ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ดีเอ็นเอของมนุษย์โลก..มีกำเนิดมาจากมนุษย์ต่างดาว !!!

    [​IMG]

    เรื่องนี้นั้นอาจจะสะเทือนความเชื่อของหลายๆฝ่าย ดังนั้นจึงขอกล่าวก่อนว่า นี่ไม่ใช่การลบหลู่ศาสนาแต่อย่างใด แต่เป็นการเปิดกว้างในด้านความคิดและทฤษฎีใหม่ๆ ที่ค้นพบพร้อมกับหลักฐานบางส่วนที่นำมาเสนอ เช่นเดียวกับทฤษฎี Bigbang ที่ ทำให้ทั่วโลกต่างได้รู้กันว่าจักรวาลนั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร

    คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆ จากบทความที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึก โบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน

    Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุด เขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมาว่า เมื่อครั้งอดีตกาลมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกได้เคยลงมาตั้งหลัก แหล่งในพื้นพิภพของเราและทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิลว่าด้วย การสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียนซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปี!! (อย่างที่กล่าวเบื้องต้นไปแล้วในบทความสุเมเรียนสายพันธ์จากต่างดาวอ่านได้ จากบล็อกเลยค่ะ)

    ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียนไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้ พวกเขามาจากที่อื่นมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น? นั่นก็คือหลักฐาน Sitchin ได้ ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนา ก็เพราะว่าความเชื่อศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง

    ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะค่ะว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกค่ะ ที่จะบิดเบือนศรัทธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและ ทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโล ฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมาแล้วกันนะคะ

    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียน อย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนาน ของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยู เฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

    Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา( Anunnaki )เคยครอบครองโลกของเรา ในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึง โลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกัน ในสมัยมัธยมได้ไหม? จำ เรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหมว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน

    เชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดีว่าเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาเดินทางมายังโลกของเราในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลกเพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการ กลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้อง การก็คือทองคำ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการที่เป็น ประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญ มากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)

    Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุดที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา

    [​IMG]
    รูปภาพพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้

    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้าง ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆ ที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถ ช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ (ทำให้นึกไปถึงเรื่องอวตาร ที่มนุษย์โลกของเราพยายามไปขุดแร่จากแพนโดร่า)

    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย (นี่ก็ทำให้นึกไปถึงต้นไม้ในเรื่องอวตารเช่นกัน) แน่นอนนี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวน เอเดนใน ภายหลัง ซึ่งจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกที

    [​IMG]

    Exodus and the 12 Planet

    จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกัน ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน

    ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจร เข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่ง ประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สีแดง ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้) เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์

    ทว่าทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือด จริงๆมันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูด ระหว่าง ดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน

    Prof. Lusefin

    ที่มา พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ Anunnaki บล็อก - Lusefin - MiniPlay มินิเพลย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เด็กน้อยวัย 7 ขวบ กับข้อความต่างมิติ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2012-2014 !!!

    [​IMG]

    ศารทวิศุวต สมาชิก

    เกริ่นนำ Group Blog นี้จัดทำขึ้นมาด้วยความสนใจเฉพาะตัวของเจ้าของ Blog ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่จำเป็นต้องชี้แนะอะไร เพราะผมจะ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เน้นความแปลก น่าสนใจ ดูแล้วมันตื่นเต้นก็พอ ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หลอกลวง ทำขึ้น เพื่อจุดประสงค์อื่นใดก็ตาม ขอทำความเข้าใจไว้ก่อนนะครับ
    -----------------------------------------------------------------

    เด็กน้อยวัย 7 ขวบ กับข้อความต่างมิติ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 -2014 !!!

    บทสนทนากับเดวิดจาก Inua
    วันที่ : 13 มีนาคม 2011
    เรื่อง : สิ่งที่เกิดขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้น!
    ที่มา :Humans Are Free: David from Inua: March 2011! What is Happening and What Will Happen!

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของเด็ก 7 ขวบ ที่แม่ของเขานำไปพบจิตแพทย์เพราะเขาได้รับการติดต่อด้วยเสียงของมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น เด็กคนนี้ชื่อ"เดวิด"แม้อายุของเขาจะยังน้อยมากบนโลก แต่เขาก็ได้ถือคำตอบของจักรวาลมาด้วย ดังที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้

    เดวิดบอกจิตแพทย์ของเขาที่ชื่อ Aryana ว่า...เสียงที่เขาได้ยินนั้นมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เขาเรียกเสียงที่เขาได้ยินว่า Aghton พวกเขาทั้งสองมาจากกลุ่มดาวอื่น ซึ่งจะทำให้มีการติดต่อนี้ต่อไป จนกว่าเดวิดจะสิ้นสุดการเดินทางของเขาบนโลก เขาจะอยู่ที่นี่ประมาณ 200 ปี หากเรานับปีเหมือนที่เราทำในตอนนี้ แต่เร็วๆนี้ เราจะเข้าใจถึงความแตกต่างกันของเวลาดังที่เป็นอยู่ และก่อนที่จะจบช่วงแรก เดวิดบอกว่า Aghton ได้ขอให้จิตแพทย์ของเขาช่วยเขียนหนังสือเพื่อที่ข้อความของเขาได้ส่งกระจายไปในวงกว้างยิ่งขึ้น. .

    เดวิตบอกว่า โลกจะถูกทำให้การสั่นสะเทือนในการกระโดดเข้าสู่มิติที่สี่และที่ห้า แต่อาจทำให้มนุษย์สับสน เพราะคิดว่าเราอยู่ในความหนาแน่นของมิติที่สาม และมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีของร่างกายมนุษย์ ที่จะทำให้ร่างกายโปร่งเบาขึ้น พร้อมกับได้รับดีเอ็นเอสายใหม่ที่กระฉับกระเฉง

    เดวิดยังกล่าวว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงมีภารกิจแตกต่างกัน เมื่อมีก้าวกระโดดเกิดขึ้น (ที่มีการทดสอบใหม่ๆอยู่เสมอ) ภารกิจของโลกเรา คือการจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงนี้ทั้งหมด โดยรักษารูปร่างและโครงสร้างเอาไว้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคยมีการทำมาก่อน ดังนั้นเราทั้งหมดจะได้รับประสบการณ์นี้พร้อมกันเป็นครั้งแรก

    เดวิดกล่าวว่า โลกที่เขาจากมา เรียกว่า Inua และตั้งอยู่ใกล้กับ Orion และนี่ เป็นส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของเขา..Aryana Havah ได้พูดคุยกับเดวิดและถามคำถามที่สำคัญบางประการ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกและสิ่งที่จะมาถึง ถ้าคุณไม่ทราบว่าเดวิดเป็นใครโปรดอ่านบทความเหล่านี้ :กรุณาเก็บข้อความไว้ในใจด้วยว่า เดวิดเกิดมาในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเขาคำนึงแล้วว่าตัวเองเป็นมนุษย์ในช่วงชีวิตนี้ เมื่อเขาพูดถึงอดีต ผมสังเกตเห็นว่าเขาหมายถึงเราคนเดียว ซึ่งเพราะเป็นชาติแรกของเขาในโลก

    13 มีนาคม 2011

    Aryana : เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม? ที่คุณได้บอกฉันว่า มนุษย์ได้เลือกแล้ว
    David : มีเวลาไม่มากนัก และมนุษย์ได้เลือกเส้นทางแล้ว

    A : เราเลือกเส้นทางที่เป็นด้านบวกหรือไม่?
    D : เส้นทางทั้งหมดเป็นบวก เพราะมันจะนำทางไปสู่สิ่งที่ดีกว่าทั้งหมด มนุษยชาติจะตื่นตัวและจะทบทวนทัศนคติของตนใหม่

    A : คุณกล่าวว่าเราจะต้องเชื่อมต่อกับการสั่นสะเทือนของโลก เราจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ?
    D : โดยการทำความเข้าใจในธรรมชาติและดาวเคราะห์โลก

    A : ช่วยอธิบายให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ว่าหมายถึงอย่างไร ?
    D : คุณเห็นมั๊ย ว่าโลกมีชีวิตและมีความตระหนักรู้ เธอรู้สึกถึงสิ่งที่คุณและผมคิด (หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ) เราถูกล้อมรอบด้วยพลังงาน และทุกอย่างที่เรารู้สึก คิดหรือทำ คือการส่งผ่านข้อมูล ทุกอย่างของความคิดเป็นรูปแบบทางพลังงาน สิ่งที่คุณให้ไป จะถูกส่งกลับมาที่คุณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้! เมื่อเราทำให้อารมณ์ก่อตัวเป็นตัวรูปเป็นร่างขึ้น หากคุณมีความกลัว คุณก็จะได้รับความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณผลิตหรือสร้างความสงบสุข ความสงบก็จะห่อหุ้มคุณ

    A : ช่วยบอกหน่อย ว่าเราควรทำอย่างไร?
    D : ให้คิดบวก มีความเชื่อความศรัทธา และมองโลกในแง่ดี แต่คุณต้องซื่อสัตย์ในทุกสิ่งที่คุณทำ (ผู้สร้างมีความยุติธรรม) คุณไม่สามารถทำแต่สิ่งไม่ดี แต่ร้องขอเพื่อจะได้รับสิ่งดีๆได้ หรือการที่คุณโกหก แต่ขอความถูกต้อง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเชื่อมต่อ สิ่งที่คุณคิด สิ่งทีคุณพูด สิ่งที่คุณทำ จะต้องเป็นบวกเท่านั้น

    A : คุณได้ทราบข่าวแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ และคุณคิดอย่างไร?
    D : ใช่ มันก็จะเกิดขึ้นและจะเกิดในที่อื่นๆด้วย โลกกำลังทำความสะอาด

    A : แล้วที่ไหนล่ะที่จะมีความปลอดภัยสำหรับฉัน ฉันควรต้องย้ายหนีหรือไม่?
    D : หากภารกิจของคุณคือการย้ายล่ะก็ จนถึงตอนนี้ คุณต้องย้ายไปก่อนแล้ว

    A : หลายคนบอกว่าเราควรจะย้ายขึ้นไปบนภูเขา หรือที่สูงๆ
    D : บางที ผู้ที่บอกว่าจริงๆเราต้องย้ายนั้น ไม่ว่าจะได้เข้าพำนักที่ใดใดก็ตาม มันก็เป็นที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

    Alex : นี้หมายความว่าเราได้เลือกเส้นทางของเราแล้ว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น จะเป็นรูปแบบเฉพาะ นำความเชื่อมั่นของจิตวิญญาณผู้นำทางของคุณด้วยตนเองและทำตามที่คุณรู้สึก! ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยหลังแผนอันศักดิ์สิทธิ์ เราจะต้องสงบ มีความสมดุล และยึดมั่นอยู่ในแผน ยอมรับมันและยอมรับพลังงานใหม่ การดำรงอยู่ด้วยสมาธิมากขึ้น จะเป็นการทำให้มี"ฟอง"แห่งความรักคุ้มครองอยู่เสมอ จงมีพลังด้านบวกแห่งอนาคตอยู่ในหัวใจ จงอธิษฐานถึงมันเถิด...!

    และข้อมูลต่อไปนี้จะต้องส่งถึงผู้ที่ต้องการ กรุณาแบ่งปันให้กับคนที่คุณรู้จัก เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมาก

    A : ดวงอาทิตย์จะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่?
    D : ใช่ เป็นอันตรายมาก! มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้แย่ลง หลายๆคนจะบ้าคลั่ง เราควรจะทราบวิธีการป้องกันตัวเองเอาไว้

    A : ด้วยวิธีการใดหรือ?
    D : Aghton บอกว่า คุณมีความคิด ที่ถูกต้องอยู่แล้ว

    Alex : "Aghton" เขามีชีวิตอยู่ที่ดาว Inua ที่ยังมีการมีการติดต่อเกือบตลอดเวลากับเดวิด และคอยช่วยเขา เดวิดเป็นผู้ที่สามารถได้ยินเสียง" Aghton" เช่นเดียวกับเสียงโทรศัพท์ภายในหัวของเขา "Aghton" สามารถที่จะแสดงทุกอย่างที่เดวิดต้องการ เช่นเดียวกับภาพยนตร์ รวมทั้งอดีตของเขา เมื่อครั้งที่เขามีชีวิตอยู่บนดาว Inua โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวิดในลิงค์ที่ให้ไว้ข้างต้น

    A : กรงขังของฟาราเดย์?
    D : Aghton กล่าวว่าใช่ แต่ฉันเองก็ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร

    A : เป็นกรงโลหะที่จะสร้างเขตพื้นที่ที่ทะลุทะลวงเข้าไปไม่ได้ แต่นานเท่าไหร่ที่เราควรจะต้องอยู่ภายในนั้นล่ะ?
    D : 6 วัน สองวันต่อครั้ง -- (รวม 3 ครั้ง) --

    A : หลังจากนั้น ก็หมายความว่าจะมีไม่มีไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ ?
    D : ใช่

    A : ผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นจำนวนมาก พวกเขาจะเป็นยังไง?
    D : ผมไม่ทราบ มีสิ่งหนึ่งที่แต่ละคนสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

    A : ฉันไม่เห็นด้วย! มีคนที่ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรและพวกเขาจะสับสนมาก
    D : พวกเขารู้สิ่งที่จะต้องทำ แต่เขาไม่สนใจมัน พวกเขาควรจะทำในสิ่งที่พวกเขารู้สึกและปรารถนา! แต่ทุกอย่างถูกตั้งค่าแล้ว มันจะเป็นวิธีการที่มันควรจะเป็นและมนุษย์จะมีการเริ่มต้นใหม่ (...)

    ผมรู้ถึงสิ่งที่จะถูกเปิดเผยให้ปรากฎ แต่ฉันไม่ต้องการที่จะบอกคุณ Aghton กล่าวว่า มันไม่ใช่ภารกิจของฉัน บรรดาผู้ที่ปกครองเหนือเราเกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว และแผนการของพวกเขานี้เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือ (มนุษย์) ของคุณ! จากนี้ไปมีเพียงผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับความดีของตัวเราเอง ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้จะเลวร้ายมากสำหรับมนุษย์...

    จงปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามแผน และเราจะได้รับการปลดปล่อยจากการสั่นสะเทือนเชิงลบ ฉันไม่สามารถพูดมากกว่านี้ได้ เพราะ Aghton บอกว่าคุณจะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้สำหรับตัวคุณเอง สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการนำ"ความหวัง" ไม่ใช่ "ความกลัว" ถ้าคุณเพียงแต่ขอ แต่ไม่ทำอะไรเลย มันก็ไร้ประโยชน์

    A : เราสามารถหลบหนีรังสีโดยอาศัยอยู่ในถ้ำได้หรือไม่?
    D : Aghton กล่าวว่าไม่ได้ การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่จะส่งไปถึงแกนโลก แต่การ"สั่นสะเทือนส่วนบุคคล"จะมีความสำคัญมาก!

    A : วิธีการที่เราจะสามารถยกระดับการสั่นสะเทือนของเรา จะตัองทำอย่างไร?
    D : ต้องเป็นผู้มีเมตตา จิตใจดีงาม และคิดบวก

    A : มีอะไรที่คุณสามารถบอกฉันได้อีกหรือไม่ ?
    D : เมื่อใดที่ทุกๆอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด...มันก็จะดี...ดีมากจริงๆ ผู้คนจะแตกต่างไปจากเดิมมาก พวกเขาจะรู้ถึงสิ่งพวกเขาผิดพลาดไป โลกจะเต็มไปด้วยความเมตตา มีความเอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ต่อกัน มันไม่ยากเกินไปหรอก เพราะว่าพวกเราเกือบจะถึงที่นั่นอยู่แล้ว!

    ฉันต้องการจะบอกกับคุณว่า มีเส้นทางสายใหม่ที่ดีกว่าที่เราจะเดินและปฎิบัติตาม แต่ก็มีเส้นทางสายหนึ่งที่ตรงกันข้ามอย่างมากด้วยเช่นกัน โชคดีที่เราไม่ได้อยู่บนถนนสายนั้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยอดเยี่ยม จะจัดการเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อตัวเขาเองได้

    A : และเรายังคงจะต้องเผชิญกับ 2-3 ปีแห่งความยากลำบาก?
    D : ใช่

    A : มันจะเริ่มต้น เมื่อไหร่ ?
    D : ตอนนี้มันเริ่มต้นแล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคม

    A : นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเรียบร้อยในปี ค.ศ. 2014?
    D : ใช่

    Alex : พี่น้องของฉัน นี้เป็นบทสนทนาเล็กๆบางส่วน กับเดวิด ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าฉันมีความสุขขนาดไหน หลังจากอ่านมัน

    เพื่อให้เดวิดได้จุติลงมาบนโลก..ชาว Inuakis รวมทั้งสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ได้เข้ามาแทรกแซงใน Matrix ของโลก เพื่อที่จะให้วิญญาณของพวกเขาส่งเข้ามาในการจุติบนโลก พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว และนอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการสั่นสะเทือนของโลกด้วยการแสดงตนของพวกเขา เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เพิ่มสูงขึ้น ก่อนและหลังการก้าวกระโดด

    บางส่วนของโลกเรา ก็มีจิตวิญญาณเก่าแก่ที่มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อยู่มากมายด้วย เพื่อช่วยในมนุษย์โลกก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงในปี 2012 ซึ่งบางคนก็อาจจำอะไรไม่ได้ แต่มันมีอยู่ในโปรแกรมของพวกเขา ที่จะไม่จำอะไรจนกว่าจะได้ระลึกรู้มันอีกครั้ง ในปี 2012

    The two most important Crop Circles Decoded.mp4 - YouTube

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-353
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ห้ามไม่ให้เอาท้องฟ้ามาเป็นสนามรบ ****

    สงครามครั้งต่อไป และต่อ ๆ ไป (ตอน 2)
    การทำห้วงอวกาศให้เป็นสนามรบ
    โดย แจ็ค สมิธ

    The militarization of outer space
    By Jack A Smith
    (For the first part of this two-part article, see The futuristic battlefield)

    Speaking Freely is an Asia Times Online feature that allows guest writers to have their say. Please click here if you are interested in contributing.

