คำสารภาพของวิญญาณบาป โดย นพ. อาจินต์ บุณยเกตุ ตอน พลังจิต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 1 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    คำสารภาพของวิญญาณบาป โดย นพ. อาจินต์ บุณยเกตุ ตอน พลังจิต
    [​IMG]
    สมัยนั้นผมยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักคำว่า “พลังจิต” ไม่รู้จัก คำว่า “ฌาน” ก็ได้แต่แปลกใจ ประหลาดใจในอิทธิฤทธิ์ของท่าน นอกจากนี้ผมยังมีเรื่องที่แปลกจนกลายเป็นของธรรมดาไป ก็ตอนที่มีคนมาหาท่าน เขายังไม่ทันได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งลงกราบ ถวายดอกไม้ธูปเทียน พอท่านรับของถวายแล้ว ท่านก็นิ่งเฉยอยู่สักครู่ จากนั้นท่านก็จะพูดออกมาเลยว่า “ปัญหาของผู้นั้นคืออะไรผลจะเป็นอย่างไร ?”

    อย่างเช่นมีอยู่รายหนึ่งมาหาท่านจะขอให้ท่านช่วยรักษาให้ โดยที่ป่วยมานานแล้วไม่หาย หลวงพ่อท่านว่า “ไปทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวรเสีย รีบๆ ไปทำเสียเร็วๆ”

    พอคนนั้นกลับไปแล้ว ผมถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยรักษาให้เขา”

    ท่านตอบว่า “นาฬิกาหมดลานแล้ว เหมือนเรือถึงท่าแล้ว ก็ขึ้นจากเรือเดินต่อไปก็แล้วกัน จะแจวจะพายไปไหนกันอีก” ต่อมาภายหลังจึงทราบว่า ผู้นั้นหมดอายุแล้ว และถึงแก่กรรมต่อมาในเวลาไม่กี่วันหลังจากวันนั้น

    หลวงพ่อท่านเป็นคนวัยเดียว รุ่นเดียวกันกับบิดาของผม คือถ้าอายุตอนนี้ก็เห็นจะกว่า 120 ปีแล้ว ตอนที่บิดาผมนิมนต์ท่านมาจากวัด ที่บ้านทั้งสองท่านคุยกัน ปุจฉา - วิสัชนากันดึกๆ ทุกคืน ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ก็แอบไปฟังท่านคุยกัน ล้วนแล้วแต่เรื่องแปลกๆ ทั้งสิ้น บางเรื่องเราก็ตาคัาง อ้าปากฟัง

    หลวงพ่อท่านมาคุยกับบิดาผมบ่อย เวลาไปนิมนต์ท่าน ท่านก็มาทางรถไฟ แล้วเราไปรับท่านที่สถานีสามเลน ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เรื่องที่ท่านคุยกันนั้น เท่าที่ผมฟังมาและที่จำได้ติดหูอยู่ ก็จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปในหัวข้อเรื่องนี้แหละครับ

    ครั้งหนึ่งบิดาผมป่วย ไข้สูงมาก ผมเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนเตรียมแพทย์อยู่ ยังไม่รู้อะไรมากนัก พี่ๆ ของผมก็ใช้ให้ผมไปหาหลวงพ่อไปเรียนท่านว่า “บิดาผมป่วยไม่สบาย” ให้ผมมาขอความเมตตาจากท่านด้วย พอรุ่งเช้า ผมก็ขึ้นรถไฟสายกรุงเทพฯ - พิษณุโลก ไปอยุธยา พอถึงสถานีก็นั่งสามล้อให้เขาพาไปส่งที่วัดวงษ์ฆ้อง สามล้อก็พาไปส่งทันทีเพราะวัดนี้ใครๆ ก็รู้จัก ผู้คนมาหาหลวงพ่อกันทุกวัน

