ร่องรอยอภิญญาใหญ่ โรดแมปสู่อภิญญาสาธารณะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 15 พฤศจิกายน 2007.

  1. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ผมรู้สึกได้ว่าการเกิดโทสะของผู้คนรอบข้างเกิดกันได้ง่ายๆและรุนแรงด้วยแม้แต่ตัวผมเองก็ยังเกิดได้ง่าย แต่อาจจะเป็นโชคดีของผมที่ผมเห็นเห็นก่อนที่จะปล่อยให้เกิดกายกรรมกับวจีกรรมหลุดออกไปใส่คู่กรณี ในบางครั้งก็เกิดอาการอึดอัด แน่นจุกโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งในความรู้สึกมันบอกว่ามีพลังด้านลบกดเข้ามาที่เรามาก ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ครับ คล้ายๆกันกับคุณ LittleLucky ครับ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้ประตูมิติเปิด และพลังงานฝ่ายลบมีการสะสมตัวรุนแรงมากขึ้นเพื่อการทำลายล้าง การเกิดภัยพิบัติต่างๆครับ

    หลายท่านก็จับสัมผัสได้ครับ ตอนนี้เน้นป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดครับ อีกอย่างหนึ่งก็ให้ทำความดีสร้างกุศลทำสมาธิให้มากๆครับ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หลวงปู่ใหญ่ท่านมาสอนเมื่อคืนนี้ว่า อภิญญาต่างๆ ความรู้เห็นที่พิศดารแปลกประหลาด มากมาย คนทั่วไปก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกใจกัน

    แต่ท่านที่ได้ "อภิญญาสัมมาทิษฐิ" ท่านกลับเห็นเป็น"ธรรมดา" ไปเสียทุกสิ่ง การเปลี่ยนธาตุ แปลงธาตุต่างๆนั้น ทำให้เห็นจริงถึงความไม่เที่ยง ความแปรปรวนไปของวัตุทั้งหลาย กลับกลายเป็นเห้นชัดเจนในวิปัสนาญาณยิ่งขึ้น

    ส่วนอภิญญาฝ่ายมิจฉานั้นยิ่งทำได้ ก็ยิ่งเห็น"ตัววิเศษ"ยิ่งไปเรื่อยๆจนเกิดความหลง(อวิชชา) จนทำให้เกิดความเสื่อมในฌานโลกีย์ และเมื่อหลงจนถึงที่สุดก็หลงลงสู่อบายภูมิกัน

    ดังนั้นจงรู้ตัวเองว่าทำอะไร เพื่ออะไร
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิยายธรรมะน่าศึกษาจากห้องวิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ
    **บันทึก "ลับ" ภิกษุนิรนาม...ตอนที่1-11
    http://palungjit.org/showthread.php?t=66615
    **บันทึก "ลับ" ภิกษุนิรนาม...ตอนที่12-23ตอนจบ**
    http://palungjit.org/showthread.php?t=66621
     
  5. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หากไม่มีธรรมมะ คุมใจ โอกาสที่จะนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ในการเบียดเบียนคนอื่นมีสูงมากครับ ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้ทางโลก จิตวิทยา มายาจิต หรือแม้แต่อภิญญา

    ดังนั้นเริ่มต้นที่คุณธรรม ความดีกันก่อนดีกว่า
     
  7. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ผมว่าถ้าเค้ามาเจอคนที่สามารถทรงสติปัฐฐานสี่ได้ตลอดเวลา วิชามายาจิตของเค้าคงไม่สามารถใช้ได้ ที่เค้ายังคงใช้ได้ผลเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรักษาสติให้อยู่กับอริยาบทของตัวเองต่างหาก
     
  8. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    จิตศาสตร์ มายาจิต อภิญญาจิต ไม่ใช่ที่สุดแห่งจิต จิตนิพพานคือที่สุดแห่งจิต เราอย่าหลงติดอยู่ในความเย้ายวนของ จิตศาสตร์ มายาจิต อภิญญา ไม่เช่นนั้นเราอาจจะหลงทางไปตลอดชีวิตอีกหลายร้อยภพหลายร้อยชาติหรือหลงทางตลอดกาลครับ
     