    ห้วงอวกาศ คือบริเวณที่บรรยากาศของโลกสิ้นสุดลง คือสูงจากพื้นดินขึ้นไปราว 100 กิโลเมตร สหรัฐต้องทำให้ห้วงอวกาศเป็นสนามรบ เพื่อที่จะครองความเป็นเจ้าโลกเอาไว้ให้อยู่มือ ตอนนี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐก็สอดส่องโลกมาจากอวกาศได้แล้ว และกำลังพยายามจะจัดส่งการทหารขึ้นไปบนนั้น เพื่อว่าตนจะได้เปิดฉากโจมตีได้ทั่วทุกมุมโลก ในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง

    วัตถุประสงค์ในนโยบายประสานการโจมตีโลกของกระทรวงฯ คือ “รวบรวม และธำรงความเหนือกว่าในห้วงอวกาศและบนพื้นโลก และจัดส่งการสนับสนุนด้านอวกาศที่ตบแต่งดัดแปลง ที่ทั่วด้าน และทุกอณู ขึ้นไปสู่กองบัญชาการรบในห้วงอวกาศ โดยที่บนพื้นโลกยังรักษาระบบป้องกันภัยจากอวกาศเอาไว้ให้มั่นคง”

    ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึงสหรัฐต้องส่งดาวเทียมสอดแนม ขีปนาวุธสกัดขีปนาวุธฝ่ายตรงข้าม หรือระบบสกัดกั้นโดยจับการเคลื่อนไหว (kinetic interceptors) รวมทั้งระบบอาวุธล้ำสมัยอื่น ๆ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เพื่อให้การสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน ภาคเวหา และภาคสมุทรของตน เพื่อให้กองกำลังบนโลกเหล่านี้สามารถครองความเป็นเจ้าโลกเอาไว้ได้ และวัตถุประสงค์อีกข้อหนึ่งคือ หากจำเป็นก็ต้องใช้กำลังป้องกันชาติอื่น ๆ ไม่ให้ขึ้นไปใช้ห้วงอวกาศตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย

    นอกจากดาวเทียม ซึ่งเป็นหัวใจในแผนการรบของกระทรวงฯ แล้ว เทคโนโลยีอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างทำการวิจัยและพัฒนา หรือรอสัญญาณจากทำเนียบขาวให้ทดสอบเสียก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่การเมืองเข้าไปยุ่มย่าม และเชื่องช้าอยู่มาก

    รัฐบาลบุช โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมและกองทัพอากาศ (US Air Force -USAF) กำลังกระหายใคร่เปิดฉากการทำห้วงอวกาศให้เป็นสมรภูมิรบไว ๆ โดยไม่ใส่ใจในข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาต้องใช้เงินอย่างมหาศาล และยั่วเย้าให้มีการด่าทอสาปแช่งจากทั่วโลก ที่ว่าสหรัฐกำลังนำการแข่งขันด้านอาวุธขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสงครามใหญ่ภายในศตวรรษนี้

    พวกฝ่ายขวาและพวกจารีตนิยม-ใหม่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องดังกล่าว พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า สหรัฐจะต้องเด่นผงาดขึ้นด้วยอำนาจที่มีล้นฟ้าของตน “ก็มันคุ้มค่านี่นา”

    แต่นอกจากพวกขวาสุดขั้ว คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะพวกเขาไม่เห็นด้วยว่าจะไม่มีประเทศอื่นอีกแล้ว ที่มีความสามารถพอที่จะเข้ามาคานความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เกือบทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ล้วนคัดค้านการทำให้อวกาศเป็นสนามรบ โดยดูได้จากผลการลงคะแนนในองค์การสหประชาชาติครั้งแล้ว ครั้งเล่า

    เห็นได้ชัดว่า สหรัฐกำลังใกล้เป้าหมายทำให้อวกาศเป็นสนามรบ เข้าไปทุกที ๆ (ช่วงคลินตันช้า แต่ช่วงบุชเร็ว) แต่ก็ยังเร็วไม่เท่าที่พวกสายเหยี่ยว หรือพวกบูชาบุช (Bushites) ปรารถนา

    ปกติงบฯ เพื่อบุกเบิกอวกาศประจำปีในสหรัฐ จะตกอยู่ในราว $36 พันล้านเหรียญ หรือเท่ากับ 73% ของงบฯ ของโลกรวมกัน (ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ)

    ณ เวลาหนึ่งในอนาคตกาล อาจจะไม่ไกลเกินไปนัก รัฐบาลในวอชิงตัน (ไม่ว่าชุดนั้น หรือชุดนี้) อาจจะประสบความสำเร็จ สามารถหว่านล้อมพลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกหัวกระทิที่ปกครองประเทศ ให้เห็นว่ารัสเซียและจีน หรือทั้งคู่เป็นภัยคุกคามความเป็นเจ้าของสหรัฐชนิดสาหัสสากรรจ์ ไม่ยอมให้มหาอาณาจักรอเมริกา (Fortress Americana) บืนขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ในเมื่อสงครามเย็นรอบที่ 2 กำลังเริ่มคุกรุ่นขึ้นแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวจะต้องถูกสถาปนาตามขึ้นมาอย่างแน่นอน

    พวกปีกขวาในสหรัฐผลักดันแผน (ที่สหรัฐต้องเตรียมอวกาศให้พร้อมสำหรับการสงคราม) นี้ มาตั้งแต่ยุคต่อต้านโซเวียตในช่วงปี 1980s ผลที่พวกเขาได้มาก็คือโครงการต่อต้านขีปนาวุธ ‘สตาร์วอร์’ และการตั้งกองบัญชาการอวกาศของกองทัพอากาศ ในสมัยของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในปี 1982 เป้าหมายของภารกิจดังกล่าวคือ “ปกป้องทวีปอเมริกาเหนือโดยการใช้ห้วงอวกาศ และขีปนาวุธวิถีโค้งข้ามทวีป เพื่อให้บริเวณนี้พ้นจากกลุ่มกำลังสำคัญ ๆ ที่หมายจะครองโลก”

    ในทศวรรษที่ 1990s พวกจารีตนิยม-ใหม่เริ่มมีแนวคิดที่จะขยายแสนยานุภาพสหรัฐ รวมทั้งทำอวกาศให้เป็นสนามรบ เพื่อออกไปครองโลก โดยเริ่มมีเอกสารสำคัญ ๆ เพื่อการนี้ตีพิมพ์ออกมาโดย ‘ขบวนการอเมริกันในศตวรรษใหม่’ (Project for the New American Century) เรื่อง ‘ยกเครื่องการป้องกันประเทศ’ (Rebuilding America's Defenses) มาตั้งแต่ปี 2000 หนึ่งปีหลังเหตุการณ์โจมตีกระทรวงกลาโหมและตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ประธานาธิบดีบุชได้นำหลักการที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ มาสร้างเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ แทบจะลอกกันมาจนเกือบหมด ในเวลาเดียวกัน บุชก็ถอนสหรัฐออกจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ (Anti-Ballistic Missile -ABM) ที่ห้ามการพัฒนาขีปนาวุธเพื่อการป้องกัน (สกัดขีปนาวุธฝ่ายอื่น) และนำระบบอาวุธขึ้นไปสู่อวกาศ

    ข้อยุ่งยากที่ขัดขวางกระทรวงกลาโหมก็คือ ในฐานะที่เป็นประเทศที่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาห้วงอวกาศรอบนอก (Outer Space Treaty) ปี 1967 สหรัฐจะต้อง “ไม่นำอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธทำลายล้าง (weapons of mass destruction -WMD) อื่น ๆ (ไม่ว่าเคมีหรือชีวะ) ขึ้นสู่อวกาศ ต้องไม่นำอาวุธขึ้นไปติดตั้งบนเทหะฟากฟ้า หรือในห้วงอวกาศรอบนอกใด ๆ”

    ดังนั้นในขั้นนี้โครงการในอวกาศของสหรัฐจะต้องจำกัดอยู่เฉพาะการรบแบบ ‘ไม่มีนิวเคลียร์’ ไม่นำอาวุธ WMD ขึ้นไป แต่เรื่องแบบนี้ต้องมีพลิกแพลงนิดหน่อย ตัวอย่างเช่น กว่า 70% ในวันแรก ๆ ของการทิ้งระเบิดใส่กรุงแบกห์แดด ในยุทธการ ‘เขย่าขวัญและสยดสะยอง’ ของกระทรวงกลาโหมนั้น สหรัฐใช้ดาวเทียมทหารในอวกาศเป็นตัวประสานและชี้เป้า ระเบิดเหล่านั้นไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ และดาวเทียมก็มีอาวุธนิวเคลียร์นำวิถีได้ ตราบใดที่มันยังไม่ได้ยิงลงมาจากห้วงอวกาศ

    ตามความเห็นของฮันส์ เอ็ม คริสเตนเสน แห่งสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน (Federation of American Scientists) “แม้การโจมตีพื้นโลกโดยหลักแล้ว จะไม่ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ แต่ข้อมูล (ในโครงการนี้) เท่าที่รวบรวมได้ก็ชี้ว่า การโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งในการวางแผนและโครงสร้างการบัญชาการ”

    ทั้งจีนและรัสเซีย รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ต่างพยายามใช้ช่องทางในสหประชาชาติ เพื่อทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ ที่ห้ามนำอาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์และ WMD ขึ้นสู่อวกาศ รวมทั้งห้ามใช้ดาวเทียมชี้นำสงครามบนภาคพื้นดินอีกด้วย มองจากแง่มุมการทหาร สหรัฐต้องไม่ปล่อยให้สนธิสัญญาดังกล่าว เข้ามายุ่งย่ามกับแผนของตัว

    เมื่อเดือนตุลามคมก่อน บุชเปิดเผยนโยบายอวกาศแห่งชาติฉบับใหม่ หนา 10 หน้า ต่อสาธารณชน เพื่อนำมาแทนนโยบายของรัฐบาลคลินตัน ที่ได้เสนอไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน 1996 แต่นโยบายฉบับใหม่ของบุชปิดบังอำพรางวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลเอาไว้ นโยบายชุดใหม่ก็คล้าย ๆ กับของคลินตันฉบับเก่า ถึงจะไม่ตรงไปตรงมานัก แต่ทว่าก็ ‘ฉายเดี่ยว’ ยิ่งขึ้น ถือดีมากขึ้น และหนักไปทางเอาสนามรบขึ้นไปไว้ในอวกาศ

    เราต้องตีความระหว่างบรรทัดจึงจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า รัฐบาลจะทำตามอำเภอใจทุกอย่าง เพื่อจะทำให้อวกาศเป็นสนามรบ รวมทั้งกีดกันไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ใช้ความได้เปรียบ ขึ้นไปเล่นเกมบนนั้นด้วย

    ตัวอย่างเช่น “สหรัฐสัญญาว่าทุกประเทศจะสามารถบุกเบิก และใช้ประโยชน์ห้วงอวกาศรอบนอกเพื่อสันติวิธี และเพื่อยังประโยชน์แก่มนุษยชาติทั้งมวล โดยยึดมั่นต่อหลักการนี้ การทหารและการข่าวกรองของสหรัฐจะยึดมั่นในเป้าหมายเพื่อสันตินี้ ในการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” (แปลว่า ‘เมื่อเราเคารพวัตถุประสงค์เพื่อการสันติของท่าน ท่านก็ต้องเคารพของเราบ้าง ดังนั้นโปรดอย่า ‘ส’ ครับ’)

    หรืออีกประโยคหนึ่ง “สหรัฐจะคัดค้านการจัดทำกรอบสัญญา หรือระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ใด ๆ ที่จะมีผลห้าม หรือขัดขวางการที่สหรัฐจะขึ้นไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในอวกาศ ข้อตกลงหรือข้อกำหนดควบคุมกำลังรบใด ๆ ที่เสนอมาแล้ว จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของสหรัฐที่จะทำการวิจัย พัฒนา ทดลอง ทำยุทธการ หรือกระทั่งมีกิจกรรมใด ๆ ในห้วงอวกาศ เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐเอง” (แปลว่า ‘สหรัฐตั้งใจจะเปลี่ยนอวกาศให้เป็นสนามรบ และในฐานะที่เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง และเป็นเจ้าโลก เราจะยอมให้มีสนธิสัญญาฉบับใหม่ ที่จะมาเพิกถอนสิทธิของเราไม่ได้’)

    อีกประโยคหนึ่ง ใต้หัวข้อ ‘แนวทางความมั่นคงด้านอวกาศแห่งชาติ’ ("National Security Space Guidelines") เอกสารฉบับนั้น แจกแจงรายละเอียดที่กระทรวงกลาโหมต้องปฏิบัติตาม ดังนี้
    • “พัฒนาและใช้แสนยานุภาพในอวกาศ เพื่อธำรงความได้เปรียบของชาติ และสนับสนุนการแปรรูปทางการทหารและการข่าวกรอง”
    • จัดให้มี “การขึ้นสู่อวกาศเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ที่น่าเชื่อถือ ไม่แพงนัก และให้ทันกาล”
    • “จัดหาแสนยานุภาพด้านอวกาศ เพื่อให้การสนับสนุนระบบต่อต้านขีปนาวุธทุกประเภท และทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการเตือนภัยระดับยุทธศาสตร์โลก หรือระดับยุทธวิธี”
    • “พัฒนาแสนยานุภาพ แผนการ และทางเลือกอื่น ๆ ในห้วงอวกาศ เพื่อประกันให้ขึ้นไปใช้ห้วงอวกาศได้อย่างอิสระ และหากมีการสั่งการก็ให้ขัดขวางอิสรภาพของฝ่ายตรงข้าม”
    (แปลว่า ‘เราพร้อมจะเดินหน้าแล้ว ดังนั้นรีบ ๆ หนีไปเสีย’)

    เธเรซ่า ฮิชเค่นส์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลกลาโหม (Center for Defense Information) กล่าวว่าขณะที่นโยบายใหม่ “ไปไม่ได้ไกลเท่าที่พวกเหยี่ยวคาดหวัง คือสนับสนุนให้ขึ้นไปเปิดสนามรบ ‘ซัดกัน’ ในห้วงอวกาศ แต่จำเป็นต้องเอาวัตถุประสงค์ที่แท้จริงใส่วงเล็บเอาไว้ และไม่อาจใช้น้ำเสียงแบบ ‘พวกกู-พวกมึง’ ได้ แต่ความเห็นจากภายนอกทั่ว ๆ ไปก็ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกากำลังสรวมบท ‘จังโก้ลุยเดี่ยวในอวกาศ’

    ก่อนที่ ‘นโยบายอวกาศแห่งชาติ’ จะได้รับการอนุมัติ ก็มีการทบทวนแก้ไขกัน 30 กว่าครั้ง หมดเวลาไป 4 ปีเต็ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่จะแก้ไขแผนการทางทหาร เพื่อใช้ห้วงอวกาศในการครองโลกนั้น ยุ่งยากมากแค่ไหน กว่าที่ข่าวดังกล่าวจะเผยออกมาก็เสียเวลาไปอีก 15 เดือน และก็หลังจากมีรายงานข่าวว่า บุชทำท่าจะออกคำสั่งประธานาธิบดี อนุมัติให้กองทัพอากาศส่งอาวุธขึ้นไปไว้ในอวกาศ ความโกลาหลจากการเสนอข่าวนี้ทำให้ ‘กลุ่มบูชาบุช’ รีบแก้ไขให้นโยบายอวกาศเบาลง กล่าวคือแก้ปัญหาโดยไม่เอ่ยถึงมัน

    มอสโคว์กับปักกิ่งเรียกร้องมานานหลายปี ให้นานาชาติห้ามการนำสนามรบขึ้นไปบนห้วงอวกาศ รวมทั้งห้ามส่งดาวเทียมจารกรรม อาวุธ WMD และอาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์อื่น ๆ ในปี 2002 จีนกับรัสเซีย โดยการสนับสนุนของเวียดนาม ซีเรีย อินโดนีเซีย เบลารุซ และซิมบับเว ยื่นข้อเสนอไปยังสหประชาชาติ เพื่อให้จัดทำสนธิสัญญา เพื่อขจัดอาวุธในห้วงอวกาศออกไปให้หมด โดยเรียกชื่อลำลองว่า ‘สนธิสัญญาห้ามการนำอาวุธขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศรอบนอก (และ) ข่มขู่ หรือใช้กำลังกับวัตถุในอวกาศรอบนอก’ ("Prevention of the Deployment of Weapons in Outer Space [and] the Threat or Use of Force Against Outer Space Objects") สหรัฐไม่เพียงคว่ำสนธิสัญญาดังกล่าว แม้แต่จะเจรจาหารือก็ไม่ทำ

    นอกจากนี้ ในตอนนั้นก็มีการนำเสนอสนธิสัญญาต่าง ๆ เป็นต้นว่าห้ามการแข่งขันด้านอาวุธในอวกาศ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันเห็นด้วย

    ตัวอย่างเช่น ในปี 2000 มติว่าด้วยการป้องกันการแข่งขันด้านอาวุธในห้วงอวกาศ ผ่านที่ประชุมด้วยคะแนนเสียง 163-0 งดออกเสียง 3 คือไมโครนีเซีย อิสราเอล และสหรัฐ ในปี 2003 ญัตตินี้ได้รับคะแนนเสียง 174-4 โดยมีหมู่เกาะมาร์แชลเข้าร่วมกับ ‘3 ผู้ยิ่งใหญ่’ เดิม (คราวนี้ทั้ง 4 ลงคะแนนเสียงต่อต้าน) พอมาถึงการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อปีกลาย ปรากฏว่าไมโครนีเซียกับหมู่เกาะมาร์แชลหันมาลงคะแนนตามเสียงส่วนใหญ่ อิสราเอลงดออกเสียง โดยมีสหรัฐลงมติยับยั้ง ทำให้คะแนนเสียงมาอยู่ที่ 166-1

    วอชิงตันถือว่า นอกเหนือจากสนธิสัญญาห้วงอวกาศรอบนอก (Outer Space Treaty) ปี 1967 แล้ว ข้อผูกมัดทางกฎหมายอื่น ๆ ที่จะนำไปสู่สนธิสัญญาใหม่ ๆ ไม่มีความจำเป็น แต่ที่วอชิงตันยอมรับ OST ก็เพราะมันยังยอมให้สหรัฐปล่อยดาวเทียม เพื่อบัญชาการ และเชื่อมต่อระบบอาวุธอื่น ๆ ในสนามรบ (ไม่ใช่อาวุธ WMD) ซึ่งก็คือเปิดประตูหลังให้ทำอวกาศให้เป็นสนามรบนั่นเอง ประเทศที่เหลือทั้งหมดในโลก ขัดขวางการกระทำดังกล่าวนี้ ส่วนวอชิงตันกับอิสราเอลก็หวังพึ่งหมู่เกาะมาร์แชลกับไมโครนีเซียไม่ได้เสมอไป

    รัฐบาลบุชแสดงความไม่ชอบใจต่อข้อเสนอของจีนกับรัสเซีย ที่จะยกเรื่องดังกล่าวขึ้นเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมพอล โวลโฟวิช (ซึ่งอยู่ในกลุ่มจารีตนิยม-ใหม่ ที่ผลักดันให้สหรัฐทำสงครามกับอิรัก) ประกาศเมื่อเดือนตุลาคม 2002 ว่า “ห้วงอวกาศเป็นสถานที่ ๆ เหมาะสมที่สุดสำหรับระบบต่อต้านขีปนาวุธ รวมทั้งยุทธการทางทหารและภารกิจทางพลเรือนจำนวนมากอีกด้วย” จอห์น โบลตัน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (สายเหยี่ยวอีกผู้หนึ่ง) กล่าวแสดงความเห็นที่เจนีวาเมื่อเดือนกันยายน 2004 ว่า “เราไม่คิดจะเจรจาหารือกับใคร ถึงสิ่งที่เรียกกันว่าการแข่งขันด้านอาวุธในห้วงอวกาศรอบนอก เราไม่คิดว่าเรื่องนั้นคุ้มในการเจรจา”