    วัดวงษ์ฆ้องเป็นวัดเก่ามาก อยู่เลยหัวรอไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อยู่คนละฝั่งกับตัวเมือง มีคลองเล็กๆ คั่นอยู่ คลองนี้เรียกว่าคลองเมือง มีท่าน้ำอยู่ทั้งสองฝั่ง ฝั่งวัดจะมีศาลาเก่าๆ อยู่ด้วย พอถึงท่าน้ำสามล้อก็จะส่งเราที่ท่านี้ จากนั้นก็มีเรือจ้างแจวส่งข้ามฟากไปวัด ค่านั่งเรือก็สุดแต่จะให้ สองสตางค์สามสตางค์ก็มาแล้วในสมัยนั้น

    พอถึงฝั่งวัดก็เดินขึ้นท่า ขึ้นศาลาเดินตรงดิ่งไปที่วัด ซึ่งอยู่ห่างจากท่าประมาณสัก 3 เสาไฟฟัา ทางเดินก็เป็นอิฐหินหักๆ ราดเป็นถนนพอเดินได้ทางเดินจะไปสุดที่หนัากุฏิหลวงพ่อ แต่ถ้าจะอ้อมไปโบสถ์วิหารก็ต้องเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง

    กุฏิหลวงพ่อ เป็นกุฏิไม้ทั้งหลังหลังคาหลม แบบคุ้มขุนแผนนอกชานกว้างมาก ล้อมรอบด้วยกุฏิไม้อีกหลายหลัง เดินไปมาหากันได้กลางชานมีหอระฆัง มีกลองเพล มีบันไดขึ้นกุฏิที่สูงมาก ใต้ถุนกุฎิมีกองเฝือก ที่คนไข้ถอดออก กองสุมๆ กันอยู่มากมาย แล้วยังมี เป็ด ไก่ หมู่ วัว ควาย สุนัข นั่งบ้าง นอนบัาง เดินบ้าง สารพัดสัตว์

    พอก้าวขึ้นพบกุฏิก็เดินไปตามนอกชาน กลางนอกชานมีตันไม้โผล่ออกมาต้นหนึ่งสูงใหญ่ ลักษณะเหมือนต้นจำปี บนต้นไม้นี้มีนกต่างๆ อาศัยอยู่แยะ เช่น นกพิราบ นกกระจอก นกขุนทอง นกเอี้ยง นกเหล่านี้ช่วยกันถ่ายมูลลงมาที่นอกชานกันดีนัก

    บนนอกชานหน้ากุฏิก็จะมี แมว สุนัข นอนเกยกันอยู่กลุ่มใหญ่ไม่ทำอะไรกัน คนที่ไปครั้งแรกๆ เห็นภาพเหล่านี้เข้าก็จะตะลึง ที่สัตว์เหล่านี้ไม่เป็นศัตรูต่อกันเลย ซ้ายมือของนอกชานมียกพื้นเตี้ยๆ นี่แหละคือ กุฏิของหลวงพ่อ ซึ่งปกติจะมีผู้คนที่มาหาท่านนั่งพนมมือตั้งแต่ในกุฏิออกมาจนถึงนอกชาน คือนั่งที่บันไดหน้ากุฏิจนล้น

    กุฏิหลวงพ่อ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนในคือ ห้องนอน หรือห้องที่ท่านใช้จำวัด ห้องนอกลำหรับปฏิบัติกิจของท่าน เช่น รับแขกที่มาหาทุกวัน นั่งสมาธิกรรมฐานของท่าน และใช้ทำพิธีต่างๆ ซึ่งในห้องนี้ มีนาฬิกาต่างๆ อาทิ นาฬิกาแบบตู้ตั้งสูงเป็นเมตร นาฬิกาแมงดาที่แขวนข้างฝา นาฬิกาตีเพลง นาฬิกาแขวนรูปต่างๆ เป็นตุ๊กตาโผล่หน้าออกมาตีเวลา เป็นนกโผล่หน้าออกมาร้องบอกเวลาเป็นนาฬิกาตีบอกเวลาธรรมดาทั้งเล็กและใหญ่ รูปแบบต่างๆ นับด้วยร้อยเรือนส่วนมากที่สุดก็เป็นนาฟิกาเก่าๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ 6