  9. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ถ้าคนเรามีความสุขได้โดยไม่ต้องใช้ พลังต่าง ๆ น่าจะดีที่สุดแล้วครัับ
     
  10. เทพ

    เทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +3,099
    <CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><!"#853A7B"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%"><CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    เนื้อความ :

    อยากให้พุทธเจริญ ต้องมี พระหรือคน ที่ ทรงอภิญญา แสดงฤทธิ์ มากฯ เบบว่ามากที่สุด แล้วขั้นสุดท้าย ก็ ตัดทั้งหมด (Arahan, Nipan)




    Why ต้อง แสดงฤทธิ์ มากฯ ?
    Because of ทำให้คนเชื่อ ว่าสิ่งนี้มีจริง แล้วคนก็จะศรัทรา กราบไหว้ แล้ว คนก็จะแห่ไปหา สิ่ง นี้ ทำให้ พุทธเจริญ ขึ้นมาก ทุกวันนี้พุทธเจริญลง น่ะ เพราะว่า มีพระสำเร็จน้อยมาก แล้ว ท่านที่สำเร็จ ก็ไม่แสดงตัว ลูกศิษย์ ก็ไม่ ยอม Pormote (ลูกศิษย์ ไม่ ฉลาด) ให้
    สิ่งนี้แหละ ทำให้คนไม่ค่อยเชื่อพุทธ รวมทั้งผมเองด้วย
    เอาง่ายฯ คือ ไม่มีตัวอย่าง ให้เห็นมาก แล้วคนรุ่นหลังก็หมดกำลังใจ ปฏิบัติ
    แสดงฤทธิ์ คือหลักฐาน นั่นเอง
    เราชอบหลวงปู่แหวน ท่านแสดงฤทธิ์ ไว้มากเลย
    ผมคิดว่ายุค นั้น คนนับถือศาสนา พุทธ ด้วยใจ ศัทธามาก
    ผมคิดว่ายุค หลวงปู่แหวน เป็นพระที่คน หลั่งไหลไปหามากที่สุด
    เช่น ท่านแสดงให้ จ้าวฟ้าชาย เห็นท่าน ยืนอยูบนอากาศ หรือนก้อนเมฆ
    สำหรับพระ ที่แสดงฤทธิ์ มากพวกเราก็อย่าง ไปขัดท่าน ถีงแม้ว่าม่ใช่ทาพ้นทุกก็ตาม
    อย่างน้อยท่านก็สามารถเป็นที่ ยึดเหนี่ยว ทางจิต ใจและ บรรเทาทุกข์
    เช่น หลวงพ่อคูณ
    เป็นพุทธด้วย กัน ต้องช่วยกันส่งเสริม
    ( จริง ฯแล้ว สิ่งมีชิวิต ใน จักวาร นี้ ต้องรัก กัน หมด )

    มีอีก องค์ หนึ่งคือหลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ท่าน มีฤทธิ และ ฉลาด คือ ท่าน มีตำรา ฤทธิทางใจ(นะ มะ พะ ธะ) ให้คนฝึก และพิสูจน์ ด้วยตัวเอง
    ผมมีความคิดคล้ายท่านในเรื่อง คนมีฤทธิทางใจ และได้พบคำสอนท่านเกี่ยวกับฤทธิภายหลังในบางเว็ป อันนี้ตรงกันโดยบังเอิญ
    ผมไม่ ทราบว่าหลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ท่านได้แสดงฤทธิ ให้คนได้เห็น ไว้มากหรือเปล่า


    และอีกอย่างหนึ่งกฏระเบียบของพระสงฆ์ควรปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย ไม่เคร่งลัดจนเกินไป เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น การปรับปรุงกฎควรทำด้วยควาเข้าใจสูง