    ทำเนียบขาวลังเลที่จะออกมายอมรับโดยเปิดเผยว่า ตนต้องการนำสนามรบขึ้นสู่อวกาศ แต่กองทัพอากาศเปิดเผยกว่า ในปี 1996 พลเอกโจเซฟ ดับเบิลยู แอชี่ อดีตหัวหน้ากองบัญชาการอวกาศ กล่าวว่า “เราจะขึ้นไปรบบนอวกาศ และเราจะบุกเข้าไปในอวกาศ และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงคิดค้นโครงการใช้เครื่องยิงพลังงานเพื่อทำลายเป้าหมายขึ้นมา สักวันหนึ่งบนอวกาศ เราจะสามารถเล็งเป้าหมายเทหะวัตถุบนพื้นดินทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรือรบ เครื่องบิน รวมทั้งเป้าหมายภาคพื้นดินอื่น ๆ”

    ในปี 2004 ปีเตอร์ บี ทีทส์ รัฐมนตรีช่วยกองทัพอากาศ ที่กำลังผลักดันเป้าหมายของสหรัฐในอวกาศอยู่ ก็ประกาศออกมาตรง ๆ ว่า “เรากำลังแผ้วถางทางไปสู่การรบในศตวรรษที่ 21” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2005 New York Times ก็ได้นำคำพูดของพลเรือเอกแลนซ์ ลอร์ด ผู้บัญชาการอวกาศอีกคนหนึ่ง ที่เปิดเผยว่า “ความเหนือกว่าในห้วงอวกาศ ใช่จะมีมาตั้งแต่เกิด แต่มันเป็นเป้าหมายปลายทางที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ถึง มันจึงเป็นเรื่องที่เราต้องทำเป็นประจำ ทุกเมื่อเชื่อวัน เป้าหมายของเราสำหรับอนาคตก็คือความเป็นสุดยอดในอวกาศ”

    กองทัพอากาศยอมรับว่า เป้าหมายสูงสุดของตนก็คือทำอวกาศให้เป็นสนามรบ ในหนังสือเรื่อง ‘ปฏิบัติการตอบโต้ในห้วงอวกาศ’ ("Counterspace Operations") ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2004 (สามารถดูได้ทางอินเตอร์เนท) ระบุเอาไว้ว่า “ปฏิบัติการตอบโต้ของกองทัพอากาศสหรัฐในห้วงอวกาศ เป็นวิธีการที่จะช่วยให้กองทัพอากาศสามารถครองความเป็นเจ้าในอวกาศ การเป็นเจ้าอวกาศทำให้เรามีอิสระในการโจมตี และก็อาจจะถูกโจมตีได้ทุกเมื่อเช่นกัน”

    พลอากาศเอกจอห์น พี จัมเปอร์ เสนาธิการใหญ่กองทัพอากาศ เขียนคำนำของหนังสือเล่มนั้นในปี 2004 ว่า “ปฏิบัติการตอบโต้ในอวกาศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการสงครามสมัยใหม่ ยิ่งทำให้แสนยานุภาพในอวกาศเติบใหญ่ และสมบูรณ์แบบเร็วขึ้นเท่าใด และมีประสบการณ์ในแผนยุทธกิจ (evolution of contingency operations) มากขึ้นเท่าใด เราก็จะยิ่งทำให้อำนาจทางเวหาและในอวกาศของเรา มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ผู้บัญชาการในสนามของเราจะเป็นผู้ใช้แสนยานุภาพในอวกาศต่าง ๆ อาทิเช่นการสื่อสาร การวางกำลังรบ การสืบสภาพ การกำหนดเวลา การเตือนภัยขีปนาวุธ การตรวจจับในสนาม และการสอดแนม เพื่อธำรงความเหนือกว่าข้าศึกในสนามรบ ความเหนือกว่าในอวกาศย่อมนำมาซึ่งอิสรภาพในการเคลื่อนไหวกับเครื่องมือเครื่องใช้ในอวกาศต่าง ๆ (อาวุธ) เพื่อกำราบฝ่ายปรปักษ์ การพัฒนาศักยภาพตอบโต้ในอวกาศ จะช่วยให้ผู้บัญชาการสู้รบในสนามมีเครื่องมือใหม่ ๆ เอามาใช้ในภารกิจต่าง ๆ”

    แล้วกระทรวงกลาโหมทำสำเร็จไปไกลแค่ไหนแล้ว? กุยเซบเป้ อันซีร่า ศาสตราจารย์ชาวอิตาลี เขียนในบทความเรื่อง ‘สตาร์วอร์ : การตอบโต้ของจักรวรรดิ’ (Star Wars: Empires strike back) ฉบับวันที่ 18 สิงหาคม 2005 ในนิตยสาร Power and Interest News Report ความว่า

    มองในแง่เทคนิค แผนการของเพนตาก้อนคืบหน้าไปมาก ความจริงโครงการที่ทำอวกาศให้เป็นสนามรบ มีอยู่ในแผนมานานแล้ว แผนการเหล่านี้ (เท่าที่แพลมออกมา) ที่สำคัญมีอยู่ 2 โครงการ คือ แผน ‘ตีทั่วโลก’ ("Global Strike") และแผน ‘กระบองพระเจ้า’ ("Rods from God") แผนตีทั่วโลกเป็นการใช้ยานอวกาศทางทหาร บรรทุกระบบอาวุธเที่ยงตรงสูง (ความผิดพลาดไม่เกิน 3 เมตรห่างจากเป้า) หนัก 500 กิโลกรัม (1.100 ปอนด์) หน้าที่หลักคือโจมตีที่มั่นทางทหาร กองบัญชาการ และที่ตั้งทางทหารของข้าศึกในทุก ๆ แห่งบนโลก

    จุดแข็งของยานอวกาศทางทหารนี้คือ มันสามารถไปถึงเป้าหมายใด ๆ บนโลกได้ภายในเวลา 45 นาที ระยะเวลาที่สั้นทำให้กองทัพสหรัฐมีศักยภาพในการตอบโต้ที่เร็วมาก ๆ โดยที่ข้าศึกยังประสานการป้องกันตนเองไม่ทัน เป้าหมายหลักของอาวุธดังกล่าวก็คือที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของข้าศึก และจากแหล่งข่าวในกองทัพอากาศระบุว่า เพนตาก้อนไม่ยอมบอกเป้าหมายของอาวุธชนิดนี้ แหล่งข่าวอ้างว่าเหตุผลหลัก ๆ ก็คือ หลังจากทุ่มเงินไปกว่า US$100 พันล้านเหรียญ เพนตาก้อนต้องออกมายอมรับว่า ตนไม่สามารถสร้างระบบต่อต้านขีปนาวุธ ที่ปล่อยจากภาคพื้นดินขึ้นไปแล้วไม่ตกกลับลงมา คือไม่สามารถป้องกันแผ่นดินสหรัฐจากขีปนาวุธวิถีโค้งได้

    อันซีร่าพูดถึง "โครงการกระบองพระเจ้า" ว่า “มันประกอบด้วยยานในวงโคจร บรรทุกแท่งทังสเตนจำนวนหนึ่ง แต่ละแท่งมีความยาวราว 6.1 เมตร (20 ฟุต) เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร (1 ฟุต) ฐานปล่อยในวงโคจรจะทิ้งแท่งทังสเตนใส่โลก โดยใช้ดาวเทียมกำหนดเป้าหมาย แท่งนี้จะตกใส่โลกด้วยความเร็วมากกว่า 11,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง (6,835 ไมล์ต่อชั่วโมง) และจะตกถึงพื้นโลกในเวลาเพียงไม่กี่นาที ด้วยความเร็วขนาดนี้ แท่งทังสเตนจะกระแทกใส่พื้นโลก และให้แรงระเบิดเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ แต่ปลอดสารกัมมันตรังสี ระบบนี้จึงทำงานโดยอาศัยดาวเทียม 2 ดวง ดวงหนึ่งเป็นดาวเทียมนำทาง อีกดวงหนึ่งบรรจุแท่งทังสเตน”

    การขีปนาวุธทางทหาร (Missile Defense Agency) ของเพนตาก้อน กำลังพัฒนาอาวุธสกัดกั้นขีปนาวุธที่มีฐานในอวกาศ (space-based missile interceptors -SBIs) มูลค่า $600 ล้านเหรียญ หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี บัดนี้ยังอยู่มันขั้นทดลอง โครงการนี้น่าจะจัดอยู่ในประเภทอาวุธในอวกาศ แต่โทนี่ สโนว์ โฆษกรัฐบาลบุช ตอบขอซักถามของสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่แล้วมาว่า “การคุ้มกันจากอวกาศ ไม่เหมือนกับการทำอวกาศให้เป็นสนามรบ”

    โครงการในอวกาศอื่น ๆ บนกระดานดำในกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยโครงการขีปนาวุธร่อน X-51 ไฮเปอร์โซนิค ที่สามารถพุ่งไปได้ในความเร็ว 5,800 กม/ชม (hypersonic เหนือเสียงมากกว่า 5 เท่าขึ้นไป) ดาวเทียมกระจกที่สามารถสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงจากโลก ขึ้นไปทำลายวัตถุในอวกาศ และดาวเทียมที่สามารถยิงคลื่นวิทยุกำลังแรง เครื่องยิงเลเซอร์พลังงานสูงแบบต่าง ๆ ยานอวกาศหุ่นยนต์ที่สามารถระบุได้ว่าดาวเทียมดวงไหนเป็น ‘อันตราย’ ต่อสหรัฐ ซึ่งจะทำลายกลไกนั้น ๆ ทันที จรวดที่ตรวจจับพลังงานและแรงสั่นสะเทือน เครื่องร่อนติดอาวุธที่เรียกกันว่า ‘ยานเหินเวหา’ (Common Aero Vehicle) ที่สามารถยิงจรวดจากอวกาศ และเคลื่อนเข้าหาเป้าบนโลกด้วยความเร็วไฮเปอร์โซนิค และอื่น ๆ อีกมาก

    สำนักข่าว Associated Press รายงานเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ว่า รัสเซียเอือมระอาต่อความพยายามของสหรัฐ ที่จะนำระบบต่อต้านขีปนาวุธ (ABM) ไปติดตั้งทั้งในอวกาศ และในโปแลนด์และในสาธารณรัฐเชค ซึ่งก็คือบนหน้าของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินเลยทีเดียว เอพียังไปสัมภาษณ์พลเอกยูริ บาลูเยฟสกี้ เสนาธิการทหารสูงสุดของรัสเซียว่า ในกรณีที่สหรัฐนำระบบต่อต้านขีปนาวุธเข้าไปติดตั้งในยุโรปตะวันออก รัสเซียจะถอนตัวจากสนธิสัญญาหัวรบนิวเคลียร์พิสัยปานกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty -IRNFT) ปี 1987 หรือไม่ เนื่องจาก IRNFT ห้ามการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในพื้นที่ยุโรป

    ด้วยกลัวที่ว่าการเตรียมทำสงครามในอวกาศจะหมดแรง หากรัฐบาลบุชและพวกจารีตนิยม-ใหม่ต้องมีอันหมดวาระลง พวกฝ่ายขวาที่ชอบสงครามจึงเร่งรณรงค์การนำสงครามขึ้นไปสู่อวกาศให้เสร็จเร็ว ๆ เมื่อปีกลายกลุ่มที่ปรึกษาสายเหยี่ยวหลายองค์การ จึงรวมตัวกันตั้งเป็น ‘คณะทำงานอิสระว่าด้วยขีปนาวุธการทหาร ความสัมพันธ์ในห้วงอวกาศกับศตวรรษที่ 21’ ("Independent Working Group on Missile Defense, the Space Relationship and the 21st Century") และตีพิมพ์เอกสารชิ้นหนึ่งออกมา เรียกร้องให้มีการขยายโครงการทหารในอวกาศ หนาทั้งหมดกว่า 200 หน้า

    เธเรซ่า ฮิชเค่นส์ เขียนลงในนิตยสาร Bulletin of Atomic Scientists ฉบับเดือนมกรา/กุมภา 2007 ว่า เอกสารชิ้นนั้น “เขียนด้วยภาษาไวไฟ จนน่าจะถูกสั่งห้ามไม่ไห้ใส่กระเป๋าถือ นำติดตัวไป (และ) โจมตีพวกที่คัดค้านการทำอวกาศให้เป็นสนามรบอย่างสาดเสียเทเสีย โดยกล่าวหาว่าคนเหล่านั้นเป็น ‘พวกบ้าลดกำลังรบ พวกสันติภาพจ๋า พวกบ้าการเมือง (และ) พวกต่อต้านอเมริกัน’ ที่สิโรราบให้กับแนวคิดที่จะ ‘ปลดอาวุธสหรัฐแต่ฝ่ายเดียว’

    สรุปก็คือ แนวคิดพวกนี้ก็คือลัทธินิยมทหารของสหรัฐนั่นเอง

    ดังที่ชาล์เมอร์ จอห์นสันเขียนในหนังสือ The Sorrows of Empire ของเขา “สหรัฐอเมริกาได้เข้าใกล้ความเป็นจักรพรรดินิยมและทหารนิยมมานานหลายปีแล้ว ผู้นำอเมริกันคลุมนโยบายต่างประเทศ และปกปิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกตน ด้วยถ้อยคำหวานหรู อาทิเช่น ‘มหาอำนาจเพียงลำพัง’ ‘ประเทศที่ตายไม่เป็น’ ‘นายอำเภอผู้กระอักกระอ่วน’ ‘การแทรกแซงด้านมนุษยธรรม’ และ ‘โลกาภิวัฒน์’ เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี ตอนที่รัฐบาลบุชขึ้นเถลิงอำนาจในปี 2001 คำพูดเคลือบน้ำตาลเหล่านี้ก็เปิดทางให้กับการมาถึงของอาณาจักรโรมันรอบสอง ความจริงบุชไม่ได้เป็นผู้เปลี่ยนสังคมอเมริกันให้เป็นรัฐทหาร ลัทธินิยมทหารมีมาก่อนหน้าเขานานแล้ว อย่างน้อยก็มีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ช่วงปลายปี 1940s ตอนที่ผู้นำทางการเมืองอเมริกันริเริ่มการการเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ตอนที่สหรัฐได้กลายร่างเป็นป้อมปราการที่ตีเกือบไม่แตก ตอนที่ศัตรูตัวกลั่น ๆ ของตัวได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว

    บุชก็ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนสังคมอเมริกันให้เป็นจักรพรรดินิยมอีกเช่นกัน ลัทธิจักรพรรดินิยมเคยเป็นตัวกระตุ้นให้สหรัฐ ยึดดินแดนของเม็กซิโกโดยไม่ชอบธรรม มาตั้งแต่ปี 1848 ลัทธิจักรพรรดินิยมยุแหย่ให้สหรัฐทำสงครามกับสเปนมาตั้งแต่ปี 1898 แล้วขยายลัทธิครองความเป็นเจ้าเข้าไปฮุบคิวบา เปอร์โตริโก้ และฟิลิปปินส์ จักรพรรดินิยมฝังอยู่ในกระดูกของสหรัฐมาตั้งแต่บัดนั้น โผล่ขึ้นมาวับ ๆ แวม ๆ แล้วขึ้นมากล้าแข็งสุด ๆ หลังจากโซเวียตล่มสลาย และด้วยแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน โลกได้กลายเป็นขั้วเดียว

    บุชเป็นประธานาธิบดีที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ เขาทั้งเป็นผู้ประกาศสงครามที่ไม่ชอบธรรม ข่มขู่คุกคามนานาประเทศ และตระบัดสัตย์ในสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ถึงกระนั้น เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ หากสหรัฐจะไม่หยิบยื่นอาวุธทางการเมือง เช่นลัทธิทหารนิยมและลัทธิจักรพรรดินิยม ที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ส่งผ่านต่อ ๆ กันลงมากว่า 60 ปี ให้เขาหยิบมาใช้

    เรื่องราวที่ผมนำมาเปิดโปงว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเตรียมทำสงคราม และมีวัตถุประสงค์เพื่อทำสงครามในครั้งนี้ ไม่ใช่คนในฝ่ายหัวก้าวหน้าจะมาหยิบฉวย เอาไปแก้ปัญหาอิรักในปัจจุบันนี้ หรือเวเนซูเอล่า อิหร่าน และจีนในอนาคตได้ เพราะที่จริง หัวใจของเรื่องนี้ก็คือ พวกเขาจะแก้ไขการสอดประสานกันอย่างวินาศสันตะโร ของลัทธิทหารนิยมและจักรพรรดินิยม ที่เป็นต้นสายปลายเหตุของการเตรียมทำสงคราม และสงครามได้กลายเป็นสีที่ติดแน่นทนทาน (ซักได้ไม่ซีด ไม่จาง) ของสังคมอเมริกัน ที่ผมได้นำเสนอมานี้ต่างหาก นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แค่คว่ำจอร์ช ดับเบิลยู บุชที่ทำสงครามในอิรัก หรือขจัดลินดอล บี จอห์นสันที่นำสหรัฐเข้าสู่สงครามในเวียดนามแล้วก็เสร็จ เพราะหากเราไม่อาจจัดการกับลัทธิทหารนิยมและจักรพรรดินิยมให้สิ้นซากไป เราเองก็จะทำได้แค่แผ้วถางทางไปสู่สงครามครั้งต่อไป และต่อ ๆ ไปนั่นเอง

    Jack A Smith is former editor of the (US) Guardian Newsweekly and editor of the Hudson Valley (New York) Activist Newsletter.

    (Copyright 2007 Jack A Smith.)

    Around the World - Manager Online - การทำห้วงอวกาศให้เป็นสนามรบ

    19 มีนาคม 2550 00:24 น.
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    [​IMG]

    อย่าโหดร้ายกับสัตว์โลก....

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ไม่ตกเป็นทาสผู้อื่น ด้วยประการทั้งปวง ****

    ใครที่หลงคารมณ์ หลงอำนาจเงินทอง
    ก็ ให้รีบถอนตัว รีบกลับตัวกลับใจ....

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ประกาศ ****

    ขอให้สัตว์โลกทั้งหลาย
    หยุดยั้งการรบราข้าฟัน ล้างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
    จงสงบศึกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    เราวิงวอนขอให้ท่านเลิก
    ถ้าใครไม่เลิก ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม จะพบแต่ความวิบัติ
    นี่คือ คำปรารถนาของเราและเจตนาของโลกุตตระ

    ประกาศไว้ ก่อนขึ้นปี พ.ศ.๒๕๔๗
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. Luke Skywalker

    Luke Skywalker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +627
    หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ ไม่ร้ายแรงเท่าหลงในคำทำนายและอุปทาน
    ที่จิตตนสร้างขึ้นมา ให้รีบถอนตัว รีบกลับตัวกลับใจเสียเถิด
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แผ่นดินไหวรุนแรง 6.3 ริกเตอร์ในอิหร่าน เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย !!!