    นาฬิกาเหล่านี้ ไม่ได้ตั้งให้มันเดินตรงสักเรือน มีลูกศิษย์ทำหน้าที่ไขลาน ให้มันเดินไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ผมนั่งอยู่ในห้องนี้ลักครู่จะได้ยินเสียงนาฟิกาตี เสียงนาฬิการ้อง เสียงนาฬิกาฝรั่งเคาะระฆังบอกเวลาต่างๆ ไม่เคยตรงกันลักเรือน ต่างเรือนต่างบอกเวลากันใหญ่ ผมจึงพูดกับหลวงพ่อว่า “ทำไมนาฬิกาแยะนัก เสียงนาฬิกาตีดังหนวกหูไปหมด”

    ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์ลูกหา ญาติโยม เอามาถวายตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 แล้วก็เอามาถวายจนบัดนี้ ก็ดี ฟังมันตีเพลินดี”

    นมัสการเรียนถามว่า “หนวกหูจะตาย แล้วหลวงพ่อทำสมาธิยังไง”

    ท่านก็เมตตาตอบว่า “นั่นแหละตัวสมาธิดีนัก คือเราฟังแต่เรือนที่มันเดิน มันตีอยู่เรือนเดียวพอ อย่าไปสนใจอันอื่น มันจะตี มันเดินหนวกหูอย่างไงช่าง เราเอาใจใส่แต่เพียงเสียงนาฬิกาเรือนเดียวก็แล้วกัน” ผมจึงมาคิดทีหลัง เมื่ออีก 40 กว่าปีต่อมาได้ว่า นั่นคือ วิธีสงบจิตอย่างหนึ่ง เอาจิตไว้ที่เสียงนาฬิกาเดินเพียงเรือนเดียว

    กลับมาเรื่องเก่าของเรา พอสามล้อพาผมมาถึงที่ท่าน้ำหน้าวัด ผมก็เดินลงไปที่ท่าน้ำ ตาคนแจวเรือข้ามฟากรู้จักดี แกบอกว่า “หลวงพ่ออยู่แขกเยอะเชียวครับ” ผมก็นั่งเรือของแกข้ามฟากไปที่ท่าวัดฝั่งโนัน แล้วก็เดินเข้าไปยังกุฏิท่าน

    ตอนนั้นสายมากแล้ว เห็นจะราวๆ 9 นาฬิกาเศษๆ ผมเดินฝ่าฝูงนก ฝูงแมว ฝูงสุนัขเข้าหาท่าน อาศัยที่มาหาท่านจนคนที่วัดจำได้ เขาก็บอกว่าให้ผมเข้าไปในกุฏิของท่านเลยผมก็ย่องๆ ฝ่าลูกศิษย์ลูกหาที่มาหาท่านแล้วก็นั่งลงกราบ

    หลวงพ่อถามว่า “มีธุระอะไรวันนี้”

    ผมก็กราบเรียนท่านว่า “เจ้าคุณพ่อไม่สบาย พี่ๆ ให้กระผมมากราบเรียน ขอความเมตตาจากหลวงพ่อ”

    ทีนี้ ทางกรุงเทพฯ ขณะที่ผมเดินทางไปอยุธยา คุณทวี บุณยเกต พี่ชายผมก็ไปหาแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านเป็นศาสตราจารย์ที่ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นเพื่อนกันโดยที่เป็นนักเรียนอังกฤษด้วยกัน อาจารย์ท่านนี้คือศาสตราจารย์นายแพทย์ใช้ นิพันธุ์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว บ้านท่านอยู่ถนนอโศก และทราบว่าบุตรชายท่านก็เป็นหมอเหมือนกัน

    คุณทวี เชิญศาสตราจารย์นายแพทย์ใช้ มาตรวจอาการของบิดาผมทันที เสร็จแล้วก็บอกว่า บิดาผมป่วยด้วยโรคอะไร พร้อมกับทำการรักษาให้เสร็จ จัดแจงให้ใช้ไปหาซื้อยามาเดี๋ยวนั้น คนทั้งบ้านก็ตระหนกตกใจกันมาก เพราะบิดาผมอายุมากแล้ว แต่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงอย่างนี้ ซึ่งในสมัยนั้นยิ่งไมู่ร้จักยาพวกปฏิชีวนะกันเลย การรักษาก็แบบให้นอนนิ่ง รับประทานยาแผนปัจจุบันสมัยโบราณ เอาผ้าสำลีมาทายา และปะไว้ที่หน้าอกให้รอบอก ให้ยาระงับอาการ เช่น อาการไข้ อาการไอ อาการเหนื่อย เป็นต้น