    ถ้าพูดถึงเรื่อง ศาสนา ก็คือ พูด ถึงเรื่อง ความเชื่อ
    ถ้าพูด ถึงเรื่อง ความเชื่อ คนในปัจจุบันและในอนาคต จะเชื่อ ในเรื่องวิทยาศาตร์มากกว่า
    ถ้า ความเชื่อ แบบไร้หลักการ เขาเรียก ว่า งมงาย อันนี้คิดแบบตะวันตก
    ถ้าอยากจะชนะใจคนตะวันตกหรือวงการวิทยาศาสตร์ ก็ต้องคิดทฤษฏี ทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวกับ พุทธ จิต พลังจิต วิญญาน แล้วก็ต้องให้คนพิสูจน์ได้ ไม่ใช่มีแต่ทฤษฏี แล้วคนทำไม่ได้
    คนที่จะ เสียสละตน พิสูจน์ทฤษฏี ก็คือ คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา แสดงฤทธิ์ได้ เช่น มีตาทิพย์ ดู อดีต อนาคต ได้ หายตัวได้ ถอดจิตได้
    เอาแบบว่า สามารถ ให้ นักวิทยาศาตร์เห็นแล้ว พิสูจ แล้ว เชื่อได้ เช่น
    ส่งนักวิทยาศาตร์ หรือนักการเมือง เป็นตัวแทน แต่ละประเทศมา รวมกัน เพื่อเป็นพยาน อันนี้ระดับโลก
    คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา แสดงฤทธิ์ทำนาย อนาคต โลก ในเวลาใกล้ ฯได้
    แสดงฤทธิ์ทำนาย บุคคลสำคัญต่างฯ ของโลก และให้ในเวลาใกล้ ฯได้
    แล้ว บางคนสามารถ หายตัว ไปต่อหน้าต่อตา นักวิทยาศาตร์
    แล้วก็หายตัว ไปเอาก้อน หินหลายฯก้อน ที่ ดาว อังคาร มาสู่ บนโลก มนุษย์ Show ให้ NASA ดู ก่อนที่เขาจะไป ดาว อังคาร อีกครั้ง
    ติดต่อ กับ UFO ได้
    คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา แสดงฤทธิ์ เดินทะลุกำแพง
    หรือ แสดงฤทธิ์ ให้ ประธานาธิบดี USA ได้เห็น และ แสดงฤทธิ์ ให้ ผู้นำ World leaders ได้เห็น เป็น บางครั้ง
    เช่น หายตัว ไป เอารูปแล้วที่อยู่ ไปให้เขา แล้วเขาก็ แปลกใจ แล้วอาจ ตามหาเอง ด้วยความแปลกใจ

    ทฤษฏี จะต้องมี เรื่องเกี่ยวกับ สวรรค์นรก ด้วย
    คนที่ได้ เสียสละตน พิสูจน์ทฤษฏี ก็คือ คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา แสดงฤทธิ์ เขาเหล่านั้นก็คือ Super Man ที่ มีอยู่จริง ( เขาเหล่านั้นก็คือ กลุ่มคน มหัศจรรย์ หรือเรียกว่า ผู้วิเศษ)
    และเขาเหล่านั้น จะมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แบบว่า กระหรึ่ม ! ที่นี้แหละ คนเข้าวัด และบำรุง พุทธศาสนา กันเพียบ แล้วคน จะสร้างความดีกันเพียบ
    ทีนี้แหละ คนจากทั่วโลกกจะเดินทาง ไปกราบไหว้ คนที่ได้ เสียสละตน พิสูจน์ทฤษฏี ก็คือ คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา

    เพราะว่า สามารถแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่อง งมงาย
    พร้อม ด้วย ทฤษฏี และ ผลพิสูจน์