    [​IMG]

    เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.3 ริกเตอร์เขย่าใกล้เมืองบูเชอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ว่า สำนักสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐ หรือยูเอสจีเอส รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหว วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์ ใกล้เมืองท่าบูเชอร์ ในอิหร่าน โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.22 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 18.52 น.ของวันนี้ตามเวลาในไทย ลึกลงไปใต้ดิน 10 กิโลเมตร เขย่าพื้นที่เมืองคาคี ห่างจากเมืองบูเชอร์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 60 กิโลเมตร ซึ่งเมืองบูเชอร์ เป็นสถานที่ตั้งของโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพียงแห่งเดียวของประเทศ แต่ไม่มีรายงานว่าได้รับความเสียหาย

    ส่วนศูนย์แผ่นดินไหวของอิหร่านที่มหาวิทยาลัยเตหะราน รายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.1 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางอยู่ในเมืองคาคี ขณะที่ สถานีโทรทัศน์และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอิหร่าน รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน และรอยเตอร์รายงานว่า แผ่นดินไหวในเมืองบูเชอร์ ซึ่งเป็นเมืองท่าในอ่าวเปอร์เซีย สามารถรับรู้ได้ทั่วอ่าวในนครรัฐดูไบ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และผู้ใช้ทวิตเตอร์ในบาห์เรน ระบุว่า สำนักงานต่าง ๆ ในกรุงมานามา ต้องอพยพประชาชนออกนอกอาคาร หลังจากเกิดแรงสั่นสะเทือน

    วันอังคารที่ 9 เมษายน 2556 เวลา 21:43 น.

    ที่มา แผ่นดินไหวรุนแรง 6.3 ริกเตอร์ในอิหร่าน เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย | เดลินิวส์
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ปี ค.ศ.2013 เป็นปีที่จะเกิดโนวาการระเบิดที่มีพลังงานมากที่สุด !!!

    [​IMG]

    ตามปฏิทินของชนเผ่ามายาที่ทำไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ออกคำทำนายไว้ว่าปี พ.ศ.2555 หรือ ค.ศ.2012 จะเป็นวันอวสานโลก ถึงขนาดทำเป็นหนังฉายให้คนทั้งโลกได้ดูสุดยอดมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นเมื่อถึงปี 2012 ผลจากความแปรปรวนของสุริยะจักรวาลและความผิดปกติของแสงอาทิตย์ ด้านนักวิทยาศาสตร์ก็มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องจักรวาลและอวกาศ ได้ค้นพบความวิปริตของระบบสุริยะจักรวาลที่ส่งผลต่อทั้งโลก ทั้งพายุฝน น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ มีผู้สังเวยชีวิตมหาศาล แล้วตอนนี้ที่หิมะและอากาศเย็นยะเยือกกระหน่ำยุโรป ก็คาดเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

    ปี 2012 จะเป็นวันอวสานโลกจริงตามคำทำนายที่ชนเผ่ามายาระบุไว้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการออกแบบเครื่องตรวจจับคลื่นไมโครเวฟอินฟาเรด องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา เจ้าของรางวัลวิศวกรดีเด่นจากนาซา ในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในระบบตรวจจับพลังงานคลื่นไมโครเวฟจากนอกโลก เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคนที่ออกมาเตือนให้ทุกคนทราบถึงความปั่นป่วนของระบบสุริยะจักรวาลที่จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อโลกโดยตรง และที่งานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด" เขาบอกว่า จากการศึกษาไม่ใช่ปี 2012 แต่เป็นปี 2013 ที่โลกจะเผชิญหายนะสูงสุด แม้จะไม่ตรงกับวันสิ้นโลกในปฏิทินของชาวมายา แต่ก็ได้ความว่า อีก 3 ปี พวกเราไม่รอดแน่ เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ

    ดร.ก้องภพให้ดูภาพเกี่ยวกับโลก ทางช้างเผือก ระบบสุริยะ และกาแล็กซีของโลก พร้อมระบุสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากการศึกษาและรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์การนาซาที่กำลังทำงานอยู่ และเขาบอกว่า ปี 2556 หรือ ค.ศ.2013 เป็นปีที่จะเกิดโนวาการระเบิดที่มีพลังงานมากที่สุด มันจะปลดปล่อยพลังงานมหาศาล เพราะมีแนวโน้มว่าปฏิกิริยาพระอาทิตย์จะขึ้นสูงสุดในต้นปี 2013 นี้ และเกิดการพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดทั้งความร้อนสูงและการหดตัวของระบบสุริยะ ช่วงนั้นดวงอาทิตย์โคจรตัดผ่านทางช้างเผือกในทุกๆ 33-35 ล้านปีพอดี ซึ่งทางช้างเผือกมีมวลของดาว 2,000-4,000 ล้านดวง หากเกิดการบีบหดตัว ดวงดาวและอุกกาบาตบางส่วนจะกระเด็นเข้ามาในระบบสุริยะ ซึ่งเมื่อ 35 ล้านปีที่แล้วเป็นช่วงที่มีอุกกาบาตเข้ามาเยอะ แต่ความเสี่ยงจะมากกว่า 10 เท่า ในปี 2013

    "ตลอดระยะเวลา 10-20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียทำงานองค์การอวกาศรัสเซียเทียบเท่านาซา สำรวจระบบสุริยะ พบมีการเปลี่ยนแปลงขอบด้านนอกสุดของระบบสุริยะ โดยวัดปริมาณความสว่างสูงขึ้น 1,000% มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เชื่อว่ามีพลังงานบางอย่างเข้ามาในระบบสุริยะ นาซาเองก็พบการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ภาพถ่ายจากดาวเทียม Imax ที่โคจรรอบโลก ปรากฏพลังงานที่เล็ดลอดเข้ามาในะบบสุริยะ เดินทางด้วยความเร็วสูง แนวที่มีพลังงานรั่วใกล้กับทางช้างเผือก แล้วยังค้นพบว่า เมื่อวัดแกนพลังงานนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในระยะ 6 เดือน ไม่ใช่ลักษณะค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์"

    ดร.ก้องภพ ให้ข้อมูลอีกว่า นอกจากรายงานของนาซายืนยัน การบินอวกาศยุโรปยังมีภาพแบบร่างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่และความร้อนสูงมากเคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์ แล้วยังมีข่าวอย่างเป็นทางการระบุการบีบอัดของชั้นขอบนอกระบบสุริยะ จะทำให้พลังงานรังสีคอสมิกเข้ามาในระบบสุริยะมากเป็นพิเศษ ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนโลก นอกจากนี้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุดในรอบ 8,000 ปี และการที่นาซาส่งดาวเทียมโคจรที่ขอบด้านนอกเพื่อวัดความดันลมสุริยะช่วงปี 2547-2551 พบว่า ความเร็วลมสุริยะลดลงมาก ผลจากพลังงานบางอย่างเข้ามาบีบอัดลมสุริยะให้ลดลง สอดรับกับข่าวล่าสุดยืนยันมีการเปลี่ยนแปลงด้านนอกสุดของระบบสุริยะ ส่งผลให้ความเร็วลมสุริยะลดลง 20 กิโลเมตรต่อวินาที ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2550 เป็นต้นมา และในตอนนี้ดาวเทียมวัดความเร็วลมสุริยะพบว่าลดลงถึง 0 แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ถึง 4 ปี

    "ดวงอาทิตย์มีวัฏจักร ทุกๆ 11 ปี จะมีการพลิกกลับขั้วของสนามแม่เหล็กและเป็นช่วงที่เกราะป้องกันดวงอาทิตย์ต่ำสุด คาดการณ์ว่าจะเกิดปี 2013 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรง จากการสำรวจของดาวเทียม ช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาสูงสุด ทั้งฝุ่นละอองและอุกกาบาตเข้ามามากเป็นพิเศษ มีผลกระทบต่อดาวเคราะห์ทุกดวง" วิศวกรอาวุโสไทยองค์การนาซากล่าว

    เขายังให้ภาพความปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะถ้วนหน้า ตั้งแต่ดาวพลูโต ที่พบความกดอากาศเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ภาพดาวเนปจูนแสดงให้เห็นความสว่างจ้าของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ดาวยูเรนัสก็เช่นเดียวกัน ความสว่างเพิ่มขึ้น กลุ่มเมฆมาก และมีการพลิกกับขั้วของสนามแม่เหล็ก ดาวเสาร์มีการเปลี่ยนแปลงในแนวเส้นศูนย์สูตรและเกิดปรากฏการณ์ออโรรา คือ มีแสงบนท้องฟ้าตอนกลางคืน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กอย่างมาก ดาวพฤหัสก็สว่างขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์ และร้อนจัดขึ้น ส่วนดาวอังคารเกิดสภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ มีพายุ มีการก่อตัวของเมฆในชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ดาววีนัสสว่างขึ้น 2,500 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 30 ปี แม้แต่ดาวพุธก็ค้นพบสนามแม่เหล็กสูงมาก และเกิดน้ำแข็ง มีฝุ่นละอองที่พัดออกมา ส่วนหนึ่งมาจากความดันลมสุริยะลดลง

    สำหรับดาวเคราะห์โลกที่มนุษย์อาศัยก็เปลี่ยนแปลงมาก วิศวกรอาวุโสไทยจากองค์การนาซาเปิดเผยว่า จากการวัดปริมาณรังสีคอสมิกมีสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ปริมาณจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น

    "รังสีคอสมิกถ้ารับปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมถึงเกิดการกลายพันธุ์ เป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ต้องกังวลมาก การเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ปริมาณฝุ่นละอองที่เข้ามาในโลกมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะสูงขึ้นอีก 13 เท่าตัว ในปี 2556 ปริมาณอุกกาบาตที่วัดได้มีสูงมากในปี 2541 อาจเพราะมีเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุหรือมีอุกกาบาตเข้ามาเยอะขึ้น ฝนดาวตกก็เพิ่มขึ้น ยืนยันปรากฏการณ์นี้แสดงว่ามีวิกฤติเข้ามาในโลกมากขึ้น"

    ดร.ก้องภพกล่าวต่อว่า อีกความผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศรอบนอก ธรรมดาเกิดขึ้นทุก 11 ปี แต่เมื่อวัดครั้งสุดท้ายผิดไปจากเดิม 28 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชั้นบรรยากาศลดต่ำลง ส่งผลให้โลกของเราไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก เช่นเดียวกับภาพจากดาวเทียมวัดสนามแม่เหล็กรอบนอกแสดงให้เห็นรูรั่ว ที่มีอนุภาคและพลังงานหลุดลอดเข้ามาส่งผลต่อสภาพอากาศโลก ขั้วโลกเหนือน้ำแข็งละลาย ขั้วโลกใต้หิมะน้ำแข็งเพิ่มขึ้น

    เวลานี้มีรายงานวิจัยมากขึ้น ชี้สนามแม่เหล็กโลกส่งผลกระทบต่อรังสีคอสมิกที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพเมฆและก่อตัวของเมฆ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงความถี่ในการเกิดแผ่นดินไหวส่งผลกระทบต่อโลกมากเป็นประวัติการณ์ ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ความร้อนที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ความสว่างของดวงอาทิตย์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน ทั้งยังมีข้อมูลสถิติปี 2552-2553 ระบุความสูญเสียจากภัยพิบัติเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า

    ปี 2556 ที่ ดร.ก้องภพ คาดการณ์ว่าดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยาสูงสุด จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดาวเทียม อุกกาบาตหรือหินนอกโลกอาจทำให้ดาวเทียมเสียหาย มนุษย์มีความเสี่ยงจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะว่าจะได้รับรังสีแกมมาและคอสมิกปริมาณมาก รวมถึงเครื่องบินตก มีข้อมูลว่า 2-3 ปีมานี้ ปริมาณการส่งดาวเทียมไปนอกโลกจากทั่วโลกลดลง ก็ขึ้นกับการตีความ ปี 2553 เป็นเพียงเริ่มต้นปฏิกิริยาสูงสุดของดวงอาทิตย์ อีก 3 ปีข้างหน้าจะรุนแรงขึ้น ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน ปี 2402 มีผู้บันทึกไว้ว่าเกิดปฏิกิริยาพระอาทิตย์ครั้งใหญ่ ปีนั้นแสงอาทิตย์สว่างจ้า ระบบโทรเลขทำงานโดยอัตโนมัติ คนใช้โทรเลขถูกไฟฟ้าช็อตจากพลังงานที่เข้ามา ปัจจุบันผลกระทบจะสูงกว่าครั้งนั้น อาจเกิดไฟฟ้าดับทั่วโลกหรืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกใช้การไม่ได้ ระบบหม้อแปลงไปจนถึงสายส่งเสียหาย สภาพอากาศแปรปรวน พายุถล่ม น้ำท่วม รวมถึงแผ่นดินไหว ต้องเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และหาวิธีอยู่รอด

    "พื้นที่เสี่ยงกับปฏิกิริยานี้ คือ ขั้วโลก สหรัฐ แคนาดา ประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตรเสี่ยงน้อยกว่าแต่ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ประมาท พม่าย้ายเมืองหลวงไม่มีเหตุผล เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐ สร้างเมืองตัวอย่างลอยน้ำ คาดว่าแล้วเสร็จปี 2013 หรือปี 2555 ทางการนอร์เวย์ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดินเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัสเซียสร้างที่หลบภัยใต้ดิน 5,000 จุด เสร็จในปี 2012 นี่คือสิ่งที่แต่ละประเทศเตรียมการไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด" ดร.ก้องภพกล่าวโดยไม่สรุปใดๆ เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ความรู้จากข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ได้ศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญานของแต่ละบุคคล

    อย่างไรก็ตาม ดร.ก้องภพ ฝากทิ้งท้ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่จะมีขนาดความรุนแรงแตกต่างกัน นโยบายของภาครัฐควรเน้นการป้องกันเพื่อลดการสูญเสีย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้แก้ที่ต้นเหตุ และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพตรวจจับสิ่งผิดปกติ มีกระบวนการแจ้งเตือนล่วงหน้า รวมถึงสร้างสถานที่หลบภัย ซ้อมอพยพบนเส้นทางหนีภัย อีกมาตรการหนึ่งที่สำคัญ เป็นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ส่วนคนทั่วไปต้องเรียนรู้พึ่งพาตัวเอง นอกจากหวังพึ่งรัฐที่อาจช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที เช่น สร้างคลังอาหารสำรองในพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงสำรองอาหารและอุปกรณ์ยังชีพที่จะใช้เอาตัวรอดในเหตุฉุกเฉิน 3-5 วัน ระยะยาวเห็นว่าทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ที่สุด.

    บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    ที่มา 2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก? | ไทยโพสต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  10. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
  11. มะลิดำ

    มะลิดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +588
    เห็นด้วยค่ะ อยากให้ทำรถไฟรางคู่จากเหนือจรดใต้ จรดอิสาน ตะวันออกไปตะวันตก ได้ประโยชน์มากกว่ารถไฟความเร็วสูง และลงทุนน้อยกว่า
     
  12. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    796
    ค่าพลัง:
    +2,752
    เห็นด้วยค่ะ เอาเงินล้าน ล้านมาพัฒนาการศึกษาในบ้านเรา พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม คู่ไปกับศึกษาดีกว่า เด็กๆ เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อย่างเท่าเทียมกัน พัฒนาคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน พัฒนาจิตใจ ดีกว่าเจริญแต่วัตถุค่ะ (ที่สำคัญมันเป็นหนี้ก้อนใหญ่มาก)
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    การแพร่ระบาดไข้หวัดนกในจีนยังน่าวิตก !!!

    [​IMG]

    จีน 10 เม.ย.- สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อหวัดนกในจีนยังคงน่าวิตก มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน

    สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อหวัดนกในจีน ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อหวัดนกเอช 7 เอ็น 9 เพิ่มอีก 2 คน ส่งผลให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 9 คน สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า จนถึงเมื่อเย็นวานนี้ ยอดผู้ติดเชื้อหวัดนกชนิดนี้ที่ได้รับการยืนยันเพิ่มจาก 4 คน เป็น 28 คน หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อได้แก่ ที่นครเซี่ยงไฮ้ และอีก 3 มณฑลทางภาคตะวันออกของจีน อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยืนยันว่ายังไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อชนิดนี้จากคนสู่คน ส่วนสาเหตุของการติดเชื้อคาดว่าผู้ป่วยสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ ขณะที่เมืองหลายแห่งเริ่มระงับการจำหน่ายสัตว์ปีกมีชีวิตแล้ว

    สำนักข่าวไทย TNA News | 10 เม.ย. 2556 10:20 |

    ที่มา การแพร่ระบาดไข้หวัดนกในจีนยังน่าวิตก | MCOT.net | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ

    [​IMG]

    wit สมาชิก

    กำเนิดเป็นกวาง เก้ง

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงมัวเมาในเรือนร่างสัดส่วน อันน่ารัก น่าใคร่ น่าหลงใหลติดใจ พึงพอใจในการขายเนื้อขายตัว มักมากในกามารมณ์ มั่วกามเคล้าโลกีย์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หาเงินมาโดยมิชอบ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นพวกเนื้อ เก้ง กวาง ละมั่ง อาศัยอยู่ในป่าลึก ถูกมนุษย์ตามล่ามาบริโภค ชดใช้หนี้กรรมตามจริงนิสัยเดิมที่ตนได้ก่อไว้แต่ชาติปางก่อน

    ยังมีสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องสั้นกระชับ จึงให้ข้อสังเกตว่าสัตว์เดรัจฉานส่วนมากพ้นออกมาจากนรก เปรต อสุรกาย แล้วมาชดใช้เศษกรรมเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า มีสัตว์หลายชนิดเมื่อเสวยกรรมเก่าหมดแล้วก็อาจไปเกิดในสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ต่อไปได้ เช่น สุนัข ลิง แมว ปลา นก เป็นต้น แต่ขึ้นชื่อว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว ทำไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับอย่างนั้น เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแต่หากท่านบำเพ็ญจิตจนทำลายอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ สังโยชน์ ได้หมดสิ้นแล้ว กุศลและอกุศลก็ติดตามส่งผลให้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะกรรมใดๆ ที่ยังไม่ได้เสวยก็จะเป็นอโหสิกรรมไปทันที

    กำเนิดเป็น สุนัข สุนัขจิ้งจอก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติ ลูกเมียสามี เฝ้าห่วงหวงอย่างยึดมั่นถือมั่น เยื่อใยตัดไม่ขาดอาลัยอาวรณ์ในบ้านที่ดิน เรียกค่าคุ้มครอง หลอกต้ม ข่มเหงคน ค้าประเวณี รับราชการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักเล็กขโมยน้อย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นสุนัข บ้างก็มาเฝ้าสมบัติลูกเมียสามี บ้างก็คอยเป็นยามเฝ้าระวังภัยคอยเห่าหอนให้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บ้างก็เกิดเป็นหมาขี้เรื้อนเพื่อชดใช้หนี้กรรมของตนในชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็นปลาต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ชอบสอดรู้สอดเห็น พูดจาปลิ้นปล้น หลอกลวงให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อ วางแผนให้ผู้คนหลงเดินทางผิดจนต้องพบกับมุมอับ พูดเสียดสีให้ผู้อื่นเป็นทุกข์เสียใจ ใช้ปากพูดหว่านล้อมจูงใจโน้มน้าวให้คนมาติดกับที่ตนวางไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยให้มาเกิดเป็นปลา รับทุกข์อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บในแหล่งน้ำ หลงทางเข้าไปติดกับ ติดแหติดอวน จึงเป็นไปตามกรรมที่ก่อไว้ทุกประการ

