ถ้าอย่างนั้นวิธีนี้คงไม่มีปัญหาอะไรมั๊งครับ ขนาดนักสะกดจิตเค้ายังเขียนให้หนังสือให้ผู้อ่านลองไปทำเองเลย เคยทำหนสองหนครับ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (แป่ว) อาจจะเพราะยังไม่เข้าใจวิธีดีมากกว่า
ไปนอนก่อนนะคะ คุณเซลล์ กลับจากกรุงเทพ จะมาคุยใหม่ค่ะ เดี๋ยวจะเอาประสบการณ์ที่ได้มาเล่าให้ฟังค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
5555 คุณเซลล์รับได้หรือคะ ว๊าววววววว จดจ่อ จนคุณเซลล์รีบเ้ข้ามาหรือเปล่าเนี่ย ชายหนุ่มตุ้มตุ๊ย เห็นแล้วอารมณ์ดี สดชื่นจริงๆ ค่ะ ...แหะๆ แหะๆ
คุ้นๆ ครับ เคยอ่านเจอในที่เค้าเขียนเกี่ยวกับการสะกดจิตตัวเอง เค้าก็ให้เรานึกว่าเรากำลังเดินถอยหลังลงบันไดไปเรื่อยๆ เหมือนกันครับ
ขอบคุณสำหรับภาพ น่ารักๆ ของหนุ่มน้อย (แบบที่คุณซิปเรียก) นี่ น่าเอ็นดูเชียวค่ะ...ตัวกลมๆ เวลาเห็นคนหุ่นแบบนี้สิ่งแรกที่นึกถึงคือ คนอารมณ์ดี...รวยอารมณ์ขันค่ะ ..แล้วคุณเซลล์ละคะ รู้สึกอย่างไร...
เท่าทีเห็นนะครับ เดี๋ยวนี้การทำสมาธิในระยะหลังๆ (New-Age) หลายๆแห่งเน้นเรื่องการ"รักษาสติยามตื่น"เป็นพิเศษครับ..ไม่ค่อยเน้นหลับตาสมาธิมากนัก เพราะอาจเข้าไปเห็นนิมิตรและหลงยึดติดชาติภพ-ภูมิเก่าได้ง่ายๆครับ ถ้าไม่มีปัญญาในการเข้าใจเพื่อแยกแยะให้ดี..อาจหลงเพลินและเสียเวลามากกว่าเดิมนะครับ..ตอนนี้ผมแค่เพ่งเบาๆบริเวณตาที่สามเท่านั้นเองครับ..นอกนั้นก็พยายามฝึกสติ..แต่ก็ไม่ง่ายที่จะควบคุมได้ทั้งหมดนะครับ..ว่าไปก็มีเผลอบบ้างครับ..คุณเซลล์คงจะใช้วีธีคล้ายๆกันรึเปล่าครับ แนะนำแลกเปลื่ยนกันบ้างนะครับ
คริสต์ในบางนิกายก็มีการนั่งสมาธิเหมือนกันครับ แต่จุดประสงค์ในการนั่งนั้นคาดว่าคงไม่เหมือนพุทธ ว่าแต่การใช้เทคนิคการโปรแกรมจิตใต้สำนึกเนี่ยมันยังไงครับ มันเหมือนกับเทคนิกที่ใช้ในการโฆษณาหรือเปล่าครับ ที่ว่าให้เห็นภาพซ้ำๆ ก็จะติดหัว หรือว่าเปิดฟังภาษาอังกฤษระหว่างนอน สมองก็จะซึมซับภาษาอังกฤษไปด้วย แต่เดาว่าสิ่งที่คุณเซลล์ว่ามาคงไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน
Good afternoon ครับคุณเซลล์..วันนี้เรื่องในกระทู้ยาวจริงๆครับ เรื่องราวจากหนังสือแนวนี้..เนื้อหาต่อเข้าด้วยกันจากหลายมุมมองนะครับ อ่านแล้วก็อดทึ่งฝันของพี่นักเขียนไม่ได้..เจอกับตัวเองแบบนี้ยากจะบอกใครจริงๆนะครับ สงสัยต้องใส่ใจกับรายละเอียดในสิ่งต่างๆที่พบเห็นให้มากขึ้นอีกเยอะเลยนะครับพวกเรา กว่าที่จะก้าวพ้นขีดจำกัด..ของความมีตัวตนไปได้เนอะ (อิอิ)
ใช่ค่ะคุณเซลล์ โซลรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มาอยู่ที่นี่เพิ่งจะรู้สึกรักที่นี่มากๆ ก็ตอนไปเรียนกรุงเทพหลายปี เบื่อๆ กรุงเทพ พอกลับมาอยู่ที่สงขลา เหมือนสวรรค์ของตัวเองเลย สงขลาเป็นเมืองเงียบ คนไม่พลุกพล่าน มีทะเล ชายหาด สถานที่ออกกำลังกาย ที่ปิคนิค. โซลชอบไปนั่งที่ชายทะเล เอาหนังสือไปอ่านบ้าง บางทีก็ไปนั่งวาดรูปบ้าง แบบปลดปล่อยจินตนาการค่ะ ...ตอนนี้ ท้องฟ้ามืดเชียว ฝนกำลังจะตกค่ะ เลยไม่ค่อยได้บรรยากาศแจ่ม่ๆ เท่าไหร่ค่ะ คุณเซลล์ ...แต่ได้บรรยากาศอีกแบบ..นี่นะ ถ้าอารมณ์เหงาๆ นะบรรยากาศพาไปเลย แต่ตอนนี้ไม่เหงาหล๊ะ เข้าห้องวิทย์แล้วหายเหงาเลยค่ะ
