคือ ความหนักใจ เหนื่อยหอบ ทำอะไรก็เป็นทุกข์ไม่มีความสุข แต่พอได้ยกโทษให้ใครเมื่อหายโกรธเหมือนยกภูเขาออกจากใจ จะรู้สึกทันทีว่ายิ้มได้ มีความสบายใจโล่งโปร่งสบาย คิดแต่เรื่องดีๆ จิตใจก็เบิกบานอิ่มเอิบ ที่สำคัญช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ผ่องใส

    เราอาจคิดว่าการให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อให้อภัยใจเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากัดใจให้ผุกร่อน วิธีคิดมีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอว่าแพ้หรือชนะอยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้วคำว่ากำลังใจก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือการที่ใจมีกำลัง และเป็นกำลังจากความคิดที่ดี

    มนุษย์จึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งให้คนอื่นได้มากเท่าไร กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่านั้น เหมือนวิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัวก็ยิ่งหดหาย การให้อภัยแม้ยากแต่หากพยายามทำบ่อยๆ ให้กลายเป็นนิสัย จะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อย้อนนึกถึง ด้วยเหตุนี้จึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะแต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน ด้วยการมองแต่เรื่องดีๆ ของคนให้พบ มองบวกคิดบวกพูดบวก เพราะการทำอะไรเป็นบวกจะทำให้ได้กำไรใจสบาย







    ที่มา ��ʵ� ������ ��礪��ªҵ� ������ͧ �����ᴧ ��Ե��� ����Է��� �Ǫ�Ҫ��� ����������¹ �ѡ�Գ �ԡĵ�����Թ �Ҥҹ���ѹ �ͧ��
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    ขอบคุณครับ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...