    กำเนิดเป็นนกต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงใหลมัวเมาในการร้องรำทำเพลง แสดงละคร ลำตัด หมอรำ วงดนตรี การละเล่นต่างๆ เพลิดเพลิน อยู่กับเครื่องประดับตกแต่งที่สวยสดงดงาม แต่งหน้าทาปาก สร้างวจีกรรมมากมายได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด นินทา พูดเพ้อเจ้อ ประพฤติผิดศีลเป็นชู้กับคู่ครองผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นนกต่างๆที่ชอบร้องรำทำเพลง ชอบตกแต่งขนให้มีสีสันต่างๆ สวยงามตามนิสัยเดิม

    กำเนิดเป็นโคเนื้อ โคนม

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในรูปร่างสัดส่วนอันสวยงาม ใช้เรือนร่างเป็นเครื่องยั่วยุคนให้หลงตัณหาราคะ แสดงหนังลามกทำลายศีลธรรม เริงระบำรำฟ้อนเปลือยอกเปลือยกายเป็นการค้า มีลูกไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู ไม่ให้ลูกดื่มนมตนเองเพราะเกรงว่าจะเป็นทรงหย่อนยาน จึงเป็นเหตุปัจจัยมาเกิดเป็นโคนม อุทิศน้ำนมให้กับทารกชาวบ้านได้ดื่มกิน และโคเนื้อถูกคนฆ่าเอาเนื้อเป็นอาหารตามจริงนิสัยเดิมที่ชอบขายเนื้อขายตัว

    กำเนิดเป็นแมลงวัน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบคลุกคลี หมกมุ่นอยู่กับแหล่งบันเทิง บาร์ ไนท์คลับ สถานเริงรมย์ คาราโอเกะมั่วสุมอยู่กับแหล่งอบายมุข แหล่งยาเสพติด แหล่งการพนัน ซึ่งเป็นแหล่งไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบธรรมและมักเป็นแหล่งประกอบอกุศลธรรมต่างๆ จึงเป็นปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นแมลงวัน ที่ชอบอยู่กินกับแหล่งสกปรกตามจริตสันดานเดิมของตน

    กำเนิดเป็นแมลงผึ้งต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงใหล ดื่มด่ำ เพลิดเพลินในการประดับตกแต่งร่างกายให้มีสีสันสวยสดงดงาม ด้วยความพึงพอใจ ติดใจในรสหวานมันแห่งกามโลกีย์ จึงเป็นเหตุให้มาถือกำเนิดเป็นแมลงผึ้ง ผู้มีตาพึงพอใจในสีสันของดอกไม้นานาพรรณ และมีลิ้นชอบรสหวานมันตามจริงนิสัยเดิมของตน

    กำเนิดเป็นงูเหลือม

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจ ความมีทรัพย์สมบัติมาก ขณะกำลังจะตายจิตใจก็ยังพะวง เป็นห่วงอาลัย ไม่ยอมลดละปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่นอย่างมัวเมา จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นงูเหลือมใหญ่ มีอำนาจ มีกำลัง ขอบม้วนตัวยึดเกาะ ขดตัวเป็นวงกลมอยู่นานๆ ไม่ยอมคลายตัวออกง่ายๆ ตามจริตนิสัยที่มีความยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมคลายละปล่อยวาง

    กำเนิดเป็นหนู

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาบ้า ยาเสพติด เล่นการพนัน แมงดาหากินกับหญิงโสเภณี มือปืน นักเลงอันธพาล ลักเล็กขโมยน้อย จี้ปล้น ค้าอาวุธเถื่อน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจ ผู้คนเหล่านี้จึงต้องหลบซ่อนตัวเองอยู่ในที่มิดชิดตลอดเวลา จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องถือกำเนิดเป็นหนู คอยแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามรู ตามของที่มิดชิด พ้นภัยจากแมว นก งู และมนุษย์ตามจริตสันดานเดิม

    กำเนิดเป็นมด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบใจ พอใจ ดื่มด่ำ มัวเมาอยู่ในกลิ่นคาวโลกีย์ รสโลกีย์ ติดใจในกามารมณ์ ดุด่าเฆี่ยนตี ฆ่าพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ สร้างบาปกรรมไว้มากมายถึงขั้นอนันตริยกรรม เมื่อตายแล้วจึงลงไปใช้กรรมในเมืองนรก วิญญาณถูกตีกลายเป็นเศษวิญญาณ แล้วจึงมาเกิดเป็นมดเพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในอดีตชาติ

    กำเนิดเป็นกระแต

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน แล้วนำเรื่องไปพูดต่อให้เสื่อมเสีย เสียหาย เป็นที่อับอายขายหน้าของผู้คนมากมาย เป็นคนชอบพูดแต่เรื่องเสียๆ หายๆ ของคนอื่น ส่วนเรื่องที่ดีๆ มีสาระ ประโยชน์กลับไม่สนใจ จึงได้รับฉายาจากชาวบ้านว่า “แม่กระแต” “พ่อกระแต” จึงได้เกิดเป็นพ่อกระแต แม่กระแต สมใจนึก ตามจริงนิสัยจนกว่าจะสิ้นแรงอกุศลกรรม

    กำเนิดเป็นแมว

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในตำแหน่ง ไม่ทำหน้าที่ของตนในการจับโจรผู้ร้ายหรือผู้กระทำความผิด ไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับเอาหน้าที่มาบังหน้า มาหากิน ใช้ตำแหน่งมาเบ่ง มาข่มเหง รีดไถเรียกค่าคุ้มครอง ทุจริตประพฤติมิชอบสารพัด จึงเป็นอกุศลกรรมนำพาให้ไปเกิดเป็นแมว เข้าจับหนูอันเป็นโจรผู้ร้ายตัวสำคัญในสมัยเป็นมนุษย์ ให้เหมาะกับกรรมเก่าที่ได้ก่อเอาไว้

    กำเนิดเป็นเต่า

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ เคยเป็นนักบวชผู้ทรงศีล แต่ขาดความสำรวมในศีลวินัย ด้วยประพฤติตนไม่เหมาะสม ละโมบโลภมากในลาภสักการะ โกงเครื่องราช มั่วสีกา เอาของส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว จนเป็นที่ติเตียนของชาวบ้าน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นเต่าอยู่ในกระดอง คอยระมัดระวัง รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส เพื่อฝึกความสำรวม และเนื่องจากสมัยเป็นนักบวช ไม่ฆ่าไม่ตัดรอนอายุของมนุษย์และสัตว์ จึงทำให้เต่ามีอายุยืนยาว

    กำเนิดเป็นสุกร

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาพอใจในการทุจริตต่างๆ นานา ด้วยเล่ห์เพทุบายอย่างขูดเนื้อถอนขน ต้มตุ๋นหลอกลวง กดราคา สินค้าอย่างทารุณ ย้อมแมวขายเพียงเพื่อให้ได้ปัจจัย 4 มาปรนเปรอตนเองให้กินอิ่ม นอนหลับอย่างสุขสำราญ ปรนเปรอกามคุณที่ได้มาอย่างสกปรกผิดศีลธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มากำเนิดเป็นสุกร กินอาหารที่ไม่สะอาด ถูกจับตอน สุดท้ายยังต้องถูกฆ่าเพื่อสังเวยเลือด เนื้อ ตับ ไต ไส้พุง ฯลฯ ชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้

    กำเนิดเป็นไส้เดือน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักบุญคุณต่อซาติบ้านเมือง กระทำตัวเป็นไส้ศึก กบฏ สายลับ สายสืบหรือเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับฝ่ายศัตรู เป็นคนบ่อนทำลายประเทศชาติ เป็นคนขายชาติขายแผ่นดิน จึงทำให้เป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นไส้เดือน ไม่มีตา เพราะไม่เห็นคุณประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ต้องเกิดมากินดินเป็นอาหารตามจริตสันดานที่เคยประพฤติบ่อนทำลายชาติมาแต่ ชาติปางก่อนจนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดสิ้น

    กำเนิดเป็น ยุง ริ้น ปลิง ทากดูดเลือด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบขูดรีด กินเลือดกินเนื้อ สูบเลือดสูบเนื้อคนยากคนจน ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุจริตต่าง ๆ มากมาย ชอบเบียดเบียน ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้คนด้วยความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต จึงทำให้ไปเกิดในนรก หลังจากนั้นแล้วก็มาถือกำเนิดเป็นยุง ริ้น ปลิง ทาก ตัวเลือดตามสันดานเดิม ด้วยการคอยแต่จะดูดกินเลือดผู้คนอีกตามเคย

    กำเนิดเป็นจระเข้

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสหลงมัวเมา เห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วประกอบอกุศลกรรม ทุจริตผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ด้วยความละโมบโลภมาก เพื่อปากท้องของตนอิ่มหนำสำราญ ไม่ว่าจะใช้ปากพูดอย่างร้ายกาจขนาดไหนก็ตาม เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จึงทำให้ต้องเกิดมาเป็นจระเข้ปากใหญ่ ท้องใหญ่ ดุร้ายน่ากลัวตามจริงนิสัยเดิม

    กำเนิดเป็นช้าง

    สัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมัยเป็นมนุษย์มีโมหะกิเลส หลงมัวเมาในตัวเองว่า เป็นลูกผู้ยิ่งใหญ่เกิดในตระกูลผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีความเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองไม่มีใครเปรียบเทียบได้ แล้วประกอบอกุศลกรรมอัปรีย์ไว้แก่ผู้คนมากมาย จนต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมเก่าก็ยังไม่หมดสิ้นจากกายและใจ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นช้างตัวใหญ่ๆ สมใจ

    กำเนิดเป็น กระทิง แรด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต่อสู้ต่างๆ ชอบยุยงให้ผู้คนทะเลาะกัน ให้สัตว์ตีกัน ทำร้ายกัน ด้วยเห็นเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน เช่น ชนไก่ ชนแพะ ชนวัว ฯลฯ บ้างเป็นนักเลงโต เที่ยวเกะกะระราน สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน จึงเป็นเหตุให้ต้องไปเกิดเป็นแรด กระทิง เอาหัวไล่ชนกันอย่างเมามัน เพื่อให้ผู้คนดูเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน สมกับที่ตนได้เคยทำไว้ในอดีตชาติ

    กำเนิดเป็น ลิง ชะนี

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต้มตุ๋นหลอกลวง ปลิ้นปล้น ตลบแตลง แหกตาชาวบ้าน ชอบมือไวใจเร็ว ลักเล็กขโมยน้อย ฉกชิงวิ่งราว ปีนป่ายเพื่อลักขโมยทรัพย์สิ่งของ รับซื้อของโจร อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ร่อนเร่พเนจรไปตามอาชีพ จึงเป็นอกุศลกรรมให้มาเกิดเป็นลิง ค่าง ชะนี ที่มีมือไม้ไว หน่วยก้านดีในการปีนป่ายต้นไม้ตามจริงนิสัยเดิมแต่ชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็นอสรพิษ

    งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูกะปะ งู สามเหลี่ยม เป็นต้น ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดจาให้ร้ายผู้คนให้เจ็บใจ ให้เจ็บปวด ให้เสียใจทุกข์ทรมานจนถึงตรอมใจตาย บ้างฆ่าตัวตายไปก็มี บ้างก็พูดให้เขาทะเลาะวิวาทกันจนถึงต้องทุบตีทำร้ายกันจนบาดเจ็บ บ้างล้มตายไปก็มี เพราประกอบอกุศลธรรมทางวาจาที่ร้ายกาจนี้ จึงเป็นปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นอสรพิษ ปากร้าย ปากมีพิษตามจริตสันดานเดิมในชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็น เป็ด ไก่ ห่าน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการทุจริตด้วยการต้มตุ๋นหลอกลวง ปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยอย่างหน้าเลือด อารมณ์ดุร้ายด่าพ่อล่อแม่ ใช้ปากในทางเสื่อมเสีย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นไก่ขันรับอรุณ ชาติก่อนรีดไถชาวบ้าน ชาตินี้ต้องใช้กรรมเกิดเป็นไก่ฟาร์ม เป็นอาหารตอบแทนเขา พวกที่กินดอกเบี้ยอย่างน่าเลือดก็เกิดเป็นแม่เป็ด แม่ไก่ ออกไข่มาให้มนุษย์กินชดใช้ดอกเบี้ยหน้าเลือดของตน

    กำเนิดเป็น แพะ แกะ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการฉ้อโกงโดยหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น ฉวยโอกาสปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยแพงๆ ทุจริตยักยอกเงิน กินงบประมาณ ขายของปลอมให้คนอื่นหลงดีใจว่าได้ของดีราคาแพง ด้วยแรงอกุศลกรรมจึงมาถือกำเนิดเป็นแพะ ถูกคนฆ่ากินเลือดเนื้อ ถูกรีดนมชดใช้ชำระหนี้มนุษย์ และกำเนิดเป็นแกะที่ถูกเลี้ยงไว้ตัดขน ในที่สุดก็ถูกฆ่ากินเนื้อเพื่อชำระหนี้ผู้คนที่ตนเคยฉ้อโกงเขามาก่อน

    กำเนิดเป็น วัว ควาย

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการเอารัดเอาเปรียบ เป็นนายจ้างที่ขึ้นชื่อว่าทำนาบนหลังคน ทุจริตในการค้า โกงตาชั่ง หลอกลวงทรัพย์สินชาวบ้าน ล้มแชร์ กู้หนี้ยืมสินแล้วไม่ใช้คืน ซื้อขายไม่ยุติธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นวัว ควาย ถูกใช้แรงงานและถูกฆ่าเอาเนื้อเอาหนังเพื่อชดเชยชดใช้หนี้กรรมของตนที่ก่อ ไว้

    กำเนิดเป็นเสือ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลส มัวเมาในนิสัยนักเลงอันธพาล เป็นผู้ร้ายต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงถูกผู้คนตั้งฉายาว่า “ไอ้เสือดำ” “ไอ้เสือลาย” “ไอ้เสือเหลือง” “ไอ้เสือโคร่ง” เมื่อประกอบอกุศลกรรมต่างๆ มากมาย หลังจากตายไปแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมก็ยังไม่หมดสิ้นยังติดกายติดใจอยู่อีก ก็บันดาลให้มาเกิดในตระกูลเสือร้ายต่างๆ ตามสันดานเดิม

    กำเนิดเป็นราชสีห์

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสมาก หลงมัวเมาในอำนาจความเป็นใหญ่ ปรารถนาเป็นมหาราช เป็นจักรพรรดิ แล้วประกอบอกุศลธรรมอันเป็นบาปเป็นโทษเพียงเพื่อให้ได้เป็นใหญ่ โดยไม่ละอายเกรงกลัวบาปกรรมโดๆ หลังจากตายแล้วจึงไปชดใช้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย ก็ยังไม่หมดสิ้นบาปกรรม ก็ต้องมาชดใช้เศษอกุศลกรรมโดยถือกำเนิดเป็นราชสีห์ ซึ่งสัตว์ป่านานาชนิดเกรงกลัวตามจริงนิสัยที่เคยเป็นผู้บ้าอำนาจมาแล้วจากอดีตชาติ

    กำเนิดเป็นกระรอก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจชอบใจ ชอบชี้แนะ ชี้ช่องทาง ( ชี้โพรงให้กระรอก ) ให้ผู้อื่นทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างผิดๆ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กำเนิดเป็นกระรอก ต้องอาศัยโพรงไม้ต่างๆ เป็นที่อยู่ และมักต้องประสบภัยอันตรายจากงู นก มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คอยทำลายเอาชีวิตจึงอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขด้วยแรงกรรมเก่าในชาติก่อนๆ นั่นเอง

    กำเนิดเป็นหนอน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจสกปรก เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ แล้วมักประกอบอกุศลกรรม เช่น ทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ อันผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทุจริตในกิจการป่าช้าเผาผี ทุจริตในวงการศาสนา ทุจริตในวงราชการ ประกอบมิจฉาชีพ ค้าหญิงบริการ ฯลฯ ซึ่งได้ปัจจัยมาบริโภคด้วยความสกปรกเน่าเหม็น จึงเป็นเหตุบันดาลให้ต้องมาถือกำเนิดเป็นหนอนจมอยู่ในคูถ กินของสกปรกเน่าเหม็นตามจริตสันดานของตนในอดีตที่ทำไว้

    กำเนิดเป็นปลวก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจไม่เห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของต้นไม้ ป่าไม้ คิดแต่จะตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้มาขาย และบุกรุกที่ดินโดยไม่เห็นโทษภัยอันตรายอันเกิดจากการทำลายต้นไม้ ป่าไม้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นปลวก ตามจริงนิสัยที่ชอบทำลายต้นไม้ ป่าไม้ ต้องกินไม้เป็นอาหารจนกว่าจะใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้น

    สาส์นจากยมบาล

    ผู้คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง

    ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรร่างกายแข็งทื่อหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้ :

    1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

    2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

    3. ถ้าตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกันเราก็ดูได้จาก “ตา หู จมูก ปาก” เป็นทหารทั้งสี่ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูกปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วถ้าวิญญาณออกจากทวารต่างๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดเป็นสัตว์น้ำ และเกิดเป็นพวกแมลง

    "ตา"

    พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่น พวกนกต่างๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้นพวกนี้ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ

    "หู"

    พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดีเรื่องร้ายๆ ต่างๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัวควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย

    "ปาก"

    พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของสกปรก

    "จมูก"

    พวกที่ชอบหลงใหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่างๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลง ต่างๆ

    เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร “ตา หู จมูก ปาก” นี้ ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำรองที่คอยช่วยเหลือ “เจ้าของธาตุแท้” ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้องก็จะเป็น “ผู้เที่ยงตรงทั้งสี่” หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น “สี่มหาโจร” ซึ่งจะทำลายเจ้าของ ในเวลาปกติถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลงวิญญาณก็จะออกทางทวาร เหล่านี้โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ 4 ประเภท

    จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา แต่ก็ต้องอาศัยเหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่มาชำระคดีความจึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะ ได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร

    ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคนก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไปจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/กรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ.69763/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กรรมอะไรที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ?
    ตอบคำถามโดยคุณ ดังตฤณ

    [​IMG]

    ถาม – กรรมอะไรที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆครับ?