    และก็บอกนักวิทยาศาสตร์ว่า อภิญญา ไม่ใช่เรื่องสุดยอด แล้ว ก็เริ่มสอน คนด้วยธรรม นั่นแหละ
    คนที่ได้ เสียสละตน พิสูจน์ทฤษฏี ก็คือ คนหรือพระที่ ทรง อภิญญา แสดงฤทธิ์ เขาเหล่านั้นก็คือ เป็นกำลังสำคัญ อันยอดเยี่ยม ของศาสนาพุทธ ที่จะสอน คนด้วยธรรม
    แล้วยุค นี้ ศาสนาพุทธ ก็จะเจริญรุ่งเรือง ถึงขั้น ขีดสูงสุด ในประวัติการ และเป็นที่ ยอมรับ ของคนทั่วโลก แบบว่า ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    ใครมีส่วนร่วมช่วยก็จะได้บุญอย่างมหาศาล ถึงไม่สำเร็จอรหันต์ เวลาตายไป คิดคงว่าคงไปสู่ที่ดี

    ถ้าจินตนาการ เหล่านี้เกิดเป็นจริงขี้นมา หลักการสอน แบบไหนของพุทธจะดัง ?
    มโนมยิทธิ ฤทธิทางใจ(นะ มะ พะ ธะ) ของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จะดังกระหึ่มโลกอย่างรวดเร็ว ฝรั่งจะชอบมาก


    และ ทฤษฏี ทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวกับ จิต โลกวิญญาน ถ้าใครคิดได้น่ะ จะเป็นผลงาน สุดยอดแห่ง ศัตวรรษ เลยน่ะ เราคูจาก TV เขา ประกาศ น่ะ
    ผีมีจริง เพราะว่ามีผี ทุกประเทศ เลย หลายพันปีแล้ว แต่คนก็ยังคิดไม่ได้สักที หรือว่า เรื่องนี้ จะต้องเป็นความลับตลอดกาล ?

    ตอนนี้ผมถาม เด็กฝรั่งอังกฤษ อายุ12ขวบ หลายคน เขาเชื่อเรื่อง ผี หรือ พระเจ้า ไหม เขาตอบว่า ไม่เชื่อ
    ผมถาม ผู้ใหญ่ฝรั่ง หลายคน จากหลายประเทศ ว่า เขาเชื่อเรื่อง ผี หรือ พระเจ้า หรือ โลกวิญญาน นรก สวรรค์ ไหม เขาตอบว่า ไม่เชื่อ และเขา บอกว่า เป็นวิธีหลอก ของศาสนา ให้คนทำดี
    บางคนก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา แค่อยู่เฉยฯ แบบธรรมดา หรือนี่ก็อาจจะเป็นยุคต่อไป คือไม่มีศาสนา
    แต่ผมก็เพิ่งเชื่อ ว่ามีนรก เพิ่งถอดจิตไปลุยนรก มา (on this week)

    ในบางEnglish's สารคดี เวลาฝรั่งเห็นคน Asian กราบไหว้ รูปปั้น ต่างฯ เขานึกแปลกใจ อยู่ในใจ แต่เขาไม่พูด เขาห้ามพูดเรื่องศาสนา
    แปลกใจว่า ไหว้สิ่งไม่มีชีวิตทำไม หรือทำนองว่า งมงาย ผมก็คิดเหมือนกัน แต่เพิ่ง มารู้ด้วยตัวเอง ว่าสิ่งนี้มีวิญญานอยู่ภายในรูปปั้น จริง
    --------------------------------------
    ใครมีความคิด ว่า อยากให้พุทธเจริญ ต้องทำอย่างไรบ้าง


    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>จากคุณ : WebSnow [ 22 เม.ย. 2545 / 02:39:05 น. ]
    [SIZE=-1][ IP Address : 213.122.129.71 ][/SIZE] ​




    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/004997.htm




    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  11. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ถ้ามิติต่างๆเปิดขึ้นให้คนได้สัมผัสได้เห็นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอภิญญามากมายเลยผู้คนก็จะหันมาปฏิบัติธรรมตามแนวสอนของพระพุทธองค์เองเพราะกลัวที่จะต้องไปอยู่ในภพภูมินรกครับ แต่ช่วงมิติต่างๆเปิดเป็นช่วงที่น่ากลัวสุดๆครับเตรียมตัวเตรียมใจกันไว้บ้างหรือเปล่า ขอให้ทุกๆคนโชคดีครับ
     