    ทุกคนก็รอคอยผมที่จะกลับมาบ้าน โดยขบวนรถไฟ ตอนบ่ายสองโมงกลับมาที่วัดวงษ์ฆ้องกันต่อ พอหลวงพ่อทราบ ท่านก็จุดเทียนอย่างเคย ผมก็รับเทียนมา แล้วมาติดที่ปากบาตรน้ำมนต์ ท่านก็นั่งหลับตาที่เรียกว่า “นั่งเทียน” อยู่สักครู่ ท่านก็ลืมตา แล้วบอกว่า

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะจัดยาไปให้เจ้าคุณ ยาเทียบเดียว น้ำกระสายหม้อเดียวก็หาย”

    ว่าแล้วท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในกุฏิสักพักท่านก็ออกมา แล้วบอกผมว่า “เอายานี้ให้เจ้าคุณพ่อรับประทานวันละ 3 หน ละลายกับน้ำกระสายยาในห่อกระดาษนี้ เอาไปใส่หม้อใหม่ตัม ใช้น้ำฝนธรรมดาต้ม”

    ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “บิดาผมป่วยเป็นอะไร จะได้บอกพี่ๆ น้อยๆ ถูกเมื่อกลับไปบ้าน”

    ท่านบอกว่า “เป็นปอดบวมไปนิดหน่อย” แล้วท่านก็ไล่ผมกลับกรุงเทพฯ ให้มาทำยาให้บิดาผมทันที ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยรถไฟตามเคย

    สมัยปี พ.ศ. 2484 น่ะ มันยังไม่มีทางรถยนต์ไป จะไปแค่ดอนเมืองก็ต้องนั่งรถไฟนะครับ ผมก็หอบยาใส่ถุงกระดาษถุงใหญ่ถุงหนึ่ง แล้วในนั้นก็มีถุงยาเล็กๆ อีกถุงหนึ่ง นั่งรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ ที่สถานีสามเสน ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ราวๆ 14 นาฟิกา จากนั้นก็เป็นวัยรุ่นหอบของกะเร่อกะร่าเดินเข้าประตูบ้านทันที

    พอย่างเท้าเข้าบ้านเท่านั้น ยังไม่ได้วางของ ไม่ได้นั่งสักนิด พี่ๆ ก็มารุมล้อมผม พร้อมกับถามอย่างกับนัดกันว่า “หลวงพ่อท่านว่าอย่างไร”

    ผมเดินไปเรื่อยๆ ยังไม่ตอบคำถาม อุบเอาไว้ก่อน แล้วก็เดินเข้าไปหาบิดาผมที่นอนคอยอยู่ พี่ๆ ก็ตามมาเป็นพรวน รวมทั้งคุณทวี พี่ใหญ่ด้วย พอนั่งลงเรียบร้อยเอายาวางใหบิดาแล้ว ผมก็ตอบพี่ๆ ว่า “หลวงพ่อท่านบอกว่า เจ้าคุณพ่อเป็นโรคปอดบวมครับ แต่นิดหน่อยไม่มาก ท่านฝากยามาให้ แล้วผมก็ยื่นยาให้ และกล่าวต่อไปว่า “ท่านบอกว่าวันพระแล้ว 1 วัน ท่านจะมาเยี่ยม”

    ญาติพี่น้องและพี่ๆ ที่นั่งฟังอยู่ต่างก็กล่าวพร้อมๆ กันว่า “ไหมล่ะ” ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร แล้วแทบทุกคนก็พนมมือไหว้ คงจะไหว้หลวงพ่อมากกว่า ไม่ใช่ไหว้ผมแน่ๆ ต่อมาผมจึงทราบ ระหวางที่ผมไม่อยู่ไปหาหลวงพ่อที่วัดวงษ์ฆ้อง คุณทวีได้ไปเชิญอาจารย์หมอใช้ นิพันธุ์ ชึ่งจบแพทย์จากอังกฤษโดยทุนเล่าเรียนหลวง และสอนอยู่ที่ศิริราชมาตรวจอาการของบิดาผม และท่านก็บอกว่า “คนไข้ป่วยด้วยโรคปอดบวม” ตรงกันเป๊ะ