    ตอบ - สัตว์เดรัจฉานเป็นสิ่งจับต้องได้ เราสามารถเห็นพวกมันด้วยตา ฟังเสียงพวกมันด้วยแก้วหู โดยไม่จำเป็นต้องมีตาทิพย์หูทิพย์เสียก่อน ฉะนั้น ก็แปลว่าเราสามารถรู้เห็นการรับ ‘ผลกรรม’ มากมายผ่านรูปชีวิตสัตว์อันหลากหลายมหาศาลบนโลกใบนี้เอง บางเผ่าพันธุ์เหินไปในเวิ้งอากาศว่าง บางเผ่าพันธุ์แหวกว่ายไปในห้วงน้ำใหญ่ บางเผ่าพันธุ์เอาแต่มุดหัวอยู่ในดินทึบ และหลายเผ่าพันธุ์ก็เคลื่อนไหวอยู่บนผิวโลก รับผัสสะร้อนเย็นต่างกัน มีอัตภาพเล็กใหญ่ล้ำเหลื่อมกัน และสามารถกระทำการผิดแผกกว่ากันวิจิตรพิสดารนัก

    แต่สัตว์จะวิจิตรพิสดารปานใด ชนวนเหตุอันนำไปสู่อบายภูมิระดับเดรัจฉานก็ไม่ต่างกันนัก หลักๆได้แก่

    ๑) มีจิตเศร้าหมองก่อนตาย หมายความว่าไม่ต้องชั่วร้ายมาก ขอแค่จิตเศร้าหมอง หรือพะวงติดข้องอยู่ในความคิดที่เป็นอกุศล ก็เพียงพอแล้วกับการไปถือกำเนิดเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่เศร้าหมองย่อมขาดกำลังระลึกถึงกุศลผลบุญ ฉะนั้นที่จะให้ไปสู่ภพภูมิที่เจริญคงยาก

    ๒) ประกอบกรรมชั่วโดยปราศจากความละอาย หมายความว่าชั่วพอประมาณ แต่ยังไม่ทะลุพื้นเดรัจฉานร่วงหล่นลงสู่นรกภูมิ เช่นเบียด เบียนชีวิตผู้อื่นได้แบบไม่กะพริบตา คดโกงได้หน้าด้านๆ ประกอบกามแบบสำส่อน โป้ปดมดเท็จเอาตัวรอดไว้ก่อน ร่ำสุราจนเมามายโดยขาดความเห็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ ประการนี้ก็เพียงพอกับการลงไปเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่สกปรกย่อมไม่อาจส่องสว่างคู่ควรกับสุคติได้

    จิตที่เศร้าหมองก่อนตายด้วยความเป็นผู้ทุศีลนั้น หนักหนากว่าจิตที่เศร้าหมองเพราะความติดข้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก ส่วนที่ว่าจะไปเป็นสหายของหมู่สัตว์ชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมแยกกรรมย่อยที่แต่ละคนกระทำต่างๆกัน

    จำแนกโดยคร่าวคือ

    ๑) จำพวกร่างเล็ก ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณมากกว่ามีสำนึกคิดอ่านตริตรอง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ สักแต่คิดว่าใครๆเขาก็ทำกัน หรือแม้เมื่อทำดีก็ด้วยกำลังใจที่อ่อน ไม่เป็นตัวของตัวเองในการประกอบบุญกุศล ต้องรอคนชักจูงหรือคะยั้นคะยอจริงจังถึงจะยอมทำแบบเสียไม่ได้

    ๒) จำพวกร่างใหญ่ มีความคิดอ่านหรือสติปัญญาพอตัว มีลักษณะอุปนิสัยแบบมนุษย์ติดอยู่บ้าง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำแบบยั้งใจได้บ้าง อยากปรับปรุงนิสัยใจคออยู่บ้าง เสียแต่ว่าแพ้กิเลส ยอมประกอบกรรมชั่วอยู่เนืองๆมากกว่า แต่พวกนี้อาจเคยทำบุญมาดี มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ต้องผลักดันมากก็คิดทำดีด้วยตนเองบ้าง

    ส่วนเกณฑ์โดยคร่าวที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ในอัตภาพและสิ่งแวดล้อมต่างๆกันนั้น ได้แก่

    ๑) ประเภทที่เลื่อนชั้นจากสัตว์นรกขึ้นไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกนี้ยังเหลือเศษกรรมที่ควรแก่ความแผดเผา อึดอัด หรือเดือดร้อนทรมาน มักไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอันลำบากกันดาร ภูมิประเทศเขตร้อนจัด หรือตกอยู่ในภาวะบีบคั้น น่าอึดอัดคับข้อง น่าตื่นกลัวอยู่เนืองๆ

    ๒) ประเภทที่เปลี่ยนจากความเป็นสัตว์สู่ความเป็นสัตว์ พวกนี้ยังไม่หมดกรรมระดับเดิม หรือระหว่างมีอัตภาพหนึ่งๆก็ประกอบกรรมซ้ำเติมตนเองเข้าให้อีก ก็ต้องอยู่ในสภาพเดิมๆต่อ เช่น เมื่อถอยลงไปสู่ความเป็นสุนัข ก็อาจติดอาการเห่าเอาเรื่อง ติดกามแบบไม่เลือกหน้าอย่างสุนัข ต้องเป็นสัตว์หน้าขนชนิดเดิมซ้ำซากนับหมื่นชาติ จนกว่าจะมีเหตุให้พัฒนาจิตเลื่อนภูมิไป เป็นสัตว์อื่นที่สบายขึ้น หรือไม่ก็ลดระดับตกต่ำย่ำแย่ลง เช่นพวกมีสันดานชอบความรุนแรงมักเสี่ยงต่อการไหลสู่เหวนรกมากกว่าอยู่กับที่

    ๓) ประเภทที่ลดชั้นจากเปรตลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้เคยสูงกว่าเดรัจฉาน แต่ยังไม่สามารถระลึกถึงกุศล หรือยังไม่มีกุศลในอดีตมาช่วยเลื่อนชั้นให้ไปเป็นมนุษย์ พอจะตายจิตอาจเศร้าหมองจนต้องตกต่ำไปเป็นสัตว์ ซึ่งจะสบายหรือลำบากก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่สร้างไว้เมื่อครั้งมีโอกาสเป็น มนุษย์ หากมีบุญหนุนอยู่บ้างก็จะลงไปเป็นพวกที่มีสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้น แต่หากไม่มีบุญหนุนเลย มีแต่บาปถีบหัวส่ง ก็ต้องไปเป็นพวกที่โงหัวลืมตาอ้าปากยากหน่อย

    ๔) ประเภทที่ลดชั้นจากมนุษย์ลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้โดยรวมคือเป็นคนประเภททำตัวตกต่ำจนหลุดระดับชั้นของความเป็นมนุษย์ คือขาดความละอายต่อบาปซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุคติภูมิ แต่เมื่อพลาดไปเป็นสัตว์แล้วก็อาจจะยังมีความใกล้เคียงกับครั้งเป็นมนุษย์อยู่ คือเคยมีนิสัยหลักๆอย่างไร ก็ไปเป็นสัตว์ที่แสดงออกซึ่งนิสัยนั้นๆเด่นชัด เช่นจองหองพองขน ชอบก่อเรื่อง น้อยใจเก่ง หรือขี้ระแวง แมวบางตัวหน้าตาขี้โกงและหวาดระแวงก็เพราะครั้งเป็นมนุษย์นั้นชอบเอารัดเอา เปรียบ มีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวจัด จนกลายเป็นผลให้ขี้ระแวงลุกลี้ลุกลน กลัวใครจะมาทำอะไรตนตั้งแต่ยังเล็กๆ

    ๕) ประเภทที่ลดชั้นจากเทวดาหรือพรหมลงมาเป็นสัตว์ พวกที่ตกร่วงข้ามขั้นจากสภาพทิพย์มาอยู่ในสภาพหยาบนั้น มักมีเหตุอกุศลในอดีตมาบีบคั้น ไม่ค่อยจะใช่พวกทำบาปหนักระหว่างอยู่ในพิมานแมน จัดเป็นของหายากประมาณหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้าน แต่เมื่อเป็นสัตว์ก็จะมีส่วนของบุญเก่าเกื้อหนุนให้มีลักษณะเลอเลิศหรือมีความ สุขสบายเกินผองเพื่อน เช่นเป็นหมาหรือแมวน่ารัก เป็นสุดพิศวาสขาดใจของเหล่าเศรษฐีซึ่งยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูแสนแพงยิ่งกว่า เลี้ยงดูคน สภาพถูกปรนเปรอเกินสัตว์มักทำให้เย่อหยิ่งเกินสัตว์ไปด้วย แต่ความเย่อหยิ่งนั้นก็มักผูกพวกมันไว้กับความเป็นสัตว์อีกหลายครั้ง เว้นแต่พวกที่เคยอบรมตนให้อ่อนน้อม ไร้ทิฐิ และมีสำนึกคิดอ่านในทางถ่อมตัวมามาก ก็จะไม่เย่อหยิ่งขนาดผูกไว้กับภาวะของสัตว์ได้นานนัก

    สำหรับกรรมที่ทำให้ไปเป็นสหายของเหล่าเดรัจฉานนั้น แม้คนธรรมดาที่ไร้ตาทิพย์ทั่วไปก็อาจอนุมานจากความรู้สึกของตัวเองได้คร่าวๆ เพราะ มนุษย์เป็นภูมิที่อยู่สูงกว่าสัตว์ จึงสามารถเลียนแบบลักษณะของความเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งๆได้ด้วยความเข้าใจ ประเมินหรือประมาณจากใจได้ว่าความเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆเข้ากันกับความรู้สึก นึกคิดแบบไหน

    ยกตัวอย่างสักเล็กน้อย เช่น

    ๑) ลองยืดคางลงต่ำ ห่อปากทำหน้าเหมือนลิง จะรู้สึกถึงคำว่า ‘ลิงหลอกเจ้า’ ใจจะคล้อยไปทางชอบล้อเลียน ชอบเย้ยหยัน ชอบปลิ้นปล้อน ชอบซุกซน

    ๒) ลองทำตาดุร้ายและแยกเขี้ยวคำราม จะรู้สึกถึงคำว่า ‘ดุเหมือนเสือ’ ใจจะคล้อยไปทางชอบแสดงความโกรธ ชอบแสดงอำนาจข่มขวัญ ชอบใช้เขี้ยวเล็บในการทำร้าย

    ๓) ลองทำเสียงโฮ้งๆดังๆ จะรู้สึกถึงคำว่า ‘เห่าเหมือนหมา’ ใจจะคล้อยไปทางชอบบ๊งเบ๊ง ชอบทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร้เหตุผล ชอบขู่มากกว่ากัดจริง ชอบลอบกัดศัตรูจากข้างหลัง

    ๔) ลองทำท่าเสือกคลานไปโดยไม่ใช้แขนขา จะรู้สึกถึงคำว่า ‘เกียจคร้านเหมือนงูเหลือม’ ใจจะคล้อยไปทางชอบนอนกองอยู่กับที่ ชอบสวาปามให้อิ่มใหญ่ๆแล้วพักยาว

    อกุศลกรรม ที่ทำๆไปทุกวันนั้น อาจรวมลงเป็นความชอบใจเข้าข่ายอาการแบบใดแบบหนึ่งในตัวอย่างข้างต้น จิตใจเป็นอย่างไรก็กระเดียดไปมีพฤติกรรมแบบนั้นๆ และยึดภพแห่งความเป็นเช่นนั้นไว้ แต่ตัวอย่างแค่ ๓-๔ ชนิดข้างต้นนี้น้อยเกินไปหน่อยครับ สัตว์มีเป็นแสนเหล่า แต่ละเหล่าอาจแยกย่อยได้เป็นร้อยสายพันธุ์ ลักษณะนิสัยแบบใดแบบหนึ่งมิใช่เกณฑ์ตายตัวให้ต้องอยู่ในภพจำเพาะเจาะจงเสมอ ไป เช่นตอนเป็นมนุษย์ชอบขู่ตะคอกให้คนอื่นกลัว ตายไปอาจไม่เป็นเสือในป่า เพราะวาสนาที่แท้อาจเป็นได้แค่ร็อตไวเล่อร์ที่ชอบกัดเด็กก็ได้

    เมื่อเป็นสัตว์แล้ว แต่ละประเภท แต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีสิทธิ์พัฒนาที่แตกต่างกัน การที่ได้มีโอกาสเกิดเป็นสัตว์เลี้ยงของคนมีบุญนั้น เป็นโอกาสใกล้ที่สุดที่จะยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น โดยอาจไปเป็นเปรตประเภทที่มีความสบายมากกว่าความลำบาก หรือถ้ามีวาสนาพอจะไปอยู่ในวัดที่มีพระผู้ทรงศีลให้ความเมตตาเป็นพิเศษ ก็อาจได้สปริงบอร์ดกระดกขึ้นมาเป็นมนุษย์ไปเลย

    อย่างไรก็ตาม การอยู่ใกล้คนมีบุญไม่ประกันความปลอดภัยเสมอไป ตรงข้าม หากบันดาลโทสะเผลอทำร้ายมนุษย์ผู้เลี้ยงดู ก็อาจกลายเป็นเงาดำใหญ่ติดตัว ให้ผลแบบเฉียบพลัน เช่นถูกสัตว์ด้วยกันทำร้ายสาหัสแทบจะทันที กับทั้งอาจส่งผลระยะยาว เช่นขณะตายจะเป็นไข้ทรมาน ทำให้จิตปั่นป่วนและตกร่วงลงไปสู่ภพที่ยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเก่าได้

    คนเราคิดอะไรบ่อยๆ จิตก็ถูกปรุงแต่งให้เป็นดีเป็นร้ายตามนั้น อยู่ๆจิตไม่ได้เข้าไปอยู่ในภพสูงหรือภพต่ำโดยบังเอิญ แต่บางทีนึกว่าผิดเล็กผิดน้อยนิดเดียว ประมาทว่าคงไม่เป็นไร หารู้ไม่ว่าเมื่อสั่งสมจนเคยชินและกลายเป็นนิสัยติดตัวแล้ว ก็อาจรวมเข้าเป็นกรรมหนัก ให้ผลขนาดกำหนดทิศทางไปสู่ความเป็นสัตว์ได้

    การทำทานสละความตระหนี่ มีแก่ใจรักษาศีลชำระความสกปรก ไม่หมกตัวอยู่กับอบายมุข และเหนือกว่านั้นคือมีจิตคิดเมตตา เจริญปัญญาเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นทั้งปวง จะเป็นประกันให้รู้สึกอุ่นใจออกมาจากข้างใน ว่าเราห่างไกลจากสภาพจิตแบบสัตว์มากแล้ว นั่นแหละครับ ประเสริฐสุด เพราะหากพลาดพลั้งถอยหลังเข้าคลองแล้ว โอกาสกลับขึ้นมาเสวยสุขแบบมนุษย์ใหม่ช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือประมาณ

    ที่มา กรรมอะไรที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ? ดังตฤณ | MThai Webboard
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อิหร่านเผยช่วยผู้ติดในซากปรักหักพังเพราะแผ่นดินไหวได้หมดแล้ว !!!

    [​IMG]

    เตหะราน 10 เม.ย.- สำนักข่าวฟารส์ของอิหร่านอ้างหัวหน้าหน่วยกู้ภัยของสภาเสี้ยววงเดือนแดงอิหร่านว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยเสร็จสิ้นภารกิจการกู้ภัยแล้ว หลังจากช่วยผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังเพราะแผ่นดินไหวได้ทั้งหมด 20 คน และไม่มีผู้เคราะห์ร้ายติดอยู่ข้างใต้แล้ว ส่วนยอดผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 37 คน บาดเจ็บ 850 คน

    หัวหน้าหน่วยกู้ภัยกล่าวว่า หลังจากนี้จะเน้นภารกิจบรรเทาทุกข์ และได้ตั้งเต็นท์ 1,000 หลังให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ว แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ทำให้บ้านเรือนราว 700 หลังพังถล่ม อิหร่านได้แจ้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) แล้วว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมืองบูเชอร์ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 90 กิโลเมตรไม่มีความเสียหายใด ๆ และไม่มีรังสีรั่วไหล

    ศูนย์แผ่นดินไหววิทยาของอิหร่านแจ้งว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.22 น.วันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 18.52 วันเดียวกันตามเวลาในไทย มีขนาด 6.1 ริกเตอร์ ศูนย์กลางลึกลงไปเพียง 12 กิโลเมตร และมีแรงสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหวอีกสิบกว่าครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดมีขนาด 5.3 ริกเตอร์ แต่สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐแจ้งว่า แผ่นดินไหวมีขนาด 6.3 ริกเตอร์

    สำนักข่าวไทย TNA News | 10 เม.ย. 2556 15:29 |

    ที่มา อิหร่านเผยช่วยผู้ติดในซากปรักหักพังเพราะแผ่นดินไหวได้หมดแล้ว | MCOT.net | MCOT.net
    แผ่นดินไหวที่อิหร่าน6.3ริกเตอร์ สะเทือนถึงดูไบ | ข่าว ข่าวรายวัน ข่าววันนี้ ข่าวการเมือง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "อคติ" เป็นอาการที่จิตเอียงข้างกะเท่เร่ !!!

    [​IMG]

    อคติ เป็นอาการที่จิตเอียงข้างกะเท่เร่
    มองไม่เห็นคนอย่างที่เขาเป็น
    แต่เห็นเขาอย่างที่เราคิด
    และถ้ามองอะไรด้วยอคติ
    คุณก็แทบไม่มีทาง พูดถึงสิ่งนั้นด้วยเหตุผล

    อคติ มีรากหรือที่ยืนเป็นรักเกินไป
    เกลียดเกินไป ไม่รู้แล้วอยากแสดงว่ารู้
    หรือกลัวจนขลาด เกินกว่าจะแสดงออก
    ความคิดและคำพูดที่ยืนพื้นอยู่บนอะไรที่ "เกินไป"
    เหล่านี้นับเป็นอคติได้ทั้งสิ้น

    ทุกคนรู้ว่าอคติเป็นสิ่งไม่ดี
    แต่ขณะเดียวกันก็อดมีไม่ได้
    เนื่องจากอคติ เปรียบเสมือนเงาดำติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
    จะให้สลัดทิ้ง หรือสั่งตัวเองว่าจงอย่าเกิดอคติอีกเลย
    ก็คงเป็นไปไม่ได้
    เอาแค่วิธีตีค่าใครให้ตรงตามที่เขาเป็น
    เราก็บวกลบคูณหาร
    ตามความชอบใจส่วนตัวเข้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

    และความจริงประจำโลกนี้ก็ตลกดีครับ
    มนุษย์รักที่จะตัดสินคนอื่นด้วยอคติ
    แต่เอาเป็นเอาตายเรียกร้องให้คนอื่น
    ตัดสินตนด้วยความเป็นธรรม
    นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาช้านาน
    และจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปไม่สิ้นสุด

    เมื่อเกิดอคติ คุณไม่มีทางหยุดคิดทันที
    แต่มีทาง "รู้สึกถึงเงาดำของอคติ" ได้ทันใด
    เมื่อรู้สึกได้ถึงเงาดำ ก็จะเห็นว่าดำมากหรือดำน้อย
    เวลาผ่านไปก็จะรู้สึกว่ามันไม่มากไม่น้อยเท่าเดิม
    นั่นแหละ จะค่อยคลายคืนความรู้สึกยึดมั่นในอคติเสียได้

    พอจับได้ไล่ทัน
    เห็นบทบาททางความคิดอันเป็นเงามืด
    อันเกิดจากความรักมากไป เกลียดมากไป
    ไม่รู้มากไป ตลอดจนกลัวมากไป
    จิตคืนสู่ความเป็นกลางอย่างมีเหตุผล
    รับฟังทุกสิ่งด้วยใจปลอดโปร่ง
    อคติก็หายไปเกินครึ่งหรือทั้งหมดได้จริงๆครับ

    ดังตฤณ
    สิงหาคม ๕๔

    ที่มา ธรรมะใกล้ตัว - จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๒๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  18. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ถ้าไม่เห็นโลกตามความเป็นจริงก็จะฝืนโลก
    ถ้าฝืนโลกอยากให้เป็นไปตามความต้องการก็จะฝืนธรรม
    ถ้าฝืนธรรมก็จะกลายเป็นผู้วิเศษ ผู้วิเศษจะว่าทำไมเป็นอย่างนั้น
    ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ฮึ..มันโมโห
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ปี 2556 มะเส็ง ธาตุน้ำ, การเมืองยุ่ง การพาณิชย์ดี !!!