  12. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    [​IMG]


    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)

    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    [​IMG][​IMG]


    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร

    คำบูชาบรมครูพระโลกอุดร
    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ ( 3 จบ )<o></o>
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร ปฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ ปะระมะสาริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม


    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่าน หรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ชอบอาหารมังสะวิรัติ ชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้ว เทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี บางมด) ) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อย ย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ



    กาลามสูตร



    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <o>[​IMG]</o>[​IMG]

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<o>[​IMG]</o>[​IMG]
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<o>[​IMG]</o>[​IMG]
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<o>[​IMG]</o>[​IMG]
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<o>[​IMG]</o>[​IMG]
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<o>[​IMG]</o>[​IMG]


    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้ท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” ารปรากฏกาธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึ” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
    <o>[​IMG]</o>[​IMG]




    วิเคราะห์คำว่า “ อรหันต์ ”<o>[​IMG]</o>[​IMG]

    “อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้น ทุกอย่างมีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ <o>[​IMG]</o>[​IMG]
    ผมก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่างตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตรแปลว่าผู้เหนือโลกย์พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณอุตร” ไม่เรียก “อุตรโสณ” คำว่าหลวงปู่ใหญ่หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจ แบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนา ไปกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ. 5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรมเช่น หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรมหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปานท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหันต์) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนักเพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2007
  13. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ปริเฉทสาม<o>:p></o>:p>
    <o>:p> </o>:p>
    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้<o>:p></o>:p>
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า พระโลกอุดร”<o>:p></o>:p>
    2. พระโสณเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโตเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่า พระโสอุดร”<o>:p></o>:p>
    3. พระมูนียะเรียกกันว่าหลวงปู่โพรงโพท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน<o>:p></o>:p>
    4. พระฌานียะเรียกกันว่าหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า<o>:p></o>:p>
    5. พระภูริยะเรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน<o>:p></o>:p>
    ทราบโดยญาณของผมเองว่าพระอิเกสาโรเป็นศิษย์พระโสณเถระส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระหรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัดเพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอาจุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไปหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น)จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาอำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรีก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลกมีอะไรท่านเผาหมดเป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้าท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดรเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอยก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็น
    เพียงกายธรรมเท่านั้นส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้วท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมของท่านก็คือมีพระบรมสาทิศของล้นเกล้า ร.
    5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปีพ.ศ.2453ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้วความจริงก็คือตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น<o>:p></o>:p>