เอาชาร้อนๆ มาฝากตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนนะคะ ...คุณเซลล์เพิ่งจะเข้ามา เดี๋ยวต้องหาถ้วยใหม่ให้แล้วค่ะ..ถ้วยเดิมนี่ท่าจะชืดแล้ว ....ชายทะเล กับชาร้อนๆ นั่งจิบริมหาด ..บรรรยากาศโรแมนติกจัง คิดแล้ว อยากเดินออกไปชายทะเลแล้วซิ ...หาดสมิหรา ห่างจากที่ทำงานโซล ไปนิดเดียว เอง :cool:
ต้องขอโทษคุณเซลล์จริง ๆ ค่ะ ที่ไม่สามารถบอกวิธีการฝึกให้ทราบได้ เพราะอาจเกิดผลเสียต่อตัวคุณเซลล์เอง เพราะการฝึกวิธีนี้สิ่งสำคัญก็คือว่า นักเรียนในแต่ละระดับจะต้องได้รับพลังจากอาจารย์ใหญ่เพื่อปรับความสมดุลย์ของร่างกาย ให้พร้อมที่จะรับพลังในระดับนั้น ๆ ก่อน จึงจะใช้วิธีการฝึกในระดับนั้น ๆ ได้ ไม่งั้นแล้วร่างกายของเราอาจจะรับไม่ได้ ซึ่งค่อนข้างอันตรายมาก ๆ เลยค่ะ ลองคิดดูค่ะว่าถ้าเรารับพลังจากพระอาทิตย์เข้ามาในร่างกายแล้วจะร้อนแค่ไหน? ยิ่งถ้าเป็นพลังจากแสงทิพย์นี้ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ.. คุณเซลล์ลองไปเรียนพลังเอกภพยูเรอัสที่คุณ Mead เค้าแนะนำมาดูสิคะ อาจจะเข้าใจเหตุผลมากขึ้น..
อ่านคำนำ ชี้ให้เห็นว่า ทุกศาสนา วัฒนธรรม เชื้อชาติ มีแก่นแท้เป็นความรัก และปัญญา เหมือนกันหมดจริงๆครับ แค่อ่านคำนำก็น่าสนใจแล้วครับ ขอบคุณคุณ zipp ที่นำ ebook ดีๆมาให้นะครับ :cool: ในที่เรียนสมาธิด้วยกัน มีฝรั่งมาเรียนอยู่เยอะมากเลยครับ เหมือนกับการเติมเต็มประสบการณ์ต่างๆให้ตนเอง เค้าค่อนข้างเปิดกว้าง ในสิ่งที่ตนเองยังไม่ทราบ เพื่อหาคำตอบที่อยู่ในใจของเค้า ตรงจุดนี้ผมว่า เป็นแนวคิดที่ดีของฝรั่งนะครับ สิ่งที่เค้าไม่ทราบ เค้าจะพยายามหาคำตอบจนได้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ที่พี่นักเขียนบอก ตอนเด็กๆผมเคยเรียนโรงเรียนคริสต์ ความเชื่อของศาสนาคริสต์บางนิกายเค้าจะสอนไม่ให้เด็กนั่งสมาธิ เพราะสติจะฟั่นเฟือนได้ง่าย และความเชื่อที่ว่า ห้ามกราบไหว้รูปเคารพอื่น ก็เป็นความเชื่อที่ปิดกั้นพอสมควร ดังนั้นชาวต่างชาติที่นับถือคริสต์เป็นเดิมทุน การที่จะเปลี่ยนมาศึกษาศาสนาอื่นอย่างจริงจัง ต้องมีความต้องการที่มากพอสมควร แต่ผมกำลังคิดเรื่องการป้อนโปรแกรมใส่จิตสำนึกของเราอยู่ครับ พี่นักเขียนสอนว่าให้ดูอารมณ์ ความคิด และจินตนาการของเราเอง โดยใช้อำนาจของปัจจุบันขณะ เป็นการกระทำผ่านจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกทำตามจิตสำนึกอีกที แต่อีกวิธีคือ ไม่ได้กระทำผ่านจิตสำนึก แต่ใช้เทคนิควิธีการ และมาสั่งโปรแกรมจิตใต้สำนึกอีกที (วิธีนี้เคยได้ยินมาว่า หากเรานำมาใช้บ่อยๆ โดยที่ไม่ได้ผ่านการกระทำผ่านจิตสำนึก พลังงานที่สะสมไว้ที่จิตใต้สำนึกจะหมด) คุณ zip มองยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
เล่มนี้จำไม่ได้ว่าซื้อมาตอนไหน ถ้าจำไม่ผิด เล่มนี้ตีพิมพ์สองครั้ง ครั้งที่สองพิมพ์ออกมาปี 2544 ส่วนครั้งแรกจำไม่ค่อยได้ 2542 ล่ะมั๊ง ไม่รู้ว่าช่วงนั้นหนังสือข้ามเวลามาพบกันพิมพ์ออกมาแล้วหรือยัง แต่อย่างไรก็ตามคนเขียนเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ ดร.ไบรอัน แต่เป็น Betty J. Eadie ผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย หรือ Near Death Experiance ครับ ที่เวปนี้ http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=4226 มีคนพิมพ์คำนำที่เขียนโดยผู้แปล น่าจะทำให้คุณเซลล์เข้าใจหนังสือเล่มนี้มากขึ้น