    แค่การจุดเทียน นั่งหลับตาชั่วครู่แล้วท่านก็บอกทันทีว่าคนไขัป่วยด้วยโรคปอดบวม ท่านรู้ได้อย่างไร ? นี่ซิครับเป็นปัญหาที่น่าคิดเล่นเอาผมที่กำลังเรียนเตรียมแพทย์อยู่อยากจะเลิกเรียนแล้วไปเรียนกับหลวงพ่อท่านให้รู้แล้วรู้รอดไป ก็เรียนแพทย์แผนปัจจุบันนี่มันยากนักนี่ นั่งเทียนดูอย่างหลวงพ่อง่ายกว่าเยอะ แต่แล้วผมก็กลับไปเรียนแพทย์ต่อ เพราะบุญบารมีที่จะเรียนเพื่อกระทำอย่างหลวงพ่อไม่มีแน่

    ในที่สุดบิดาผมก็ได้รับการรักษาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณควบกันไป ผมจำไม่ได้แน่นอนว่ากินเวลาเท่าไหร่กว่าจะหายเป็นปกติ เพราะท่านอายุก็มากแล้ว ผมคิดว่าคงจะร่วมๆ เดือนกระมัง ทั้งนี้เพราะผมต้องขึ้นไปรับหลวงพ่อมาที่บ้านครั้งหนึ่งแล้วท่านพักอยู่ราวๆ 3 วันคุยกับบิดาผมนานๆ เรื่องแปลกๆ ที่ผมเกิดมาไม่เคยได้ยิน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทั้งสิ้น

    ที่ผมได้ยินได้ฟังท่านคุยกันนั้น เพราะผมมีหน้าที่ต้องคอยปฏิบัติหลวงพ่อและคอยปฏิบัติบิดาผมด้วย เพราะตอนนั้นบิดาผมยังไม่เป็นปกติดี ส่วนใหญ่ท่านก็คุยธรรมะและการปฏิบัติธรรม คุยเรื่องอภินิหารต่างๆ ที่ท่านผู้ปฏิบัติธรรมดีแล้วย่อมทำได้ อาทิ

    การย่นแผ่นดินไกลให้เป็นเป็นใกล้อย่าง เช่น ที่จากอยุธยาจะไปเชียงใหม่ ผู้ที่ท่านสำเร็จอภินิหาร ท่านอาจจะเดินไม่กี่อึดใจก็ถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว หรือน้ำธรรมดาในบึงในแม่น้ำลำคลอง ท่านเหล่านั้นก็เดินไปบนน้ำได้ เหมือนเดินบนบก ท่านเหล่านั้นสามารถทำร่างกายให้เบาเหมือนนุ่น ลอยขึ้นไปจากพื้นที่ที่นั่งอยู่ได้ แถมยังสามารถจะลอยไปไหนๆ ก็ได้ตามปรารถนา

    เรื่องแต่ชาติปางก่อน ใครเป็นอะไรๆ มา ก่อนที่เกิดมาเป็นคนในชาตินั้นบางคนก็เกิดมายากจนเข็ญใจ อัปลักษณ์ ทนทุกข์ทรมานต่างๆ บางคนก็เกิดมามีบุญวาสนา ร่ำรวย มีความสุขอย่างกับเป็นเทวดา ปรารถนาอะไรก็ได้ดังใจ บางคนก็เฉลียวฉลาดอย่างที่สุดบางคนกลับมีปัญญาทึบเอาตัวไม่รอด

    ผมนั่งฟังท่านคุยกัน เล่าสู่กันฟังด้วยความตื่นเต้นตลอด ไม่ยักกะง่วงเหงาหาวนอน ฟังอยู่จนดึกจนดื่นซึ่งผมจะได้ตั้งจิตขออนุญาติท่านนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ใฝ่ใจในธรรมปฏิบัติต่อไปเป็นเรื่องๆ
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...