    <o>:p> </o>:p>
    <o>:p> </o>:p>
    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัยนอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์รัฐศาสตร์ การช่างช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควรบรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตรเถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมาจึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์(มองเห็นได้ด้วยตาใน)จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักศุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรม
    มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษา
    ไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อยนั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอมซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปีพ.ศ.2428นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระเทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจาก
    ท่านอาจารย์ชาญณรงค์ศิริสมบัติหรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดรแต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกันท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูปเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโต มักเรียกว่า ครูฝึกโดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆแล้วท่านจะต้องทอสอบความรู้และ
    รับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไปปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม"ท่านอภิขิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิตแต่กลับเป็น
    ภาพของท่านวังหน้าส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโรหรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชมท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า"ไตรโลกอุดร"
    หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าหลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรมท่านตอบว่าท่านอยู่ในรูปแห่งกายธรรมถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใด ท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่าคนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2007
  14. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบ
    หลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้ว
    ยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่า“นี่คนหรือผีกันแน่เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน"สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคยถามท่านอภิชิโตว่าตามที่เขาลือกันว่าหลวงปู่สุขวัดปากคลองและหลวงพ่อเงินวัดบางคลานซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณะภาพจริง
    อาจารย์เคยพบบ้างไหมท่านตอบว่าไม่เคยพบเป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดงสายในดงคือไปศึกษาความรู้จาก
    องค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจเป็นทั้งฆราวาสและบรรพชิตเช่นอาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชมสุคันธรัตเป็นต้นพยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับอย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาปหลวงปู่ท่านเคยตำหนิว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขายถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว
    องค์ที่หนึ่งพระอุตรเถระหรือหลวงปู่ใหญ่ คือบรมครูเทพโลกอุดรลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำจึงมีฉายาว่า “หลวงพ่อดำ” มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้าบรรลุอภิญญาหกแ่ต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโชคือวิชชาสามซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณแต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาญานเช่นกันท่านได้วางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่า“วิทยาศาตร์ทางใจ” มิใช่วิชาไสยศาสตร ์และมิใช่มายากลศิษย์ในดงนอกดงสามารถแปรธาตุได้เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปานวัดคลองด่านหลวงปู่สุขวัดปากคลองท่านอภิชิโตภิกขุอาจารย์พัวแก้วพลอยอาจารย์ฉลองเมืองแก้วหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ฯลฯเป็นต้นท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรมใจดีประกอบด้วยเมตตามีอารมณ์ขันหากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมฑูตซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิแหลมทองคงได้แก่พระโสณเถระซึ่งท่านเป็นน้องชาย ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตรแต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชายบทบาทของพระอุตรเถระจึงไม่ค่อยมีปรากฏและพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเช่นกันมิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไรปฏิสัมภิทาญาณสี่มีดังนี้

    1. อัตถปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถเข้าใจถืออธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และ เข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมีเข้าใจผล
    2. ธรรมปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในธรรมเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในภาษาและรู้จักใช้ถ้อยคำตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ
    4. ปฏิภาณสัมภิทาความแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีหรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉินหรือกล่าวตอบโต้ได้ทันท่วงที

    ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมากเพียงนึกถึงท่านท่านจะบอกให้นิมิต "เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มาเรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่งในการตรวจพพิมพ์ของท่านซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรท่านอภิชิโตภิกขุมอบ
    ให้เป็นสมบัติบอกว่าอาจารย์ท่านคือหลวงปู่ดำเสกให้เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียรคำไสสว่างชีปะขาวผู้ทรงคุณกำหนดจิตดูท่านอาจารย์บอกว่า
    พระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่งต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้าปรากฏว่าเหมื่อนกันทุกประการ

    องค์ที่สองพระโสณเถระหรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่งเว้นวิชาแพทยใจดี
    เยือกเย็นประกอบด้วยเมตตาธรรมชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร
    องค์ที่สามพระมูนียะหรือพระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพหลวงปู่เดินหนล้วนเป็นองค์เดียวกันมีบุคลิกภาพอันสง่างามปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุเป็นผู้คงแก่เรียนชอบเจริญอศุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูกพูดน้อยค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุแต่ก็ไม่ดุเป็นอาจารย์หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงปู่สุขวัดปากคลองห่มจีวรสีหมองคล้ำหากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกสายาวจรดเอวทีเดียวแสดงว่า “อิเกสาโร” (เกสาแปลว่าเส้นผม)ท่านมีบทบาทไม่น้อยตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่นๆด้วยซ้ำไป
    องค์ที่สี่พระณานียะฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องจังหวัดนครปฐมท่านมีรูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่นมีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดีนิมิตไม่แน่นอนอาจเป็นรูปพระภิกษุ ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบแต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบท่านมาสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมคือขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเถ้าสู่เถ้าผงคลีสู่ผงคลีดินจะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอกที่สุดก็มรณะภาพและศิษย์นำใส่โลงศพรอวันเผาหลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอยเลยไม่มีการฌาปนกิจศพ
    องค์ที่ห้าพระภูริยะหลวงปู่หน้าปานบางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้มแดงเคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกษุท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่งถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซึกซ้ายแก้มซ้ายจะแดง
    ถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวาทางด้านขวาจะแดงจึงเกิดถกเถียงกันไม่รู้จบท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่านมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดท่านเป็นภิกษุทรงศีล
    เมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่าพระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2007
  15. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
     
  16. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
     
  17. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    น้อยใจบารมีตัวเองจัง..
     