    [​IMG]

    ซินแส ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล พลิกตำราโหราศาสตร์จีน พยากรณ์ความเป็นไปของประเทศปี 2556 รับการเคลื่อนตัวของวันเวลาที่ก้าวสู่ปีนักษัตรใหม่

    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ซึ่งชาวจีนให้ความสำคัญกับวันนี้เป็นอย่างมาก มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า คำทำนายและธรรมเนียมปฎิบัติมากมายที่สืบทอดกันมานับพันปีเพื่อความเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิต ตำราโหราศาสตร์จีนกล่าวไว้ว่า หากนับตามดวงจีน (ลิบชุน) วันเวลาได้เริ่มย่างเข้าสู่ปีใหม่หรือปีนักษัตรใหม่ คือปีนักษัตร มะเส็ง ธาตุน้ำ หรือ ปีกุ่ยจี๋ ตามหลักจักรพรรดิ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

    “อาจารย์เขียนไว้ล่วงหน้า ว่าปีนี้ 2556 ปีมะเส็ง หรือปีงู ธาตุน้ำ ธาตุน้ำคือเรื่องการเงิน การเงินยังดี เหมือนปีที่แล้วคือมังกร ธาตุน้ำ การเงินดี เดินสะพัด ยังใช้ได้ ถึงแม้มีเหตุบ้านการเมืองวุ่นวาย ก็ไม่กระทบกระเทือน แต่จะมีบางเดือนดีบางเดือนไม่ดีเป็นเรื่องวิกฤติในแต่ละช่วง แต่ว่าภาพรวมบ้านเมืองปีนี้ อาจารย์ห่วงเรื่องการเมือง” ซินแส ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล นักโหราศาสตร์จีน ซึ่งเคยถูกคนไป ‘วีน’ หน้าสำนักงาน ถูกตรวจสอบภาษี ถูกถอดออกจากรายการโทรทัศน์ทุกช่องเมื่อปีพ.ศ.2546 เพราะมอบคำทำนายเตือนใครบางคนว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ เริ่มต้นให้สัมภาษณ์ กรุงเทพวันอาทิตย์ ถึงภาพรวมเมืองไทยปีพ.ศ.2556 ตามหลักโหราศาสตร์จีน

    สิ่งที่ซินแสภาณุวัฒน์บอกว่า “เขียนไว้ล่วงหน้า” คือหนังสือชื่อ ไขรหัสชีวิต ประจำปีพ.ศ.2556-2558 ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555

    “ปีงู ตีความหมายได้สองอย่าง คือ งูลอกคราบ ลอกคราบเก่าที่ไม่ดีออกไป กลายเป็นคราบใหม่ที่สวยงาม อาจมีการปรับรัฐมนตรี เอาคนที่ไม่ดีออก เอาคนดีๆ เข้ามา เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ดูสวยงาม นี่คือเรื่องเกมการเมือง หรือสอง งูเห่าภาคต่อไป เหมือนในอดีตที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลในยุคที่ผ่านมา” ซินแสภาณุวัฒน์ อธิบาย

    การเมืองจะเริ่มยุ่งตั้งแต่เดือนมีนาคม มีข่าวลือยุ่งวุ่นวาย บวกกับคนมีอำนาจดำเนินการโยกย้ายปรับเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อให้ได้ดั่งใจ จนเกิดการต่อต้าน-มีปัญหาวุ่นวายจากหลายฝ่ายที่ไม่เห็นชอบและไม่เห็นด้วยที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม โดยเฉพาะเมษายนปีนี้เป็นเดือนที่ไม่เกื้อหนุนกับดวงผู้บริหารระดับสูง อาจมีการพลิกขั้วเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ความวุ่นวายรุนแรงดูท่าจะคลี่คลายในเดือนมิถุนายนเพราะ ‘อัศวินม้าขาว’ ช่วยให้ทุกอย่างนิ่งขึ้น จากนั้นแพะที่เคยถูกจูงจมูกจะตื่นจากฝัน… นี่คือคำพยากรณ์จากตำรา

    ซินแสภาณุวัฒน์ย้ำว่า คำพยากรณ์ดังกล่าวคือการวิเคราะห์ความเป็นไปตาม ดวงเมือง ไม่มีการแบ่งสีเสื้อ ไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร หรือไม่รู้ว่าใครจะทำเหตุการณ์ให้เกิดขึ้น รู้แต่ว่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น

    “อาจารย์วิเคราะห์จากดวงเมือง ต้องดูว่าบ้านเมืองตั้งมาเมื่อปีพ.ศ.2325 จากการตั้งเสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปีนั้นเป็น ปีเสือ ธาตุน้ำ” ซินแสภาณุวัฒน์ กล่าวและว่า ปีเสือ คือ ทหาร และ อำนาจ

    “คนที่จะมาปกครองบ้านเมืองให้สงบต้องคือคนที่มีอำนาจ คือทหาร เมืองไทยเราหนีไม่พ้นกับเสือ คือคนที่มีอำนาจต้องมานั่งดูแลบ้านเมือง” ซินแสภาณุวัฒน์ กล่าวและให้ลองสังเกตหลายครั้งที่บ้านเมืองไปได้ดีเพราะมีบุคคลในเครื่องแบบบริหารงาน เช่น การบริหารบ้านเมืองหลายสมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แต่พอประชาชนทั่วไปขึ้นมาบริหาร บ้านเมืองวุ่นวายเป็นระยะๆ

    “ไม่ใช่อาจารย์คิดว่าจะต้องให้ทหารมาเป็นใหญ่ แต่ว่าต้องมีทหารมาดูแลเรื่องบ้านเมือง เมืองไทยเราผูกดวงเมืองไว้ ณ เวลานั้นเป็นอย่างนั้น”

    ทว่า ในแต่ละเดือนของปีก็มีฤดูกาลแตกต่างกันไป ร้อน ฝนตก น้ำท่วม หนาว คล้ายกับดวงของคนเราที่มีขึ้นมีลง มีสุขสบายมีลำบาก ดวงบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ถ้าใครขึ้นมาบริหารบ้านเมือง เราต้องดูว่าดวงของคนๆ นั้นกับดวงบ้านเมืองเข้ากันด้วยหรือไม่ เช่น ผู้บริหารที่เกิดปีวอก แม้เป็นทหารก็วุ่นวายไม่ราบรื่น เพราะเป็นดวงที่ ‘ชง’ กับดวงเมือง ซินแสภาณุวัฒน์กล่าวตามตำรา

    ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ยังไปได้ดี เพียงแต่ว่าสภาพเศรษฐกิจและการทำธุรกิจในปัจจุบัน แตกต่างจากในอดีตที่ข่าวสารข้อมูลทั่วโลกส่งผ่านรับรู้ถึงกันได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว คนทำธุรกิจจึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวให้ดี

    ซินแสภาณุวัฒน์กล่าวว่า ธาตุน้ำ คือ เรื่องการเงิน การเงินของประเทศในปีนี้มีอนาคตสดใส ภาพรวมของตลาดหุ้นยังไปได้ดี “เพียงแต่ใครตาดีได้ตาร้ายเสีย”

    ราคา ทองคำ มองว่าเกินจริงอยู่ในขณะนี้ มีการปั่นราคาขึ้นมาผิดกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่น่าจะหนักมาก เพราะราคาทองคำที่ผ่านมาก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ไม่มากเท่าไร แต่ช่วงนี้ค่อนข้างหวือหวา

    “ปี 51-52 เป็นธาตุดิน ธาตุดินเสริมให้เกิดธาตุทอง ปี 53-54 เป็นธาตุทอง ยิ่งเสริมธาตุทอง ฉะนั้นราคาทองคำดี แต่ปีที่ผ่านมาเป็นธาตุน้ำ ธาตุน้ำดึงพลังจากธาตุทอง เพราะทองทำให้เกิดน้ำ ช่วงนี้ก็เช่นกัน ต้องระวัง พอปี 57-58 เป็นธาตุไม้ ทองฟันไม้ แม้ไม่เสริม แต่จะดีขึ้น เพราะไม่ถูกดูดพลัง แต่ราคาทองจะผันผวนหนักวุ่นวายหนักในปี 61-62…

    อยากให้ข้อคิดว่า แม้ปีนี้ภาพรวมการพาณิชย์ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตาคนแต่ละคนด้วย บางคนทองขึ้นแล้วรวย บางคนทองขึ้นแต่เจ๊ง เพราะผิดจังหวะของชีวิต ที่สำคัญทั้งน้ำมัน ทองคำ หุ้น ต่างก็เป็นการพนันถูกกฎหมาย เดี๋ยวนี้ทุกอย่างไม่ใช่ราคาธรรมชาติ แต่เป็นราคาปั่น จึงต้องระมัดระวัง” ซินแสภาณุวัฒน์ กล่าว

    ในภาคธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ยังคงไปได้ดี เห็นได้จากคอนโดมิเนียมที่มีการขยายตัวสูงเพื่อเตรียมรับการเปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เกิดการเก็งกำไรเป็นธรรมดา ภาพรวมธุรกิจประเภทนี้ไม่น่าห่วง แต่ขึ้นอยู่กับทำเล ฮวงจุ้ย และดวงเจ้าของโครงการแต่ละคนมากกว่า

    เช่นเดียวกับ พลังงาน ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมาทำรายได้ดี แต่จะยิ่งโชติช่วงชัชวาลเด่นมากในอีกสองปีข้างหน้าซึ่งเป็นปีธาตุไม้

    รวมทั้งธุรกิจ การสื่อสาร-อิเล็กทรอนิกส์ “อาจารย์เคยคุยกับคนที่เป็นด็อกเตอร์ด้านคอมพิวเตอร์ เขาบอกอาจารย์ว่า ถ้าเอาสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้กำลังศึกษาเปิดออกมาให้ใช้ ประชาชนใช้ไม่เป็น เพราะเขาคิดไปอีกสิบปีข้างหน้าแล้ว วางแผนการตลาดออกมาทีละเรื่อง เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก เป็นเรื่องของธุรกิจ พอเปิดตัวไม่นานก็จะมีรุ่นใหม่ตามออกมา เป็นธุรกิจที่เขาจะขายสิ่งใหม่ออกมาเรื่อยๆ” ซินแสภาณุวัฒน์ กล่าวและให้กำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยให้คำพยากรณ์ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีพ.ศ. 2557 เมืองไทยจะไปได้ดี เพราะเป็นปีมะเมีย ธาตุไม้ สมพงษ์กับดวงเมืองปีขาล

    อย่างไรก็ตาม ใครทำอะไรไม่ดีไว้กับบ้านเมืองต้องรับบาป-รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ โดยเฉพาะใน ปีพ.ศ.2558 เป็นปีมะแม ซึ่งจะกลายเป็น ปีแพะรับบาป

    “ถ้าคนไหนทำไม่ดีกับบ้านเมือง จะตอบสนองกับคนไม่ดีให้มีอันเป็นไป แต่ด้านไหนอาจารย์ไม่รู้ สมบัติแผ่นดินไม่มีใครครองได้ยาวนาน ใครมีอำนาจอย่าหลงลืมตัว อย่าโกงกินมากเกินไป เราจะเห็นว่าคนโกงกินบ้านเมืองในอดีตที่ผ่านมา มักจะได้นั่งกินนอนกินในบั้นปลายชีวิต นั่งบนรถเข็น นอนบนเตียงนอนมีคนป้อนน้ำป้อนข้าว มีสายระโยงระยาง มีอันเป็นไปก่อนวัยอันควร ใครทำไม่ดีทุกวันนี้ก็ถูกฟ้าดินลงโทษ

    พระสยามเทวาธิราชมีจริง เมืองไทยเรารอดปากเหยี่ยวปากกามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่ รัชกาลที่ห้า รัชกาลที่หก ฝรั่งมายึดดินแดน แต่ยึดไม่ได้ เมืองไทยเราเป็นเอกราขมาถึงทุกวันนี้เพราะบารมีของราชวงศ์จักรี และพระสยามเทวาธิราช ใครจะมองว่าไม่มีจริงก็ตาม แต่อาจารย์ทำงานตรงนี้มา มองว่ามีจริง ราชวงศ์จักรีอยู่อีกนานไม่ต้องห่วง” ซินแสภาณุวัฒน์ กล่าว

    จากประสบการณ์และการศึกษาศาสตร์พยากรณ์จีน ซินแสภาณุวัฒน์ ฝากข้อคิดไว้ด้วยว่า “หากดวงเมืองไม่ดี แล้วเราไปเสี่ยงทำในสิ่งที่ไม่ถูกจังหวะ เราก็จะแย่ไปด้วย ถ้าคนไหนดวงดีอยู่ ทำอะไรลุยไปเลย แต่ถ้าดวงตก ทำอะไรต้องระมัดระวัง อย่าประมาท อย่างเสี่ยง และอย่าทำตามใครคนอื่น เนื่องจากดวงแต่ละคนไม่เหมือนกัน”

    การย่างก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่ๆ ครั้งใหญ่แห่งปี โดยเฉพาะ ‘ปีใหม่’ การคิดดี-ทำดี ประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม ย่อมเกิดสิริมงคล เป็นบุญกุศลติดตัว และทำให้สังคมส่วนรวมมีสันติสุข

    ซินเหนียนไขว้เล่อ … ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่

    ทีกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

    ที่มา ปี 2556 มะเส็ง ธาตุน้ำ, การเมืองยุ่ง การพาณิชย์ดี ซินแส ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล | My Morning Espresso
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี !!!

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็น วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ ตามเดิม แต่ว่าพูดเป็นตอนที่ ๒ ตอนนี้ขอพูดถึงตอนที่ ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายคิดออกหรือยังว่าสงครามโลกเกิดขึ้น และมันก็ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยโดยตรง มันเกิดภายนอกประเทศ นอกเขตของไทย

    เป็นอันว่า ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึงประเทศไทย แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี่ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้น้ำได้ มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นขนาดย่อมๆ ตามจุดต่างๆ เป็นจุดเล็กๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้าง จุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวน กำลังของทหารรวน แล้วจะตั้งกลุ่มขึ้นบางจุด เป็นกลุ่มใหญ่หน่อย ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ก็รวมความว่า สงครามโลกไม่มีเรื่องหนักใจ ในเรื่องการตายของเรา เรื่องรังสีของวิทยาศาสตร์ บุคคลที่นับถือพระพุทธเจ้าจะไม่ตายเพราะรังสีต่างๆ ตามที่บอกมาแล้ว

    ทีนี้ความร่ำรวยอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ประการแรก ขอบอกว่า เรื่องน้ำมั้นจะเป็นเหตุให้รวย เพราะว่า ทุกประเทศต้องใช้น้ำมัน และอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าสงครามโดยตรง แต่ว่าทหารของประเทศบางประเทศจะต้องยกเข้ามาตั้งในจุดใดจุดหนึ่งของประเทศ ไทย เวลานั้นก็ขายน้ำมันให้เขา เราก็รวย ถ้ามีกองทหารอื่นเข้ามา มันจะดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องของการเมืองแต่มีความจำเป็นเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับ ถ้ามีการยอมรับ รายได้ต่างๆ ของประชาชนก็เกิดขึ้น

    ทีนี้รัศมีสงคราม ในเมื่อมันไม่ถึงประเทศไทยเราก็ไม่มีความลำบาก บรรดาท่านที่ทำนาทั้งหลาย ท่านที่มีนา อย่าเพิ่งขายนา ในราคาแพงมากนัก คือขายก็ขายเถอะ แต่อย่าขายให้มันหมด ก็มีคนหลายคนมาบอกว่า มีที่ ๒๐ ไร่บ้าง ๓๐ ไร่บ้าง ๕๐ ไร่บ้าง ๑๐๐ ไร่บ้าง อยากจะขาย ขายได้ไร่ละเป็นล้าน นี่ก็เห็นใจเหมือนกัน ความจริง เงินนับล้านเป็นของหายาก ก็เห็นใจ เขาอาจจะตั้งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ถ้าไม่ลืมตัว แต่ว่า บางท่านที่ไม่มีโอกาสจะขายนาของท่านได้ นาของท่านอยู่ไกลที่เจริญ อยู่ไกลแม่น้ำ ไกลถนน ถ้าเขาจะซื้อ ก็ซื้อราคาถูก ท่านก็ไม่อยากจะขาย ท่านจะขายราคาแพง ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอกาสขายในเมื่อเวลานี้ไม่มีโอกาสจะขาย ท่านอาจจะเสียดายว่าที่นาของเราไม่ได้ขาย เราไม่รวย

    แต่ทว่าถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริงๆ ท่านจะดีใจ เพราะนาท่านไม่ได้ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะข้าวของท่านออกมาราคาแพง มันจะขายได้ดี ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็จะแพงกันหมด ดูสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทุกสิ่งทุกอย่างมันหายาก ยิ่งเขายิ่งรบกัน โอกาสที่เขาจะทำมันก็มีน้อย เขาต้องใช้เวลารบกันมากขึ้น ทีนี้เราก็ขายได้ดี

    มาส่วนด้านของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมก็มีมาก แต่ว่าอุตสาหกรรมก็ต้องระวังโรงงาน โรงงานต่างๆ ต้องระวังระเบิดภาคพื้นดิน ไม่ใช่ระเบิดจากอากาศ ระเบิดภาคพื้นดินจะอาละวาด ถ้าจะถามว่าหาทางป้องกันอย่างไร นี่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือท่านเจ้าของโรงงาน ทางด้านพุทธศาสนาก็มี บอกไม่ได้ จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ ไว้นั่นก็คือ ความดี ของดี ถ้ามีไว้ ในรัศมีนั้นจะไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น

    เหมือนกันสมัยที่มี ผกค. ในที่ต่างๆ เคยถูกโจมตี และเจ้าของสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ในที่นั้นเกิดมีความเคารพพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีของอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงไว้เป็นเขต ในเขตนั้นปรากฏว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยถูกโจมตี หรือข้าศึกยิงเข้ามา ก็ไม่เข้าสถานที่ตรงหน้าเข้าฐาน เป็นอันว่าทหารในเขตนั้นก็ปลอดภัย ข้อนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรานับถือพระ พุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วยความจริงใจและทุกท่านจะปลอดภัยจากสงครามโลกครั้งที่ ๓