  18. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    อย่าน้อยใจเลยครับ
    บารมี = กำลังใจ
    ถ้ามีกำลังใจในการปฏิบัติก็เร่งพัฒนาขึ้น และขึ้นอีก
    ทำเร็วๆ ก็เต็มเร็วๆ ทำช้าๆ ก็เต็มช้าๆ
    สู้ๆ ครับ (บอกตัวเองด้วย :) )
     
  19. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    เหตุใดท่านจึงน้อยใจ ในเมื่อท่านก็มีบารมีอยู่แล้ว มีมากหรือน้อยว่ากันอีกอย่าง
    ท่าเข้ามาสู่เว็บพลังจิตและได้ศึกษาพระพุทธศาสนาหรือไม่ ท่านรู้และเข้าใจมากหรือน้อย แค่เพียงท่านเข้ามาก็ถือว่ามีบารมีแล้ว ถ้าหากท่านรู้ถึงรายละเอียดจากเว็บแห่งนี้นอกจากห้องเรียนที่ท่านเคยเรียนตั้งแต่เด็กมานั้นถือว่าท่านโชคดี

    อย่าน้อยใจไปเลยท่าน ใครว่าท่านบารมีน้อยมากล่ะ บารมีท่านมี ทำต่อไปอย่างไม่ท้อและคิดถอยเด็ดขาด นั้นคือพลังของจิตและความตั้งมั่น เป็นบารมีอย่างนึง ถ้าท่านสู้โดยมีสิ่งใดมาพยายามขัดขาวงแต่ท่านไม่ถอย ท่านมีความอดทน ก็ถือว่าท่านมีขันติบารมีไปหนึ่งอย่างแล้ว และบารมีอื่นๆจะตามมา

    ขอให้ท่านจงอย่าละลดและท้อถอย สู้ต่อไป ต้นไม้มีวันโตใช่ไหม เมื่อต้นไม้มีวันโตและจะยิ่งสูงขึ้น ดอกบัวก็เหมือนกัน ดอกบัวย่อมโพล่พ้นน้ำได้หากท่านตั้งใจ

    ในเมื่อท่านเดินทางมากว่า70%แล้วท่านจะเลือกทางไหนล่ะ
    1.เดินต่อไปอีก30% (ผู้ที่ไม่ถอย สู้ต่อไปเพราะเชื่อในคำสอนพระพุทธเจ้า)
    2.เดินกลับไปไกลมาก70%(เหนื่อยล้า เห็นว่าผลตอบแทนไม่มีอยู่จริง ทั้งๆที่อีก30%ท่านจะเห็นสิ่งที่ท่านต้องการ และมากกว่าที่ท่านคิด)

    3.พัก (เหนื่อยก็พัก อันนี้ค่อยๆเป็นค่อยไป จะเดินไปทีละนิดก็ได้ แต่อย่าเพลอเดินกลับนะ บางทีแปบๆมีวิ่งกลับไปเลยนู้น ยั้งจิตทำแต่สิ่งที่ดี อย่าหลงในจิตมืดที่จะทำให้มองไม่เห็นจนเดินกลับไปเริ่มใหม่)

    อย่าคิดมากเลยท่าน แค่นำมาเล่าสู่กันฟัง แล้วอย่าน้อยใจนะ สู้ต่อไป
     
  20. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ คนบารมีมากไม่ใช่คนที่จะต้องได้ฤทธิ์เสมอไปนะครับ ผมว่าไปกันใหญ่แล้วครับ การทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่มิใช่จะต้องได้ฤทธิ์กันนะครับ ดูอย่างในหลวงสิ ท่านทำงานอันยิ่งใหญ่มิเห็นท่านต้องใช้ฤทธิ์เลย....
     

แชร์หน้านี้

Loading...