    ทีนี้ถ้าโรงงานต่างๆ มีความเคารพพระพุทธเจ้า ด้วยความจริงใจจริงๆ โรงงานนั้นๆ จะพ้นอันตรายจากระเบิด และการทำอันตรายต่างๆ จากสรรพาวุธจะไม่เกิดขึ้นกับโรงงานนั้น โรงงานนั้นในเมื่อผลิตของได้ก็จะขายดี รวย เขารบกัน เขาไม่มีเวลาทำ เรามีเวลาทำ เพราะเราไม่ต้องรบ เขาต้องสูญเสียเงินเพราะการรบ เราก็ขายของของเรา ในเมื่อของมันขาดราคาก็แพง ในเมื่อขายของได้ราคาแพงมากรัฐบาลก็ได้ภาษีอากรมากขึ้น ประเทศก็รวยคนในประเทศก็รวย นี่พูดถึงความร่ำรวยที่ไยจะเป็นมหาเศรษฐี

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำมันตามจุดต่างๆ ที่บริษัทเขาเจาะไว้ เขาบอกว่า มันไม่พอใช้ มันก็จะปรากฏขึ้น เพราะเราไม่มีโอกาสซื้อน้ำมันต่างประเทศ ถ้าน้ำมันต่างประเทศจะซื้อได้ยากราคาแพง อันนี้เขาจะดึงขึ้นมาใช้ ราคาเหมือนราคาต่างประเทศอย่างนี้ อุตสาหกรรมของเราก็จะรวยไม่ได้ ถ้าบังเอิญคนไทยอย่างที่ฝาง ใช้หัวเจาะลึกๆ หัวเจาะยากๆ เจาะลงไปลึกๆ แต่ตามหลักนักวิชาการเขามีอยู่ อาตามาก็ไม่ได้ค้านตามนั้นนะ

    ลองเจาะดูตามที่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูด ดร. สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ที่ใดก็ตามเจาะลงไป มันจะมีน้ำมัน แต่ว่า ผิวดินมันจะลึก จะตื้นกว่ากันนั่นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เท่าที่เขาเจาะเวลานี้ยังไม่ถึงขุมน้ำมันจริงๆ มันไปถึงต่อมเล็กๆ บนหลังน้ำมันยังไม่ถึงถังขุมน้ำมันแท้ ถ้าใช้หัวเจาะประมาณ ๖ กิโลเมตร อย่างอังกฤษเจาะ อย่างนี้ไม่ต้องใช้กี่บ่อแล้ว เพียงแค่ ๑๐ บ่อ ดึงกันวันไม่รู้จักเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้จักหมด เราใช้ประมาณ ๓๐ เท่า หรือ ๓๐๐ เท่าของเวลานี้สัก ๑,๐๐๐ ปี มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นทะเลใหญ่ ดร.สรรพศาสตร์ท่านพูดอย่างนี้นะ

    ถ้าบังเอิญคนไทยของเราดีขึ้นมาได้เอง เราก็กดราคาน้ำมันให้ต่ำลงไป อย่างแพงที่สุดก็เท่าเราคาน้ำมันในปัจจุบัน รักษาราคาน้ำมันไว้ ต่างประเทศเขาต้องซื้อแพง เราถูก อุตสาหกรรมของเราก็มีราคาถูกขายได้กำไร กำไรมีมาก กำไรจากอุตสาหกรรม ด้วยกำไรจากเกษตรกรรมด้วย กำไรจากน้ำมันด้วย และก็มีกำไรมากมาย ประเทศไทยก็จะเป็นมหาเศรษฐี ทีนี้ต่อไป มันก็มีเวลาเหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาคุยกันว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดจะว่าอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดก็เป็นของดี แต่ว่าท่าน ดร.สรรพศาสตร์นี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกเขาไม่เรียกสงครามโลก เขาเรียกสงครามใหญ่ มันเป็นสงครามใหญ่ ไม่ใช่สงครามโลก

    ก็เป็นอันว่า ถึงแม้จะเป็นสงครามโลกก็ตาม สงครามใหญ่ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็เอาบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาใช้กัน

    ประการที่ ๑

    ผ้าในสมัยนั้น หาคนนุ่งผ้าดีได้ยาก ส่วนมากก็จะมีคนนุ่งผ้าขาดๆ เพราะเวลานั้นโรงงานทอผ้าของเรายังมีน้อย แต่เวลานี้โรงงานทำผ้าของเรามีมากแต่ก็ไม่แน่นอนนัก บางทีระเบิดเพลิงจะเกิดจากภาคพื้นดินก็ได้ ถ้าระเบิดเพลิงจากภาคพื้นดินเกิดกับโรงงาน โรงงานทำผ้าของเราก็จะสลายตัว ผ้าก็จะน้อย อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน อันดับที่ ๒ เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มาย ก็อย่าเพิ่งรีบขายเกินไป ถ้าได้กำไรมากๆ เป็นล้านๆ ก็ไม่ว่าอะไร ขายเถอะ แล้วก็เก็บเงินไว้ให้ดี อย่าใช้ให้มันหมดตัว จงคิดว่า ถ้ามันหมดตัวแล้ว เราไม่มีทางจะหาที่ดินจะขายได้ใหม่

    ประการที่ ๒

    ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมใจไว้นึกถึงความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า โลก เต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอนิจจังมันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดก็เป็นอนัตตาตายหมด ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไรความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับก็ไม่เป็นไร ถ้าจิตไม่ยอมรับ มันก็มีความดิ้นรน มันก็มีความเร่าร้อน ถึงจะดิ้นรน จะเร่าร้อนขนาดไหนก็ตามเราก็จะหนีไม่พ้น ในเมื่อหนี้ไม่พ้น เราก็ต้องทนสู้ ทนสู้กับภาวะสงคราม ทีนี้เราจะสู้กับใคร เราก็สู้กับตัวเราเอง นั่นคือ ต้องใช้น้อย กินน้อย นอนมากๆ และตื่นไวๆ ใช้กำลังร่างกายทำการงานให้ดี ได้พูดอย่างนี้ก็พูดเรื่อยเฉื่อยไป

    เป็นอันว่า ตามคำพยากรณ์ของ ดร. สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี แล้วคนไทยทุกคนจะเป็นเศรษฐีไหม ก็ต้องขอบอกว่า คนไทยทุกคนไม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน แต่ว่าก็มีจำนวนมาก ก็จะเป็นลูกศิษย์มหาเศรษฐี คือเป็นคนงานของมหาเศรษฐี เราก็จะเป็นเศรษฐีเล็ก ในครอบครัวเล็กๆ ได้เหมือนกัน สมมุติว่าครอบครัวใดยังไม่เคยมีเงินล้าน ครอบครัวเล็กๆ ประเภทนั้นจะมีเงินล้านใช้ ประเภทครอบครัวที่มีเงินแสนใช้ต้องถือว่าเป็นครอบครัวที่ยากจนมาก ถ้าบ้านไหนมีเงินล้านใช้ ถือว่าเป็นบ้านที่พอมี พอกินพอใช้ พอหาได้เลี้ยงตัวรอด ที่มีเงินเหลือเป็นแสน ก็ถือว่าเลียงตัวรอดเหมือนกัน ที่ได้มาอย่างนี้เพราะว่า เรามีกำไรจากสงคราม แต่เราไม่อยากให้เกิดสงคราม

    ทีนี้มาพูดอีกทีหนึ่งที่ ดามุส ท่านบอกว่าศาสนาคริสต์จะสลายตัว แต่ศาสนาอิสลามท่านไม่ได้บอกว่า จะสลายตัวหรือเปล่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน

    ตอนนี้ ด้านศาสนาของเขาก็จะมีการหย่อนตัวลงไป เพราะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ ความเสียหายเกิดขึ้น ตายไปฝ่ายละครึ่งนี่ไม่ใช่เล็กน้อยนะ บรรดาท่านพุทธบริษัทการเชื่อพระเจ้าจะน้อยลง หรืออาจจะสลายตัวอย่างท่านดามุสบอกก็ได้

    ทีนี้มาพูดถึงพุทธศาสนาบ้าง ทางพุทธศาสนาถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ทางพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ได้เพราะ คนเห็นทุกข์ ในเมื่อคนเห็นทุกข์ ก็ยอมรับนับถือศีลธรรมมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งนับบวชฝ่ายปฏิบัติ สำหรับฝ่ายปริยัตินั้นก็อีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก คือท่านเรียน แต่ท่านยังไม่ได้ทำ เรียนรู้ จะถือว่าไม่ดีไม่ได้ ท่านก็ดี ท่านมีความรู้ ความรู้ในด้านปริยัติก็จะเจริญขึ้น ในช่วงนั้นอาจจะมีพระที่ได้อภิญญา หรือว่านักปฏิบัติที่เป็นฆราวาสที่ได้อภิญญาเกิดขึ้น ถ้ามีนักอภิญญาเกิดขึ้น บรรดาท่านพุทธบริษัท อันตรายต่างๆ จะเกิดขึ้นได้น้อยเต็มที เพราะอาศัยอภิญญาช่วย และนอกจากนั้นความเจริญรุ่งเรืองทางด้านจิตใจของเรา ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เพราะเราไม่เสียหายมาก เรามีความสุข ในเมื่อเขาเลิกรบกัน เขาก็ขาดเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารการบริโภค เขาก็ขาดเราก็ขาย เครื่องมือเครื่องใช้เขาขาด โรงงานประเทศไทยของเราเวลานี้มีมาก เราก็ขาย

    รวมความว่า ทุกอย่างมันก็จะมีแต่ความก้าวหน้า จะมีความร่ำรวย ดูตัวอย่างประเทศเยอรมันกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อหลังสงครามโลก ถูกบีบบังคับห้ามไม่ให้มีทหาร พอ ๒ ประเทศ ไม่มีทหารขึ้นมา ไม่ต้องเสียเงินค่างบประมาณทหาร เพราะว่างบประมาณทหารต้องเสียมาก เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเตรียม เตรียมไว้บางทีไม่ได้ใช้ ล้าสมัยต้องซื้อใหม่ ของเก่าก็เก็บไว้ หรือว่าขายไป

    ทีนี้ในเมื่อไม่ต้องเตรียมการรบ ไม่ต้องเตรียมทหาร งบประมาณก็เหลือใช้ ประเทศก็มีความร่ำรวย ประเทศไทยเราก็ฉันนั้น ในสมัยเมื่อเขารบกัน เราก็พยายามประวิงทุกอย่าง อย่าให้มีการรบ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็จำกัดสถานที่รบ นั่นหมายความว่า สงครามใหญ่ ไม่มีใครเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาตีกันทางโน้น เขาไม่ตีมาทางนี้ เขาอาจจะตีไปทางยุโรป ตีไปทางอเมริกา เขาไม่ตีมาถึงประเทศไทย แต่ว่าประเทศไทยก็ต้องมีส่วนร่วม ส่วนร่วมในความทุกข์ที่จะเกิดสงคราม

    ทีนี้ในเมื่อเขาไม่ตีเข้ามาถึง เราก็มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ขอทิ้งท้ายไว้นิดว่า ตีเล็กมีนะ ตีใหญ่น่ะไม่มี มีแต่ตีเล็กก่อกวน สงครามก่อกวนจะมีเป็นของธรรมดาทั้งนี้ก็ต้องเชื่อความสามารถของรัฐบาลและ ทหารตำรวจเราสามารถจะควบคุมความสงบสุขไว้ได้ เหตุต่าง ๆ จะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ จะสามารถปราบปรามได้ ถ้าถามว่า เขาใช้รัศมีอาวุธเคมี ใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนาป้องกันได้แน่ อันนี้ขอยืนยัน จะเป็นนิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศาสนาป้องกันได้แต่ แต่ว่าทั้งนี้ท่านทั้งหลายต้องไปหาจากพระที่เป็นนักปฏิบัติทางด้านจิตใจ ที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว ก็ทรงความเป็นอภิญญา

    ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่าเวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้ แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเวลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมา ให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถจะป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้ หมายความว่าพระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามารถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้ สามารถจะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าหากว่าเราทั้งหลายตายกันหมด ท่านก็ตายเหมือนกัน ท่านอดตาย เพราะว่าท่านต้องอาศัยพวกเรากิน พวกเราหากินหาใช้เหลือ เราก็ให้ท่าน

    อย่างสมมุติว่า ถ้าพระบิณฑบาต เราก็ถวายพระ ถ้าชาวบ้านอด ชาวบ้านตายหมด พระก็ตายเพราะไม่มีใครจะให้ ข้อนี้ฉันใด เวลานั้นก็ตาม ท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตาม จะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้องกันรังสีต่างๆได้ และป้องกันสรรพาวุธได้ตามกำลัง แต่บุคคลที่ต้องตายไปบ้าง นั่นก็หมายความว่า บุคคลที่มีอายุถึงอายุขัย บุคคลที่มีอายุถึงอายุขัยนี่ เราป้องกันไม่ได้ มันมีความจำเป็น คนประเภทนี้ จะรบก็ตาย ไม่รบก็ตาย นอนเฉยๆ ก็ตาย กินข้าวอยู่ก็ตาย นอนหลับก็ตาย คุยกันก็ตาย เพราะถึงอายุขัย เวลานั้นมันต้องตาย

    ก็รวมความว่า ประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี ๔ อย่าง เอาสัก สอง ๔ อย่าให้เป็นการใบ้หวยละ ๔ นี่หนึ่งก็เราอย่างง่ายๆ คือ สังคหวัตถุ ๔ คือ

    ๑. ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเข้าไว้ สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู การให้ทานเป็นการทำลายล้างศัตรู ไม่ให้เกิดศัตรูขึ้นมาเพราะเราบุคคลผู้รับย่อมรักในบุคคลผู้ให้
    ๒. ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟังมีความสุขจากคำพูดของท่าน เขาก็จะรักเรา ในเมื่อเขารักเรา เราก็มีความสุข
    ๓. ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเกินวิสัยเราช่วย เขาก็จะเกิดความรัก
    ๔. เราไม่ถือตัวไม่ถือตน การไม่ถือตัวไม่ถือตน จัดเป็นปัจจัยให้เกิดความรัก

    อันนี้เป็นความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เป็นอันดับแรก รักษากฎ ๔ ประการนี้ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย เราจะมีแต่คนรัก เราจะไม่มีคนเกลียด ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในเมื่อเขาประกาศสงครามกัน เขาไม่รู้จักกัน เขายิงจรวดมา จะทำอย่างไร มันก็เป็นของไม่ยาก เขาจะยิงมาหรือไม่ยิงมา เราก็ภาวนา พุทโธ ไว้ จิตใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าโดยตรง สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทำไว้ ท่านให้ไว้เรานับถือด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นท่านทั้งหลาย จะป้องกันอันตรายท่านได้อย่างแน่นอน และประการต่อไปอีก ๔ อย่างก็คือ พรหมวิหาร ๔

    ๑. เมตตา ความรัก สร้างความรัก ทำจิตใจเกิดความรักทั้งคน และสัตว์ทั้งโลก ถือว่าเราเป็นมิตรกัน
    ๒. มีความสงสาร คอยเกื้อกูลกันไว้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว
    ๓. ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ๔. เมื่อบุคคลนั้นถึงอายุขัยต้องตายเพราะอาวุธ ต้องตายตามกาลเวลาเราก็ วางเฉย

    ในเมื่อมีความดีอีก ๔ประการอย่างนี้แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะปลอดภัย อย่าลืม สังคหวัตถุ ๔ เป็นความดีเล็กน้อย ความดีขั้นต้น พรหมวิหาร ๔ เป็นความดีสูงสุด คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน เห็นใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉยเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่สามารถจะยับยั้งได้ ก็ทำใจวางเฉย ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือประมาณ ๕ นาที ก็คุยกันไปคุยกันมา ย้อนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อีกสักนิดหนึ่งว่า ทำไมถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น จะชี้ตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่งเพราะสมัยนั้นผู้พูดอยู่ในกรุงเทพฯ คืนใดถ้ามีปกติ เครื่องบินไม่มาทิ้งระเบิด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนเช้าไปบิณฑบาตเวลานั้นคนหนีระเบิดมาบ้านนอกกันมาก มาต่างจังหวัดกันมาก คนใส่บาตรมีน้อย พอกินแค่เช้า เพลไม่พอกิน แต่ว่าบังเอิญคืนไหนถ้ามีเครื่องบินมาโจมตีทิ้งระเบิด เวลาเช้าไปบิณฑบาตปรากฏว่ามีคนใส่บาตรมากเป็นพิเศษ ไปไม่ทันถึงครึ่งทางก็เต็มบาตร ยามปรกติไปจนสุดทาง แล้วก็เดินทางกลับ ยังไม่ถึงครึ่งบาตร แต่คืนไหนมีเครื่องบินมาโจมตี รุ่งเช้าคนทำบุญกันมาก

    จะเห็นว่า คนที่มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราใกล้ความตาย ไม่มีความประมาท คือเขาจะถือว่า เป็นการฉลองชีวิตที่เกิดใหม่จากการโจมตีของข้าศึก ข้าศึกทิ้งระเบิดก็ทิ้ง ยิงกราดด้วยปืนกลก็ยิง แต่เขาก็ปลอดภัย จึงทำบุญกันใหญ่ ข้อนี้ฉันใดบรรดาท่าน พุทธบริษัททั้งหลาย ในเมื่อสงครามใหญ่มันเกิดขึ้นเป็นสงครามที่น่ากลัว อาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถือว่าเป็นอาวุธดีแล้วนะ ล้าสมัยไปแล้ว เครื่องบินสมัยนั้น เป็นเครื่องบินที่ดีที่สุด เวลานี้เขาเลิกใช้แล้วเครื่องบินสมัยใหม่ เขาดีกว่าสมัยนั้นมาก อาวุธทีใช้ใหม่ ดีกว่าอาวุธสมัยนั้นมาก

    ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้น ข่าวคราวก็ย่อมถึงกันเวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ถ่ายทอดจากดาวเทียมเราสามารถจะเห็นภาพได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสียความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตาย

    สำหรับอีกด้านหนึ่ง ท่านนัก ปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัดตัวเอง ให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุด ตายจากความเป็นคน ไปสวรรค์ก็เอาหรือถ้าดีกว่านั้นไปพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้น ไปนิพพานก็ดี ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเองประเภทนี้กำลังใจจะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิดในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผลของอภิญญาและญาณต่างๆ ที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนาญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมองดูเวลาก็เหลือเวลานาทีเศษๆ ในตอนนี้ก็ขอสรุปว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าลืมองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า

    เราจะบูชาพระทุกวันนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้า บูชาพระ บูชาพระอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นะโม ตัสสะ ฯ ๓ หน ด้วยความเคารพใน พระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

    แค่นี้ก่อนหลับ และตื่นใหม่ๆ ทุกวัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทุกท่าน จะปลอดภัย และมีความร่ำรวย

    เวลานี้หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

    (ธัมมวิโมกข์ “ฉบับบพิเศษ” เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ หน้า ๒๓๓-๒๔๐)

    ที่มา https://sites.google.com/site/snimnon/phuthth-phyakrn
     

แชร์หน้านี้

Loading...